สมัยก่อน เมื่อเราเรียนรู้ถึงสิ่งที่มีผลต่อการฟื้นฟูหรือพัฒนาตน จากหลวงพ่อนิพนธ์ สิ่งหนึ่งที่บังเกิดกับตน อาจจะเป็นสิ่งที่่มาจากความอยากของตน นั่นคือ อยากเห็นคนอื่นทำได้นั่นเอง หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้ยกอดีตเมื่อครั้งพุทธกาลให้ฟัง นั่นคือ พระอานนท์ ผู้ซึ่งถือได้ว่าเป็นสาวกที่มีความจำเป็นเลิศ สามารถจดจำคำสอนของพระพุทธองค์ได้อย่างแม่นยำ จนหลายครั้ง ก็ได้รับหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดให้แก่สาวกองค์อื่น เป็นครั้งคราวในขณะที่พระภูมีทรงติดภารกิจอื่น กระนั้นก็ตาม แม้นจะมีความรู้ธรรมจากพระภูมีมากมาย แต่พระอานนท์ กลับกลายเป็นสาวกที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ช้ากว่าผู้อื่นมากมาย ด้วยความรู้ที่มีมาก และความอยากที่ให้เพื่อนสาวกปฏิบัติได้ตามคำสอน ผลก็คือ ตัวของตัวเอง กลายเป็นผู้เห็นผู้อื่นผิดอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นอุปสรรคในการสำเร็จของตน
เราจึงได้รับคำชี้แนะจากหลวงพ่อนิพนธ์ว่า คนทั้งหลายที่มา ล้วนแล้วแต่เป็นโรค ย่อมไม่มีกระจิตกระใจในการควบคุมตนสักเท่าไหร่ แม้นแต่ตัวของเราเองผู้ปฏิบัติ ก็ย่อมรู้ตัวเราเองดีว่า หลังจากผ่านการฟื้นฟูร่างกายมาระดับหนึ่ง และเริ่มที่จะปฏิบัติสัจจะ ก็จักเห็นว่า การละทิ้งนิสัยเดิม แล้วมาทำนิสัยของพระภูมีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา ฉันใดก็ฉันนั้น คนที่มาต้องต่อสู้กับปัญหาเฉพาะหน้า นั่นคือ ความทุกข์ความเจ็บ อันเกิดแต่โรค เหมือนเช่นเราท่านที่ผ่านมาก่อน สติปัญญา จึงยังไม่สามารถรวบรวมให้เกิดสมาธิขึ้นมาได้เป็นธรรมดา การจะให้ทำตนเข้ามาตราฐานของศาสนา จึงจะเอาเป็นเกณฑ์ไม่ได้ เมื่อเราผู้ที่ผ่านจุดนั้นมาแล้ว เริ่มมีสติปัญญาของศาสนา เริ่มทำนิสัย ก็ย่อมเห็นเหตุอันนี้ และควรทำตัวเฉกเช่นพระพุทธเจ้าสอนสาวก ด้วยขันติ อดทน เพราะรู้ในสัจจธรรมความเป็นจริงอันนี้ จิตเมตตาธรรม ก็จักบังเกิด และให้อภัย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนอยู่หลายครั้งว่า การเป็นจิตอาสา ย่อมเป็นตัวแทนของท่าน และของศาสนา กว่าที่เราท่านทั้งหลายจะพึงมายืน หรือมาทำตนเป็นจิตอาสา ก็ย่อมผ่านความยากลำบาก หรือ สถานะนั้นๆ มาก่อน และเมื่อมาทำนิสัยของพระพุทธเจ้า ด้วยการเป็นผู้ให้ เป็นเบื้องต้น หรือก้าวล่วงไปทำสัจจะใจ ก็ยิ่งเห็นความยากลำบาก หรือ ความยากในการทำมากยิ่งขึ้น ก็ควรยิ่งเห็นใจผู้ที่มาใหม่ หรือผู้ไม่รู้ มากยิ่งขึ้น เพราะเขาเหล่านั้น ยังตกเป็นเชลยกรรมอย่างเต็มตัว ยิ่งพิจารณา ก็ยิ่งเกิดเมตตาธรรม แก่คนเหล่านั้น การจะไปว่ากล่าว หรือ พูดจาให้กระทบใจ ก็ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะเราท่านก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ ผู้ทำ แล้วนั่นเอง
