ศัพท์ใหม่ ที่กำลังก้าวเข้ามาในชีวิตคน อันหมายถึง การแพทย์ที่ใช้ธรรมชาติร่วมในการรักษา
ด้วยผลสืบเนื่องมาจาก การค้นคว้าวิจัย ทำให้โลกในส่วนที่เป็นต้นกำเนิดวิชาแพทย์ ประจักษ์แล้วว่า ยาเคมี มีความอันตรายมากเพียงใด และพบความจริงที่ว่า พวกเขาไม่สามารถรักษาโรคใดๆ ได้เลย
ด้วยเหตุนี้ วงการแพทย์ จึงเบนเข็มจุดประสงค์ จากการรักษา มาเป็น การหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เพื่อให้ผลจากอาการข้างเคียงน้อยที่สุด โดยอาศัยสารจากธรรมชาติ หรือสมุนไพร นำมาใช้แทนสารเคมี นั่นเอง อันจะทำให้ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตยืนยาวได้มากขึ้น แม้จะไม่สามารถรักษาได้ก็ตาม
ด้วยความที่ยังไม่สามารถเข้าถึงศาสตร์ของสมุนไพร นักวิชาการเหล่านั้น เมื่อค้นพบว่าสารจากสมุนไพรชนิดใด มีคุณค่า ก็นำมาสกัด แล้วนำไปใช้ แต่ผลที่ได้ก็ไม่ประสพผลมากนัก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แม้นักวิชาการเหล่านั้น รู้ค่าของสมุนไพร แต่เขาไม่รู้ว่า คุณค่าของสมุนไพรนั้น ไม่สามารถสกัดแล้วนำไปใช้ได้ ต้องใช้ในสถานะสมุนไพรสด ยิ่งไปกว่านั้น สารในสมุนไพรหนึ่งๆ นั้น ไม่สามารถมีฤทธิ์ได้โดยลำพังตัวเอง ด้องนำมารวมกับสารในสมุนไพรชนิดอื่นจึงทำงานได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่าง คนส่วนใหญ่รู้ว่า "ขิง" มีคุณสมบัติในการรักษาโรคลมได้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำให้สารในขิงทำงานได้โดยวิธีใด จึงมีสรรพคุณในการรักษาโรคลม
การสกัดสารจากขิง หรือทานขิง ก็ไม่สามารถทำให้รักษาโรคลมได้ โดยเฉพาะการสกัดสารจากสมุนไพร จะเป็นการทำลายคุณค่าของสมุนไพรลงแทบจะทั้งหมด
คนมากมาย พยายามเพียรหาสูตร เพื่อให้ได้มาซึ่งการรักษาโรค แต่ก็ไม่ประสพผลสำเร็จ
ดูตัวอย่างประเทศจีน แม้จะมีสมุนไพรมากมาย ก็ไร้ค่า เพราะไม่มีผู้ใดรู้สูตรนั่นเอง หากจะลองผิดลองถูก ก็คงต้องใช้ชีวิตคน เป็นหนูลองยา มากมาย และไม่มีคำตอบว่าจะเจอ แม้แต่สักสูตรหนึ่ง
ในขณะที่สูตรของแม่ชีเมี้ยนนำมาให้ ท่านกล่าวว่า ไม่ใช่ท่านเป็นผู้คิด แต่เป็นของพระภูมี ท่านเป็นผู้ตรัสรู้ มีอยู่แล้ว ท่านเป็นเพียงแต่เป็นผู้รู้ ผู้เห็น แล้วนำมาให้เท่านั้นเอง
ดังนั้น เมื่อครั้งในอดีต เมื่อมีคนป่วยมา พระก็เข้าไปถามแม่ชีเมี้ยน ท่านก็ตอบมาให้จดในทันทีทันใด และสามารถนำไปใช้ได้เลย
การผ่านมาจนทุกวันนี้ สูตรสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยนที่ให้หลวงพ่อนิพนธ์มา มีกว่าสี่สิบสูตร ถูกนำมาใช้แค่ครึ่งเดียว ก็สร้างความฮือฮาแล้ว
แค่ยาหยอดตา เพียงอย่างเดียว บริษัทโอสถสภา และบริษัทจีน ได้เคยนำไปตรวจสอบ และเคยยื่นข้อเสนอ ให้เงินล่วงหน้า ค่าสูตรถึงร้อยล้านบาท พร้อมส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์ตามยอดจำหน่าย แก่หลวงพ่อนิพนธ์มาแล้ว
ในขณะที่วิชาการ หรือ เทคโนโลยี ของโลก ก้าวไกล จนประเทศไทย จัดว่าอยู่ในโซนล้าหลังก็ว่าได้ แต่กับเรื่องการรักษาโรคและสมุนไพรแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า วิชาการของคนเหล่านั้น ความรู้ที่มี นับว่ายังห่างไกลจากความรู้ที่แม่ชีเมี้ยน ถ่ายทอดให้ มากนัก
วันนี้ วิชาการเหล่านั้นเริ่มถึงทางตัน กำลังเบนเข็มเข้าหาธรรมชาติ หรือ สมุนไพร วันใดที่เขาเดินทางมาถึง และได้พบ พร้อมกับไปสืบประวัติศาสตร์ในอดีต นับตั้งแต่ยุคถ้ำกระบอก วันนั้น สมุนไพรจะดังจนฉุดไม่อยู่
วันนี้ คนแค่ไม่กี่พันคน ก็มีเสียงสะท้อนว่ารอนาน แต่ถ้าถึงวันนั้น ไม่รู้ว่า กว่าจะถึงคิวเราท่านในแต่ละรอบ ต้องใช้เวลาสักเท่าใด
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า เมื่อมีโอกาส ก็รีบทาน รีบปฏิบัติตามพระภูมี เปลี่ยนตนเป็นคนดี แล้วรีบหาย ซะ
ถึงตอนนั้น แค่เห็นเลขคิว ก็เข่าอ่อนแล้ว......
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555
สามสี่ชั่วอายุคน
นับตั้งแต่ยุคถ้ำกระบอกที่เริ่มเปิดให้การรักษา จวบจนปัจจุบัน ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว
ทางเดินเส้นนี้ บางคนกล่าวว่าต้องใช้ดารามาเพื่อโปรโมต หรือมองว่าเป็นการหลอกลวง เพื่อหวังผลประโยชน์
แม่ชีเมี้ยนกล่าวว่า "สิ่งที่ท่านกล่าว ล้วนแล้วแต่ความจริง ไม่กลิ้งกลอก พูดความจริงทุกอย่าง"
สิ่งที่เราเห็น บางคนอาจจะมาเพราะดารา แต่นั่นไม่ใช่บทพิสูจน์ที่จะทำให้เราท่านเชื่อและวางใจ ในการเลือกทางเดินนี้ได้อย่างมั่นใจ
สิ่งที่เราเห็นว่า ทางเลือกสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ที่ยืนยันผลได้ดีที่สุด ก็คือ ครอบครัวที่ติดตาม และรับผลจากทางเลือกนี้ต่างหาก ว่าผลเป็นเช่นไร
เมื่อเราสอดส่อง ดูผู้ที่ติดตามหลวงพ่อนิพนธ์มาตั้งแต่ในอดีต เราจะเห็นครอบครัวเหล่านั้น ผูกพันกับแม่ชีเมี้ยนและหลวงพ่อนิพนธ์อย่างมาก
ตัวอย่างครอบครัวที่ใกล้ชิด นับตั้งแต่รุ่นพ่อ มาถึงรุ่นของตัวของเขาเอง และมาจนปัจจุบัน คือ ลูกและหลาน นับไปนับมา ก็สามสี่ชั่วอายุคน ที่ยังยืนหยัดในแนวทางนี้ ก็คือ ครอบครัว ของพลเอกวัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ และครอบครัวของ พลเอกณรงค์ จารุเศรณี
ทั้งสองท่าน ตามพ่อและแม่ ไปถ้ำกระบอก ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนนายร้อย ได้ซึมซับด้วยเหตุที่เป็นผู้ที่ได้เป็นลูกมือให้แก่พระนิพนธ์เมื่อครั้งในอดีต
จวบจนปัจจุบัน ทั้งสองท่าน ได้เป็นกรรมการของมูลนิธิไทยกรุณา และยังคงยืนหยัดในเส้นทางนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัว และรุ่นลูกหลาย ก็ยังส่งเสริมให้เดินในเส้นทางนี้
สิ่งนี้ต่างหากที่เราคิดว่า น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า ผลของการใช้แนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน และธรรมของพระภูมี ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาให้ เป็นของจริง มิฉะนั้นแล้ว คงไม่สามารถที่จะทำให้สองครอบครัวนี้ ยืนหยัดมาได้ถึงสามสี่ชั่วอายุคน ในเส้นทางนี้
ไม่เฉพาะสองครอบครัวนี้ ยังมีอีกหลายครอบครัว ที่เดินเส้นทางนี้ตามหลวงพ่อนิพนธ์ และประสพผล
ดังนั้น เราจึงเห็นว่า สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เป็นผลงานที่โดดเด่น ของทางเลือกนี้ ทำให้ผู้วางใจและเลือก มีชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัย จนวางชีวิตของตนและครอบครัวไว้ อย่างวางใจ
ของหลอกลวง คงทำอย่างนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะคงไม่มีใครสามารถหลอกคนได้ มาหลายชั่วคนเป็นแน่แท้ โดยเฉพาะครอบครัวที่จัดว่าเป็นปัญญาชน เป็นมันสมองของประเทศ
สิ่งที่เราเสียดาย คนไทยดีใจกับการจับยาบ้า ยาเสพติดได้รายวัน แล้วเก็บสิ่งดีนี้ไว้ใต้ดิน ด้วยการจับนั้นมิได้ทำให้คนเสพลดลงเลย หากแต่เป็นการซ่อนระเบิดเวลา ที่วันหนึ่งจะระเบิดออก เมื่อคนเหล่านั้นถูกบีบ และลงแดงพร้อมกันหลายร้อย หลายพันคน จะเกิดอะไรขึ้น
และอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าคนที่ติดเชื้อเอดส์ที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า คนไทยมีผู้ติดเชื้อราวหนึ่งล้านคน เกิดอารมณ์ร่วมในการที่สังคมรังเกียจ แล้วเอาเข็มมาไล่จิ้มคนตามถนน พร้อมกันเป็นพันๆคน เพื่อให้เป็นอย่างเช่นเขา
ระเบิดเวลากำลังทำงาน รอเวลาปะทุ .....
ความปลอดภัยของครอบครัวหลายชั่วอายุคน น่าจะเกิดกับคนไทยทุกคน แต่กรรมอะไรเล่า คนไทยจึงไม่ได้สัมผัส
แล้วอะไรจะเกิดกับท่าน ถ้าเหยื่อของคนเหล่านั้น เป็นตัวท่านหรือคนที่ท่านรัก ..... คำถามที่เราไม่อยากรู้คำตอบเลย
ทางเดินเส้นนี้ บางคนกล่าวว่าต้องใช้ดารามาเพื่อโปรโมต หรือมองว่าเป็นการหลอกลวง เพื่อหวังผลประโยชน์
แม่ชีเมี้ยนกล่าวว่า "สิ่งที่ท่านกล่าว ล้วนแล้วแต่ความจริง ไม่กลิ้งกลอก พูดความจริงทุกอย่าง"
สิ่งที่เราเห็น บางคนอาจจะมาเพราะดารา แต่นั่นไม่ใช่บทพิสูจน์ที่จะทำให้เราท่านเชื่อและวางใจ ในการเลือกทางเดินนี้ได้อย่างมั่นใจ
สิ่งที่เราเห็นว่า ทางเลือกสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ที่ยืนยันผลได้ดีที่สุด ก็คือ ครอบครัวที่ติดตาม และรับผลจากทางเลือกนี้ต่างหาก ว่าผลเป็นเช่นไร
เมื่อเราสอดส่อง ดูผู้ที่ติดตามหลวงพ่อนิพนธ์มาตั้งแต่ในอดีต เราจะเห็นครอบครัวเหล่านั้น ผูกพันกับแม่ชีเมี้ยนและหลวงพ่อนิพนธ์อย่างมาก
ตัวอย่างครอบครัวที่ใกล้ชิด นับตั้งแต่รุ่นพ่อ มาถึงรุ่นของตัวของเขาเอง และมาจนปัจจุบัน คือ ลูกและหลาน นับไปนับมา ก็สามสี่ชั่วอายุคน ที่ยังยืนหยัดในแนวทางนี้ ก็คือ ครอบครัว ของพลเอกวัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ และครอบครัวของ พลเอกณรงค์ จารุเศรณี
ทั้งสองท่าน ตามพ่อและแม่ ไปถ้ำกระบอก ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนนายร้อย ได้ซึมซับด้วยเหตุที่เป็นผู้ที่ได้เป็นลูกมือให้แก่พระนิพนธ์เมื่อครั้งในอดีต
จวบจนปัจจุบัน ทั้งสองท่าน ได้เป็นกรรมการของมูลนิธิไทยกรุณา และยังคงยืนหยัดในเส้นทางนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัว และรุ่นลูกหลาย ก็ยังส่งเสริมให้เดินในเส้นทางนี้
สิ่งนี้ต่างหากที่เราคิดว่า น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า ผลของการใช้แนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน และธรรมของพระภูมี ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาให้ เป็นของจริง มิฉะนั้นแล้ว คงไม่สามารถที่จะทำให้สองครอบครัวนี้ ยืนหยัดมาได้ถึงสามสี่ชั่วอายุคน ในเส้นทางนี้
ไม่เฉพาะสองครอบครัวนี้ ยังมีอีกหลายครอบครัว ที่เดินเส้นทางนี้ตามหลวงพ่อนิพนธ์ และประสพผล
ดังนั้น เราจึงเห็นว่า สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เป็นผลงานที่โดดเด่น ของทางเลือกนี้ ทำให้ผู้วางใจและเลือก มีชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัย จนวางชีวิตของตนและครอบครัวไว้ อย่างวางใจ
ของหลอกลวง คงทำอย่างนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะคงไม่มีใครสามารถหลอกคนได้ มาหลายชั่วคนเป็นแน่แท้ โดยเฉพาะครอบครัวที่จัดว่าเป็นปัญญาชน เป็นมันสมองของประเทศ
สิ่งที่เราเสียดาย คนไทยดีใจกับการจับยาบ้า ยาเสพติดได้รายวัน แล้วเก็บสิ่งดีนี้ไว้ใต้ดิน ด้วยการจับนั้นมิได้ทำให้คนเสพลดลงเลย หากแต่เป็นการซ่อนระเบิดเวลา ที่วันหนึ่งจะระเบิดออก เมื่อคนเหล่านั้นถูกบีบ และลงแดงพร้อมกันหลายร้อย หลายพันคน จะเกิดอะไรขึ้น
และอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าคนที่ติดเชื้อเอดส์ที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า คนไทยมีผู้ติดเชื้อราวหนึ่งล้านคน เกิดอารมณ์ร่วมในการที่สังคมรังเกียจ แล้วเอาเข็มมาไล่จิ้มคนตามถนน พร้อมกันเป็นพันๆคน เพื่อให้เป็นอย่างเช่นเขา
ระเบิดเวลากำลังทำงาน รอเวลาปะทุ .....
ความปลอดภัยของครอบครัวหลายชั่วอายุคน น่าจะเกิดกับคนไทยทุกคน แต่กรรมอะไรเล่า คนไทยจึงไม่ได้สัมผัส
แล้วอะไรจะเกิดกับท่าน ถ้าเหยื่อของคนเหล่านั้น เป็นตัวท่านหรือคนที่ท่านรัก ..... คำถามที่เราไม่อยากรู้คำตอบเลย
วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555
ผลของการลงแดง
หลวงพ่อนิพนธ์ได้ยกตัวอย่าง กรณีของยาเสพติดไว้ว่า สารเคมีที่อยู่ในยาเสพติด เมื่อเสพเข้าไปแล้ว ในระยะแรกที่ร่างกายพอขับได้ ผู้เสพจึงคิดว่า ไม่ติด ไม่เป็นไร
ความจริงที่เกิดคือ สารเคมีที่ร่างกายขับไม่หมด จะเริ่มสะสม และกลายเป็นดั่งร่างแหใยแมงมุม เกาะรัดกระดูก
ตราบใดก็ตาม ถ้าร่างกายยังคงได้รับสารยาเสพติดนั้นอยู่ ร่างแหนี้ก็จะอยู่ในสภาพที่ชุ่มชื้น แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายขาดสารยาเสพติด ร่างแหของสารเคมีนี้ก็จะเกิดอาการหด และรัดตัว ทำให้เกิดอาการ ประหนึ่งร่างกายเราโดนเข็มหลายพันหมื่นเล่มแทง
ดังนั้น แม้ว่าผู้นั้นจะไม่อยากเสพ แต่ความทรมานก็ได้บีบคั้น จนต้องหามาเสพ เพื่อให้อาการดังกล่าวหายไป
ครั้นเมื่อมารับสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน สมุนไพรจะทำหน้าที่ล้างสารเคมีเหล่านี้ออก ภาษาพระท่านเรียกว่ากระชาก
ประเด็นที่สำคัญที่ตามมาคือ แล้วร่างกายจะไล่สารเคมีที่ถูกล้างออกได้โดยวิธีใด
ก็ต้องอาศัยทางระบายที่มีอยู่นั่นเอง ในกรณีของสารเสพติด การอาเจียน เป็นทางที่เร็วที่สุด และได้ผลที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุด จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นตัวอย่างได้จากสารคดี และภาพยนต์เรื่อง "น้ำพุ" นั่นเอง
แต่การจัดสมุนไพรให้ทาน ก็ยังต้องอาศัยเทคนิคบางประการ นั่นคือ ต้องรอจนกว่าผู้ติดยาเกิดอาการลงแดงเสียก่อน เพราะขณะนั้นเอง สารเคมีเหล่านี้จะลอยตัว เมื่อทานสมุนไพรก็สามารถทำงานได้โดยง่าย
เฉกเช่นเดียวกันในการรักษาโรค การลงแดง ย่อมหมายถึงโอกาสอันดี ที่ร่างกายและสมุนไพร มีโอกาสทองที่จะกำจัดสารเคมีที่ตกค้างออกจากตัว ผู้ป่วยทั่วไป จึงอาจมี อาการที่ปรากฎที่จะใช้ในการขับสารเคมีออก เช่น ปัสสาวะบ่อย ถ่ายบ่อย แม้กระทั่งเกิดอาการไอ ดังที่วิทยากรบางท่านเรียกว่า "ไอกระแทก" เกิดขึ้น
สัญญาณเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ดี เพราะแสดงถึงว่าร่างกายเราพร้อมที่จะต่อสู้แล้วนั่นเอง แต่ก็น่าเสียดายที่บางท่านกลับมองเป็นอาการที่เลวร้าย
ดังนั้น สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ การทานสมุนไพรในระยะแรกๆ สภาวะจะดีขึ้น จวบจนที่ร่างกายพร้อม ก็จะทำการขับสารเคมีออก ก็จะปรากฎอาการลงแดง ในช่วงนี้เอง การกำจัด เป็นความสามารถของร่างกาย ที่จะเลือกวิธีที่ปลอดภัยแก่ตัวของคนป่วยเอง อาการก็จะปะทุขึ้น จนบางท่านคิดว่าตัวเองแย่ลง และอาจทิ้งทางนี้ไปก็มีมาก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อประตูนรกเปิด เราต้องพร้อมยอมรับที่ต้องฝ่าเข้าไป เพราะเป็นกรรมที่เราทำมา แต่วันใดที่เราเดินผ่านพ้น เราจะพบประตูสวรรค์
การลงแดง ในความหมายของชมรมคนรักสุขภาพ จึงมีความหมายกลายๆ ว่า เรากำลังจะผ่านนรก และใกล้จะถึงประตูสวรรค์ คือการหายจากโรคแล้วนั่นเอง
ผู้ไม่เรียนรู้ จึงมักตกม้าตายเมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ เพราะเกิดวิตกจริต จนเกิดความกลัว จนต้องทิ้งหนทางนี้ไป ทั้งๆ ที่เหลืออีกนิด ก็จะถึงประตูสวรรค์แล้ว นับว่าน่าเสียดายยิ่ง
ตัวอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์มักยกให้ฟัง ก็ดังเช่น ท่านผู้พัน ที่เป็นโรคหัวใจ เมื่อมาปรึกษาท่าน ก็ได้อธิบายให้เข้าใจ และเตรียมใจ จนเกือบปี อาการลงแดงจึงเกิด ท่านผู้พัน เล็บเขียว ตัวซีด มองดังคนไม่มีเลือด ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบไม่มี ท่านรู้ตัว จึงทำตามที่หลวงพ่อนิพนธ์แนะนำ ทานสมุนไพร แล้วไปนอนหายใจรวยระรินในห้องพระ พร้อมสั่งครูผู้ซึ่งเป็นภรรยาว่า ห้ามพาท่านไป ร.พ. อย่างเด็ดขาด กระนั้นก็ตาม ครูผู้เป็นภรรยา ก็เรียกรถพยาบาลมารอไว้ จนผ่านไปสามชั่วโมง ท่านผู้พัน จึงเริ่มกลับมามีอาการปกติ ลุกขึ้นได้ ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวกับท่านผู้พันว่า ผลจากการลงแดงครั้งนี้ จะเป็นตัวบอกว่า โรคหัวใจไม่สามารถทำอะไรผู้พันได้อีกแล้ว เพราะการลงแดง คืออาการที่รุนแรงที่สุด ร่างกายก็สามารถรับได้ และนับแต่นั้นมา ท่านผู้พันก็ไม่เคยมีอาการดังกล่าวอีกเลย
เราจึงอยากให้เปลี่ยนทัศนะคติใหม่ว่า เราท่าน ควรอยากให้การลงแดงมาถึงเร็วๆ เพราะนั่นย่อมหมายถึง ร่างกายเราพร้อม เมื่อมีสมุนไพรเป็นกองหนุน เราท่านย่อมสามารถผ่านได้ และวันใดที่ผ่านพ้น ประตูสวรรค์ก็เปิดรอเราแล้ว
ผลของการลงแดง นั่นแหละทำให้ร่างกายของเรา ไม่ว่าอวัยวะ หรือภูมิต้านทาน จะกลับมาแกร่งเหมือนเดิม .... แล้วจะกลัวทำไม
เราจึงไม่แปลกใจว่า ผู้ป่วยยาเสพติด เดินพยุง หรือ หาม เข้าถ้ำกระบอกในอดีต แต่เวลากลับ วิ่งออกมา แถมร่างกายสมบูรณ์ ก็ด้วยเหตุอันนี้เอง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะต้องดีใจจนตะโกน เหมือน "น้ำพุ" ในวันที่เขาทำสำเร็จ
ความจริงที่เกิดคือ สารเคมีที่ร่างกายขับไม่หมด จะเริ่มสะสม และกลายเป็นดั่งร่างแหใยแมงมุม เกาะรัดกระดูก
ตราบใดก็ตาม ถ้าร่างกายยังคงได้รับสารยาเสพติดนั้นอยู่ ร่างแหนี้ก็จะอยู่ในสภาพที่ชุ่มชื้น แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายขาดสารยาเสพติด ร่างแหของสารเคมีนี้ก็จะเกิดอาการหด และรัดตัว ทำให้เกิดอาการ ประหนึ่งร่างกายเราโดนเข็มหลายพันหมื่นเล่มแทง
ดังนั้น แม้ว่าผู้นั้นจะไม่อยากเสพ แต่ความทรมานก็ได้บีบคั้น จนต้องหามาเสพ เพื่อให้อาการดังกล่าวหายไป
ครั้นเมื่อมารับสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน สมุนไพรจะทำหน้าที่ล้างสารเคมีเหล่านี้ออก ภาษาพระท่านเรียกว่ากระชาก
