ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555
เหรียญสองด้าน
หลวงพ่อนิพนธ์เคยกล่าวเสมอว่า สิ่งที่ท่านพูด เมื่อคนที่มาเขาไม่ฟัง ไม่ทำตาม ผลมันก็จะย้อนกลับมาทิ่มแทงท่านในที่สุด
เพราะประสพการณ์ในอดีต เมื่อคนป่วยหลั่งไหลกันมา สิ่งที่ตามมาก็คือ คนโลภ คนที่เห็นช่องทางได้ ก็จะมารุมล้อม สถานที่นี้
เริ่มจากอดีตลพบุรี ที่มีผู้คนมาทำสถานที่พักรายล้อมสำนักสงฆ์ของหลวงพ่อนิพนธ์ เพราะในอดีตที่เริ่มทำนั้น มาจากผืนดินว่างเปล่า มาเริ่มปลูกต้นไม้ มีศาลาเล็กๆ เพียงหลังเดียว
เมื่อคนป่วยเพิ่มขึ้น จากที่มากางเต้นท์นอน ก็แทบไม่มีที่ให้เดิน เมื่อคนโลภเห็น ก็ดีดลูกคิด ร้านค้า และที่พัก จึงเต็มรายล้อมสำนัก จนในที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์ก็ต้องปิดสำนักย้ายหนี
ไม่ว่าจะไปที่แห่งใด สภาพเช่นนี้ก็เกิดให้เห็น เป็นปกติ
มาวันนี้ สภาพเดียวกันก็กำลังจะเกิด พร้อมกับคำวิพากษ์วิจารณ์ มากมายที่ประดังเข้ามา
"ไปมาแล้วครับ พอย่างก้าวเข้าไปมันวุ่นวายมาก ไม่มีระบบระเบียบ เจ้าหน้าที่ก็แสดงกิริยาแบบบ้านๆ ทั้งคำพูดวาจาทุกๆ อย่างสุดจะทน ทั้งขู่ (ด่าทอ) คนไข้ ถ้าไม่ทำตาม คุณมารักษาจะไม่หายหรอก ประเมินค่าคนไข้ที่มาต่ำและแย่ มองว่าเขาต้องมาพึ่ง ถ้าเปรียบให้ดูดีก็ คือร้านอาหาร ร้านนี้ยังก็ต้องทาน / ก็เป็นจริง อาหารทั้งที่โรงอาหาร*เรือนกล้วยไม้ ทั้งไม่อร่อยปริมาณก็ไม่ได้ แพงอีกต่างหาก แล้วยังพูดอีกว่าเงินที่ขายได้เข้ามูลนิธิอีก ถ้าคุณไม่ทานที่นี่ ต่อไปเราไม่มียาให้พวกคุณทาน ต้องช่วยกันซื้อ ปริมาณอาหารที่โรงอาหารน้อยมาก ข้าวราด 2 อย่าง 30 บาท ข้าว+กับข้าว อย่างละ 1 ทัพพี ของน่ะเคยทำมาเลี้ยงคนตามงานต่างๆ ผมยังให้ปริมาณคุณภาพที่ดีกว่านี้อีก แล้วที่มาไม่ใช่จะร่ำรวยเสียทุกคน เขาทุกข์กายมากลับไปยังทุกข์ใจกลับไปอีกหรอ ก๋วยเตี๋ยวก็เช่นกันธรรมดา 25 พิเศษ 30 ปกติถ้าไม่สั่งพิเศษก็ต้อง 25 บาท/ชาม พอส่งคูปอง 25 บาทให้ ไม่พอใจ คนขายบอกว่าทำ 30 บาทให้ทุกชาม ข้าวขาหมู-ข้าวหมูแดง คือวิญญาณและกลิ่น กรุงเทพฯ ว่าอาหาร/จานราคาปริมาณแพงแล้ว ที่นี่หนักกว่า ต่างจังหวัดหมูไก่ผักแถวเมืองกาญจฯ หายากราคาสูงมั้ง เอ้าท่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ช่วยตรวจสอบราคาปริมาณอาหารที่มูลนิธิฯ เมตตากรุณาหน่อย ขอครับ ผมเห็นใจคนไข้และญาติที่มา ว่าค่าใช้จ่ายที่มาแต่ละครั้งสูงนะ ผมคงไม่เดือดร้อนอะไร แถมเจอแม่ค้ากิริยาทรามอีก ถามอะไรก็ไม่ได้ คนรวยเขาแบ่งปันกันนะครับจำไว้ "
บางส่วนก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำตลาดนัด ท่ารถตู้ จิปาถะ ... จนงงไปหมด
เมื่อคนเหล่านั้นเข้ามา ทำธุรกิจ แลคนป่วยก็สนับสนุน จนรายได้เขาเป็นกอบเป็นกำ ก็ยากที่จะให้เขาเหล่านั้นเลิก แต่ที่สำคัญกว่า คือ คนเหล่านั้น ควบคุมไม่ได้
ก็คนของเราเองยังควบคุมไม่ได้เลย ต่างจิต ต่างใจ
