หลักการแพทย์สมัยใหม่ มักถูกหลวงพ่อนิพนธ์เรียกเสมอว่า "หลักบวก" นั่นหมายความถึง เมื่อใดที่เป็นโรคหนึ่งแล้ว เข้าสู่วงจรนี้ นั่นหมายถึง โรคที่สอง ที่สาม ... กำลังตามมา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงฉายภาพเล็กๆ ให้จินตนการตาม เพื่อให้เห็นว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ตัวอย่างที่มักยกมาให้ได้ยินได้ฟัง อาทิเช่น น้ำตาลในเลือด ที่เมื่อตรวจแล้วพบว่าร่างกายมีค่าน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ก็ไม่ยอมที่จะให้ร่างกายได้แก้ไขด้วยตนเอง แต่เลือกใช้การทานอินซูลินเทียมเข้าไปแทน เพื่อลดค่าของน้ำตาล
ผลประการแรกที่เกิดคือ ตับอ่อน อันเป็นแหล่งผลิตอินซูลิน ก็จะถูกร่างกายหลอกว่าไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องผลิต เพราะน้ำตาลในเลือดปกติ อันเนื่องจากการใช้อินซูลินเทียมแทนนั่นเอง ผลสุดท้าย ตับอ่อนก็จะเริ่มหมดความสามารถในการผลิตอินซูลินไปทีละน้อยละน้อย
ประเด็นที่น่ากลัวกว่า คือ น้ำตาลในกระแสเลือดที่มันลดลง หายไปไหน อันนี้แหละน่ากลัว และเป็นการลุ้นระทึก
ถ้าน้ำตาลฝังตัวในหลอดเลือด ผลที่ตามมา คือ เส้นเลือดจะกรอบ เปราะ แตกง่าย อันหมายถึง อัมพฤกต์ อัมพาต รออยู่
ถ้าน้ำตาลถูกไล่ลงข้อ กลายเป็นกรดยูลิค ทำลายข้อ โรคเก๊าต์ โรคกระดูก ก็นั่งรองาบเราในไม่ช้า
หากน้ำตาลไหลเวียนขึ้นไปตกค้างที่ตา อนาคตต้อกระจก ก็หนีไม่พ้น
ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ น้ำตาลเข้ากล้ามเนื้อ ถ้าเป็นกล้ามเนื้อทั่วไป ก็แค่ทำให้ขาดออกซิเจน แล้วเน่า หากแต่บังเอิญเป็นกล้ามเนื้อหัวใจ อันนี้ซิ แจ๊กพอดแตก
หลักของการแพทย์ อยากให้ระดับน้ำตาลในเลือด อยู่ในเกณฑ์ แล้วจะปลอดภัย
หลักของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ให้พิจารณาว่า น้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือด ไม่ว่าจะมีปริมาณมากสักเท่าใด ก็ไม่มีอันตราย เพราะไม่กระทบกับอวัยวะใดๆ เลย เพียงแต่รอคอยร่างกายรีดออก ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
คนไปหาแพทย์ อาจมีระดับน้ำตาลในเลือดปกติ แต่โรคของเขา ไม่ปกติ เพราะมันจะเพิ่มขึ้น ด้วยผลจากน้ำตาลที่หายไปจากเลือดนั่นเอง
คนที่ไปหาหลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยอาการเบาหวาน เมื่อทานสมุนไพร ระดับน้ำตาลในเลือด จะพุ่งสูงปริ๊ด บางคนอาจถึงกับเครื่องตรวจวัดไม่ได้เลยก็มี แต่คนเหล่านนั้นไม่มีอาการช็อคเบาหวาน และใช้ชีวิตปกติได้ ที่สำคัญ ไม่มีโรคแทรกเพิ่มเติม และรอวันร่างกายเคลียร์น้ำตาลจนกลับมาเป็นปกติ โรคเบาหวานก็จะหายไป
คำถามเล็กๆ หากตรวจพบอะไรในเลือด แล้วเลือกที่จะทานยาคุมให้ระดับกลับมาปกติ ถามหมอสักหน่อย "สิ่งที่หาย หายไปอยู่ไหน แล้วจะเป็นอย่างไร"