ประเด็นที่สำคัญที่ตามมาคือ แล้วร่างกายจะไล่สารเคมีที่ถูกล้างออกได้โดยวิธีใด
ก็ต้องอาศัยทางระบายที่มีอยู่นั่นเอง ในกรณีของสารเสพติด การอาเจียน เป็นทางที่เร็วที่สุด และได้ผลที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุด จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นตัวอย่างได้จากสารคดี และภาพยนต์เรื่อง "น้ำพุ" นั่นเอง
แต่การจัดสมุนไพรให้ทาน ก็ยังต้องอาศัยเทคนิคบางประการ นั่นคือ ต้องรอจนกว่าผู้ติดยาเกิดอาการลงแดงเสียก่อน เพราะขณะนั้นเอง สารเคมีเหล่านี้จะลอยตัว เมื่อทานสมุนไพรก็สามารถทำงานได้โดยง่าย
เฉกเช่นเดียวกันในการรักษาโรค การลงแดง ย่อมหมายถึงโอกาสอันดี ที่ร่างกายและสมุนไพร มีโอกาสทองที่จะกำจัดสารเคมีที่ตกค้างออกจากตัว ผู้ป่วยทั่วไป จึงอาจมี อาการที่ปรากฎที่จะใช้ในการขับสารเคมีออก เช่น ปัสสาวะบ่อย ถ่ายบ่อย แม้กระทั่งเกิดอาการไอ ดังที่วิทยากรบางท่านเรียกว่า "ไอกระแทก" เกิดขึ้น
สัญญาณเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ดี เพราะแสดงถึงว่าร่างกายเราพร้อมที่จะต่อสู้แล้วนั่นเอง แต่ก็น่าเสียดายที่บางท่านกลับมองเป็นอาการที่เลวร้าย
ดังนั้น สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ การทานสมุนไพรในระยะแรกๆ สภาวะจะดีขึ้น จวบจนที่ร่างกายพร้อม ก็จะทำการขับสารเคมีออก ก็จะปรากฎอาการลงแดง ในช่วงนี้เอง การกำจัด เป็นความสามารถของร่างกาย ที่จะเลือกวิธีที่ปลอดภัยแก่ตัวของคนป่วยเอง อาการก็จะปะทุขึ้น จนบางท่านคิดว่าตัวเองแย่ลง และอาจทิ้งทางนี้ไปก็มีมาก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อประตูนรกเปิด เราต้องพร้อมยอมรับที่ต้องฝ่าเข้าไป เพราะเป็นกรรมที่เราทำมา แต่วันใดที่เราเดินผ่านพ้น เราจะพบประตูสวรรค์
การลงแดง ในความหมายของชมรมคนรักสุขภาพ จึงมีความหมายกลายๆ ว่า เรากำลังจะผ่านนรก และใกล้จะถึงประตูสวรรค์ คือการหายจากโรคแล้วนั่นเอง
ผู้ไม่เรียนรู้ จึงมักตกม้าตายเมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ เพราะเกิดวิตกจริต จนเกิดความกลัว จนต้องทิ้งหนทางนี้ไป ทั้งๆ ที่เหลืออีกนิด ก็จะถึงประตูสวรรค์แล้ว นับว่าน่าเสียดายยิ่ง
ตัวอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์มักยกให้ฟัง ก็ดังเช่น ท่านผู้พัน ที่เป็นโรคหัวใจ เมื่อมาปรึกษาท่าน ก็ได้อธิบายให้เข้าใจ และเตรียมใจ จนเกือบปี อาการลงแดงจึงเกิด ท่านผู้พัน เล็บเขียว ตัวซีด มองดังคนไม่มีเลือด ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบไม่มี ท่านรู้ตัว จึงทำตามที่หลวงพ่อนิพนธ์แนะนำ ทานสมุนไพร แล้วไปนอนหายใจรวยระรินในห้องพระ พร้อมสั่งครูผู้ซึ่งเป็นภรรยาว่า ห้ามพาท่านไป ร.พ. อย่างเด็ดขาด กระนั้นก็ตาม ครูผู้เป็นภรรยา ก็เรียกรถพยาบาลมารอไว้ จนผ่านไปสามชั่วโมง ท่านผู้พัน จึงเริ่มกลับมามีอาการปกติ ลุกขึ้นได้ ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวกับท่านผู้พันว่า ผลจากการลงแดงครั้งนี้ จะเป็นตัวบอกว่า โรคหัวใจไม่สามารถทำอะไรผู้พันได้อีกแล้ว เพราะการลงแดง คืออาการที่รุนแรงที่สุด ร่างกายก็สามารถรับได้ และนับแต่นั้นมา ท่านผู้พันก็ไม่เคยมีอาการดังกล่าวอีกเลย
เราจึงอยากให้เปลี่ยนทัศนะคติใหม่ว่า เราท่าน ควรอยากให้การลงแดงมาถึงเร็วๆ เพราะนั่นย่อมหมายถึง ร่างกายเราพร้อม เมื่อมีสมุนไพรเป็นกองหนุน เราท่านย่อมสามารถผ่านได้ และวันใดที่ผ่านพ้น ประตูสวรรค์ก็เปิดรอเราแล้ว
ผลของการลงแดง นั่นแหละทำให้ร่างกายของเรา ไม่ว่าอวัยวะ หรือภูมิต้านทาน จะกลับมาแกร่งเหมือนเดิม .... แล้วจะกลัวทำไม
เราจึงไม่แปลกใจว่า ผู้ป่วยยาเสพติด เดินพยุง หรือ หาม เข้าถ้ำกระบอกในอดีต แต่เวลากลับ วิ่งออกมา แถมร่างกายสมบูรณ์ ก็ด้วยเหตุอันนี้เอง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะต้องดีใจจนตะโกน เหมือน "น้ำพุ" ในวันที่เขาทำสำเร็จ
วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555
กรรมบังตา
เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ เริ่มใช้วิธีการของพระภูมี เพิ่มมากขึ้น นั่นหมายความว่า ทุกการกระทำต้องเน้นหลัก "ตนพึ่งตน" เป็นเข็มทิศที่ใช้เดินนั่นเอง
กระบวนการรับความช่วยเหลือจากภายนอก จึงได้ทยอยกันถูกปิดลงไปเรื่อยๆ จนหมด สิ่งที่เหลือคือ การพึ่งพากันเอง ระหว่างหลวงพ่อนิพนธ์กับคนที่มา อุปมาหมูไปไก่มา
คนมานำพาวัตถุดิบมาให้ หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ปรุงให้แลแจกให้เป็นทานแก่คนทั่วไป จะเรียกอีกอย่างก็ได้ว่า "น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า"
หากแต่การช่วยเหลือจากภายนอก ใช่ว่าประเทศนี้จะแล้งน้ำใจไปเสียหมด แต่คนเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนร่วม หรือ มาทานสมุนไพรแต่อย่างใด การรับจากบุคคลเหล่านั้นหลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ไม่ได้อยู่ในครรลองของพระภูมี
อาทิเช่น รองประธานของบริษัท เบทาโกร หนึ่งในยักษ์ใหญ่วงการอาหารสัตว์ และธุรกิจในเครืออีกมากมาย ได้ยินได้ฟังเพื่อนฝูงที่มาใช้บริการของชมรมคนรักสุขภาพ ก็อยากได้มาเห็นมาสัมผัส
เมื่อเห็นแล้ว ก็คาดไม่ถึงว่าประเทศไทยจะมีสถานที่แบบนี้ จึงมีความนิยมชมชอบ ใคร่อยากจะเป็นผู้อุปถัมภ์หลักของชมรมคนรักสุขภาพ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมด
หลวงพ่อนิพนธ์ได้กล่าวปฏิเสธ แลให้เหตุผลว่า หลักของพระภูมี เป็นทางสายกลาง ทุกคนจึงทำได้ ไม่ใช่พึ่งพาผู้หนึ่งผู้ใด อุปมาการสร้างเจดีย์ อาศัยซึ่งเม็ดทราย หาใช่หินก้อนเดียว
สถานที่นี้เปรียบเสมือนแหล่งบุญ คนที่มาไม่ว่ายากดีมีจน มีสิทธิ์เท่ากัน สามารถสร้างบุญในแหล่งนี้ได้เท่าเทียมกัน
ด้วยเหตุนี้ การร่วมด้วยช่วยกัน จึงต้องเกิดจากสมาชิก ที่ช่วยกันกินข้าวแกง ซื้อน้ำ หรือนำสมุนไพรมาร่วมลงขัน กันคนละเล็กละน้อย หิ้วมะพร้าว มะกรูด มะนาว มาวางไว้ เพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์นำไปปรุงแต่ง
คนที่นำมาเกินกว่าที่รับไป ส่วนเกินนั้นก็ถือว่าเป็นทาน คนที่ยากจนที่สุด ก็สามารถร่วมได้ จากการซื้อน้ำ แลกำไรจากน้ำแม้เพียงขวดเดียว ก็อุปมา น้ำหยดหนึ่งที่รวมเข้าด้วยกันในถัง เมื่อมากคน ก็สามารถนำไปทำประโยชน์ได้ ดั่งทรายก่อเจดีย์นั่นเอง
หากแต่เป็นที่น่าเสียดาย คนนอกอย่างรองประธานกลับมองเห็น ในขณะที่คนในมองไม่เห็น ความร่วมมือจึงยังไม่พึงบังเกิด สภาพที่เห็นได้ชัด ชมรมคนรักสุขภาพ ถึงแม้จะขายน้ำ แต่ขวดจากน้ำกินนั้น ก็หาได้กลับมายังชมรม เพื่อที่จะนำไปบรรจุสมุนไพร ไม่
เราท่านจึงเห็น ชมรมฯ ต้องนำถุงมาบรรจุให้ ซึ่งก่อให้เกิดการแตก เสียหาย อันเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ที่เสียดายยิ่งกว่า คือ นิสัย และจิตใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นองค์ประกอบสำคัญ ในการรักษาตน
ท่านจึงให้สติว่า เราทำน้ำ เพื่อให้ท่านซื้อ ส่วนหนึ่งคือกำไรจากน้ำที่ท่านซื้อ เรานำไปซื้อสมุนไพร หากแต่น้ำที่ท่านนำไปดื่ม มีไว้เพื่อเป็นสติ ให้พึงระลึกถึงผู้อื่น แลเพื่อให้สุขแก่ผู้อื่น
ผู้มีสติ จะใช้วิธีการรินน้ำออก ไม่ใช้ปากดื่ม เมื่อหมด ก็มีสติ เราจะเก็บขวดนี้ไว้ เพื่อนำกลับไปให้ชมรม ใช้กรอกสมุนไพร เพื่อแจกจ่าย
ไม่เพียงจะสามารถประหยัดเงินที่ต้องนำไปซื้อสมุนไพร แต่ต้องกลับมาซื้อขวด ยังทำให้ไม่เกิดการเสียหายจากการแตกของถุง ที่สำคัญ สติที่ได้ นิสัยที่เกิด นี้แหละ จะเป็นตัวช่วยให้สมุนไพรมีฤทธิ์มากยิ่งขึ้น
ก็ สมุนไพรอุปมาเหมือนปืน ธรรมวินัยเหมือนกระสุน
พฤติกรรมที่ท่านให้สติ ก็คือธรรมวินัย ที่จะก่อให้เกิดกระสุนนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ใครเชื่อเรา ลองทำดู แล้วดูผล
หากพ้นจากม่าน กรรมบังตานี้แล้วไซร้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวอย่างมั่นใจว่า ชมรมของเราก็จะยืนอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องพึ่งคนภายนอก แลเดินตามรอยของพระภูมีอย่างถูกต้อง ผลที่เกิดก็จะประมาณมิได้
ภาพคนถือสมุนไพรใส่ถุง ก็จะไม่เห็น ภาพการได้สมุนไพรไม่ครบก็ไม่มี ที่สำคัญ ที่หลวงพ่อนิพนธ์อยากเห็น คนที่จนที่สุด ก็สามารถมีส่วนร่วมเป็นน้ำหยดหนึ่ง ได้ และสามารถได้ชื่อว่า เดินตามรอยพระเวสสันดร เป็นผู้ให้ได้
ไม่ใช่ชมรมขอทาน แบมือขอผู้อื่น ร่ำไป ไม่คิดเดินได้ด้วยตัวเอง ท้ายที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น ชูชก กินไปกินมา ท้องแตกตาย
เราท่านคงไม่มีทางหายโรค ด้วยนิสัยชูชกเป็นแน่แท้
ท่านจึงทิ้งท้ายไว้ว่า "ถ้าเราทำให้สิ่งนี้เกิดไม่ได้ เราจะไม่ยอมแบมือขอคนนอกอย่างแน่นอน เรายอมปิดสำนักเสียยังดีกว่า เหลือคนที่เดินตามเรากลุ่มเล็กๆ ก็พอใจแล้ว"
กระบวนการรับความช่วยเหลือจากภายนอก จึงได้ทยอยกันถูกปิดลงไปเรื่อยๆ จนหมด สิ่งที่เหลือคือ การพึ่งพากันเอง ระหว่างหลวงพ่อนิพนธ์กับคนที่มา อุปมาหมูไปไก่มา
คนมานำพาวัตถุดิบมาให้ หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ปรุงให้แลแจกให้เป็นทานแก่คนทั่วไป จะเรียกอีกอย่างก็ได้ว่า "น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า"
หากแต่การช่วยเหลือจากภายนอก ใช่ว่าประเทศนี้จะแล้งน้ำใจไปเสียหมด แต่คนเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนร่วม หรือ มาทานสมุนไพรแต่อย่างใด การรับจากบุคคลเหล่านั้นหลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ไม่ได้อยู่ในครรลองของพระภูมี
อาทิเช่น รองประธานของบริษัท เบทาโกร หนึ่งในยักษ์ใหญ่วงการอาหารสัตว์ และธุรกิจในเครืออีกมากมาย ได้ยินได้ฟังเพื่อนฝูงที่มาใช้บริการของชมรมคนรักสุขภาพ ก็อยากได้มาเห็นมาสัมผัส
เมื่อเห็นแล้ว ก็คาดไม่ถึงว่าประเทศไทยจะมีสถานที่แบบนี้ จึงมีความนิยมชมชอบ ใคร่อยากจะเป็นผู้อุปถัมภ์หลักของชมรมคนรักสุขภาพ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมด
หลวงพ่อนิพนธ์ได้กล่าวปฏิเสธ แลให้เหตุผลว่า หลักของพระภูมี เป็นทางสายกลาง ทุกคนจึงทำได้ ไม่ใช่พึ่งพาผู้หนึ่งผู้ใด อุปมาการสร้างเจดีย์ อาศัยซึ่งเม็ดทราย หาใช่หินก้อนเดียว
สถานที่นี้เปรียบเสมือนแหล่งบุญ คนที่มาไม่ว่ายากดีมีจน มีสิทธิ์เท่ากัน สามารถสร้างบุญในแหล่งนี้ได้เท่าเทียมกัน
ด้วยเหตุนี้ การร่วมด้วยช่วยกัน จึงต้องเกิดจากสมาชิก ที่ช่วยกันกินข้าวแกง ซื้อน้ำ หรือนำสมุนไพรมาร่วมลงขัน กันคนละเล็กละน้อย หิ้วมะพร้าว มะกรูด มะนาว มาวางไว้ เพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์นำไปปรุงแต่ง
คนที่นำมาเกินกว่าที่รับไป ส่วนเกินนั้นก็ถือว่าเป็นทาน คนที่ยากจนที่สุด ก็สามารถร่วมได้ จากการซื้อน้ำ แลกำไรจากน้ำแม้เพียงขวดเดียว ก็อุปมา น้ำหยดหนึ่งที่รวมเข้าด้วยกันในถัง เมื่อมากคน ก็สามารถนำไปทำประโยชน์ได้ ดั่งทรายก่อเจดีย์นั่นเอง
หากแต่เป็นที่น่าเสียดาย คนนอกอย่างรองประธานกลับมองเห็น ในขณะที่คนในมองไม่เห็น ความร่วมมือจึงยังไม่พึงบังเกิด สภาพที่เห็นได้ชัด ชมรมคนรักสุขภาพ ถึงแม้จะขายน้ำ แต่ขวดจากน้ำกินนั้น ก็หาได้กลับมายังชมรม เพื่อที่จะนำไปบรรจุสมุนไพร ไม่
เราท่านจึงเห็น ชมรมฯ ต้องนำถุงมาบรรจุให้ ซึ่งก่อให้เกิดการแตก เสียหาย อันเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ที่เสียดายยิ่งกว่า คือ นิสัย และจิตใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นองค์ประกอบสำคัญ ในการรักษาตน
ท่านจึงให้สติว่า เราทำน้ำ เพื่อให้ท่านซื้อ ส่วนหนึ่งคือกำไรจากน้ำที่ท่านซื้อ เรานำไปซื้อสมุนไพร หากแต่น้ำที่ท่านนำไปดื่ม มีไว้เพื่อเป็นสติ ให้พึงระลึกถึงผู้อื่น แลเพื่อให้สุขแก่ผู้อื่น
ผู้มีสติ จะใช้วิธีการรินน้ำออก ไม่ใช้ปากดื่ม เมื่อหมด ก็มีสติ เราจะเก็บขวดนี้ไว้ เพื่อนำกลับไปให้ชมรม ใช้กรอกสมุนไพร เพื่อแจกจ่าย
ไม่เพียงจะสามารถประหยัดเงินที่ต้องนำไปซื้อสมุนไพร แต่ต้องกลับมาซื้อขวด ยังทำให้ไม่เกิดการเสียหายจากการแตกของถุง ที่สำคัญ สติที่ได้ นิสัยที่เกิด นี้แหละ จะเป็นตัวช่วยให้สมุนไพรมีฤทธิ์มากยิ่งขึ้น
ก็ สมุนไพรอุปมาเหมือนปืน ธรรมวินัยเหมือนกระสุน
พฤติกรรมที่ท่านให้สติ ก็คือธรรมวินัย ที่จะก่อให้เกิดกระสุนนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ใครเชื่อเรา ลองทำดู แล้วดูผล
หากพ้นจากม่าน กรรมบังตานี้แล้วไซร้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวอย่างมั่นใจว่า ชมรมของเราก็จะยืนอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องพึ่งคนภายนอก แลเดินตามรอยของพระภูมีอย่างถูกต้อง ผลที่เกิดก็จะประมาณมิได้
ภาพคนถือสมุนไพรใส่ถุง ก็จะไม่เห็น ภาพการได้สมุนไพรไม่ครบก็ไม่มี ที่สำคัญ ที่หลวงพ่อนิพนธ์อยากเห็น คนที่จนที่สุด ก็สามารถมีส่วนร่วมเป็นน้ำหยดหนึ่ง ได้ และสามารถได้ชื่อว่า เดินตามรอยพระเวสสันดร เป็นผู้ให้ได้
ไม่ใช่ชมรมขอทาน แบมือขอผู้อื่น ร่ำไป ไม่คิดเดินได้ด้วยตัวเอง ท้ายที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น ชูชก กินไปกินมา ท้องแตกตาย
เราท่านคงไม่มีทางหายโรค ด้วยนิสัยชูชกเป็นแน่แท้
ท่านจึงทิ้งท้ายไว้ว่า "ถ้าเราทำให้สิ่งนี้เกิดไม่ได้ เราจะไม่ยอมแบมือขอคนนอกอย่างแน่นอน เรายอมปิดสำนักเสียยังดีกว่า เหลือคนที่เดินตามเรากลุ่มเล็กๆ ก็พอใจแล้ว"
วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555
หน้าที่ของสมุนไพร
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนได้สอนว่า สมุนไพรไม่ใช่มีหน้าที่รักษาโรค
หน้าที่ของการรักษาโรค เป็นความสามารถโดยธรรมชาติของร่างกาย ที่มีมาคู่กับมนุษย์อยู่แล้ว
หน้าที่ของสมุนไพร เบื้องต้น คือการฟื้นฟูอวัยวะ ๓๒ พร้อมกับการสร้างภูมิคุ้มกัน
แต่หน้าที่ที่สำคัญที่แม่ชีเมี้ยนได้พยากรณ์ และนำสูตรสมุนไพรมาให้ คือ การขจัดสารเคมีในร่างกายออกไป
ในปฐมบทของการสอนสมุนไพร แม่ชีเมี้ยนได้พยากรณ์ให้หลวงพ่อนิพนธ์ฟังว่า ในอนาคต จะมีหมอผู้ที่จะค้นพบ กระบวนการของลูกโซ่ ในการใช้ยาเคมี อันหมายถึงผลข้างเคียงจากการใช้ยาเคมีตัวที่หนึ่ง จะเกิดโรคที่สอง เมื่อใช้เคมีตัวที่สอง จะเกิดโรคที่สาม ต่อไปเรื่อยๆ
ด้วยความรู้นี้ หมอนั้นจะทำการผลิตยาเพื่อรองรับ และเริ่มที่จะชักชวนให้คนทั่วไป ทานยาตัวที่หนึ่ง เพื่อเข้าสู่วงจรอันนั้น
และไม่ช้า ผู้คนทั่วไป จะติดอยู่ในลูกโซ่นี้ จนถอนตัวไม่ได้
สมุนไพรที่นำมาให้ จึงมีไว้เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ ที่เชื่อ และทำตาม คำสอนของพระภูมี อันจะเป็นการล้างสารเคมีที่ตกค้างในร่างกายออกไป
ผลจากเคมี ที่ตกค้างในร่างกาย หมอจะบอกว่าอวัยวะส่วนนั้นๆ ได้ถูกทำลาย ไม่สามารถฟื้นฟู จนในที่สุดก็ต้องตัด หรือเปลี่ยน
แต่แท้จริงแล้ว อวัยวะของมนุษย์ไม่ได้ถูกทำลาย หากแต่ถูกทำให้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ อุปมาดั่งหมดสติไปนั่นเอง
เมื่อใดก็ตาม ที่สารเคมีถูกสมุนไพรขจัดออกไป อวัยวะส่วนนั้นก็จะเริ่มฟื้นตัว กลับมาทำงานได้ดั่งเดิม
หากการฟื้นฟูสามารถทันต่อการถูกทำลาย คนผู้นั้นก็จะประสพผลจากการหายโรคได้ หากแต่การฟื้นฟูทำไม่ทัน ก็จะช่วยได้แค่เพียงไม่ให้ทรมาน บรรเทาลง หรือไม่มี แต่ก็ยังคงเสียชีวิต หลวงพ่อนิพนธ์ เรียกว่า ถึงตายก็ตายสบาย
ท่านวิทยากร ได้เคยบรรยายให้สมาชิกใหม่ฟังเสมอว่า "ผู้ใดกล้าหยุดยาเคมี ก็จะมีผลเร็ว ผู้ที่ทานสมุนไพรไป ทานเคมีไปด้วย ผลของสมุนไพร ก็ยากที่จะคำนวน" ดังนั้น จึงมักแนะนำสมาชิกใหม่เสมอๆ ว่า "ถ้าเป็นไปได้ ให้หยุดยาเคมีเสีย"
กระนั้นก็ตาม คำบรรยายที่ตามมาเสมอก็คือ เมื่อหยุดยาเคมี ก็จะมีอาการลงแดง อันเนื่องจากร่างกายขาดสารเคมีนั่นเอง จึงมักได้ยินวิทยากรพูดเล่นๆว่า " ไม่ผ่านนรก ก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ " หรือที่หลวงพ่อนิพนธ์มักใช้คำว่า "ทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า"
เราท่านจึงได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวบ่อยๆว่า "แค่หยุดยาเคมี โรคก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว" ด้วยเหตุอันนี้เอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนเรียกการเสียชีวิตนี้ว่าเป็นการตายก่อนพรหมลิขิต เพราะเป็นการตายเนื่องจากการทำร้ายตัวเอง ไม่ได้ตายด้วยโรค แต่ตายด้วยเคมี
ด้วยเหตุที่พระภูมี สอนว่า "โรคคือตัวแทนของกรรม มีหน้าที่มาเพื่อทรมาน ไม่ใช่ทำให้ตาย เมื่อถึงเวลาก็ต้องไป เพราะมนุษย์ต้องอยู่จนครบพรหมลิขิต"
แล้วหมอที่ไหนจะบอกญาติคนไข้ว่า "คนไข้เสียเพราะทนเคมีไม่ไหวเล่าเอย"
นั่นแหละที่มาว่า ทำไมเริ่มจากยาแก้ปวด แล้วจึงมีโรคสอง โรคสามตามมา เรื่อยๆ ยาดีทำไมไม่จบตั้งแต่แรกเริ่ม ยิ่งทานยิ่งมากโรค ....... สงสัยสักนิดไหม .....