ปัจจุบัน เราจึงเห็น แนวโน้มของสองด้านที่เกิดขึ้นในที่ที่เดียวกัน อย่างแรกคือ การมาเพื่อไปจ่ายตลาด หาของถูก ทานของอร่อย และอย่างที่สอง คือ การมาเพื่อจะได้มีส่วนร่วม โดยเฉพาะ เมื่อเกิดปัญหาในด้านโภชนาการ ที่ผู้คนเบื่ออาหารเดิมๆ จึงมีผู้ป่วยที่พอมีฝีมือด้านอาหาร มาเปิดซุ้ม ขายอาหารในสิ่งที่ตนถนัด เพิ่มมากขึ้น ทั้งที่มาทำให้ แลออกทุนมาเอง
ความเข้าใจอย่างหนึ่ง ที่เราท่านฟังและอาจลืมเลือนและไม่นึกถึง จึงอยากจะฝากย้ำให้คิด
สิ่งแรกที่อยากกล่าวคือ หลวงพ่อนิพนธ์ไม่ใช่ผู้มั่งมี ถึงแม้อยากทำให้ดีสักปานใด ก็ต้องอาศัยผู้ร่วมอุดมการณ์ช่วยกัน สังเกตจากสิ่งปลูกสร้าง หลายแห่งก็ล้วนแล้วแต่ต้องนำของที่เขาไม่ใช้มาบริจาค และใช้สติปัญญามาทำให้ใช้งานได้ ท่านจึงเป็นคนที่สอนให้เราท่านรักษาของที่ได้มาใช้ให้นานที่สุด เพื่อเจ้าของจะได้รับผลจากการให้นี้ แต่สิ่งที่ปรากฎ ก็ยังไม่เป็นดังหวัง สิ่งของจึงเสียหาย ขยะก็ยังเกลื่อน
ประการที่สอง การใช้แนวทางของแม่ชีเมี้ยน อันเป็นพหูสูตร ของพระพุทธเจ้า ใช้หลัก "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า" ฉะนั้น มาสถานที่นี้ จึงมาเพื่อทุกข์ ไม่ตอบสนองนิสัย การมาเพื่อช่วยตนด้วยวิธีนี้ พร้อมหวังว่า จะต้องมีที่นั่งเป็นสุข ที่กินเป็นสุข ที่นอนเป็นสุข จึงเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด หากแต่ทุกข์ที่เกิด ก็เพียงแต่แก่ร่างกาย และไม่ถูกกับนิสัย ส่วนจิดใจนั้น กำลังถูกพัฒนา ให้เป็นคนที่มีความอดทน ขันติ อดกลั้น และที่สำคัญ เป็นคนที่เอาเหตุ เอาผล อันจะก่อให้เกิดนิสัยของพระพุทธเจ้า ที่แม่ชีเมี้ยนตรัสสอนไว้ว่า "ผู้ใดเชื่อพระภูมี เขาจะกลายเป็นคนที่มี เมตตาเป็นอุปาทาน"
ใครจะเห็นด้านใดของเหรียญในสถานที่นี้ ก็ตามแต่ หากแต่ทุกบุคคลและหมู่เหล่าในสถานที่นี้ ไม่มีใครมีความผิด ด้วยเหตุแห่งสติที่แม่ชีเมี้ยนตรัสสอนว่า "เราทุกคนเป็นเหตุ ซึ่งกันและกัน ผู้ใดดับเหตุได้ ผู้นั้นแลได้ผลบุญ"
ชาดกที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาให้สติหลายครั้ง เมื่อเราท่านทุกข์จากสิ่งที่ผู้อื่นทำ คือ พุทธประวัติเมื่อครั้งพระพุทธเจ้า ทรงดำเนินผ่านท้องนา เด็กเลี้ยงควายเห็นพระพุทธเจ้า ก็เอาหินขว้างศีรษะของท่าน พระพุทธเจ้าทรงโกรธเด็กเลี้ยงควายนั้น แต่ก็ยังทรงเดินต่อไป ผ่านไปได้สักครู่ พระภูมีก็ได้สติ แลคิดว่า ตัวเราเองเป็นผู้ที่กล่าวว่า เราสิ้นอาสวะ แต่ก็ยังโกรธอยู่ ถ้าไม่ด้วยเหตุที่เด็กเลี้ยงควายมาทำให้เห็น ก็คงคิดว่าเราสิ้นอาสวะแล้ว แท้จริง เรายังมีนิสัยโกรธอยู่ เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงเดินกลับไปขอบคุณเด็กเลี้ยงควาย
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนเสมอว่า สถานที่นี้ เป็นเนื้อนาบุญ ให้เราได้มาเรียนรู้นิสัยของพระพุทธเจ้า ผู้ใดทำได้ ก็เป็นบุญ นั่นแลเราจึงมีคนหลากหลายมาเป็นเหตุ มีสรรพสิ่งมาเป็นเหตุ เป็นมารให้เราผจญ
หากย้อนกลับไปวันงานของแม่ชีเมี้ยน คำสอนที่ท่านให้เราท่านปฏิบัติ และกล่าวว่ามีผลอันมหาศาล นั่นคือ "การทำใจไม่โกรธ" วันละหนึ่งหรือสองชั่วโมง โดยตั้งอยู่บนฐานของเมตตาเป็นอุปาทาน
