เมื่อคลื่นมนุษย์แห่แหนกันมายังชมรมคนรักสุขภาพ เกือบจะทุกตัวคน ล้วนแล้วแต่ได้ยิน ได้ฟัง แล้วตั้งความหวังกันมาอย่างล้นเปี่ยม
คำที่คนไปคุยโม้โอ้อวด "ที่นี่เลย ขนาดเป็นหนักอย่างงี้ อย่างงั้น เห็นมากับตา ยังหายเลย"
เมื่อได้มา ก็ตั้งธงไว้แล้ว กินแล้วต้องหาย กินแล้วต้องดี กินแล้วต้องไม่ปวด ไม่มีอาการ หายวันหายคืน ที่ซ้ำร้ายกว่านั้น ฟังถูกบ้างผิดบ้าง ก็เหมาเอา แล้วพูดว่า "มาครบ ๕ ครั้ง แล้วหายเลย"
อันนี้ก็ว่าไม่ได้ จะหาใครมาช่วยชี้แจง ก็ยังไม่มี ประชาสัมพันธ์ ก็กำลังตั้งทีม ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์
หากแต่เมื่อมาพบความเป็นจริง ไม่ได้เป็นไปตามที่วาดฝัน คำถามจึงเกิดขึ้น
ปัญหาที่เกิด เพราะขาดองค์ความรู้ ปล่อยเวลาให้ผ่าน แล้วโยนภาระทั้งหมด ลงไปที่สมุนไพร พร้อมสรุปว่า เมื่อเขายืนระยะทานสมุนไพรแล้วนั้น ทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดี และหาย
เราจึงอยากยกตัวอย่าง เมื่อมีคนไข้ถามเจ้าหน้าที่ว่า บิดาเขามาทานสมุนไพรได้เกือบปีแล้ว ก็มีอาการดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีอาการไอตลอด เป็นเพราะสมุนไพรใช่ไหม พร้อมบทสรุปว่า บิดาของเขากำลังแย่
เราคิดว่า นี่ขนาดเขามาเกือบปีแล้ว ยังไม่มีองค์ความรู้เลย ว่าสมุนไพรทำงานแล้วเป็นอย่างไร สิ่งนี้เป็นเพราะอะไร
เมื่อพิเคราะห์ดู ก็น่าจะเป็นเพราะคนเหล่านี้ โยนภาระให้ชมรม ให้สมุนไพร ให้หลวงพ่อนิพนธ์ ให้เจ้าหน้าที่ ว่าต้องเป็นผู้ทำให้ญาติของเขาหาย โดยตัวของพวกเขาไม่ต้องทำอะไรเลย
หากแต่ในโลกความเป็นจริง คนไข้ที่มีอาการหนัก น้อยคนที่จะเหลือความสามารถในการเรียนรู้ หากต้องการช่วยเขา ต้องมีพี่เลี้ยง ที่ช่วยซึมซับ ทำหน้าที่รับองค์ความรู้ และบอกแก่คนไข้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น และต้องทำอย่างไร แทน
เมื่อคนไข้ ไม่พร้อม พี่เลี้ยงไม่สนใจในองค์ความรู้ เพราะไม่ใช่ตน เมื่อมีอาการปรากฎ ก็ทำอะไรไม่ถูก แม้จะมาเกือบปี สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง อันเป็นความรู้ในการช่วยคนป่วย ก็ไม่มีในสมองของเขาเลย ส่วนคนป่วยเอง ก็ยังไม่พร้อมในการรับรู้ ผลก็คือ โทษสมุนไพร
หากถามเจ้าหน้าที่ผู้รู้ เขาก็ไม่อยากจะตอบคำถาม เพราะถ้าตอบก็เหมือนว่า อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจ ทั้งนี้ เพราะองค์ความรู้เหล่านี้เป็นพื้นฐาน ที่วิทยากร ทุกท่าน ได้พูด ได้กล่าว ให้ฟัง ในการอบรมคนไข้ใหม่ ทุกสัปดาห์ ในรายละเอียด และหลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้ตอกย้ำ เป็นประจำว่ามันต้องเกิด
สิ่งนี้เอง ที่ทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมต้องฟังบ่อยๆ เพราะเราจะได้เรียนรู้ที่ละเล็ก ละน้อย ปะติด ปะต่อ และเข้าใจ เตรียมรับสถาณการณ์
หากแต่บางคน ก็ไม่กล้าถามวิทยากร ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ เพราะ อายครูก็ไม่รู้วิชา
เราจึงอยากบอกว่า เราท่านทั้งหลาย ที่เลือกแนวทางนี้ โดยเฉพาะพี่เลี้ยง ยิ่งต้องทำความเข้าใจ ว่า สมุนไพรที่เราท่านได้รับมา จะพึงมีผลอย่างไรต่ออาการของเรา พยายามฟัง สงสัยถามวิทยากร หากมีปัญหารุนแรง ก็เข้าหาหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อรู้เขารู้เรา ก็จะแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างสุขุม ถูกต้อง
เมื่อไม่เรียน ก็ไม่รู้ เวลาที่มาแม้ผ่านไปเป็นปี ก็ยังไม่รู้เลยว่า อะไรจะเกิดขึ้น และเมื่อเกิดแล้วต้องทำอย่างไร เมื่อถามเจ้าหน้าที่ ก็คงไม่ใครอยากตอบ เพราะถูกดักคอไว้แล้วว่า "เป็นเพราะสมุนไพร"
ท้ายสุดที่อยากบอก สถานที่นี้ ใช้หลัก "ตนพึ่งตน" หลวงพ่อนิพนธ์ จึงจัดให้ได้เฉพาะ วัตถุดิบ ส่งให้ ช่วยใครไม่ได้เลย
หากอยากช่วยตน ก็หยิบเอาวัตถุดิบที่จัดให้ไป คือ ๑.สมุนไพร นำไปทาน ๒.องค์ความรู้ นำไปทำ
เมื่อคนไข้ไม่พร้อม พี่เลี้ยงก็ต้องทำหน้าที่แทน ชดเชยในสิ่งที่คนไข้ขาด คอยประคองคนไข้ และเรียนรู้แทนคนไข้ จนกว่าคนไข้จะพร้อมที่จะเดินได้ด้วยตัวเอง
ป.ล.
อ.อร่าม ได้เคยบรรยายให้ฟังว่า คนไข้ที่ได้รับสมุนไพรปอด เมื่อทานไประยะหนึ่งแล้ว ปอดฟื้นตัวขึ้น ก็จะมีความสามารถในการขับสิ่งแปลกปลอม ที่จับอยู่บริเวณปอดให้หลุดออก นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไม เมื่อทานสมุนำไพรปอดไประยะหนึ่ง จึงเกิดอาการไอขึ้น ลักษณะการไอเช่นนี้ อ.อร่าม เรียกว่า อาการ "ไอกระแทก" แสดงว่าปอดแข็งแรงพอ และมีความสามารถฟื้นฟูตัวเองให้สมบูรณ์ได้แล้ว
แค่ได้ยินบ่นว่า กินสมุนไพรแล้วเป็นอย่างนี้อย่างนั้น แล้วมาถามเจ้าหน้าที่ ว่าทำไมถึงเป็น .... มาตั้งนานแล้ว ... แค่เอิ้น ก็เดินหนีห่างแล้วแรา
ยิ่งตัดสินใจกลับไปหาหมอ เราก็สนับสนุนส่งเต็มที่เลย