นี่พยากรณ์เมื่อห้าสิบปีที่แล้วน่ะ .....
หน้าที่ประการสำคัญของสมุนไพรอีกประการหนึ่ง ซึ่งเป็นหน้าที่ต่อเนื่องหลังขจัดสารเคมีออกไป ก็คือ ลดอาการลงแดงนั่นเอง
เราจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมคนติดยาเสพติด แห่แหนกันไปถ้ำกระบอก ก็ด้วยเหตุที่ เมื่อสารยาเสพติดถูกขจัดออกไปแล้ว อาการลงแดงที่พึงเกิด มีน้อย หรือแทบไม่มีเลยนั่นเอง
อาการลงแดงของการขาดสารยาเสพติด น่ากลัว และเป็นที่วิตกของผู้ที่อยากจะเลิกมากที่สุด เมื่อปากต่อปากของผู้ที่ไปถ้ำกระบอก ส่งเสียงมาว่า "ผ่านสบาย ไม่ทรมาน" จึงเป็นเหตุที่ทำให้คนแห่กันไปมืดฟ้ามัวดิน เฉกเช่นเดียวกัน อาการลงแดงของผู้ที่มารักษาโรค ก็สามารถผ่านกันได้ทุกคน
หน้าที่ของการรักษาโรค เป็นความสามารถโดยธรรมชาติของร่างกาย ที่มีมาคู่กับมนุษย์อยู่แล้ว
หน้าที่ของสมุนไพร เบื้องต้น คือการฟื้นฟูอวัยวะ ๓๒ พร้อมกับการสร้างภูมิคุ้มกัน
แต่หน้าที่ที่สำคัญที่แม่ชีเมี้ยนได้พยากรณ์ และนำสูตรสมุนไพรมาให้ คือ การขจัดสารเคมีในร่างกายออกไป
ในปฐมบทของการสอนสมุนไพร แม่ชีเมี้ยนได้พยากรณ์ให้หลวงพ่อนิพนธ์ฟังว่า ในอนาคต จะมีหมอผู้ที่จะค้นพบ กระบวนการของลูกโซ่ ในการใช้ยาเคมี อันหมายถึงผลข้างเคียงจากการใช้ยาเคมีตัวที่หนึ่ง จะเกิดโรคที่สอง เมื่อใช้เคมีตัวที่สอง จะเกิดโรคที่สาม ต่อไปเรื่อยๆ
ด้วยความรู้นี้ หมอนั้นจะทำการผลิตยาเพื่อรองรับ และเริ่มที่จะชักชวนให้คนทั่วไป ทานยาตัวที่หนึ่ง เพื่อเข้าสู่วงจรอันนั้น
และไม่ช้า ผู้คนทั่วไป จะติดอยู่ในลูกโซ่นี้ จนถอนตัวไม่ได้
สมุนไพรที่นำมาให้ จึงมีไว้เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ ที่เชื่อ และทำตาม คำสอนของพระภูมี อันจะเป็นการล้างสารเคมีที่ตกค้างในร่างกายออกไป
ผลจากเคมี ที่ตกค้างในร่างกาย หมอจะบอกว่าอวัยวะส่วนนั้นๆ ได้ถูกทำลาย ไม่สามารถฟื้นฟู จนในที่สุดก็ต้องตัด หรือเปลี่ยน
แต่แท้จริงแล้ว อวัยวะของมนุษย์ไม่ได้ถูกทำลาย หากแต่ถูกทำให้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ อุปมาดั่งหมดสติไปนั่นเอง
เมื่อใดก็ตาม ที่สารเคมีถูกสมุนไพรขจัดออกไป อวัยวะส่วนนั้นก็จะเริ่มฟื้นตัว กลับมาทำงานได้ดั่งเดิม
หากการฟื้นฟูสามารถทันต่อการถูกทำลาย คนผู้นั้นก็จะประสพผลจากการหายโรคได้ หากแต่การฟื้นฟูทำไม่ทัน ก็จะช่วยได้แค่เพียงไม่ให้ทรมาน บรรเทาลง หรือไม่มี แต่ก็ยังคงเสียชีวิต หลวงพ่อนิพนธ์ เรียกว่า ถึงตายก็ตายสบาย
ท่านวิทยากร ได้เคยบรรยายให้สมาชิกใหม่ฟังเสมอว่า "ผู้ใดกล้าหยุดยาเคมี ก็จะมีผลเร็ว ผู้ที่ทานสมุนไพรไป ทานเคมีไปด้วย ผลของสมุนไพร ก็ยากที่จะคำนวน" ดังนั้น จึงมักแนะนำสมาชิกใหม่เสมอๆ ว่า "ถ้าเป็นไปได้ ให้หยุดยาเคมีเสีย"
กระนั้นก็ตาม คำบรรยายที่ตามมาเสมอก็คือ เมื่อหยุดยาเคมี ก็จะมีอาการลงแดง อันเนื่องจากร่างกายขาดสารเคมีนั่นเอง จึงมักได้ยินวิทยากรพูดเล่นๆว่า " ไม่ผ่านนรก ก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ " หรือที่หลวงพ่อนิพนธ์มักใช้คำว่า "ทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า"
เราท่านจึงได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวบ่อยๆว่า "แค่หยุดยาเคมี โรคก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว" ด้วยเหตุอันนี้เอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนเรียกการเสียชีวิตนี้ว่าเป็นการตายก่อนพรหมลิขิต เพราะเป็นการตายเนื่องจากการทำร้ายตัวเอง ไม่ได้ตายด้วยโรค แต่ตายด้วยเคมี
ด้วยเหตุที่พระภูมี สอนว่า "โรคคือตัวแทนของกรรม มีหน้าที่มาเพื่อทรมาน ไม่ใช่ทำให้ตาย เมื่อถึงเวลาก็ต้องไป เพราะมนุษย์ต้องอยู่จนครบพรหมลิขิต"
แล้วหมอที่ไหนจะบอกญาติคนไข้ว่า "คนไข้เสียเพราะทนเคมีไม่ไหวเล่าเอย"
นั่นแหละที่มาว่า ทำไมเริ่มจากยาแก้ปวด แล้วจึงมีโรคสอง โรคสามตามมา เรื่อยๆ ยาดีทำไมไม่จบตั้งแต่แรกเริ่ม ยิ่งทานยิ่งมากโรค ....... สงสัยสักนิดไหม .....
นี่พยากรณ์เมื่อห้าสิบปีที่แล้วน่ะ .....
หน้าที่ประการสำคัญของสมุนไพรอีกประการหนึ่ง ซึ่งเป็นหน้าที่ต่อเนื่องหลังขจัดสารเคมีออกไป ก็คือ ลดอาการลงแดงนั่นเอง
เราจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมคนติดยาเสพติด แห่แหนกันไปถ้ำกระบอก ก็ด้วยเหตุที่ เมื่อสารยาเสพติดถูกขจัดออกไปแล้ว อาการลงแดงที่พึงเกิด มีน้อย หรือแทบไม่มีเลยนั่นเอง
อาการลงแดงของการขาดสารยาเสพติด น่ากลัว และเป็นที่วิตกของผู้ที่อยากจะเลิกมากที่สุด เมื่อปากต่อปากของผู้ที่ไปถ้ำกระบอก ส่งเสียงมาว่า "ผ่านสบาย ไม่ทรมาน" จึงเป็นเหตุที่ทำให้คนแห่กันไปมืดฟ้ามัวดิน เฉกเช่นเดียวกัน อาการลงแดงของผู้ที่มารักษาโรค ก็สามารถผ่านกันได้ทุกคน
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555
รักษาโรคอะไรได้
คำถามที่ได้ยินบ่อยที่สุด รักษาโรคนี้ได้ไหม โรคนั้นได้ไหม
นั้นอาจเป็นเพราะวิทยาการสมัยใหม่ หรือที่คนทั่วไปพบเห็น มองโรคเป็นโรค จึงจัดแบ่งหมวดหมู่ กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในแต่ละสาขานั่นเอง
เราจึงพบ หมอมะเร็ง หมอไต หมอเบาหวาน หมอหัวใจ หมอ... รวมถึง หมอผี และ ทรงเจ้า
แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนไม่ได้สอนให้มองเช่นนั้น ท่านกล่าวว่า พระภูมีทรงตรัสรู้ความจริง คือ รู้ธรรมชาติของมนุษย์ สรุปมาย่อๆ ให้เห็นว่า ทุกสิ่งเกิดจาก "กรรมเราทำมา"
โรคจึงเป็นปลายเหตุแห่งกรรมที่ทำ หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนว่า ให้มองข้ามไปเลย เพราะมันกระจอก
สิ่งที่น่ากลัว คือ นิสัย ที่สร้างกรรม อันเป็นต้นเหตุแห่งโรคต่างหาก ที่น่ากลัว เพราะเมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่า สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วไม่สามารถชนะกรรมได้เลย
สิ่งเดียวที่พิสูจน์มาแล้วทุกยุคทุกสมัย นั่นคือธรรมของพระพุทธเจ้าต่างหาก ที่เป็นคู่ต่อกรที่สามารถชนะกรรมได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวเสมอว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังมีอาการ ๓๒ สมุนไพรย่อมสามารถใช้ได้ตลอดกาล เพราะสมุนไพรมีไว้เพื่อฟื้นฟูอวัยวะ และสร้างภูมิ ส่วนหน้าที่รักษา เป็นความสามารถของร่างกายที่มีมาอยู่คู่กับมนุษย์อยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ธรรมของพระภูมี ใช้แก้นิสัยกรรม ให้เป็นนิสัยธรรม เมื่อไม่มีต้นน้ำ ปลายน้ำย่อมแห้งเหือดไปในที่สุด
ท่านจึงมักย้ำเสมอ "เป็นโรคอะไรมาเราก็ไม่กลัว เรากลัวนิสัยท่าน ทิฐิของท่าน" เพราะมันเป็นปัจจัยชี้ขาดว่า ผลการรักษาของท่านจะเป็นเช่นไร
จึงไม่แปลก ที่ไม่ว่าเราท่านจะนำพาโรคชนิดใดไปหาท่าน ท่านก็จะมีตัวอย่าง ของคนที่ทำได้ในโรคนั้นๆ ให้เราเห็น และได้มาพูดคุยเป็นพี่เลี่้ยงให้เสมอ
ไม่ว่ามนุษย์คนไหน จะคิดว่าตัวเองฉลาดสักฉันใด ปัญญาที่มีก็คือปัญญาของกรรม จะนำมาใช้เพื่อชนะกรรมย่อมเป็นไปไม่ได้ นั่นคือ คำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของศาสนา และทำไมคนจึงแห่แหนกันไปหาพระพุทธเจ้า เพราะสิ่งเดียวที่จะช่วยตัวของเราท่านได้ ก็คือธรรมของพระพุทธเจ้านั่นเอง
เศรษฐีจะดิ้นรนหาหมอดีสักฉันใด คนมีอำนาจล้นฟ้า ใหญ่คับประเทศ จะสรรหาหมอดีสักฉันใด ก็ไม่สามารถช่วยเขาได้เลย นั่นยังเป็นบทพิสูจน์ไม่พออีกหรือ .....
จึงอยากจะเรียนซ้ำว่า หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "เราช่วยใครไม่ได้ รักษาใครไม่ได้ แต่ที่นี่มีสมุนไพร มีแม่ชีเมี้ยน มีธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่แนะนำให้ไปปฏิบัติ เพื่อการรักษาตนเอง"
ไม่สนว่าจะเป็นโรคอะไร แต่ที่ชอบคือโรคที่หมดหนทางรักษาแล้ว เพราะจะทำให้พูดง่าย คนป่วยไม่ไข้วเขว เผื่อเลือก อันโน้นดี อันนี้ดี เราจึงไม่แปลกใจที่แม่ชีเมี้ยนกล่าวว่า "อยากสบายก็ให้รักษาแต่ยาเสพติด และโรคเอดส์" เพราะคนพวกนี้พูดง่าย
เพราะความมีเมตตาของท่าน จึงรับคนป่วยทั่วไป ทำให้ต้องพูดจนคนฟังบ่น ดังเช่นทุกวันนี้
หลวงพ่อนิพนธ์ท่านจึงมักพูดเล่นว่า "คิดจะทำเล่นๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นภาระ ทิ้งไม่ได้เสียแล้ว"
ทำไงได้ ทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียวมันไม่พอ ต้องเรียนรู้แล้วปฏิบัติ จึงจะเกิดผล เราท่านจึงยังคงได้ยินเสียงของท่านอยู่ ใครจะบ่นใครจะเบื่อก็ช่าง แต่เราคิดว่าเป็นความเมตตากรุณาสุงสุดที่ท่านมีให้เพื่อนมนุษย์ มิฉะนั้นแล้วท่านอยู่เฉยๆ สบายกว่ากันเยอะ
นั้นอาจเป็นเพราะวิทยาการสมัยใหม่ หรือที่คนทั่วไปพบเห็น มองโรคเป็นโรค จึงจัดแบ่งหมวดหมู่ กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในแต่ละสาขานั่นเอง
เราจึงพบ หมอมะเร็ง หมอไต หมอเบาหวาน หมอหัวใจ หมอ... รวมถึง หมอผี และ ทรงเจ้า
แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนไม่ได้สอนให้มองเช่นนั้น ท่านกล่าวว่า พระภูมีทรงตรัสรู้ความจริง คือ รู้ธรรมชาติของมนุษย์ สรุปมาย่อๆ ให้เห็นว่า ทุกสิ่งเกิดจาก "กรรมเราทำมา"
โรคจึงเป็นปลายเหตุแห่งกรรมที่ทำ หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนว่า ให้มองข้ามไปเลย เพราะมันกระจอก
สิ่งที่น่ากลัว คือ นิสัย ที่สร้างกรรม อันเป็นต้นเหตุแห่งโรคต่างหาก ที่น่ากลัว เพราะเมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่า สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วไม่สามารถชนะกรรมได้เลย
สิ่งเดียวที่พิสูจน์มาแล้วทุกยุคทุกสมัย นั่นคือธรรมของพระพุทธเจ้าต่างหาก ที่เป็นคู่ต่อกรที่สามารถชนะกรรมได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวเสมอว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังมีอาการ ๓๒ สมุนไพรย่อมสามารถใช้ได้ตลอดกาล เพราะสมุนไพรมีไว้เพื่อฟื้นฟูอวัยวะ และสร้างภูมิ ส่วนหน้าที่รักษา เป็นความสามารถของร่างกายที่มีมาอยู่คู่กับมนุษย์อยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ธรรมของพระภูมี ใช้แก้นิสัยกรรม ให้เป็นนิสัยธรรม เมื่อไม่มีต้นน้ำ ปลายน้ำย่อมแห้งเหือดไปในที่สุด
ท่านจึงมักย้ำเสมอ "เป็นโรคอะไรมาเราก็ไม่กลัว เรากลัวนิสัยท่าน ทิฐิของท่าน" เพราะมันเป็นปัจจัยชี้ขาดว่า ผลการรักษาของท่านจะเป็นเช่นไร
จึงไม่แปลก ที่ไม่ว่าเราท่านจะนำพาโรคชนิดใดไปหาท่าน ท่านก็จะมีตัวอย่าง ของคนที่ทำได้ในโรคนั้นๆ ให้เราเห็น และได้มาพูดคุยเป็นพี่เลี่้ยงให้เสมอ
ไม่ว่ามนุษย์คนไหน จะคิดว่าตัวเองฉลาดสักฉันใด ปัญญาที่มีก็คือปัญญาของกรรม จะนำมาใช้เพื่อชนะกรรมย่อมเป็นไปไม่ได้ นั่นคือ คำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของศาสนา และทำไมคนจึงแห่แหนกันไปหาพระพุทธเจ้า เพราะสิ่งเดียวที่จะช่วยตัวของเราท่านได้ ก็คือธรรมของพระพุทธเจ้านั่นเอง
เศรษฐีจะดิ้นรนหาหมอดีสักฉันใด คนมีอำนาจล้นฟ้า ใหญ่คับประเทศ จะสรรหาหมอดีสักฉันใด ก็ไม่สามารถช่วยเขาได้เลย นั่นยังเป็นบทพิสูจน์ไม่พออีกหรือ .....
จึงอยากจะเรียนซ้ำว่า หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "เราช่วยใครไม่ได้ รักษาใครไม่ได้ แต่ที่นี่มีสมุนไพร มีแม่ชีเมี้ยน มีธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่แนะนำให้ไปปฏิบัติ เพื่อการรักษาตนเอง"
ไม่สนว่าจะเป็นโรคอะไร แต่ที่ชอบคือโรคที่หมดหนทางรักษาแล้ว เพราะจะทำให้พูดง่าย คนป่วยไม่ไข้วเขว เผื่อเลือก อันโน้นดี อันนี้ดี เราจึงไม่แปลกใจที่แม่ชีเมี้ยนกล่าวว่า "อยากสบายก็ให้รักษาแต่ยาเสพติด และโรคเอดส์" เพราะคนพวกนี้พูดง่าย
เพราะความมีเมตตาของท่าน จึงรับคนป่วยทั่วไป ทำให้ต้องพูดจนคนฟังบ่น ดังเช่นทุกวันนี้
หลวงพ่อนิพนธ์ท่านจึงมักพูดเล่นว่า "คิดจะทำเล่นๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นภาระ ทิ้งไม่ได้เสียแล้ว"
ทำไงได้ ทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียวมันไม่พอ ต้องเรียนรู้แล้วปฏิบัติ จึงจะเกิดผล เราท่านจึงยังคงได้ยินเสียงของท่านอยู่ ใครจะบ่นใครจะเบื่อก็ช่าง แต่เราคิดว่าเป็นความเมตตากรุณาสุงสุดที่ท่านมีให้เพื่อนมนุษย์ มิฉะนั้นแล้วท่านอยู่เฉยๆ สบายกว่ากันเยอะ
โอกาสทอง - คนไข้โรคมะเร็งโปรดฟังทางนี้
จากสถิติของคนไข้ที่มาใช้บริการของชมรมคนรักสุขภาพ โรคที่นำโด่งมาอย่างไม่มีคู่แข่ง คือ โรคมะเร็ง และในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในระยะที่ ๓ หรือ ๔ แทบทั้งสิ้น
หลวงพ่อนิพนธ์ให้รวบรวมเฉพาะกรณีที่ค่อนข้างหนักก่อน เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวเลขให้ท่านว่ามีประมาณ กว่าเจ็ดร้อยคน
ด้วยความเป็นห่วงคนไข้กลุ่มนี้ที่ต้องแข่งกับวันเวลา ดังนั้น ในวันที่ระลึกคุณแม่ชีเมี้ยนที่ผ่านมา จึงได้จัดให้มีการลงทะเบียนของคนไข้กลุ่มนี้
หลังจากนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะให้จัดคนไข้ที่ลงทะเบียนไว้แล้วนั้น ทยอยเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ ๒๐ ท่าน มาให้ท่านพิจารณาเป็นรายบุคคล เพื่อจัดสมุนไพรเป็นรายๆ ไป
ทั้งนี้ด้วยเหตุที่ว่า ต้องแข่งกับเวลาที่โรคร้ายทำลายนั่นเอง จึงต้องการการแก้ไขอาการอย่างใกล้ชิด และทันท่วงที
จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีของผู้ป่วยกลุ่มนี้แล้ว ดังนั้น ท่านใดที่ลงทะเบียนไว้แล้วนั้น ก็ให้ติดตามการจัดกลุ่มเพื่อเข้าพบท่าน ได้จากห้องทะเบียน ซึ่งติดต่อกับ คุณตุ๊ก คุณฝน คุณศิริพร เพื่อขอทราบรายละเอียดได้
หลวงพ่อนิพนธ์ให้รวบรวมเฉพาะกรณีที่ค่อนข้างหนักก่อน เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวเลขให้ท่านว่ามีประมาณ กว่าเจ็ดร้อยคน
ด้วยความเป็นห่วงคนไข้กลุ่มนี้ที่ต้องแข่งกับวันเวลา ดังนั้น ในวันที่ระลึกคุณแม่ชีเมี้ยนที่ผ่านมา จึงได้จัดให้มีการลงทะเบียนของคนไข้กลุ่มนี้
หลังจากนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะให้จัดคนไข้ที่ลงทะเบียนไว้แล้วนั้น ทยอยเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ ๒๐ ท่าน มาให้ท่านพิจารณาเป็นรายบุคคล เพื่อจัดสมุนไพรเป็นรายๆ ไป
ทั้งนี้ด้วยเหตุที่ว่า ต้องแข่งกับเวลาที่โรคร้ายทำลายนั่นเอง จึงต้องการการแก้ไขอาการอย่างใกล้ชิด และทันท่วงที
จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีของผู้ป่วยกลุ่มนี้แล้ว ดังนั้น ท่านใดที่ลงทะเบียนไว้แล้วนั้น ก็ให้ติดตามการจัดกลุ่มเพื่อเข้าพบท่าน ได้จากห้องทะเบียน ซึ่งติดต่อกับ คุณตุ๊ก คุณฝน คุณศิริพร เพื่อขอทราบรายละเอียดได้
ธุรกิจชีวิต
ไม่แปลกที่จะมีข้อเขียน ที่ว่ากล่าว ถึงชมรมคนรักสุขภาพ รวมถึงมูลนิธิไทยกรุณา
ไม่แปลกที่จะมีข้อเขียน ที่มุ่งเน้นทำลาย หรือให้ข้อมูลผิดๆ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนว่า อย่าเชื่อในสิ่งที่ท่านพูด จนกว่าจะพิจารณาเหตุและผลที่ท่านได้กล่าวไว้อย่างถ่องแท้ และเห็นจริง
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนชอบสิ่งนี้ แต่ผู้ที่จะเดินแนวทางนี้ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เหตุและผล เป็นเครื่องมือในการฝ่ากระแสความเชื่อเดิมๆ
ผลที่ปรากฎ จะเป็นตัวตัดสินว่า ความเชื่อใด คือ ความเชื่อที่ถูกต้อง
ต้องขอขอบคุณ ท่านที่พยายามแก้ต่างให้ ดังบทความนี้
แฟนผมเป็นเอ็สแอลอี (โรคพุ่มพวง) รักษาอยู่ราชวิถีอยู่เกือบ 2 ปีอาการดีขึ้น จากเดิมเกือบเดินไม่ได้ จนสามารถใช้ชีวีตได้ตามปกติ แต่ว่า 3 เดือนล่าสุด เกร็ดเลือดไม่ดีขึ้น..เลยตัดสินใจไปรักษากับมูลนิธิฯ.. ไปมา 2 ครั้ง ได้ยามาหลายอย่าง ..ก่อนทานต้องไหว้ยาก่อน ..ส่วนตัวผมคิดว่ากำลังใจและศรัทธาต้องมาก่อน ...คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าจะเลือกรักษาโรคร้ายที่ตัวเองเป็นอยู่โดยวิธีใหน ...ยาแผนปัจจุบันหรือยาสมุนไพร ...แม่เคยเล่าให้ผมฟังอยู่เสมอว่า ตอนเป็นเด็กผมเกือบตายด้วยโรค "ตาลขโมย" ที่เขาเรียกว่าตาเหลืองพุงโล..หัวโต..ก้นปอดหน่ะครับ แม่หมดหนทางรักษาโรงหมออยู่ไกล ..ก็ได้ยาสมุนไพรนี่แหละโดยมีคนแก่มาบอก..เปลือกต้นมะขาม..เปลือกต้นไข่เน่า..เวลาไปเอาเปลือกก็ต้องมีวิธีไปเอาไม่ใช่ไปเอาสุ่มสี่สุ่มห้า...ต้องถากขึ้น 3 ครั้ง (3 ชิ้น) ถากลง 3 ชิ้น และอะไรอีกหลายๆ อย่างเช่น..เถาตูดหมูตูดหมา..ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในบ้านนอกเรา (ต่างจังหวัด) นำมาต้มกิน ..ปรากฎว่าหม้อเดียวหายเลยครับ...ตอนนี้ผมอายุ 42 ปี เคยทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายคุณภาพมา13ปี เงินเดือนสองหมื่นกว่า ..ปัจจุบันได้ลาออก (เฉยๆ) เพื่อมาดูแลแฟนช่วยกันขายของ (แฟนอาชีพค้าขาย)... ****กำลังใจและศรัธาต้องมาก่อน*** คนเราอยู่ด้วยกันต้องดูแลกันเป็นกำลังใจให้กัน...ตอนนี้ผมไม่ได้ป่วยอะไรเลย มีหน้าที่คอยทุบน้ำแข็งใส่กระติกเพื่อแช่ยา..อุ่นยา (ยาปอด) ให้ก่อนให้แฟนทานเช้า- เย็น ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจว่าแฟนผมจะหายจากโรคพุ่มพวงด้วยวิธีทางสมุนไพรของมูลนิธิฯ หรือเปล่า แต่ว่าทุกคนควรจะต้องทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดเสียก่อน ..ก่อนที่จะมาเห่าหอนหรือวิพากวิจารณ์ต่างๆ นานา ว่าไม่หายมั่๊ง ตายร้อยรอดหนึ่งมั่ง ...ผมถามคุณนิดนึงว่า "คุณได้ปฎิบัติตัวตามที่เขาแนะนำหรือไม่ ..คุณช่วยเหลือตัวเองมากน้อยเพียงไร" ..พรุ่งนี้วันอังคารหมอราชวิถีนัดแฟนผมไปตรวจตามนัด...แฟนผมก็ต้องไป..ได้ยามาก็คงไม่ได้ทาน แต่ก็ไม่ให้ทิ้ง เพราะยาเค้าก็มีบุญคุณกับเรา เคยรักษาเราจนดีขึ้น ..ส่วนมากก็จะเป็นยาสเตรอยด์และก็ยาบำรุงเลือด ซึ่งมีใครตอบผมได้มั่งว่ามันสามารถรักษาหายได้ขาด...คนบางคนพูดให้ปากฉีกถึงหูก็ไม่ยอมเชื่อ..ผมนับถือพุทธผมเชื่อเรื่องเวร-กรรม ...ผมต้องกราบขอโทษด้วยถ้าข้อความของผมไปสดุดปลายเท้าใครเข้า...ส่วนตัวผมขอบอกว่าเหนือสิ่งอื่นใดในการรัษาโรคร้าย คือกำลังใจจากคนรอบข้างและศรัธาของตนเองต้องมาก่อน
เราอยากจะบอกว่า เราท่านคงห้ามคนที่พยายามทำ ธุรกิจชีวิต ไม่ได้หรอก แม้เขาเหล่านั้นจะโจมตี สักฉันใด เพื่อให้เราท่านเปลี่ยนไปใช้บริการของเขา ก็อยากให้วางเฉย หรือกล่าวเป็นกลางๆ อย่าไปตอบโต้ว่ากล่าวคนเหล่านั้นเลย เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง
ความโลภ ไม่ปราณี ใคร .... สิ่งที่เราท่านกำลังทำ ย่อมยากจะกล่าวอ้าง เพราะรู้ได้เฉพาะตน เมื่อเพื่อนสมาชิก อ่านข้อเขียนเหล่านั้น ก็ควรทำใจซะบ้าง เพราะมนุษย์สมัยนี้เขานำชีวิตคนมาหากินกันแล้ว เสียงของท่านย่อมไม่เป็นผลแก่คนเหล่านั้นอย่างแน่นอน แต่ก็ดีใจที่มีคนที่แก้ต่างให้แก่ชมรมฯ น่ะ....