สถานที่นี้ไม่ใช่วัด ไม่มีโบสถ์ ไม่มีวิหาร แต่มีธรรมคำสอน และเหตุให้ปฏิบัติ ผู้ที่ฟัง เอาเหตุ เอาผล แลปฏิบัติ ทำใจ ก็เหมือนกับที่คนเขาวิจารณ์ คนที่มาสถานที่นี้ เขาทุกข์อยู่แล้ว สิ่งที่เราท่านทำ แม้ให้สุขเพียงน้อยนิด ก็มีคุณมหาศาล เพราะนั่นแหละคือบุญของพระภูมี
แลบุญนี้ หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่าสามารถใช้ล้างกรรมได้ ที่นี่จึงมีคนหายโรค
เหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งใช้ตามอง อีกด้านหนึ่งต้องใช้สติปัญญามอง ต่างไม่มีใครผิดใครถูก แล้วแต่จะหยิบจับกันเอง สิ่งนี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวย้ำว่า "ให้มาฟัง เรียนรู้ และอยากได้ ต้องทำเอง"
ใครจะเห็นประโยชน์ เห็นโทษ เห็นดี เห็นงาม อย่างไร ก็เลือกเอา เพราะสถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทำคุณให้คุณมหาศาล ทำโทษให้โทษมหาศาลเช่นกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่วางใจได้ คือ หลวงพ่อนิพนธ์ไม่ทำมาหาผลประโยชน์ใส่ตนเองอย่างแน่แท้ มิฉะนั้นจะออกจากถ้ำกระบอกมาทำไม
กินด้วยลิ้น อาจเป็นทุกข์ กินด้วยสติ ก็จะสุขใจที่ได้ให้
ฟังด้วยหู ลมโมโหก็เห็นผิด ฟังด้วยสติ ก็กรรมของเรา เราได้ใช้ หยุดเขาไม่ได้ แต่เราหยุดตัวเราได้ .... ดังคำตรัสของพระภูมี "เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด" หากเราไม่หยุด ก็เท่ากับไม่เมตตาตน แล้วจะกล่าวได้อย่างไรว่า เราเชื่อพระภูมี เพราะเรื่องของชีวิต เราต้องเมตตาตนเองก่อน เขาไม่หยุดเรื่องของเขา แต่เราต้องหยุด เพราะเรามีเมตตาตน ไม่ก่อกรรมให้แก่วิญญาณและสังขารของตนอีก
นี่แหละจึงเป็นเหตุที่ีว่า ทำไมต้องเมตตาตนเองก่อน โดยการหยุด ดั่งคำพระภูมี ก็หยุดกรรมใหม่ ใช้กรรมเก่า
หรือท่านคิดว่า สิ่งที่เขาทำกับท่าน ไม่ใช่มาจากกรรมของท่าน อาศัยเขาเป็นเหตุ ให้เราท่านรับกรรมที่ทำมา ถ้าเป็นเช่นนั้น แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ก็ใช้ไม่ได้กับท่านแล้ว
มาเพื่อทุกข์ แล้วหาบุญ แต่หากมาเพื่อสุข ก็มาผิดที่แล้ว
นิสัยของพระในสมัยพุทธกาล ที่ต้องฝึกให้มีทุกถ้วนตัวคน อันจะทำให้ไม่เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป นั่นคือ "กินง่าย อยู่ง่าย" เพราะมีกิจธุดงค์เป็นวัตร ถ้าสร้างนิสัยนี้ไม่ได้การครองเพศก็คงทำไม่ได้
ก็ในเมื่อ อธิษฐานว่า ขอบรรลุ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อันหมายถึงวางอุปาทานที่จะบวช และสำเร็จมรรคผล ไปนิพพาน ในชาติหน้า ชาติใดชาติหนึ่ง แล้วไม่มีนิสัยนี้ จะเป็นไปได้โดยวิธีใด
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า สิ่งที่ให้ทำ คือให้ฝึกนิสัยพระพุทธเจ้าไว้ เมื่อใดที่ท่านอุบัติ เราท่านจะได้ร่วมขบวนไปกับเขาได้ ....
ทุกสรรพสิ่งในสถานที่นี้ ล้วนแล้วเกี่ยวพันกับชีวิต ไม่ใช่ทำเล่นขายของ หรือหาผลประโยชน์ แต่ใครจะมองด้านใด เราว่า ก็ไม่ผิด เพราะมองด้วยเหตุและผลของแต่ละคนนั่นเอง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น