หากแต่เราไม่เคยได้ยินพระ หรือวัดไหน ที่แสดงให้คนไทยได้รู้เลยว่า พระโคดม ทรงเป็นพระพุทธเจ้าในยุคหนึ่งเท่านั้น แลพระพุทธเจ้าก็มีมามากมายนับไม่ถ้วน
หากมีใครได้ไปเยือนพม่า ดินแดนแห่งพระพุทธเจ้ากัสปะ แลได้ไปเยี่ยมเยือน "วัดอนันดา"
สิ่งที่ชนชาวพม่าภูมิใจหนักหนาในโบราณสถานแห่งนี้ คือ วิหารของพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ หลังสุดที่เด่นตระหง่านสวยงาม
ทิศเหนือ คือ พระพุทธเจ้ากุสันโธ ทิศตะวันออก คือ พระพุทธเจ้าโคนาคม ทิศใต้ คือ พระพุทธเจ้ากัสปะ และทิศตะวันตก คือ พระพุทธเจ้าโคดม
น่าเสียดายที่แผ่นดินไทย ยังไม่เคยมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแม้แต่ครั้งเดียว แม้จะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดมาแล้วมากมายก็ตามที
ที่น่าเสียดายไปกว่านั้น พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะมาอุบัติ ควรที่จะบังเกิดในประเทศไทย อันเป็นประเทศที่พระโคดม ได้มาวางธรรม ก่อนที่จะดับขันธ์ปรินิพพาน
ร่องรอยของการเสด็จมาวางธรรมของพระโคดมในประเทศไทย จึงเกลื่อนกลาด กลายเป็นสัญญลักษณ์ที่บรรพบุรุษของคนไทยได้สร้างไว้เป็นที่ระลึก นั่นคือ "รอยพระพุทธบาท"
แม่ชีเมี้ยน ได้กล่าวว่า การคลาดเคลื่อนนี้นั้น ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส แลพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะอุบัติ ก็จะย้อนกลับไปอุบัติที่ประเทศพม่าอีกครั้ง
เมื่อใดที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ พวกที่แอบอ้างผ้าเหลืองหากิน ก็จะต้องถูกสังคยานา เราจะได้เห็นพระพุทธกาลอีกครั้งว่า วัตรปฏิบัติของท่านทำไมจึงได้รับการยอมรับ แม้ชนบางพวกบางเผ่า จะไม่นับถือ ก็ตามแต่
แต่หลวงพ่อนิพนธ์ได้เตือนว่า ก่อนที่จะทรงอุบัติขึ้นนั้น มนุษย์ต้องได้รับกรรมที่ทำมาอย่างแสนสาหัส แลดิ้นรนเพื่อหาทางดับทุกข์นั้น
หากแต่หาสักเท่าใด กับพระเจ้า เกจิ หมอผี ... หรือ แม้แต่วิทยาศาสตร์ที่ว่ากันว่า ก้าวล้ำ ก็ไม่พบทางรอด
การอุบัติขึ้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า และส่งธรรมมาให้มนุษย์ นั่นแหละเป็นทางรอดที่ทำให้มนุษย์ แม้ไม่นับถือ ก็ต้องยอมรับในบุญญาธิการนี้
คนทุกชนเผ่า จะส่งคนที่มีความสามารถของตน มาเรียนรู้จากพระพุทธเจ้า เพื่อน้อมนำหนทางปฏิบัติตนเพื่อรอดนี้ กลับไปยังชนเผ่าของตน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า นี่จึงเป็นที่มาของศาสนาต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีรากเหง้าเดียวกัน คือ มาจากธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง
พิจารณาแล้วจึงขำกลิ้ง ที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้กล่าวไว้ว่า "ทางโลก พวกท่านอาจเป็นคนชาญฉลาดล้ำ เหนือกว่าตัวท่านมากนัก หากแต่ทางธรรมแล้ว ความรู้ของพวกเราท่าน ก็เหมือนควายดีๆ นี่เอง"
เราท่านจึงมีพฤติกรรมสวนทางกับคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิง ผลที่บังเกิด ทำสักเท่าไร หรือ ทำตั้งแต่เกิด จึงไม่มีบุญมาหล่อเลี้ยงชีวิต ให้ปลอดโรคปลอดภัย แม้แต่น้อยเดียว
เราจึงย้อนนึกไปถืง คำของ คุณบุญเติม ติวานนท์ ผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษากิติมศักดิ์ของชมรม ได้กล่าวไว้เมื่อได้ฟังหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วอุทานขึ้นว่า "ผมเพิ่งถึงบางอ้อ และรู้ว่า ครอบครัวผม โดยเฉพาะส่วนตัว ก็ทำบุญช่วยการกุศล ปีหนึ่งเป็นล้าน เมื่อรวมกับทำในนามครอบครัว ปีหนึ่งก็นับสิบล้านบาท ทำมาตั้งแต่ผมจำความได้ จนบัดนี้ อายุปลายคนแล้ว แต่กลับมามีสภาพเช่นนี้ ก็ด้วยเหตุที่สิ่งที่ทำมันเป็นลม จึงไม่มีผลย้อนกลับมาช่วยตนนี้เอง"
นับแต่นั้นมา คุณบุญเติม ก็กลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์หลัก แก่ชมรมคนรักสุขภาพ จนได้ก่อตั้งมูลนิธิไทยกรุณา จวบจนสิ้นอายุขัย แบบที่หลายคนอิจฉา เพราะท่านง่วงนอนแล้วก็เข้านอน หลับไปอย่างสบาย
ใครจะเถียงจะว่าอย่างไรก็ช่าง เรามาคอยดูพยากรณ์แม่ชีเมี้ยนกัน พร้อมกับทำตนรอคอยพระพุทธเจ้าที่จะอุบัติ เผื่อโชคดีได้อยู่ถึงวันนั้น จะได้มีโอกาสไปกราบพระพุทธ พระอรหันต์ จริงๆ ไม่ใช่ พระอิฐ พระปูน พระทองเหลือง ... อย่างวันนี้
แล้วเราจะได้รู้ว่า ทำไมพระพุทธศาสนา จึงได้ตรึงตรา ตรึงใจ คนทั้งโลก แม้คนส่วนใหญ่ จะเป็นดั่งที่แม่ชีเมี้ยนทรงตรัส "คือดีแต่ไม่เอา ชอบแลยอมรับ แต่ไม่ทำ" ก็ตามที