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555
สวดมนต์สำคัญไฉน
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้กล่าวว่า การสวดมนต์ มีความสำคัญยิ่ง ด้วยเหตุสมุนไพรเป็นดังเครื่องลาง นั่นเอง
แลเครื่องลาง จะมีฤทธิ์ย่อมต้องผ่านการปลุกเสก จึงมีฤทธิ์ ฉันใดก็ฉันนั้น
การสวดมนต์ ก็คือ การที่แต่ละคนทำการปลุกเสกสมุนไพรของตนนั่นเอง และผลของการปลุกเสกจะเป็นเช่นไร ก็ย่อมขึ้นกับการกระทำของตนนั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ด้วยความจริงข้อนี้เอง จึงอยากให้สมาชิกทุกคน เน้นพฤติกรรมและกระบวนการในการสวดมนต์ เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ผลของการกระทำ ทำให้สมุนไพรของแต่ละคนมีฤทธิ์มากขึ้นนั้นเอง
ดังคำสอนที่เคยสอนไว้ว่า สมุนไพร ชอบความสงบ สงัด และถูกกับธรรมของพระพุทธเจ้า เหมือนน็อตเกลียวเดียวกัน ฉะนั้น เมื่อจะทำการสวดมนต์เพื่อปลุกเสกสมุนไพรของเราท่าน จึงต้องสร้างสภาวะดังกล่าวขึ้น ด้วยการ สงบ กาย วาจา ใจ รวบรวมสมาธิ จดจ่อ กับบทสวด และสวดด้วยความพร้อม จึงจะทำให้การกระทำในการปลุกเสกสมุนไพรนั้น ได้ผลสูงสุด
หากแม้นใครจะใช้ปัญญาหลีกเร้น ไม่ทำ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ท่านก็ไม่ว่ากระไร แต่การทำเช่นนั้น จะส่งผลให้สมุนไพรที่ทาน จะกลายเป็นน้ำ ทานสักฉันใด ก็ไม่มีฤทธิ์
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวย้ำว่า "ใครไม่ทำไม่ว่า แต่คนจำพวกนั้น ท่านไม่รับผิดชอบ" อันหมายถึง คนผู้นั้น ไม่เข้าทางตรอก ออกทางประตู ทำตัวดุจดังแมวขโมย จะลักกิน หลบกิน สักฉันใด สมุนไพรก็ไม่ให้ผลแต่ประการใด
ดินที่ปั๊มเป็นรูปพระ ไม่ผ่านการปลุกเสก ก็คือดินธรรมดา หาคนนำไปแขวนได้ไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น
หลักของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา คือหลักตนพึ่งตน จะให้ใครมาปลุกเสกสมุนไพรให้ เป็นไปไม่ได้
การกระทำที่จะให้ผล จึงเป็นดั่งคำขวัญของชมรม คือ "สมุนไพรรักษาโรค ธรรมรักษากรรม"
แล้วเราท่านจะมาใช้แต่สมุนไพร ไม่เอาธรรมของพระภูมีเลย คงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ใครจะเห็นว่าการสวดมนต์บาลีนั้นไม่สำคัญ ลองพิจารณาผลในอดีตของการทานสมุนไพรที่ผ่านมา แล้วลองทำตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์ถ่ายทอดมาให้ เปรียบเทียบกัน
จะรู้ว่า "ทำถูกแล้ว ผลถูกย่อมปรากฎ" เป็นอย่างไร
เมื่อรูู้แล้ว ท่านจะไม่สงสัยว่า ทำไมรุ่นพี่เราที่เขาประสพผล จึงเน้นการกระทำ ตั้งใจสวดกันอย่างไม่รู้เบื่อ
ถ้าเราท่านพบเห็นผลอันนี้แล้ว จะเข้าใจที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดเปรียบเปรยเสมอว่า การกระทำเยี่ยงนี้ อุปมา "กุ้งฝอย ตกปลากระพง" เราท่านอดทน ตั้งใจ เพียงไม่กี่อึดใจ แต่ผลที่ได้มหาศาลยิ่งนัก
"ปืนไม่มีกระสุน ก็ไร้ค่า สมุนไพร ไม่ปลุกเสก ก็ไร้ผล"
แลเครื่องลาง จะมีฤทธิ์ย่อมต้องผ่านการปลุกเสก จึงมีฤทธิ์ ฉันใดก็ฉันนั้น
การสวดมนต์ ก็คือ การที่แต่ละคนทำการปลุกเสกสมุนไพรของตนนั่นเอง และผลของการปลุกเสกจะเป็นเช่นไร ก็ย่อมขึ้นกับการกระทำของตนนั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ด้วยความจริงข้อนี้เอง จึงอยากให้สมาชิกทุกคน เน้นพฤติกรรมและกระบวนการในการสวดมนต์ เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ผลของการกระทำ ทำให้สมุนไพรของแต่ละคนมีฤทธิ์มากขึ้นนั้นเอง
ดังคำสอนที่เคยสอนไว้ว่า สมุนไพร ชอบความสงบ สงัด และถูกกับธรรมของพระพุทธเจ้า เหมือนน็อตเกลียวเดียวกัน ฉะนั้น เมื่อจะทำการสวดมนต์เพื่อปลุกเสกสมุนไพรของเราท่าน จึงต้องสร้างสภาวะดังกล่าวขึ้น ด้วยการ สงบ กาย วาจา ใจ รวบรวมสมาธิ จดจ่อ กับบทสวด และสวดด้วยความพร้อม จึงจะทำให้การกระทำในการปลุกเสกสมุนไพรนั้น ได้ผลสูงสุด
หากแม้นใครจะใช้ปัญญาหลีกเร้น ไม่ทำ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ท่านก็ไม่ว่ากระไร แต่การทำเช่นนั้น จะส่งผลให้สมุนไพรที่ทาน จะกลายเป็นน้ำ ทานสักฉันใด ก็ไม่มีฤทธิ์
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวย้ำว่า "ใครไม่ทำไม่ว่า แต่คนจำพวกนั้น ท่านไม่รับผิดชอบ" อันหมายถึง คนผู้นั้น ไม่เข้าทางตรอก ออกทางประตู ทำตัวดุจดังแมวขโมย จะลักกิน หลบกิน สักฉันใด สมุนไพรก็ไม่ให้ผลแต่ประการใด
ดินที่ปั๊มเป็นรูปพระ ไม่ผ่านการปลุกเสก ก็คือดินธรรมดา หาคนนำไปแขวนได้ไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น
หลักของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา คือหลักตนพึ่งตน จะให้ใครมาปลุกเสกสมุนไพรให้ เป็นไปไม่ได้
การกระทำที่จะให้ผล จึงเป็นดั่งคำขวัญของชมรม คือ "สมุนไพรรักษาโรค ธรรมรักษากรรม"
แล้วเราท่านจะมาใช้แต่สมุนไพร ไม่เอาธรรมของพระภูมีเลย คงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ใครจะเห็นว่าการสวดมนต์บาลีนั้นไม่สำคัญ ลองพิจารณาผลในอดีตของการทานสมุนไพรที่ผ่านมา แล้วลองทำตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์ถ่ายทอดมาให้ เปรียบเทียบกัน
จะรู้ว่า "ทำถูกแล้ว ผลถูกย่อมปรากฎ" เป็นอย่างไร
เมื่อรูู้แล้ว ท่านจะไม่สงสัยว่า ทำไมรุ่นพี่เราที่เขาประสพผล จึงเน้นการกระทำ ตั้งใจสวดกันอย่างไม่รู้เบื่อ
ถ้าเราท่านพบเห็นผลอันนี้แล้ว จะเข้าใจที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดเปรียบเปรยเสมอว่า การกระทำเยี่ยงนี้ อุปมา "กุ้งฝอย ตกปลากระพง" เราท่านอดทน ตั้งใจ เพียงไม่กี่อึดใจ แต่ผลที่ได้มหาศาลยิ่งนัก
"ปืนไม่มีกระสุน ก็ไร้ค่า สมุนไพร ไม่ปลุกเสก ก็ไร้ผล"
วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555
ศาสตร์หนึ่งเดียว
ประเด็นหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักพูดให้ฟังเสมอ คือ ความเป็นหนึ่งเดียว ของศาสตร์ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา
แลหนึ่งเดียว ที่มีนั้น ผูกพันกับสัญญา ที่มีต่อแม่ชีเมี้ยน สิ่งนี้สำคัญอย่างไร หลวงพ่อนิพนธ์ได้ชี้ว่า ด้วยสัญญานี้ เป็นที่สถิตของอำนาจ อันจะองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สมุนไพรมีฤทธิ์นั่นเอง
ยุคถ้ำกระบอก หลวงพ่อนิพนธ์ได้เคยถามแม่ชีเมี้ยน เมื่อครั้งที่ท่านจำรูญ เปลี่ยนปณิธานจากไม่รับเงิน เป็นรับเงินว่า "พี่เขาจะเอาเรื่องของเขา ตัวผมไม่เอานี่ แม่ไปกับผม ไปสร้างใหม่กัน"
คำตอบที่ได้รับ ก็ต้องรอผ่านมาอีกสองปี จนวันที่แม่ชีเมี้ยนจะลาสังขาร ด้วยเห็นว่าท่านจำรูญไม่เปลี่ยนใจแน่ จึงกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า "แม่จะไปกับแก"
ความหมายของคำนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ได้อธิบายว่า ด้วยสัญญาที่มีต่อท่านจำรูญ การจะสิ้นสุดสัญญา เพื่อให้อำนาจสมุนไพรสิ้นสุด นั้นคือการดับจิตของแม่ชีเมี้ยนลงนั่นเอง เพื่อให้ไปเกิดใหม่ ณ ตำราที่ให้หลวงพ่อนิพนธ์ นำออกมานั่นเอง
ถึงวันนี้ คำกล่าวนั้นได้เป็นที่ประจักษ์ เริ่มจากถ้ำกระบอก ตามมาด้วยพระที่แตกออกมาตั้งสำนักเอง ทั้ง ๗ ที่ล้วนแล้วมีตำรา และทำสมุนไพร เฉกเช่นในอดีตของถ้ำกระบอก ก็ต้องมีอันล้มเหลว ในการบำบัดรักษา และล้มเลิกไปทีละสำนัก จนหมด
ยิ่งไปกว่านั้น การสลายนั้นมิใช่เพียงตำรายาสมุนไพรเท่านั้น สิ่งที่ยืนยันในเรื่องนี้ได้อย่างดี นั่นคือเสียงของแม่ชีเมี้ยน ที่ได้อัดไว้ในขณะที่ท่านสอนพระถ้ำกระบอก ที่กระจัดกระจายไป หลายที่หลายทาง
ผ่านมาห้าสิบปี เทปของสำนักเหล่านั้น ก็ยืด และเสียหายจนหมดสิ้น คงเหลือแต่เทปที่อยู่กับหลวงพ่อนิพนธ์เพียงเท่านั้น ที่ยังคงสภาพเสียงได้ดี
และนับว่าเป็นโอกาสที่เป็นมงคลยิ่ง ที่เราท่านสามารถได้รับฟังเสียงของท่าน ที่หลวงพ่อนิพนธ์เปิดให้ฟัง นับเป็นชั่วโมง ได้รู้ที่มาที่ไปของท่าน ได้ฟังคำสอนย้อนยุคสมัยพุทธกาล
ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า สิ่งที่ท่านชวนมาให้ทำ มีที่มาที่ไป มีตัวตนจริง ผู้ใดทำได้ ย่อมประสพผล เริ่มจากปี ๓๐ ที่กลับมาเปิดอีกครั้ง จนวันนี้ คนที่นิยมชมชอบ และได้รับผลจากสิ่งนี้ มีให้เห็นมากมาย ดังที่เราท่านได้เห็น
และชี้ให้เห็นว่า "นอกจากศาสตร์หนึ่งเดียว ของพระภูมีแล้ว ไม่มีวิธีไหนในโลก ที่จะช่วยคนให้พ้นจากโรคภัยได้ อย่างแน่นอน"
สิ่งที่ท่านทิ้งท้ายไว้ให้ในวันงาน ก็คือ ด้วยศาสตร์นี้ต้องมีหนึ่งเดียว แต่เจ้าของเขาอยู่พม่า และทำอยู่ ทำให้ท่านก็ไม่มั่นใจว่า สถานที่นี้จะยังคงได้รับอนุญาตให้ดำรงอยู่ต่อไปได้หรือไม่
ข้ออ้างเดียวที่ท่านใช้กล่าวกับแม่ชีเมี้ยน ก็คือ "การตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด ตามคำสั่งนั่นเอง"
ถ้าคำขอเป็นผล เราท่านก็ยังมีที่พึ่งอยู่ ไม่ต้องบินไปถึงพม่า เพื่อทานยาเขียว
ฉะนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักพูดเล่นๆ ว่า รีบๆ ทานเข้า ถ้าเขาเอาคืนแล้วจะลำบาก อยากทานก็ต้องหาค่าเครื่องบิน ที่หนักกว่านั้นคือ ต้องรอคิวยาวกว่าที่นี้มากนัก ......
คำสุดท้ายที่ท่านยืนยัน "จะมีพระอรหันต์ อุบัติที่พม่าอย่างแน่นอน ท่านเอาหัวเป็นประกัน ถ้าไม่จริง"
รีบทำตัว ให้เป็นเกลียวเดียวกับเขาเข้าไว้ เมื่อเขาอุบัติ จะได้ไปร่วม ไปกราบได้สบาย
แลหนึ่งเดียว ที่มีนั้น ผูกพันกับสัญญา ที่มีต่อแม่ชีเมี้ยน สิ่งนี้สำคัญอย่างไร หลวงพ่อนิพนธ์ได้ชี้ว่า ด้วยสัญญานี้ เป็นที่สถิตของอำนาจ อันจะองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สมุนไพรมีฤทธิ์นั่นเอง
ยุคถ้ำกระบอก หลวงพ่อนิพนธ์ได้เคยถามแม่ชีเมี้ยน เมื่อครั้งที่ท่านจำรูญ เปลี่ยนปณิธานจากไม่รับเงิน เป็นรับเงินว่า "พี่เขาจะเอาเรื่องของเขา ตัวผมไม่เอานี่ แม่ไปกับผม ไปสร้างใหม่กัน"
คำตอบที่ได้รับ ก็ต้องรอผ่านมาอีกสองปี จนวันที่แม่ชีเมี้ยนจะลาสังขาร ด้วยเห็นว่าท่านจำรูญไม่เปลี่ยนใจแน่ จึงกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า "แม่จะไปกับแก"
ความหมายของคำนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ได้อธิบายว่า ด้วยสัญญาที่มีต่อท่านจำรูญ การจะสิ้นสุดสัญญา เพื่อให้อำนาจสมุนไพรสิ้นสุด นั้นคือการดับจิตของแม่ชีเมี้ยนลงนั่นเอง เพื่อให้ไปเกิดใหม่ ณ ตำราที่ให้หลวงพ่อนิพนธ์ นำออกมานั่นเอง
ถึงวันนี้ คำกล่าวนั้นได้เป็นที่ประจักษ์ เริ่มจากถ้ำกระบอก ตามมาด้วยพระที่แตกออกมาตั้งสำนักเอง ทั้ง ๗ ที่ล้วนแล้วมีตำรา และทำสมุนไพร เฉกเช่นในอดีตของถ้ำกระบอก ก็ต้องมีอันล้มเหลว ในการบำบัดรักษา และล้มเลิกไปทีละสำนัก จนหมด
ยิ่งไปกว่านั้น การสลายนั้นมิใช่เพียงตำรายาสมุนไพรเท่านั้น สิ่งที่ยืนยันในเรื่องนี้ได้อย่างดี นั่นคือเสียงของแม่ชีเมี้ยน ที่ได้อัดไว้ในขณะที่ท่านสอนพระถ้ำกระบอก ที่กระจัดกระจายไป หลายที่หลายทาง
ผ่านมาห้าสิบปี เทปของสำนักเหล่านั้น ก็ยืด และเสียหายจนหมดสิ้น คงเหลือแต่เทปที่อยู่กับหลวงพ่อนิพนธ์เพียงเท่านั้น ที่ยังคงสภาพเสียงได้ดี
และนับว่าเป็นโอกาสที่เป็นมงคลยิ่ง ที่เราท่านสามารถได้รับฟังเสียงของท่าน ที่หลวงพ่อนิพนธ์เปิดให้ฟัง นับเป็นชั่วโมง ได้รู้ที่มาที่ไปของท่าน ได้ฟังคำสอนย้อนยุคสมัยพุทธกาล
ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า สิ่งที่ท่านชวนมาให้ทำ มีที่มาที่ไป มีตัวตนจริง ผู้ใดทำได้ ย่อมประสพผล เริ่มจากปี ๓๐ ที่กลับมาเปิดอีกครั้ง จนวันนี้ คนที่นิยมชมชอบ และได้รับผลจากสิ่งนี้ มีให้เห็นมากมาย ดังที่เราท่านได้เห็น
และชี้ให้เห็นว่า "นอกจากศาสตร์หนึ่งเดียว ของพระภูมีแล้ว ไม่มีวิธีไหนในโลก ที่จะช่วยคนให้พ้นจากโรคภัยได้ อย่างแน่นอน"
สิ่งที่ท่านทิ้งท้ายไว้ให้ในวันงาน ก็คือ ด้วยศาสตร์นี้ต้องมีหนึ่งเดียว แต่เจ้าของเขาอยู่พม่า และทำอยู่ ทำให้ท่านก็ไม่มั่นใจว่า สถานที่นี้จะยังคงได้รับอนุญาตให้ดำรงอยู่ต่อไปได้หรือไม่
ข้ออ้างเดียวที่ท่านใช้กล่าวกับแม่ชีเมี้ยน ก็คือ "การตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด ตามคำสั่งนั่นเอง"
ถ้าคำขอเป็นผล เราท่านก็ยังมีที่พึ่งอยู่ ไม่ต้องบินไปถึงพม่า เพื่อทานยาเขียว
ฉะนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักพูดเล่นๆ ว่า รีบๆ ทานเข้า ถ้าเขาเอาคืนแล้วจะลำบาก อยากทานก็ต้องหาค่าเครื่องบิน ที่หนักกว่านั้นคือ ต้องรอคิวยาวกว่าที่นี้มากนัก ......
คำสุดท้ายที่ท่านยืนยัน "จะมีพระอรหันต์ อุบัติที่พม่าอย่างแน่นอน ท่านเอาหัวเป็นประกัน ถ้าไม่จริง"
รีบทำตัว ให้เป็นเกลียวเดียวกับเขาเข้าไว้ เมื่อเขาอุบัติ จะได้ไปร่วม ไปกราบได้สบาย
วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555
บอกหรือปกปิด กันแน่
พบสเตียรอยด์ระบาดหนักในยาแผนโบราณ-อาหารเสริม ผนึกเครือข่ายศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์-ชมรมเภสัชชนบท อย.หามาตรการป้องกัน เร่งพัฒนาระบบเฝ้าระวังการกระจายสเตียรอยด์ เตือนผู้บริโภคระวังตกเป็นเหยื่อไม่รู้ตัว เสี่ยงตายหากใช้ต่อเนื่อง
วันนี้ (19 มี.ค.) ที่โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์ ผศ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข รองผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “สภาพปัญหาและผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์ ” ว่า ปัจจุบันการใช้ยาของผู้บริโภค มีทางเลือกที่หลากหลาย ซึ่งยาแผนโบราณถือว่าได้รับความนิยมมากขึ้น และมีการผลิตออกมาจำหน่ายจำนวนมาก โดยผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง เห็นว่า ยาแผนโบราณน่าจะมีความปลอดภัยมากกว่ายาแผนปัจจุบัน แต่สิ่งที่ผู้บริโภคยังไม่ตระหนัก คือ สารปลอมปนในยาแผนโบราณ โดยเฉพาะยาที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือแม้กระทั่งยาสมุนไพรชนิดที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณก็มีการปลอมปนเช่นกัน
“ การพัฒนาระบบเฝ้าระวังการกระจายสารสเตียรอยด์ในยา ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ชมรมเภสัชชนบท เครือข่ายศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ เครือข่ายสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เครือข่ายภาคประชาชน จะร่วมหารือกับ อย.เพื่อร่วมสร้างระบบเฝ้าระวังการกระจายสารสเตียรอยด์ ให้มีความเข้มแข็งขึ้น เพื่อป้องกันการนำสารสเตียรอยด์เติมลงในยาอย่างไม่มีการควบคุม ” ผศ.ดร.ยุพดี กล่าว
น.ส.จารุวรรณ ลิ้มสัจจะสกุล ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 4 จังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า จากโครงการเฝ้าระวังคุณภาพยาที่มีส่วนผสมของสมุนไพร ระหว่างปี 2548-2552 ได้ตรวจตัวอย่างยาสมุนไพรทั้งหมด 626 ตัวอย่าง พบว่า
ในปี 2548 มียาที่มีการปลอมปนสารสเตียรอยด์ อยู่ที่ 30.5%
ปี 2549 อยู่ที่ 41.8%
ปี 2550 อยู่ที่ 40.8%
ปี 2551 อยู่ที่ 18.7% และ
ปี 2552 ลดลงอยู่ที่ 12.7%
ทั้งนี้ สารสเตียรอยด์ ถือเป็นยาควบคุมพิเศษที่มีอันตรายสูง มักพบการเติมลงในยาแผนโบราณ ประเภท ยาลูกกลอน และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่จำหน่ายทั่วไป ซึ่งหากประชาชนรับประทานยาแผนโบราณดังกล่าว ที่มีการปนเปื้อนของสารสเตียรอยด์ จะส่งผลเสียต่อร่างกายคือ ทำให้กระเพาะอาหารทะลุ กระดูกพรุน กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดการสะสมไขมันผิดที่ และไตวาย เป็นต้น
เราอยากจะบอกว่า การกล่าวอย่างนี้ ไม่มีประโยชน์กับผู้ใดเลย อย่าทำให้เสียงบประมาณแผ่นดินเลย เพราะเห็นได้ชัดว่า ทำเพื่อจุดประสงค์ใด
ถ้าเสียงเราดังถึงท่าน ไม่ว่าวิธีใด เราขอให้ท่านที่ทำงานดังกล่าว กรุณาให้ข้อมูลที่เด่นชัด ว่า สมุนไพรที่ตรวจพบดังกล่าว มีชื่อยี่ห้ออะไร ใครผลิต ใครเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นไปได้ ให้สถานีโทรทัศน์ประกาศออกเลยได้ยิ่งดี จะมีประโยชน์แก่พี่น้องชาวไทยมาก
พี่น้องชาวไทย จะได้เลือกใช้ และปลอดภัย แต่หากกล่าวเช่นนี้ ย่อมยากที่จะเลี่ยงว่า ทำเพื่อรับใช้ต่างชาติพ้นไม่ เพราะหากตรวจจริงแล้ว ก็จะพบว่า ยาเคมีที่ผสมเสตียรอยด์ มีขายดาษดื่นในประเทศเฉกเช่นเดียวกัน
เราหวังว่า วันหนึ่ง คนเหล่านี้ จะใช้สำนึกของคุณธรรมที่มี กล้าที่จะพูดความจริง กล้าที่จะทำสิ่งที่ถูก เพื่อพี่น้องชาวไทยเรา ไม่ต้องหลงเชื่อโฆษณา แล้วไปซื้อหามารับประทาน ไม่ต้องเสียเงินให้หมอ แล้วได้ยาที่ทำร้ายตนเองกลับบ้าน
เปิดซะทีเถอะ ทีวีช่องที่ให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชน ว่าอาหาร ยา สมุนไพร ชนิดใด มีอันตรายแบบไหนอย่างไร นึกว่าทำบุญ อย่าเห็นแก่เงินแล้วร่วมทำบาปอีกเลย
กินจนตายไปเป็นเบื่อ จนเจ้าของกิจการเขาละอาย จนต้องประกาศ "ต่อไป น้ำอัดลมที่เราผลิต จะลดสารที่ก่อมะเร็ง ให้น้อยลง" คนไทยเอ๋ย จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานซักเท่าใด
แล้วพระราชดำรัสของในหลวง ที่ให้กันคนชั่ว สนับสนุนคนดี เอาไปไว้ไหนกัน ..... ทำซะทีเถอะ ... ซ้ายก็ไทย ขวาก็ไทย... อย่าฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครองเลย
ไม่ต้องหามาตรการหรอกท่าน ตรวจแล้วประกาศทุกวัน ออกทีวี ก็พอแล้ว หามานานแล้วมาตรการน่ะ จนป่านนี้ยังหาไม่เจอเลย
เขาโฆษณาขายทุกวัน พวกคุณรู้ แล้วไม่บอก หมายความว่าอย่างไร ...... ตีขลุมอย่างนี้ กลายเป็นสมุนไพรที่ดี ก็อยู่ร่วมแก๊งค์ชั่วไปด้วย .... วันหนึ่งเมื่อต้องกลับมาพึ่ง จะทำอย่างไร ....
อย่างน้อยก็ประกาศข้อมูลในเว็ปกระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม ก็ยังดีน่ะ คนเขาจะได้รู้ และขอบคุณในสิ่งที่พวกท่านทำ
ปาฏิหารย์ที่สัมผัสได้
วันงานที่แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูรู้คุณแม่ชีเมี้ยน ผ่านไปได้ด้วยดี สิ่งที่เราเห็น คือ คนไข้รุ่นเก่า รุ่นกลาง รุ่นใหม่ มากันพร้อมหน้า แอบสอบถามเจ้าหน้าที่จราจร นับรถที่มาร่วมงาน กว่า หนึ่งพันห้าร้อยคัน
ปีนี้เป็นปีแรก ที่เราเห็นสิ่งที่แตกต่างจากปีก่อนๆ นั่นคือ ซุ้มอาหารที่คนไข้ ทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ นำพากันมาออกร้าน ให้ผู้ร่วมงานทานกันฟรี มีมากจนคนที่มาทานไม่ไหว แม้ว่าคนที่มาในปีนี้ จะมากกว่าทุกปีก็ตาม จวบจนการสวดมนต์จบ ก็ย่างเข้าเลยตีหนึ่งแล้ว แต่อาหารก็ยังมีให้ทานจนเหลือเฟือ
ในวันมงคลนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ได้สอนถึงวิธีกระบวนการ ที่คนไข้ ควรจะทำ เพื่อให้การหายโรค สมหวังดังใจ พร้อมกันนั้น ได้เปิดเทป ที่แม่ชีเมี้ยนสอนพระถ้ำกระบอก เมื่อครั้งในอดีต อันจะเป็นเครื่องบอกว่า แม่ชีเมี้ยนเป็นใคร นำคำสอนและสูตรสมุนไพรของพระพุทธเจ้ามาได้อย่างไร
เมื่อเราท่านได้ยินได้ฟัง พร้อมกับได้แลเห็นซึ่งผลของการปฏิบัติ ตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่ผ่านมากว่าห้าสิบปีแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่เกิด น่าจะเป็นประจักษ์พยาน ให้เราท่านมั่นใจได้ว่า ทางเลือกสายนี้ เป็นของจริง ผู้ทำได้ย่อมได้ผลตามการกระทำของตน และที่สำคัญ ท่านก็ย้ำว่า "ท่านเอง รักษาใครไม่ได้ แต่มีวิธีปฏิบัติและสมุนไพร เพื่อให้เราท่าน นำไปรักษาตนเองได้"
ผู้ทำได้ ย่อมได้เห็นได้พบซึ่งปาฏิหารย์ของศาสนา ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาได้ จึงได้ให้ คุณปรียานุช นั่งคุกเข่า ท่ากราบเบญจางฯ ให้ดู แล้วกล่าวว่า เราท่านเห็นหรือไม่ บุคคลที่ซึ่งหมอทั่่วโลก กล่าวว่า เป็นโรคกระดูกป่น แม้กระทบของแข็งสักเล็กน้อย กระดูกจะแตกป่น นอนหลับเฉยๆ ฟันก็ป่นร่วงลงมาดั่งเม็ดทรายได้ จะไม่มีวันรักษาหาย แลไม่สามารถกลับมานั่งท่านี้ได้อีกเลย เพราะกระดูกจะรับน้ำหนักตัวเองไม่ได้นั่นเอง
ไม่ว่าเขาเป็นใคร ถ้าทำได้ ก็สัมผัสปาฏิหารย์ของศาสนาได้ หากแม้นเป็นลูกของแม่ชีเมี้ยนก็ตาม เมื่อไม่ทำ ก็ไม่ได้ เช่นเดียวกัน พี่น้องท่านสี่คน แม้คลานตามกันมา เป็นลูกแม่ชีเมี้ยนเหมือนกัน แต่ความเชื่อไม่เหมือนกัน ทั้งสี่คนที่เชื่อหมอ จึงล้วนแล้วตายคาเข็มยาของหมอทั้งสิ้น
พี่น้องที่เหลือ คือคนที่เชื่อแม่ชีเมี้ยน ไม่หาหมอ หันมาทานสมุนไพร ก็ยังอยู่ครบทุกตัวคน
สิ่งที่เราอยากชี้ให้เห็น คือ "ท่านไม่ใช่คนแรก ไม่ใช่หนูลองยา ไม่ใช่กำลังทานสมุนไพรที่ไม่มีที่มาที่ไป"
งานนี้จึงแสดงให้เห็น ว่ารุ่นพี่มีตัวตน แลต้องมีพฤติกรรมเช่นไร จึงประสพผล หากยังไม่พร้อมไม่เป็นไร เพราะแม่ชีเมี้ยนตรัสกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า เราขอให้ท่านมีอายุถึงร้อยกว่า เพราะฉะนั้น ดูไปก่อนได้ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยมา
หากแต่เมื่อมาแล้ว ไม่เรียนรู้ ไม่ปฏิบัติ ก็เป็นการเสียเวลาเปล่า ที่สำคัญ ท่านกำลังสร้างอุปสรรคให้ตัวเอง เมื่อเบื่อและเลิกราไป ครั้นเวลาจวนตัว สิ่งที่ทำนี้ก็จะมาเป็นอุปสรรคที่กั้นขวางท่าน ดั่งเช่นที่หลายคนเคยประสพ อาทิเช่น อาจารย์หมอ รองผู้ว่าการ ที่เมื่ออยากกลับมาอีกครั้งก็อายใจในสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว ท้ายที่สุดก็ต้องจากไปพร้อมความเสียใจนั่นเอง
ไม่แปลกหากท่านจะไม่เลือกทางสายนี้ เพราะความลำบาก แต่จะแปลกถ้าท่านปิดทางสายนี้เสีย เพราะวันหนึ่งเมื่อท่านพบสัจจะธรรม และได้รู้ว่า เส้นทางอื่นที่ท่านและใครๆ เลือกเดินนั้น มันเป็นทางตัน ท่านยังเหลือทางเลือกสายนี้ แม้จะเดินลำบาย แต่เมื่อผ่านพ้นอุปสรรค ท่านก็จะเห็นประตูสวรรค์เปิดรอ หาใช่ทางตันดังเช่นเส้นทางสายอื่นไม่
ถ้าท่านเชื่อใจของท่าน ก็จะเห็นทางสายอื่นเป็นดอกบัว แลทางสายของแม่ชีเมี้ยนเป็นกงจักร หากแต่ถ้าท่านใช้เหตุและผล ของพระภูมี ท่านจะเห็นภาพที่แท้จริง แล้วรู้ว่า สิ่งที่ท่านได้เห็น ได้ยัิน เป็นภาพลวงตา ลวงใจ เป็นเพราะกรรมบังตา สิ่งที่ท่านเห็น ท่านได้ยิน จึงกลับตาลปัตร เมื่อใครก็ตามหลงเชื่อเดินตามสิ่งลวงนั้น จึงไม่ได้เป็นเขาเหล่านั้น กลับออกมาอีกเลย คนแล้วคนเล่านั่นเอง
วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555
หน้าประวัติศาสตร์ ที่ไม่อาจลืมเลือน
สถานที่แห่งนี้ คือ วัดพระศรีมหาธาตุ ดอนเมือง กรุงเทพฯ ที่ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่กักกัน พระถ้ำกระบอกทั้งคณะ เมื่อปี ๒๕๐๔ นั้นเอง
ด้วยข้อหาที่จัดให้ คือ
๑.เป็นผู้หญิง กระทำตนให้พระไหว้
๒.อุตริมนุษยธรรม
๓.มีการกระทำซ่องสุมผูู้คน อันเป็นคอมมิวนิสต์
บริเวณที่ใช้กักกันบริเวณพระลูกวัดทั้ง ๗๓ รูป คือ เกาะโพธิ์ กลางน้ำของวัด ในขณะที่ แม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อจำรูญ หลวงพ่อเจริญ และ ท่านนิพนธ์ ถูกแยกสอบสวนต่างหากที่กองปราบ
ในขณะที่ทางเถรสมาคม ให้ตั้งตัวแทนเพื่อให้ปากคำ พระถ้ำกระบอก จึงให้ท่านนิพนธ์ เป็นตัวแทนเพื่อให้ปากคำ แก่ตัวแทนเถรสมาคม คือ พระระดับสมเด็จในขณะนั้น
ผลที่สุด กรมศาสนา และทางการ ได้ถูกศาลให้มีคำสั่งยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา ยกเว้น กรณีของแม่ชีเมี้ยน ในข้อหา แต่กายเลียนแบบสงฆ์ มีคำสั่งให้สอบ ณ ศาล จ.สระบุรี
ท้ายที่สุด ข้อกล่าวหาทั้งหมด ก็ถูกยกไป พร้อมกับคำสั่งของ จอมพลสฤษด์ ให้สำนักสงฆ์ ถ้ำกระบอก เป็นวัดอภิสิทธิ์ เพียงวัดเดียว ที่ทำการบวชพระเองได้ และให้กระทรวงสาธารณสุข ออกใบอนุญาต จัดตั้งเป็นสถานบำบัดยาเสพติดได้ นับแต่ปี ๒๕๐๕
สูตรสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการทดสอบมายาวนาน กับคนเป็นเรือนแสน ที่ผ่านเข้ามา ไม่ใช่ยาผีบอก ไม่ใช่นึกคิดเอาเอง จึงน่าจะเป็นที่วางใจได้ ยิ่งกว่ายาเคมีใดๆ
ณ วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ มีใบอนุญาตจากสาธารณสุข ๒ ใบ
๑.คือ ใบประกอบโรคศิลป์และเวชกรรม - ที่ซึ่งมีเพียงคนเดียวในประเทศไทย ที่ได้ใบอนุญาตทั้งสองประเภทในใบเดียวกัน
๒. คือ ใบอนุญาตที่ท่านจำรูญ จัดให้เป็นผู้สืบทอด ในการบำบัดรักษายาเสพติด
หน้าประวัติศาสตร์ที่ผู้คนไม่รู้ว่า ทำไมท่านจำรูญถึงเรียกหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อรับมอบใบอนุญาตดังกล่าว
เหตุผลก็คือ ในการออกใบอนุญาตเมื่อครั้งในอดีตนั้น มีข้อกำหนดหนึ่ง คือ ใบอนุญาตดังกล่าวจะสิ้นสุดเมื่อไม่มีผู้ที่สามารถทำสมุนไพรสืบต่อสืบจากท่านจำรูญได้ นั่นเอง
ด้วยเหตุดังกล่าว ท่านจำรูญ จึงให้คนมาเชิญหลวงพ่อนิพนธ์เพื่อให้ไปรับสืบทอดใบอนุญาตดังกล่าว เพราะรู้ดีว่า มีเพียงคนเดียวที่จะทำเช่นนั้นได้
จึงเป็นเรื่องตลก ที่จะปรากฎในหน้าประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะสำหรับเรา เพราะสูตรสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน และคนที่มีคุณค่า ดังเช่นหลวงพ่อนิพนธ์ มีผลงานโดดเด่น เป็นที่ประจักษ์ แต่ก็แทบจะหาแผ่นดินเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เป็นหลักฐาน ได้ยากยิ่ง ต้องย้ายไป ย้ายมา จนเกือบยี่สิบปี จึงสามารถสร้างฐานของตนได้
ยิ่งน่าเศร้าสำหรับเราเข้าไปอีก ที่คนไทยด้วยกัน กลับไม่เชื่อมั่น แม้ผลงานจะยืนยันสักฉันใด แต่กลับไปเชื่อในยาเคมี ที่ไม่เคยมีผลงานใดๆ เลย นอกจากคำโฆษณา
สติอันน้อยนิด ที่หลวงพ่อนิพนธ์ ให้พิจารณาเล่นๆ ก็คือ "ถ้ายาคีโม ยามะเร็งของเขาดีจริง คนอย่าง สตีฟ จ๊อบ จะตายได้อย่างไร"
ประวัติศาสตร์ หน้าของวัดพระศรีมหาธาตุ ได้ถูกลบเลือนไป แต่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ คือ ชมรมคนรักสุขภาพ ที่สนับสนุนโดย มูลนิธิไทยกรุณา กำลังก่อกำเนิดขึ้น
สำหรับคนอื่น อาจไม่มีความหมายใด แต่สำหรับเรา คิดว่า สถานที่นั่นแหละ เป็นที่ที่แม่ชีเมี้ยนได้แสดงให้เห็นถึง สิ่งที่ท่านนำมา คือ สมุนไพร และธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่า "เป็นของจริง" เพราะฉะนั้น ทองแท้ไม่แพ้ไฟ อันเป็นคำกล่าวของแม่ชีเมี้ยน ที่กล่าวกับพระสงฆ์ไว้ในอดีต ว่าสิ่งที่ทำเป็นคุณ และจะเป็นสิ่งที่ปกป้องให้รอดพ้นภัยอันตรายได้
วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ยังย้ำในจุดนี้ คือ สถานที่นี้ มีสิ่งที่แม่ชีเมี้ยนนำมา อันได้แก่สมุนไพร และธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เฉกเช่นในอดีต
เราจึงอยากเชิญชวน มารำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน ในงานคืนวันที่ ๑๗ มีนาคม นี้ วันที่ท่านหยุดลมหายใจ เพื่อให้ตำราของถ้ำกระบอกสิ้นสุดอำนาจลง และมาเกิดยังตำราที่ท่านให้หลวงพ่อนิพนธ์นั่นเอง
เราท่าน จะได้เห็น รุ่นพี่ ที่ประสพผล กลับมา แสดงความกตัญญูรู้คุณ ต่อแม่ชีเมี้ยน อันจะทำให้เราเห็น และไตร่ตรองได้ว่า สิ่งที่เราท่าน กำลังเชื่อ กำลังทำ เป็นเรื่องจริง เมื่อทำได้ ย่อมประสพผลดังรุ่นพี่ได้ เช่นเดียวกัน
ความหลากหลายของรุ่นพี่ ไม่ว่า โรคมะเร็ง เบาหวาน อัมพฤกต์ เอดส์ และอีกมากมาย ลองมาสัมผัส และฟังเขาคุย ประสพการณ์ที่ผ่านมา ว่าเขาทำตนอย่างไร จึงสำเร็จ
เราคิดว่า นี่แหละคือทางเลือกที่ดีที่สุด แต่สงวนสิทธิ์เฉพาะคนที่เชื่อและทำตามเท่านั้น
เรื่องที่อยากให้ลองคิด คือ ทุกคนที่เรียน ต้องสอบผ่านเพื่อให้ได้ใบรับรอง ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อไปทำแล้วจะประสพผลสำเร็จ ในขณะที่หลวงพ่อนิพนธ์ ทำจนเขาเห็นผลสำเร็จ จึงได้มอบใบรับรองให้
พิจารณาแล้ว ควรตอบให้ได้ว่า สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ยังมีข้อกังขา อันใดที่น่ากลัวกว่าการใช้ยาเคมีอีกหรือ
แม้กระนั้นก็ตาม คำเตือนจากสาธารณสุข ก็ยังคงแว่วมาว่า ไม่อนุญาตให้รับคนไข้ เข้าพักรักษาได้ เพราะยังไม่ได้จัดตั้งเป็นสถานพยาบาล ....
สำหรับเราช่างเป็นเรื่องขำ ที่ขันไม่ออก .... ก็ประเทศนี้ใช่ไหม ที่บริจาคให้หมา ถึงยี่สิบล้าน เพียงไม่กี่วัน เพียงเพราะหมาไม่มีกิน ไม่มีที่ที่พัก .....
แต่ เฮ้อ นี่คนน่ะ .... มองไปมองมา ก็พี่น้องผองไทย ... ตลกเศร้า
น็อตคนละเกลียว
นอกจากการมีวินัยในการทานสมุนไพรแล้ว สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้กล่าวย้ำเตือนว่า แม้จะทานสมุนไพรชนิดเดียวกัน หม้อเดียวกัน ก็ตาม แต่ผลที่ได้ออกมาไม่เหมือนกันทุกคน "เพราะอะไร"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงยกคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ในครั้งอดีตให้ฟังว่า
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระโคดมเสด็จผ่านหมู่บ้านหนึ่ง และได้พักค้างแรม มีคหบดีท่านหนึ่งทราบเรื่อง พร้อมกับสองตายาย โดยทั้งสองฝ่ายตั้งใจที่จะนำอาหารไปถวายพระโคดมเช่นกัน
ฝ่ายตากับยาย ก็กุลีกุจอ ข้างตาก็เข้าป่าเก็บผักหวาน ข้างยายก็เตรียมที่จะนำผักหวานที่ตาเก็บได้ มาทำแกงเลียง เพื่อถวายพระโคดม ในรุ่งเช้า
ฝ่ายคหบดี ก็เกณฑ์ข้าทาส ตระเตรียมอาหาร ที่ตนคิดว่าดีที่สุด สั่งการเป็นอันใหญ่ ด้วยปิดิที่จะได้นำอาหารไปถวายพระโคดมเฉกเช่นเดียวกัน
ครั้นรุ่งเช้า ตากับยาย ก็นำข้าวและแกงเลียงผักหวาน จัดอย่างดีไปถวายพระโคดม
ในขณะที่คหบดี ก็ให้ข้าทาส ช่วยกันยกสำหรับ พากันมาถวายพระโคดม
พระโคดม พิจารณาแล้ว จึงอยากที่จะโปรดคหบดี เพื่อให้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ท่านจึงฉันข้าวและแกงเลียงผักหวาน ของสองตายายจนหมด โดยไม่แตะต้องอาหารของคหบดีแม้แต่น้อย
คหบดีเมื่อเห็นดังนั้น ก็อดรนทนไม่ได้ รอจนพระภูมีฉันเสร็จ เก็บสำรับ แล้วจึงตรงเข้าไปถามด้วยความสงสัยว่า "ทำไมพระองค์จึงไม่ฉันอาหารของข้าพเจ้า ทั้งที่ข้าพเจ้าก็ตั้งใจ และทำอาหารอย่างดีมาถวาย แต่กลับฉันเฉพาะอาหารของสองตายายเท่านั้นเล่า"
พระโคดมได้ที จึงตรัสสอนคหบดีว่า "ด้วยหลักของอาตมา คือ หลักตนพึ่งตน นั่นเอง"
แม้อาหารของท่านคหบดี ดูแล้วจะเลิศรส น่าทาน และมีความตั้งใจนำมาถวาย แต่ตัวท่านและภรรยา ไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำอาหารนั้นๆ เลย แม้แต่น้อย จะเรียกว่า อาหารของท่านได้ฉันใด
ส่วนของตายาย ล้วนแล้วแต่ริเริ่ม และทำเองตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งตรงกับหลักของอาตมา
พฤติกรรมของสองตายาย จึงสอดคล้องกับสิ่งที่อาตมาปฏิบัติอยู่ อาตมาจึงฉันของสองตายาย ส่วนของท่านคหบดี ล้วนแล้วมาแต่การอาศัยผู้อื่น ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ใช่แนวทางของอาตมา ถึงแม้จะฉันของท่านคหบดี ก็หามีประโยชน์อันใดต่อคหบดีไม่ ล้วนแล้วแต่เป็นของผู้อื่นทั้งสิ้น
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสรุปให้ฟังว่า สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จะมีประโยชน์กับใคร ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับท่านฝ่ายเดียว ส่วนของท่าน คือ "ทำให้เป็นทาน" สมบูรณ์แล้ว อีกส่วนหนึ่งคือผู้ทาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะให้คำตอบว่า ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ นั่นก็คือ สมุนไพรจะออกฤทธิ์ ตามพฤติกรรมของผู้ทานนั่นเอง
ผู้ใดทำตายหลักตนพึ่งตนของพระภูมีมากเท่าใด ก็อุปมา น็อตเกลียวเดียวกัน สมุนไพรก็จะมีฤทธิ์มากขึ้นเท่านั้น
ผู้ใดไม่ทำเลย จะมาทานสมุนไพรอย่างเดียว ทานสมุนไพรไป ก็เหมือนไม่ทาน หาฤทธิ์อันใดไม่ได้ เสียเวลาเปล่า
ด้วยเหตุนี้ แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า "ท่านไม่ต้องกลัวโจรหรือคนไม่ดีมันจะมาหลอกทานสมุนไพรท่านหลอก เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาคงไม่ช่วยให้คนจำพวกนั้นกลับมามีพลัง เพื่อไปทำลายคนอื่นอีกอย่างแน่นอน"
อุปมาคนพวกนั้น เหมือนน็อตคนละเกลียวกับหลักของพระโคดม จะทำสักฉันใดก็เข้ากันไม่ได้ เสียเวลาเปล่า
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงบอกว่า ใครที่คิดว่า มาที่นี่ จุกจิก จู้จี้ ต้องทำโน่นทำนี่ ไม่ชอบ ไม่อยากทำ ก็อย่ามาเสียเวลาเลย เพราะผลสุดท้ายก็เสียเงินค่ารถ เสียเวลาเปล่า ไม่ประสพผลอย่างแน่นอน ยิ่งคิดจะมาหลอก อาจจะหลอกตัวท่านได้ แต่หลอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หรอก
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555
ฟังฝรั่งพูด แล้วเก็บมาคิด
เพื่อนชาวฝรั่งที่มาทำงานประเทศไทย ได้พูดเกี่ยวกับนิสัยคนไทยให้ฟัง ว่า คนไทยเป็นคนที่ถูกหล่อหลอมให้ยอม หรือ ให้อภัย จนเขาอิจฉา
เรื่องบางเรื่องสำหรับประเทศเขา เป็นเรื่องใหญ่โต คอขาดบาดตาย หรือพูดง่ายๆ กว่าจะจบ ก็ต้องฟ้องร้องกันเสียก่อน โดยเฉพาะเรื่องสิทธิของบุคคล
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกล่าวว่า คนไทยจึงไม่คิดที่จะสืบสาว เพื่อหาความจริงว่าเป็นเช่นไร แต่ทนอยู่อย่างยอมรับ ด้วยคำเดียว คือ "ให้มันเป็นไปตามกรรม"
คนที่เรียนมากกว่า ฉลาดกว่า โกงกว่า จึงหากินในประเทศนี้ได้อย่างสบายใจ
จะมีกี่คนที่รู้ว่า ขณะนี้คนไทยทานยาเคมี เกินความจำเป็น จนทำลายตน เสียงของผู้เตือนเรื่องนี้ ก็แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
จะมีกี่คนที่รู้ว่า ประเทศไทยส่งออกน้ำมัน ในปี ๒๕๕๔ นี้ เป็นเงินถึงสามแสนล้านบาท มากกว่ารายได้จากการส่งออกข้าวอีก แต่คนไทยก็ยังใช้น้ำมันราคาสิงค์โปร์
จะมีกี่คนรู้ว่า บริษัท ที่มีชื่อไทยๆ นั้น ถูกต่างชาติซื้อไปเท่าไรแล้ว
เขาจึงกล่าวว่า ประเทศที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ จึงเป็นสวรรค์ของพวกเขา
ในขณะที่ ประเทศแม่ของพวกเขา กำลังแสวงหา และกอบโกย ภูมิปัญญาด้านสมุนไพร พร้อมตั้งกฎหมาย ที่เรียกได้ว่าค่อนข้างรุนแรง สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน เพื่อให้คนของเขาเปลี่ยนมาทานสมุนไพร
ด้วยผลวิจัยที่ประจักษ์ ในอันตรายของยาเคมีที่พวกเขาผลิตนั่นเอง จึงตรากฎหมายให้ส่งออก ส่วนคนของประเทศตน ต้องทานสมุนไพร
เราจึงไม่แปลกใจว่า สมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน คงไม่ได้เกิดจากการยอมรับของคนไทยอย่างแน่นอน แต่คงจะเฉกเช่นอดีต คือ การยอมรับจากต่างชาติ คือ อเมริกา ก่อน ดังยุคถ้ำกระบอก
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า วันใดที่เราได้รับการยอมรับจากต่างชาติอีกครั้ง เราจะทำให้คนไทยกินฟรี กินให้หนำใจ
และวันนั้นเอง เราจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งเดียวในโลก นั่นคือ "โรงพยาบาลแพทย์แผนไทย"
ตำราที่มีทั้งหมด ก็จะถูกบรรจุให้คนที่มีคุณสมบัติ ได้มาเล่าเรียน และเผยแพร่ รวมถึงบรรจุเป็นยาสมุนไพรประจำบ้าน
ใครที่อยากเรียน รอวันนั้นได้เลย
เสียดายก็แต่ คนไทยที่รู้ว่าสิ่งที่ช่วยตนได้ อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ตนเองไม่เคยได้สัมผัสเลย กว่าจะรู้ก็ไม่มีเวลาให้ตนเองแล้ว
วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555
ความจริงที่ไม่เคยสัมผัส
แว๊ปไปอ่าน ในเวปที่คนไข้ เขาคุยกัน ก็เลยอยากนำมาให้รู้ว่า เขาคิดกันอย่างไร
--------
" จะไปทำไม มูลนิธิฯ เอาใบไม้อะไรมาต้มให้กินก็ไม่รู้ แค่ฟังเค้าเล่าต่อๆ กันมาจะไปเชื่อได้ยังไง จะเอาชีวิตไปเสี่ยงทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์ "
" กินยาต้านจากโรงพยาบาล แค่นี้ก็สบายดี ปกติแล้ว คนเค้าก็รักษาด้วยยาต้านกันทั่วทั้งโลก
เดี๋ยวนี้โรคนี้มันรักษาได้ แค่มันไม่หายขาด ก็กินยาวันละครั้ง หรือสองครั้ง ไม่เห็นจะยากอะไรเลย ยาก็ฟรี "
" ผมเริ่มต้น cd4 =9 กินยามาปีกว่า ตอนนี้ 250 ล่ะ แล้วก็คงจะขึ้นไปเรื่อยๆ สุขภาพแข็งแรงดีมากกว่าเมื่อก่อนอีก ไม่ป่วยอะไรเลยมาปีนึงล่ะ อยู่บ้านกับพ่อแม่พี่น้อง ไม่เคยย้ายไปอยู่ไหน "
" ไปหาหมอปกติ ตามโรงพยาบาลเนี่ยแหละครับ ไปตามที่เรามีสิทธิ์รักษาฟรียาต้านเดี๋ยวนี้กินง่าย "
-------------
อ่านแล้วก็ให้ความรู้สึกและอารมณ์ อย่างหนึ่ง คือ นิสัยของคนไทย ที่อยากให้ความเห็น แต่ไม่กล้าที่จะพิสูจน์ความจริง
จึงถือเป็นเรื่องที่จะว่า น่าเสียใจก็ใช่ ที่ทำให้เขาเหล่านั้นขาดโอกาส แต่ก็น่าดีใจสำหรับผู้ที่ทานสมุนไพรอยู่ในขณะนี้ เพราะด้วยถ้อยคำเหล่านี้ ทำให้สถานที่นี้ ยังคงมีผู้ใช้บริการแค่เกือบหมื่นคนเท่านั้น ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ยังคงพอรับไหว
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นด้วยกับผู้แสดงความคิดเห็น นั่นคือ ยาที่เขาทานอยู่ทานได้ง่าย แต่ที่ง่ายกว่า คือ การยอมรับในยานั้นนั่นเอง ซึ่งน่าแปลก เพราะไม่เคยมีใครที่จะตั้งข้อสงสัยเลยว่า มันทำมาจากอะไร ปลอดภัยไหม ทานแล้วจะมีผลข้างเคียงอย่างไร หรือ...
แต่กับสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ไม่เคยแม้แต่ได้ยิน ไม่เคยมาสัมผัส กระนั้นก็ตาม มีข้อสงสัย ปุจฉามากมาย ทั้งที่ความแตกต่างระหว่างสองสิ่ง คือ ยาเคมี ไม่เคยมีผู้ใดรอด จากการทานเลย ในขณะที่ สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน คนรอด มาเดินให้เห็นกันให้ไขว่
สิ่งที่ช่วยให้คนรอดได้ กลับเป็นที่น่าสงสัย ไม่น่าไว้วางใจ นี่แหละคงเป็นดังคำที่พระภูมีตรัสว่า "มนุษย์ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นดอกบัวเป็นกงจักร"
เราไม่มีเจตนาจะว่าใคร เพราะรู้ดีและยอมรับว่า ทุกคนมีสิทธิ์เลือกแนวทาง ตามความเห็นความชอบของตน
เพียงแต่อยากจะบอกว่า เมื่อเราท่านกล้าที่จะสงสัย ก็น่าที่จะกล้าพิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เลยไม่ดีกว่าหรือ จะเป็นประโยชน์กว่าที่จะมาแสดงความเห็นกันไปมา ผลสุดท้ายก็เป็นแค่ผายลม
แม้แต่คำถามที่ว่า ระหว่าง "ไม่ทานยาเคมี" กับ "ทานยาเคมี" สิ่งไรจะทำให้มีชีวิตยืนยาวกว่ากัน .... ก็ยังไม่รู้ แต่เพื่อความสบายใจ ทานไว้ก่อนดีกว่า เชื่อหมอ..... เขาเก่ง
ธรรมชาติของสมุนไพร - สมุนไพรกับการปลุกเสก
เกล็ดเล็กน้อยๆ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ นำมาสอนให้ได้รับรู้รับฟัง อันพึงเป็นประโยชน์แก่ผู้ทานสมุนไพร
ท่านชี้ให้เห็นว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า สมุนไพร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางธรรมชาติ ธรรมชาติเขาสร้างมาให้มนุษย์ให้เพื่อการฟื้นฟูตนเองอยู่แล้ว
แต่การนำมาใช้ ต้องผ่านการปลุกเสกโดยผู้ทำ แลวิธีการปลุกเสกนั้นก็คือ "คุณธรรม" นั่นเอง
คุณธรรมที่ว่าดังกล่าว แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า เป็นคุณธรรม เฉกเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าที่สอนสั่งสาวก อันหมายความถึง "การให้เป็นทาน" นั่นเอง
วิชาสมุนไพร จึงเป็นวิชาของพระพุทธเจ้า ที่มีไว้เพื่อหาบุญกุศล เป็นการทำให้ แลผลของการทำให้ก็จะมหาศาล
หากแต่การใช้สมุนไพร เพื่อทำขาย เท่ากับเป็นการทำลายคุณค่าของสมุนไพรนั้นลงเสีย อุปมาดั่งถ้ำกระบอกที่ประสพมา รวมถึงพระที่เล่าเรียนวิชาสมุนไพร แล้วแตกสำนักออกไปจากถ้ำกระบอก ทั้ง ๗ สำนัก ซึ่งล้วนแล้วแต่นำไปทำขาย จึงประสพชะตากรรม เจ้าอาวาส ล้วนแล้วแต่เป็นโรคตาย ทั้งหมดทั้งสิ้น
แลสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้สอนไว้ คือ สมุนไพรเป็นพืชที่ชอบอยู่ในสภาวะ เงียบ สงบ สงัด ดังนั้น การสร้างสภาวะดังกล่าวขึ้นในตัวตนของผู้ทาน จึงมีความจำเป็น
ด้วยเคล็ดดังกล่าว พระภูมีจึงสอนให้ผู้ทานสมุนไพร ฝึกตนให้เกิดสภาวะดังกล่าว นั่นคือ การสงบกาย สงบใจ สงบวาจา ด้วยการสวดมนต์ หรือ ท่องพระคาถา
ดังนั้น ก่อนที่จะทานสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนไว้ว่า วิธีการที่ถูก และเหมาะสม เพื่อให้สมุนไพรทำงานได้ดีที่สุด คือ ก่อนทาน ให้นำสมุนไพรไปไว้ ณ หิ้งพระ แล้วทำสภาวะดังกล่าวให้เกิดขึ้น สักเวลาหนึ่ง เช่น ทำไม่โกรธ ๑ ชั่วโมง หรือ สวดมนต์ เมื่อครบเวลาดังกล่าวแล้ว จึงนำสิ่งที่ทำได้ ไปอธิษฐาน ขอ แล้วจึงทานสมุนไพร
ท่านจึงกล่าวว่า การทานสมุนไพร มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากมาย ซึ่งไม่มีในทางการแพทย์อื่นๆ ผู้ที่จะเลือกแนวทางนี้ จึงจำเป็นต้องมาศึกษาและเรียนรู้ นำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง ผู้ทำได้ ก็จะได้รับผลจากสมุนไพรอย่างเต็มที่ ตามสิ่งที่ทำ
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555
ผลของการเลือก - สมุนไพรจุดประกายความหวัง
น้องนุช เป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง รักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน มา ๕ ปี กว่า ผลที่ได้คือ ต่อมน้ำเหลืองที่คอ ทั้งด้าน ซ้าย และ ด้านขวา ถูกทำลายจนเละ
ภาพที่เห็น คือ ผลจากการทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ผ่านไป ๘ สัปดาห์ อย่างไม่ย่อท้อของน้องนุช
สิ่งที่แม่น้องนุช กล่าวให้ฟัง คือ ความหวังที่พอจะมองเห็นว่าเป็นไปได้ ทำให้สิ่งที่ไม่เคยได้เห็น กลับมาอีกครั้ง คือ รอยยิ้มของน้องเขา ที่กลับมาปรากฎอีกครั้ง
แม่น้องนุช พูดถึง ความมุ่งมั่น ในแสงสว่างที่เริ่มมองเห็นทางหายนี้ ทำให้น้องนุช ทานสมุนไพรอย่างไม่ย่อท้อ แม้ว่าจะต้องทานมากกว่าคนปกติทั่วไป เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เสียไปจากการถูกทำลาย จากโรคที่เป็นอยู่
เด็กน้อยนี้ มีความหวัง มีพลังที่จะรักษาตนเอง ด้วยสมุนไพรแม่ชีเมี้่ยนที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาให้ และกำลังเขียนประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง ให้คนรุ่นหลังได้ดู ได้ฟัง
ด้วยวัยที่ยังเล็ก ทำให้การฟื้นฟู เป็นไปด้วยความรวดเร็ว เราจึงหวังว่า น้องนุชจะเป็นตัวอย่างที่ดี ให้คนรุ่นหลังมาเดินตาม และได้มีกำลังใจในการทานสมุนไพร ตามแบบอย่างที่เธอได้ทำไว้
เมื่อการฟื้นฟูตนเองของน้องนุชเสร็จสิ้น เราจะเก็บภาพมาให้ดูอีกครั้ง เพื่อย้ำเตือนว่า นี่แหละคือทางเลือก "แลเมื่อเลือกถูก ผลถูกย่อมปรากฎ"
เราขอเป็นกำลังใจให้น้องนุช ประสพผลตามความมุ่งมั่น ปรารถนา และเป็นแสงที่จุดประกายให้คนรุ่นหลังได้เดินตาม
วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555
หมากัด
หลายครั้ง หลายคราว ที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักจะให้สติว่า "ท่านทั้งหลายมาที่นี่ เพื่ออะไร เพื่อพบใคร"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักพูดเสมอว่า "สถานที่นี้มีแม่ชีเมี้ยน มีธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีสมุนไพรสูตรของพระพุทธเจ้า แล้วก็มีท่านนั่งเป็นประธาน เป็นตัวแทนอยู่"
เมื่อเราท่านมาสถานที่นี้ จึงพึงมีสติว่า เราจะมาที่นี่ทำไม มาแม่ชีเมี้ยนใช่ไหม มารับสมุนไพร มารับธรรมไปปฏิบัติ แล้วจึงตรงจากบ้านมา เพื่อพบหลวงพ่อนิพนธ์ ที่เป็นตัวแทนแม่ชีเมี้ยน เพื่อรับสิ่งดีๆเหล่านั้นกลับบ้าน
แต่หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า เพราะเราท่านมีกรรม "กรรมจึงเป็นอุปสรรค มาทำลายสติ และพฤติกรรมของเราที่ตั้งใจนั้น ให้เสียลง"
เราท่านตั้งใจมาหาแม่ชีเมี้ยน เมื่อมาถึง ควรจะตรงขึ้นไปกราบท่านก่อนอื่นใด ก็โดนกรรมดลใจให้เห็นของถูก จึงเลี้ยวไปซื้อของถูกก่อน
บางท่าน ลงรถมา เจอเพื่อนหรือคนชอบพอ ก็ต้องแวะขอคุย ขอทักทายก่อน สติที่ตั้งมาจากบ้าน จึงถูกกรรมกลืนไป ความตั้งใจที่จะมากราบแม่ชีเมี้ยน ก็ถูกกรรมกลืนไป
การกราบแม่ชีเมี้ยน ที่ซึ่งควรจะเป็นการกระทำแรก ก็ถูกกรรมทำให้สติลืมเลือนไป
บางท่าน ตั้งใจจะมาทานข้าว ซื้อของ ซื้อน้ำ เพราะได้ฟังหลวงพ่อนิพนธ์ ก็มีใจอยากทำ ตั้งใจมาแต่บ้าน เตรียมเงินมาพร้อม แต่พอมาถึง เจอคนขายพูดไม่เข้าหู ความตั้งใจเดิมก็หายไปสิ้น เพราะกรรมมันดลให้เกิดทิฐิมานะเสียแล้ว
ในบางครั้ง อาจจะเจอเจ้าหน้าที่ พูดหรือทำไม่ถูกใจ ก็พาลเลิกทานสมุนไพรไปเสียเลยก็มี
สิ่งเหล่านี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นเพราะกรรมของเรา มาเป็นมารผจญ ทำให้สติเดิม ความตั้งใจเดิมที่ดีของเรา ต้องเสียหรือสิ้นสุดไป
ผลเพียงอย่างเดียวที่กรรมต้องการ คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้เราท่าน หลุดจากวงโคจรของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาไปเสีย
เพราะถ้าเชื่อแม่ชีเมี้ยน ก็คือเชื่อพระพุทธเจ้า กรรมย่อมไม่สามารถแสดงอำนาจใดๆ ให้เป็นไปตามกรรมลิขิตเดิมได้ เพราะเราท่าน กลายเป็นบุคคลพิเศษ ที่มี "ธรรมลิขิต" ไปเสียแล้วนั่นเอง
จะใช้โรคมาทรมาน เราท่านก็มีสมุนไพร จะใช้นิสัยมาสร้างกรรม เราท่านก็มี ธรรมของพระพุทธเจ้า มาดับ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้ทำร้าย หรือให้ทุกข์แก่ผู้อื่นเสียแล้ว
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงบอกว่า เมื่อมาที่นี้ แล้วมีอุปสรรค อุปมาดังมาวัด เจอหมากัด แล้วคิดที่จะไม่มาวัด ด้วยเหตุเพียงแค่หมากัดนั้น ไม่ควรเลย
เราท่านควรทำใจว่า กรรมของเรา ยังมีอยู่ เราจึงโดนหมากัด ยิ่งต้องมุ่งมั่นมา น้อมรับฟังธรรมไปปฏิบัติ ทานสมุนไพรอย่างมีวินัย มีมานะ ขันติ อดทน มากยิ่งขึ้น
สถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำว่า "มีท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ีมีสิทธิ์ห้ามไม่ให้ใครมา ผู้อื่นไม่เกี่ยว"
แม้สถานที่นี้จะดีสักเพียงไร แต่เราท่านก็ยังเป็นผู้มีกรรม การโดนหมาวัดกัดบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา หากแต่อย่านำเหตุนี้มาทำลายความตั้งใจของเรา ที่จะช่วยตน และพัฒนาตนให้เป็นคนดี สมเจตนาแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์ถ่ายทอดมาเลย เพราะกรรมมันจะหัวเราะเยาะเราท่าน ว่า "เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ"
ไม่รู้ ถามใครดี
หลวงพ่อนิพนธ์ ท่านได้จัดวางบุคคล ที่สามารถให้คำปรึกษา แก่ผู้ป่วยในหลายระดับ ดังนั้น ควรจะสืบค้นว่า บุคคลเหล่านั้นคือท่านใด อยู่สถานที่ไหน สะดวกเวลาใด เราท่านจะได้พบได้เมื่อต้องการ
กลุ่มแรก คือ กลุ่มของวิทยากร ที่มีหน้าที่ในการอบรมคนไข้ใหม่ กลุ่มนี้ เหมาะที่เราท่านจะใช้เป็นหลักในการปรึกษา ทั้งด้านอาการ หรือ ปัญหาวิธีการเกี่ยวกับสมุนไพร มี ๓ ท่าน ได้แก่ ๑.อ.อร่าม ศิริพันธ์ (ทำงานคณะรัฐศาสตร์ จุฬา) ๒.อ.สุนทร เฉลิมสันต์ (ทำงานคณะนิติศาสตร์ ราม) ๓.คุณณัฐนนท์ เลิศสัตยพร (ทำงานส่วนตัว อ.อู่ทอง) แล้วแต่ว่าเราท่านจะสะดวก ติดต่อกับท่านใด
กลุ่มที่สอง คือ คนไข้ในที่มาพัก จะมีคุณอ้อ เป็นวิทยากรหลัก ในการให้คำปรึกษา และดูแลอยู่
กลุ่มที่สาม คือ คนที่จะเป็นผู้อนุญาตให้สมุนไพรเพิ่มเติม แยกเป็นสองประเภท คือ บัตรสีส้ม ให้ติดต่อ คุณปุ้ม ส่วนบัตรสีเขียว ให้ติดต่อ คุณดา
กลุ่มที่สี่ คือ การให้คำปรึกษาและขอสมุนไพร ซึ่งหน้า หลวงพ่อท่านจะจัดบุคลากร ทำหน้าที่ดังกล่าว ยืนอยู่ที่ช่อง ด้านหน้าของห้องท่าน ขณะที่ทำการแจกสมุนไพร บุคคลใดมีปัญหา หรือต้องการสมุนไพรเพิ่ม สามารถไปปรึกษาหรือขอสมุนไพรเพิ่ม ซึ่งหน้าได้ที่เคาเตอร์ดังกล่าวได้
หากปัญหาของบุคคลใด ที่เกินความสามารถของบุคคลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยปกติ วิทยากรมักจะแนะนำให้เข้าพบหลวงพ่อนิพนธ์ โดยตรง โดยเฉพาะกรณีที่อาการรุนแรง หรือวิกฤตมาก
ดังนั้น การให้ความรู้ต่อเพื่อนสมาชิก เป็นสิ่งที่ดี หากแต่สิ่งใดที่เราท่านยังไม่มั่นใจ ควรจะแนะนำให้เขา ไปสอบถามผู้รู้ดังกล่าวข้างต้น น่าจะเป็นการปลอดภัยสำหรับตัวเขาและตัวเราท่านมากกว่า
สำหรับท่านที่มีความสงสัย ในรายการสมุนไพรที่จะได้รับ สามารถไปติดต่อขอดูรายละเอียดได้ ที่คุณตุ๊ก คุณฝน หรือเจ้าหน้าที่ที่ห้องบัตร โดยจำหมายเลขประจำตัวคนไข้ ที่ปรากฏบนบัตรสีเขียว นำไปแจ้ง เพื่อสะดวกในการค้นข้อมูล
ในกรณีที่ต้องการแจ้ง เพิ่ม ลด เปลี่ยนแปลง อาการ หรือ โรคที่เป็น ก็ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ได้ เวลายื่นบัตรสมาชิก โดยตรง
ปัญหาพื้นฐานทั่วไป เพื่อนสมาชิกทราบคำตอบที่แน่นอน ก็ช่วยกันตอบหน่อย เจ้าหน้าที่จะได้ทำงานไม่หนักจนเกินไป ช่วยแบ่งบุญกันหน่อนน่ะ
กลุ่มแรก คือ กลุ่มของวิทยากร ที่มีหน้าที่ในการอบรมคนไข้ใหม่ กลุ่มนี้ เหมาะที่เราท่านจะใช้เป็นหลักในการปรึกษา ทั้งด้านอาการ หรือ ปัญหาวิธีการเกี่ยวกับสมุนไพร มี ๓ ท่าน ได้แก่ ๑.อ.อร่าม ศิริพันธ์ (ทำงานคณะรัฐศาสตร์ จุฬา) ๒.อ.สุนทร เฉลิมสันต์ (ทำงานคณะนิติศาสตร์ ราม) ๓.คุณณัฐนนท์ เลิศสัตยพร (ทำงานส่วนตัว อ.อู่ทอง) แล้วแต่ว่าเราท่านจะสะดวก ติดต่อกับท่านใด
กลุ่มที่สอง คือ คนไข้ในที่มาพัก จะมีคุณอ้อ เป็นวิทยากรหลัก ในการให้คำปรึกษา และดูแลอยู่
กลุ่มที่สาม คือ คนที่จะเป็นผู้อนุญาตให้สมุนไพรเพิ่มเติม แยกเป็นสองประเภท คือ บัตรสีส้ม ให้ติดต่อ คุณปุ้ม ส่วนบัตรสีเขียว ให้ติดต่อ คุณดา
กลุ่มที่สี่ คือ การให้คำปรึกษาและขอสมุนไพร ซึ่งหน้า หลวงพ่อท่านจะจัดบุคลากร ทำหน้าที่ดังกล่าว ยืนอยู่ที่ช่อง ด้านหน้าของห้องท่าน ขณะที่ทำการแจกสมุนไพร บุคคลใดมีปัญหา หรือต้องการสมุนไพรเพิ่ม สามารถไปปรึกษาหรือขอสมุนไพรเพิ่ม ซึ่งหน้าได้ที่เคาเตอร์ดังกล่าวได้
หากปัญหาของบุคคลใด ที่เกินความสามารถของบุคคลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยปกติ วิทยากรมักจะแนะนำให้เข้าพบหลวงพ่อนิพนธ์ โดยตรง โดยเฉพาะกรณีที่อาการรุนแรง หรือวิกฤตมาก
ดังนั้น การให้ความรู้ต่อเพื่อนสมาชิก เป็นสิ่งที่ดี หากแต่สิ่งใดที่เราท่านยังไม่มั่นใจ ควรจะแนะนำให้เขา ไปสอบถามผู้รู้ดังกล่าวข้างต้น น่าจะเป็นการปลอดภัยสำหรับตัวเขาและตัวเราท่านมากกว่า
สำหรับท่านที่มีความสงสัย ในรายการสมุนไพรที่จะได้รับ สามารถไปติดต่อขอดูรายละเอียดได้ ที่คุณตุ๊ก คุณฝน หรือเจ้าหน้าที่ที่ห้องบัตร โดยจำหมายเลขประจำตัวคนไข้ ที่ปรากฏบนบัตรสีเขียว นำไปแจ้ง เพื่อสะดวกในการค้นข้อมูล
ในกรณีที่ต้องการแจ้ง เพิ่ม ลด เปลี่ยนแปลง อาการ หรือ โรคที่เป็น ก็ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ได้ เวลายื่นบัตรสมาชิก โดยตรง
ปัญหาพื้นฐานทั่วไป เพื่อนสมาชิกทราบคำตอบที่แน่นอน ก็ช่วยกันตอบหน่อย เจ้าหน้าที่จะได้ทำงานไม่หนักจนเกินไป ช่วยแบ่งบุญกันหน่อนน่ะ
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555
ฟังมาคิด
กลุ่มคนไข้มักจะใช้เวลาว่างระหว่างรอคอย มาพักใต้ร่มไม้ แล้วคุยถามทุกข์สุข ในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นกันอยู่ มีให้ได้ฟังเสมอๆ
เราได้ถูกเรียกให้ไปนั่งฟัง กลุ่มคนไข้ที่จัดว่าอายุรุ่นใหญ่แล้ว แต่ละคน ต่ำสุดก็เลยหลักหกแล้ว ฟังเขาคุยกัน คิดว่าน่าจะมีประโยชน์จึงเก็บมาเล่าให้ฟัง
เราขอเลือกเฉพาะ ส่วนที่คุณลุงสองท่านคุยกัน คิดว่ามีสาระพอควร ท่านแรกบอกว่า มาที่นี่ได้สองปีกว่าแล้ว ไม่เคยขาดเลย ส่วนท่านที่สอง มาที่นี่กว่าสามปีแล้ว ก็มีขาดบ้าง ยามติดธุระ
สิ่งที่สองท่านนี้เหมือนกันก็คือ ถูกหมอทิ้งมาแล้วด้วยกันทั้งคู่ คุณลุงท่านแรก จึงมุ่งมั่นมาด้วยความรักชีวิต จึงไม่เคยขาด จนปัจจุบัน ลุงกล่าวว่า โรคที่เป็นมาในอดีตทั้งหมด ได้หายไปแล้ว แต่ลุงก็ยังกลัวอยู่ จึงยังคงมาอยู่ แต่ก็เว้นเป็นสองอาทิตย์มาครั้ง
คุณลุงพูดไป พร้อมกับคว้ายาเส้น ใบจาก มามวนสูบอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับเสียงแซวจากป้าด้านข้างว่า เมื่อก่อนนี้สูบทีจะตายเอา เดี๋ยวนี้พอหายหละสูบใหญ่เลยน่ะ พร้อมกับเสียงหัวเราะทั้งวงสนทนา
ตามมาด้วยเสียงบ่นของคุณลุงท่านหลัง ที่ว่า อ้ายผมสิ มาสามปีกว่าแล้ว ยังไม่หายเลย ไปถามวิทยากร ท่าน อ.อร่าม ท่านก็แนะนำมาว่า ก็พฤติกรรมของผม มามั่ง ไม่มามั่ง ท่าน อ.อร่าม จึงบอกว่า ผมกำลังเลี้ยงไข้ อาจทำให้โรคมันดื้อสมุนไพรแล้ว ถ้ายังทำแบบนี้ กินอย่างไรก็ไม่หาย
คุณลุงจึงกล่าวว่า เห็นทีจะต้องมาให้สม่ำเสมอหน่อย เพราะทนไม่ไหวแล้ว อยากหายเหมือนกัน เพื่อนๆ มาด้วยกัน โรคเดียวกัน เขาหายกันไปหมดแล้ว เหลือแต่ผมคนเดียว
บทสนทนาสั้นๆ นี้ เป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ ที่ได้ถูกเขียน และนำมาเล่าขาน อาจจะมีประโยชน์บ้างกับบางคน
จึงขอวิสาสะ นำคำสนทนาของคุณลุงทั้งสองท่าน มา ณ ที่นี้ด้วย
สิ่งที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ให้
แม้พระภูมีจะละสังขาร แต่ก็ทิ้งเครื่องมือให้มนุษย์ไว้ เพื่อปฏิบัติหลัก "ตนพึ่งตน" ได้ สองสิ่งคือ ธรรมของท่าน และสมุนไพร
หลวงพ่อนิพนธ์ ถามแม่ชีเมี้ยน ว่า ในเมื่อ ธรรมของพระพุทธเจ้า และสมุนไพร เป็นสิ่งศํกดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ให้ ทำไมมนุษย์จึงไม่อยากเรียน
แม่ชีเมี้ยนตรัสตอบว่า ก็เพราะ "วิชานี้เป็นวิชาคุณธรรม มีไว้สร้างบุญ นำไปหาเงินไม่ได้นั่นเอง"
จึงยกตัวอย่าง ดูอย่างพี่น้องเอ็ง เกือบสิบคน มีใครอยากมาเรียนกับแม่บ้าง ไม่มีเลย จะมีก็แต่เอ็งเพียงผู้เดียว ที่แม่ขอร้องให้เสียสละ เพื่อรักษาตำราของพระพุทธเจ้านี้ไว้ เพื่อไปทำหาบุญ แลช่วยเพื่อนมนุษย์
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า จะเห็นได้ว่า แนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน "ใครทำ ใครได้" แม้จะเป็นลูกแม่ชีเมี้ยน เมื่อไม่ทำ ก็ไม่ได้ พี่น้องของท่าน จึงตายคาเข็มหมอ ไปแล้วถึงสี่คน นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นศาสนาทำ ไม่ใช่ศาสนาขอ อยากได้อะไร ให้มารับธรรมไปปฏิบัติ เมื่อทำได้แล้วจึงขอ จะสมหวังดั่งที่ขออย่างแนนอน ขอเมตตาหมานิยม ก็จะได้ ขอสิ่งไรก็ได้สมหวังอย่างแน่นอน หากปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้
เรื่องเล่าเมื่อครั้งถ้ำกระบอก จึงถูกกล่าวขานอีกครั้ง เพื่อยืนยันในสิ่งนี้ คือ มีนายพลตรีท่านหนึ่ง เป็นนายทหารที่ไม่ได้จบมาจากสายทหาร แต่จบมาทางด้านบัญชี จากธรรมศาสตร์
ด้วยความที่ตนเองเจริญก้าวหน้าในการงานอย่างรวดเร็ว เหลือเวลาก็พอสมควร จึงอยากที่จะเกษียณตนเองด้วยยศสูงสุด เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลของตน แต่ด้วยทราบว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการก้าวขึ้นตำแหน่งดังกล่าว ในประเทศไทย ถูกล็อคไว้ให้เฉพาะสายตรงเท่านั้น
วันหนึ่ง นายพลท่านนั้นจึงบอกความฝันของเขาแก่แม่ชีเมี้ยน
แม่ชีเมี้ยน ตรัสตอบว่า "ถ้าท่านทำวาสนาได้ เดี๋ยวก็ได้เอง"
นายพลท่านนั้น จึงมาทำวาสนา ด้วยการมาช่วยเหลือกิจการการบำบัดยาเสพติดที่ถ้ำกระบอกทุกสัปดาห์ ด้วยเชื่อในสิ่งที่แม่ชีเมี้ยนตรัส
พร้อมกับประพฤติตามธรรมคำสอนที่ได้รับมาอย่างเต็มที่ จนในที่สุด ท่านก็เป็นนายพลเอกสมใจ และเป็นคนเดียวของประเทศไทย ที่ไม่ได้มาจากลูกหม้อของ โรงเรียนนายร้อย จปร. ตราบเท่าทุกวันนี้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำว่า มงคลของพระพุทธเจ้า ไม่ได้มีไว้ให้สำหรับคนที่มาขอ แต่มีไว้ให้สำหรับคนที่มารับธรรมไปปฏิบัติ เมื่อทำได้แล้วจึงขอ
เคล็ดนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงนำมาให้คนป่วยปฏิบัติ เมื่อมาที่ชมรมแล้ว ไปกราบแม่ชีเมี้ยน กราบพระพุทธ แสดงให้เห็นถึงตัวตนของเรา แล้วในวันที่มานั้นเอง ก็ปฏิบัติธรรมหมวด "ตนพึ่งตน"
เริ่มจากมาเอง แล้วเข้าสวดมนต์เอง ไปเข้ากระโจมเอง ทานสมุนไพรมะพร้าวเอง และรับสมุนไพรเอง
เมื่อครบวัน เรารับสมุนไพรแล้ว จึงนำสิ่งที่ทำได้ไปอธิษฐาน จากสิ่งที่เราทำในวันนั้น ขอในสิ่งที่เราปรารถนา นั่นเอง
ใครจะดูว่า กิจกรรมที่กำหนดขึ้น ของหลวงพ่อนิพนธ์ไม่มีค่า ไม่มีสาระ ก็ตามแต่ แต่นี้คือครรลองที่จะทำให้ประสพผลในการรักษา ด้วยสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
ผลที่ปรากฎ ก็จะสะท้อนออกมาว่า ในวันนั้นที่ท่านทำ ทำด้วยสติอะไร ทำด้วยวิญญาณอะไร
เราจึงไม่แปลกใจที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทำไมจึงมีคนหายไม่มาก ก็เพราะจะหาคนฟัง แล้วทำตามได้ยากนั่นเอง เราจึงเห็นคนแย่งกัน คุยกัน และวางเฉย รอรับสมุนไพรอย่างเดียว ให้เห็นดาษดื่น
ท่านจึงกล่าวให้สติว่า จะมาหายด้วยสติเช่นนี้ คงเป็นเรื่องยาก อย่างดีก็แค่ประทัง แล้วก็ตายไป เท่านั้นเอง
ก็แล้วเราท่าน เมื่อรับสมุนไพรแล้ว ไปกราบแม่ชีเมี้ยน กราบพระพุทธ เพื่อร้องขอ ทำอะไรแล้วหรือยัง
หลวงพ่อนิพนธ์ ย้ำแล้ว ย้ำอีก เราช่วยใครไม่ได้ เรามีแต่สมุนไพร และคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่แม่ชีเมี้ยนถ่ายทอดมาให้ เท่านั้น สิ่งที่สำคัญ คือ "อยากได้สิ่งไร ต้องทำเอง"
หลวงพ่อนิพนธ์ ถามแม่ชีเมี้ยน ว่า ในเมื่อ ธรรมของพระพุทธเจ้า และสมุนไพร เป็นสิ่งศํกดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ให้ ทำไมมนุษย์จึงไม่อยากเรียน
แม่ชีเมี้ยนตรัสตอบว่า ก็เพราะ "วิชานี้เป็นวิชาคุณธรรม มีไว้สร้างบุญ นำไปหาเงินไม่ได้นั่นเอง"
จึงยกตัวอย่าง ดูอย่างพี่น้องเอ็ง เกือบสิบคน มีใครอยากมาเรียนกับแม่บ้าง ไม่มีเลย จะมีก็แต่เอ็งเพียงผู้เดียว ที่แม่ขอร้องให้เสียสละ เพื่อรักษาตำราของพระพุทธเจ้านี้ไว้ เพื่อไปทำหาบุญ แลช่วยเพื่อนมนุษย์
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า จะเห็นได้ว่า แนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน "ใครทำ ใครได้" แม้จะเป็นลูกแม่ชีเมี้ยน เมื่อไม่ทำ ก็ไม่ได้ พี่น้องของท่าน จึงตายคาเข็มหมอ ไปแล้วถึงสี่คน นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นศาสนาทำ ไม่ใช่ศาสนาขอ อยากได้อะไร ให้มารับธรรมไปปฏิบัติ เมื่อทำได้แล้วจึงขอ จะสมหวังดั่งที่ขออย่างแนนอน ขอเมตตาหมานิยม ก็จะได้ ขอสิ่งไรก็ได้สมหวังอย่างแน่นอน หากปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้
เรื่องเล่าเมื่อครั้งถ้ำกระบอก จึงถูกกล่าวขานอีกครั้ง เพื่อยืนยันในสิ่งนี้ คือ มีนายพลตรีท่านหนึ่ง เป็นนายทหารที่ไม่ได้จบมาจากสายทหาร แต่จบมาทางด้านบัญชี จากธรรมศาสตร์
ด้วยความที่ตนเองเจริญก้าวหน้าในการงานอย่างรวดเร็ว เหลือเวลาก็พอสมควร จึงอยากที่จะเกษียณตนเองด้วยยศสูงสุด เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลของตน แต่ด้วยทราบว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการก้าวขึ้นตำแหน่งดังกล่าว ในประเทศไทย ถูกล็อคไว้ให้เฉพาะสายตรงเท่านั้น
วันหนึ่ง นายพลท่านนั้นจึงบอกความฝันของเขาแก่แม่ชีเมี้ยน
แม่ชีเมี้ยน ตรัสตอบว่า "ถ้าท่านทำวาสนาได้ เดี๋ยวก็ได้เอง"
นายพลท่านนั้น จึงมาทำวาสนา ด้วยการมาช่วยเหลือกิจการการบำบัดยาเสพติดที่ถ้ำกระบอกทุกสัปดาห์ ด้วยเชื่อในสิ่งที่แม่ชีเมี้ยนตรัส
พร้อมกับประพฤติตามธรรมคำสอนที่ได้รับมาอย่างเต็มที่ จนในที่สุด ท่านก็เป็นนายพลเอกสมใจ และเป็นคนเดียวของประเทศไทย ที่ไม่ได้มาจากลูกหม้อของ โรงเรียนนายร้อย จปร. ตราบเท่าทุกวันนี้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำว่า มงคลของพระพุทธเจ้า ไม่ได้มีไว้ให้สำหรับคนที่มาขอ แต่มีไว้ให้สำหรับคนที่มารับธรรมไปปฏิบัติ เมื่อทำได้แล้วจึงขอ
เคล็ดนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงนำมาให้คนป่วยปฏิบัติ เมื่อมาที่ชมรมแล้ว ไปกราบแม่ชีเมี้ยน กราบพระพุทธ แสดงให้เห็นถึงตัวตนของเรา แล้วในวันที่มานั้นเอง ก็ปฏิบัติธรรมหมวด "ตนพึ่งตน"
เริ่มจากมาเอง แล้วเข้าสวดมนต์เอง ไปเข้ากระโจมเอง ทานสมุนไพรมะพร้าวเอง และรับสมุนไพรเอง
เมื่อครบวัน เรารับสมุนไพรแล้ว จึงนำสิ่งที่ทำได้ไปอธิษฐาน จากสิ่งที่เราทำในวันนั้น ขอในสิ่งที่เราปรารถนา นั่นเอง
ใครจะดูว่า กิจกรรมที่กำหนดขึ้น ของหลวงพ่อนิพนธ์ไม่มีค่า ไม่มีสาระ ก็ตามแต่ แต่นี้คือครรลองที่จะทำให้ประสพผลในการรักษา ด้วยสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
ผลที่ปรากฎ ก็จะสะท้อนออกมาว่า ในวันนั้นที่ท่านทำ ทำด้วยสติอะไร ทำด้วยวิญญาณอะไร
เราจึงไม่แปลกใจที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทำไมจึงมีคนหายไม่มาก ก็เพราะจะหาคนฟัง แล้วทำตามได้ยากนั่นเอง เราจึงเห็นคนแย่งกัน คุยกัน และวางเฉย รอรับสมุนไพรอย่างเดียว ให้เห็นดาษดื่น
ท่านจึงกล่าวให้สติว่า จะมาหายด้วยสติเช่นนี้ คงเป็นเรื่องยาก อย่างดีก็แค่ประทัง แล้วก็ตายไป เท่านั้นเอง
ก็แล้วเราท่าน เมื่อรับสมุนไพรแล้ว ไปกราบแม่ชีเมี้ยน กราบพระพุทธ เพื่อร้องขอ ทำอะไรแล้วหรือยัง
หลวงพ่อนิพนธ์ ย้ำแล้ว ย้ำอีก เราช่วยใครไม่ได้ เรามีแต่สมุนไพร และคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่แม่ชีเมี้ยนถ่ายทอดมาให้ เท่านั้น สิ่งที่สำคัญ คือ "อยากได้สิ่งไร ต้องทำเอง"
ทำไมพุทธศาสนา จึงไม่เฟื่องฟู
คำถามที่หลวงพ่อนิพนธ์ถามแม่ชีเมี้ยน เมื่อครั้งเป็นเณรที่ถ้ำกระบอก ด้วยความสงสัยยิ่ง เพราะเห็นว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นที่พึ่งของมนุษย์ได้ นั่นเอง
คำตอบที่แม่ชีเมี้ยน ตรัสตอบกลับมา คือ "ศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นศาสนาทำนั่นเอง ไม่ใช่ศาสนาขอ ดังเช่นที่มีดาษดื่นเต็มอินเดีย เต็มโลก"
มนุษย์ส่วนใหญ่ เมื่อมาพบพระพุทธเจ้า พิจารณาแล้วก็กล่าวว่า ดี ดี แล้วก็เดินไป เพราะต้องทำเอง ไปหาศาสนาขอดีกว่า ง่ายกว่า ถูกจริตกว่า คงมีแต่คนแค่เพียงเกือบแสนคนเท่านั้น ที่เชื่อ และทำตาม ผลก็คือ ทุกคนล้วนแล้วแต่ได้สมประสงค์ และไปนิพพานทุกถ้วนตัวคน
มนุษย์สมัยนี้ ก็เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดอะไรขึ้น อยากได้อะไร ก็แสวงหา คอยเงี่ยหูฟัง ว่า ที่นั่นดี ที่โน่นดี องค์นั้นศักดิ์สิทธิ์ องค์นี้แจ๋ว ลัทธินั้นดี เจ้าพ่อเจ้าแม่ดีเต็มไปหมด ทุกสิ่งอย่างล้วนใจดี มีเมตตา ขออะไรก็ได้ ไกลแค่ไหนก็ดั่นด้นไป เพื่อขอ
ด้วยความเคยชินเยี่ยงนี้เอง เมื่อชีวิตประสพชะตากรรมเลวร้าย จึงดิ้นรนขวนขวาย คนที่เก่ง มีวิชาความรู้ น่าเชื่อถือ เพื่อขอให้เขาช่วยรักษาตน ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่
แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า "เรื่องภายนอกร่างกาย จะขอให้คนช่วยก็พอได้ แต่นับตั้งแต่ผิวหนัง ลงไป หรือ เรื่องของชีวิต และวิญญาณ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ต้องใช้หลัก ตนพึ่งตน เท่านั้นแล"
จะไปเรียกร้อง หาคนช่วยสักฉันใด ก็หามีไม่ ขนาดพระพุทธเจ้ามีเมตตาอยากช่วยคนทุกคน ท่านยังทำไม่ได้เลย ท่านช่วยได้เฉพาะคนที่เชื่อแล้วทำตาม เท่านั้นเอง
คำตอบที่แม่ชีเมี้ยน ตรัสตอบกลับมา คือ "ศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นศาสนาทำนั่นเอง ไม่ใช่ศาสนาขอ ดังเช่นที่มีดาษดื่นเต็มอินเดีย เต็มโลก"
มนุษย์ส่วนใหญ่ เมื่อมาพบพระพุทธเจ้า พิจารณาแล้วก็กล่าวว่า ดี ดี แล้วก็เดินไป เพราะต้องทำเอง ไปหาศาสนาขอดีกว่า ง่ายกว่า ถูกจริตกว่า คงมีแต่คนแค่เพียงเกือบแสนคนเท่านั้น ที่เชื่อ และทำตาม ผลก็คือ ทุกคนล้วนแล้วแต่ได้สมประสงค์ และไปนิพพานทุกถ้วนตัวคน
มนุษย์สมัยนี้ ก็เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดอะไรขึ้น อยากได้อะไร ก็แสวงหา คอยเงี่ยหูฟัง ว่า ที่นั่นดี ที่โน่นดี องค์นั้นศักดิ์สิทธิ์ องค์นี้แจ๋ว ลัทธินั้นดี เจ้าพ่อเจ้าแม่ดีเต็มไปหมด ทุกสิ่งอย่างล้วนใจดี มีเมตตา ขออะไรก็ได้ ไกลแค่ไหนก็ดั่นด้นไป เพื่อขอ
ด้วยความเคยชินเยี่ยงนี้เอง เมื่อชีวิตประสพชะตากรรมเลวร้าย จึงดิ้นรนขวนขวาย คนที่เก่ง มีวิชาความรู้ น่าเชื่อถือ เพื่อขอให้เขาช่วยรักษาตน ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่
แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า "เรื่องภายนอกร่างกาย จะขอให้คนช่วยก็พอได้ แต่นับตั้งแต่ผิวหนัง ลงไป หรือ เรื่องของชีวิต และวิญญาณ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ต้องใช้หลัก ตนพึ่งตน เท่านั้นแล"
จะไปเรียกร้อง หาคนช่วยสักฉันใด ก็หามีไม่ ขนาดพระพุทธเจ้ามีเมตตาอยากช่วยคนทุกคน ท่านยังทำไม่ได้เลย ท่านช่วยได้เฉพาะคนที่เชื่อแล้วทำตาม เท่านั้นเอง
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555
ตายเพื่อเกิด - รำลึกถึงแม่ชีเมี้ยน
ปี ๒๕๑๐ หลังจากแม่ชีเมี้ยน ได้ให้หลวงพ่อนิพนธ์ลาสิกขา ออกจากถ้ำกระบอก พร้อมคำกล่าวที่ว่า "ลูกไปก่อนแล้วแม่จะตามไป"
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ในวันนั้น ท่านคิดว่า แม่ชีเมี้ยน คงจะจัดการธุระที่คั่งค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ ก็จะออกจากถ้ำกระบอก มาอยู่กับท่าน เพื่อดำเนินตามปณิธานที่ตั้งไว้ต่อ
ครั้นในปี ๒๕๑๒ แม่ชีเมี้ยนให้คนไปตามหลวงพ่อนิพนธ์มา เพื่อที่จะลาสังขาร พร้อมกับกล่าวว่า "แม่ต้องลาสังขาร เพื่อลบล้างสัญญาที่มีต่อพี่ชายเอ็ง" พร้อมกับให้หลวงพ่อนิพนธ์ นำตำราสมุนไพรออกจากถ้ำกระบอกไป
ในเช้าตรู่ของวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๒ นั้นเอง แม่ชีเมี้ยน ก็ได้ละสังขาร จบตำนานถ้ำกระบอก
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ถามแม่ชีเมี้ยนว่า ทำไมท่านจึงต้องละสังขาร ทั้งที่อายุไม่ครบตน คำตอบที่ได้ คือ "ตำราของฉันต้องมีหนึ่งเดียว"
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อรรถาธิบายว่า เพื่อให้ตำราที่ท่านมอบให้ ได้เป็นที่สิงสถิตย์ความศักดิ์สิทธิ์นั้นเอง ดังนั้นการละสังขารของท่าน คือการสิ้นสุดสัญญา หรือ สิ้นสุดความศักดิ์สิทธิ์ของตำรา ที่ได้มอบให้แก่ท่านจำรูญ นั่นเอง
ผลก็คือ การดิ่งลง หรือ ความเสื่อม ของถ้ำกระบอก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พร้อมกับการเกิดของหลวงพ่อนิพนธ์นั้นเอง
ตำราเล่มนั้น ได้ถูกเปิดอีกครั้ง เมื่อปี ๓๐ ที่ จ.ลพบุรี เมล็ดพันธุ์ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ ได้เติบโตขึ้นมา จวบจนปัจจุบัน ถ้าเป็นคน ก็เข้าวัยเบญจเพส คือ ๒๕ ปี แล้ว
เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาคนมาพักอาศัย ผ่านมาผ่านไป นับหมื่น นับแสนคน แล้ว มีผู้ประสพผลก็มากมาย เลิกราไปก็ล้นเหลือ แต่สิ่งที่ประจักษ์เห็นเด่นชัด คือ "ผู้ใดทำได้ ผู้นั้นประสพผลอย่างแน่นอน"
และเพื่อระลึกถึงคุณแม่ชีเมี้ยน ทุกปี หลวงพ่อนิพนธ์ จะจัดงาน มีการสวดมนต์ข้ามคืน และที่สำคัญ มีการนำเทปเสียงจริงของแม่ชีเมี้ยน ที่สอนสงฆ์ในยุคถ้ำกระบอก มาให้ได้ยินได้ฟัง นับว่าเป็นโอกาสที่หายากยิ่งนัก
กิจกรรม น้อมรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน ดำเนินมาทุกปีไม่มีขาด ปีนี้ก็เช่นกัน หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ได้จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม ในเวลากลางคืน เหมือนที่ผ่านมา
ท่านกล่าวว่า เป็นเสมือนการแสดงความกตัญญู รู้คุณ และเป็นสะพานทอด ระหว่างเราท่าน กับแม่ชีเมี้ยน ดังนั้น วันอื่นใด ไม่มา ก็ยังไม่เป็นไร วันนี้ ลูกศิษย์เก่าแก่ คนป่วยที่หายแล้ว และไม่ได้มารับสมุนไพร ก็จะกลับมาเยือนถิ่นนี้กันพร้อมหน้า เพื่อแสดงความระลึกคุณ ทำให้เราท่านจะได้เห็นผู้คนที่มากมาย ยิ่งกว่าวันธรรมดา ที่คนมารับสมุนไพร มากนัก
เราท่าน จะได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง คนที่ประสพผลแล้ว ในรุ่นก่อนๆ เดินทักทายกัน สนิทสนมกัน และปลื้มปิติ ที่ได้กลับมาร่วมกิจกรรมนี้ เปรียบเหมือน คืนสู่เหย้า
สิ่งที่เราท่าน จะได้เห็น ได้เรียนรู้ ในกิจกรรมนี้ คือ เราจะได้ทราบประวัติของแม่ชีเมี้ยน ท่านเป็นใคร มาจากไหน มีความสำคัญอย่างไร อัน่จะทำให้เราท่านทราบว่า ทำไม พระถ้ำกระบอก ที่มีทั้ง ด๊อกเตอร์ มีราชนิกูล มีอดีตเสือร้าย ทุกรูปแบบ ถึงกราบไหว้ท่านอย่างสนิทใจ พร้อมกับเรียกท่านว่า "หลวงพ่อใหญ่" อันเป็นที่มาของข้อหา ผู้หญิงกระทำตนให้พระไหว้ ของจอมพลสฤษด์
เมื่อเราทราบประวัติความเป็นมา เราท่านที่ทานสมุนไพร ก็จะได้วางใจว่า สมุนไพรสูตรของแม่ชีเมี้ยน มีที่มาที่ไป มีบทพิสูจน์มายาวนาน มีผู้ประสพผลมากมายสักเพียงใด ไม่จำเป็นต้องนำมาอวดอ้าง คนเหล่านั้น มีตั้งแต่ ระดับบน เศรษฐี คหบดี ข้าราชการ จนถึงชาวบ้านธรรมดา ทุกชั้น ทุกวรรณะ
รุ่นพี่ เขากลับมาโชว์ตัวให้ดูแล้ว อย่าเสียโอกาส "ดูเขา แล้วทำตาม"
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ในวันนั้น ท่านคิดว่า แม่ชีเมี้ยน คงจะจัดการธุระที่คั่งค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ ก็จะออกจากถ้ำกระบอก มาอยู่กับท่าน เพื่อดำเนินตามปณิธานที่ตั้งไว้ต่อ
ครั้นในปี ๒๕๑๒ แม่ชีเมี้ยนให้คนไปตามหลวงพ่อนิพนธ์มา เพื่อที่จะลาสังขาร พร้อมกับกล่าวว่า "แม่ต้องลาสังขาร เพื่อลบล้างสัญญาที่มีต่อพี่ชายเอ็ง" พร้อมกับให้หลวงพ่อนิพนธ์ นำตำราสมุนไพรออกจากถ้ำกระบอกไป
ในเช้าตรู่ของวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๒ นั้นเอง แม่ชีเมี้ยน ก็ได้ละสังขาร จบตำนานถ้ำกระบอก
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ถามแม่ชีเมี้ยนว่า ทำไมท่านจึงต้องละสังขาร ทั้งที่อายุไม่ครบตน คำตอบที่ได้ คือ "ตำราของฉันต้องมีหนึ่งเดียว"
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อรรถาธิบายว่า เพื่อให้ตำราที่ท่านมอบให้ ได้เป็นที่สิงสถิตย์ความศักดิ์สิทธิ์นั้นเอง ดังนั้นการละสังขารของท่าน คือการสิ้นสุดสัญญา หรือ สิ้นสุดความศักดิ์สิทธิ์ของตำรา ที่ได้มอบให้แก่ท่านจำรูญ นั่นเอง
ผลก็คือ การดิ่งลง หรือ ความเสื่อม ของถ้ำกระบอก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พร้อมกับการเกิดของหลวงพ่อนิพนธ์นั้นเอง
ตำราเล่มนั้น ได้ถูกเปิดอีกครั้ง เมื่อปี ๓๐ ที่ จ.ลพบุรี เมล็ดพันธุ์ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ ได้เติบโตขึ้นมา จวบจนปัจจุบัน ถ้าเป็นคน ก็เข้าวัยเบญจเพส คือ ๒๕ ปี แล้ว
เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาคนมาพักอาศัย ผ่านมาผ่านไป นับหมื่น นับแสนคน แล้ว มีผู้ประสพผลก็มากมาย เลิกราไปก็ล้นเหลือ แต่สิ่งที่ประจักษ์เห็นเด่นชัด คือ "ผู้ใดทำได้ ผู้นั้นประสพผลอย่างแน่นอน"
และเพื่อระลึกถึงคุณแม่ชีเมี้ยน ทุกปี หลวงพ่อนิพนธ์ จะจัดงาน มีการสวดมนต์ข้ามคืน และที่สำคัญ มีการนำเทปเสียงจริงของแม่ชีเมี้ยน ที่สอนสงฆ์ในยุคถ้ำกระบอก มาให้ได้ยินได้ฟัง นับว่าเป็นโอกาสที่หายากยิ่งนัก
กิจกรรม น้อมรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน ดำเนินมาทุกปีไม่มีขาด ปีนี้ก็เช่นกัน หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ได้จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม ในเวลากลางคืน เหมือนที่ผ่านมา
ท่านกล่าวว่า เป็นเสมือนการแสดงความกตัญญู รู้คุณ และเป็นสะพานทอด ระหว่างเราท่าน กับแม่ชีเมี้ยน ดังนั้น วันอื่นใด ไม่มา ก็ยังไม่เป็นไร วันนี้ ลูกศิษย์เก่าแก่ คนป่วยที่หายแล้ว และไม่ได้มารับสมุนไพร ก็จะกลับมาเยือนถิ่นนี้กันพร้อมหน้า เพื่อแสดงความระลึกคุณ ทำให้เราท่านจะได้เห็นผู้คนที่มากมาย ยิ่งกว่าวันธรรมดา ที่คนมารับสมุนไพร มากนัก
เราท่าน จะได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง คนที่ประสพผลแล้ว ในรุ่นก่อนๆ เดินทักทายกัน สนิทสนมกัน และปลื้มปิติ ที่ได้กลับมาร่วมกิจกรรมนี้ เปรียบเหมือน คืนสู่เหย้า
สิ่งที่เราท่าน จะได้เห็น ได้เรียนรู้ ในกิจกรรมนี้ คือ เราจะได้ทราบประวัติของแม่ชีเมี้ยน ท่านเป็นใคร มาจากไหน มีความสำคัญอย่างไร อัน่จะทำให้เราท่านทราบว่า ทำไม พระถ้ำกระบอก ที่มีทั้ง ด๊อกเตอร์ มีราชนิกูล มีอดีตเสือร้าย ทุกรูปแบบ ถึงกราบไหว้ท่านอย่างสนิทใจ พร้อมกับเรียกท่านว่า "หลวงพ่อใหญ่" อันเป็นที่มาของข้อหา ผู้หญิงกระทำตนให้พระไหว้ ของจอมพลสฤษด์
เมื่อเราทราบประวัติความเป็นมา เราท่านที่ทานสมุนไพร ก็จะได้วางใจว่า สมุนไพรสูตรของแม่ชีเมี้ยน มีที่มาที่ไป มีบทพิสูจน์มายาวนาน มีผู้ประสพผลมากมายสักเพียงใด ไม่จำเป็นต้องนำมาอวดอ้าง คนเหล่านั้น มีตั้งแต่ ระดับบน เศรษฐี คหบดี ข้าราชการ จนถึงชาวบ้านธรรมดา ทุกชั้น ทุกวรรณะ
รุ่นพี่ เขากลับมาโชว์ตัวให้ดูแล้ว อย่าเสียโอกาส "ดูเขา แล้วทำตาม"
วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555
ผลจากการเมตตาตนเอง
สิ่งที่เราเรียนรู้เมื่อเราผ่านการปฏิบัติ ในการเมตตาตนเอง ที่เห็นเป็นรูปธรรมคือ การให้อภัยผู้อื่น
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเราได้เรียนรู้ว่า นิสัยของเราที่มีอยู่ มันฝังรากลึก ทำให้การเปลี่ยนมาใช้นิสัยของพระพุทธเจ้า ให้ได้เต็มร้อยนั้น กว่าจะทำได้ ต้องใช้เวลา
ด้วยกรรมมีอำนาจ เมื่อเราฝึกเมตตาตนเอง เราต้องผ่านการยั่วยวน จากหลายสิ่ง หลายอย่าง ต้องเรียนรู้จากหลวงพ่อนิพนธ์มากมาย เพื่อนำเหตุและผลเหล่านั้น มาหักล้าง ความคิด ความเชื่อของตน
ยิ่งการทำตามคำสอนที่ได้ยินได้ฟังมา ยากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ขนาดเพื่อตัวของเราเอง อยากทำให้ถูก เพราะอยากมีสุข มันยังเป็นเรื่องยาก แต่ก็ทำได้
เมื่อผู้อื่นกระทำกับเรา เราก็จะรู้ว่าเป็นกรรมของเรา อาศัยผู้อื่นที่ยังมีนิสัยเช่นนั้น มาทำให้เรา และนิสัยนั้นของเขาย่อมเป็นมารที่ตัวของคนผู้นั้น ต้องฝึกควบคุมเอง
ถ้าเราตอบโต้ไม่ให้อภัย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ก็เหมือนต่อกรรม เป็นกงกรรมกงเกวียนไม่รู้จบ หากเรามีสติ ไม่ตอบโต้ กรรมมันก็จะจบลง
ความคิดที่มีในหัวเรา คือ เมตตาเขา เพราะเขายังมีนิสัยกรรม ก็ต้องอภัย และให้เวลา รอวันที่สติของเขาจะใหญ่ จนควบคุมนิสัยได้ ด้วยการเมตตาตนเองเช่นกัน
เมื่อสติเขาคืนมา เขาก็จะรู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด และเริ่มทำใหม่ เฉกเช่นเราที่เคยเป็นในอดีตนั่นเอง
เราจึงไม่แปลกใจที่ พระพุทธเจ้า มีเมตตา ขันติอดทน สูง และเห็นหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านกระทำกับคนไข้ทุกคน เฉกเช่นเดียวกัน
พิมพ์อันนี้ ลองพิจารณาดู แล้วเดินตาม
แล้วเราจะเห็นผิดของเรานั้นใหญ่หลวง ผิดของผู้อื่นนั่นเบาเหมือนนุ่น ด้วยสติที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวให้เราท่านฟังเสมอ "มนุษย์ย่อมเป็นไปตามกรรม" ดั่งคำตรัสของพระภูมี
ตัวเราผิด เรายังให้อภัยตน แล้วเริ่มใหม่ เมื่อเราโตขึ้น อยู่สูง เราก็จะเห็นว่า ผู้อื่นก็เป็นเช่นเรา เมื่อเขาผิด เราจึงหยุด รอวันเขาโต ด้วยความอดทน ด้วยเมตตาที่เรามีนั่นเอง
การรอคอยผู้อื่นโต ดุจดั่ง หลวงพ่อนิพนธ์ รอเราท่านโต ให้อภัยในสิ่งที่เราคิด เราทำ เราพูด แม้จะผิดพลาดสักเท่าไร ก็พยายามสอน ใช้เหตุและผล จนในที่สุด เมื่อเราท่านเดินตาม และโตขึ้น เราท่านก็จะประสพผลสำเร็จในการหายโรค ซึ่งเป็นของแถม
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เป็นคนดี มีนิสัยของพระภูมีอยู่ในตน นั่นเอง ซึ่งเป็นเป้าประสงค์ของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์ถ่ายทอดมาให้
จะเห็นได้ว่า ผลแห่งการเมตตาตน เป็นดั่งต้นอ่อน ของคนดีนั่นเอง
เคล็ดนี้ คือ เหตุผลที่ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "ทำไมต้องใช้พระ ในการบำบัดผู้ป่วยยาเสพติด" ก็ด้วยความเมตตา และสติ ที่พระมีนั่นเอง
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเราได้เรียนรู้ว่า นิสัยของเราที่มีอยู่ มันฝังรากลึก ทำให้การเปลี่ยนมาใช้นิสัยของพระพุทธเจ้า ให้ได้เต็มร้อยนั้น กว่าจะทำได้ ต้องใช้เวลา
ด้วยกรรมมีอำนาจ เมื่อเราฝึกเมตตาตนเอง เราต้องผ่านการยั่วยวน จากหลายสิ่ง หลายอย่าง ต้องเรียนรู้จากหลวงพ่อนิพนธ์มากมาย เพื่อนำเหตุและผลเหล่านั้น มาหักล้าง ความคิด ความเชื่อของตน
ยิ่งการทำตามคำสอนที่ได้ยินได้ฟังมา ยากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ขนาดเพื่อตัวของเราเอง อยากทำให้ถูก เพราะอยากมีสุข มันยังเป็นเรื่องยาก แต่ก็ทำได้
เมื่อผู้อื่นกระทำกับเรา เราก็จะรู้ว่าเป็นกรรมของเรา อาศัยผู้อื่นที่ยังมีนิสัยเช่นนั้น มาทำให้เรา และนิสัยนั้นของเขาย่อมเป็นมารที่ตัวของคนผู้นั้น ต้องฝึกควบคุมเอง
ถ้าเราตอบโต้ไม่ให้อภัย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ก็เหมือนต่อกรรม เป็นกงกรรมกงเกวียนไม่รู้จบ หากเรามีสติ ไม่ตอบโต้ กรรมมันก็จะจบลง
ความคิดที่มีในหัวเรา คือ เมตตาเขา เพราะเขายังมีนิสัยกรรม ก็ต้องอภัย และให้เวลา รอวันที่สติของเขาจะใหญ่ จนควบคุมนิสัยได้ ด้วยการเมตตาตนเองเช่นกัน
เมื่อสติเขาคืนมา เขาก็จะรู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด และเริ่มทำใหม่ เฉกเช่นเราที่เคยเป็นในอดีตนั่นเอง
เราจึงไม่แปลกใจที่ พระพุทธเจ้า มีเมตตา ขันติอดทน สูง และเห็นหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านกระทำกับคนไข้ทุกคน เฉกเช่นเดียวกัน
พิมพ์อันนี้ ลองพิจารณาดู แล้วเดินตาม
แล้วเราจะเห็นผิดของเรานั้นใหญ่หลวง ผิดของผู้อื่นนั่นเบาเหมือนนุ่น ด้วยสติที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวให้เราท่านฟังเสมอ "มนุษย์ย่อมเป็นไปตามกรรม" ดั่งคำตรัสของพระภูมี
ตัวเราผิด เรายังให้อภัยตน แล้วเริ่มใหม่ เมื่อเราโตขึ้น อยู่สูง เราก็จะเห็นว่า ผู้อื่นก็เป็นเช่นเรา เมื่อเขาผิด เราจึงหยุด รอวันเขาโต ด้วยความอดทน ด้วยเมตตาที่เรามีนั่นเอง
การรอคอยผู้อื่นโต ดุจดั่ง หลวงพ่อนิพนธ์ รอเราท่านโต ให้อภัยในสิ่งที่เราคิด เราทำ เราพูด แม้จะผิดพลาดสักเท่าไร ก็พยายามสอน ใช้เหตุและผล จนในที่สุด เมื่อเราท่านเดินตาม และโตขึ้น เราท่านก็จะประสพผลสำเร็จในการหายโรค ซึ่งเป็นของแถม
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เป็นคนดี มีนิสัยของพระภูมีอยู่ในตน นั่นเอง ซึ่งเป็นเป้าประสงค์ของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์ถ่ายทอดมาให้
จะเห็นได้ว่า ผลแห่งการเมตตาตน เป็นดั่งต้นอ่อน ของคนดีนั่นเอง
เคล็ดนี้ คือ เหตุผลที่ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "ทำไมต้องใช้พระ ในการบำบัดผู้ป่วยยาเสพติด" ก็ด้วยความเมตตา และสติ ที่พระมีนั่นเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)