อาทิเช่น เรารู้ว่า ความสงบเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา การจะช่วยตน ก็พึงเริ่มด้วยการบังคับกาย บังคับวาจา ในสถานที่ของพระพุทธศาสนา ที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด เราก็รู้ว่า การกระทำใดๆ ในเขตพัทธสีมา ก็ย่อมมีผลทั้งแก่ตนและผู้อื่น คนพูดคุยในห้องสวดมนต์ มิเพียงทำลายตน แต่ก็ทำลายชีวิตผู้อื่นในเวลาเดียวกัน หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เพราะทำให้ผู้อื่น ไม่ได้ยินได้ฟัง ในสิ่งที่สามารถช่วยตนได้ เท่ากับการพูดของผู้นั้น กำลังฆ่าผู้อื่นนั่นเอง เรารู้เราก็อยากให้คนทั้งหลาย ได้อานิสงฆ์ทั้ง การสร้างเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ไม่ทำบาป ด้วยการฆ่าคน ... แต่ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า นั่นเป็นความอยากของเรา คนไข้ย่อมมีปัญหาสิ่งหนึ่งพ่วงตามมา คือ โรคจิต ด้วยความเจ็บ ความปวด มันรุมเร้า จะให้เขาทำอะไร ก็คงหวังผลไม่ได้ เพราะจิตไม่อยู่กับตัว จึงต้องให้เวลา ให้ความเมตตา
จึงไม่แปลกเลยว่า พระพุทธศาสนา จึงสอนให้เหล่าจิตอาสา ทั้งหลาย ช่วยคนเหล่านั้น ไม่ใช่ด้วยการติเตียน ด่าทอ แต่ด้วยการพูดสอน ให้เกิดสติปัญญา แล้วนำไปควบคุมตน ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การใช้เวลาในการสอนของท่าน จึงต้องใช้เวลาที่นาน พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อรอเวลาให้คนเหล่านั้น มีช่วงเวลาที่คลายความเจ็บปวด และมีสติ จะได้ได้ยิน ได้ฟัง ได้พิจารณา อันหมายความว่า ขอเพียงจับใจความที่พูด แค่เพียงคำเดียว ประโยคเดียว แล้วนำไปพิจารณา แล้วใช้ช่วยตน นั่นเอง ก็เพียงพอแล้ว
การเข้าสวดมนต์ แล้วฟังคำสอน จึงแฝงไปด้วยความเมตตาธรรม ของคนที่รู้แล้ว ทำแล้ว อยู่ในที เพราะคนเหล่านั้น ด้วยความที่สภาพของตนพร้อม ฟังไม่กี่คำ ก็เข้าใจ แต่ก็ให้โอกาสคนที่ด้อยกว่า ได้มีเวลา ได้มีโอกาส เสมือนเด็ก กว่าจะลุกเดิน ก็ใช้เวลา นานกว่าผู้ที่โตใหญ่แล้วเป็นธรรมดา หรือ คนที่ชรา ด้วยวัยและโรคภัย ก็ลุกช้า ฉันใดก็ฉันนั้น การมีเพือนฟังมาก ก็ทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่ฟัง นั้นเป็นคุณ ยิ่งเห็นผู้ที่ทำได้ ก็ย่อมมีความหวังและอยากฟัง ดังนั้น มิเป็นแต่เพียงเมตตาธรรม แก่ผู้ด้อย ที่สภาพไม่พร้อม การฟังซ้ำๆ ก็ยังเป็นการเตือนสติ หรือทบทวน ว่าสิ่งที่เราท่านเข้าใจ มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง มีเรื่องราวตรงไหนที่ยังติดขัด ไม่เข้าใจ เพราะวันหนึ่ง ความรู้ที่ช่วยตนได้นี้ ก็ย่อมสามารถไปช่วยผู้อื่นได้เช่นกัน นั่นก็เป็นการพัฒนาตนไปอีกขั้น จากผู้ให้ธรรมดา หรือ พระเวสสันดร กลายไปเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์
บทสรุป ก็อยากแปลกใจเลย หากเราท่านเจอผู้ที่ยังด่าทอ ในหมู่จิตอาสา เพราะนั่นแสดงว่า คนเหล่านัน ยังไม่เคยปฏิบัติตามธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแน่แท้ ก็เป็นได้แต่มีความรู้ธรรมไว้คุยข่มเท่านั้นเอง หากเราท่าน เจอ หรือ ทำ ตามธรรมคำสอนของแม่ชีเมี้ยนที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาแล้วไซร้ ย่อมเกิดอาการ เฉกเช่นพระพุทธเจ้าเคยมี นั่นคือ กลัวกรรม และเมื่อพิจารณา ตน ก็จักเห็นผู้อื่น ที่เคยตกเป็นเชลยกรรม อยู่ในอำนาจกรรม ทั้งตัวและจิตใจ เห็นแล้ว ย่อมให้อภัยคนเหล่านัันได้เป็นนิสัย ไม่สนในวาจาและพฤติกรรม นำมาวิพากษ์วิจารณ์ เพราะนั่นมันนิสัยกรรม นิสัยของคนที่ยังไม่มีธรรม ไม่รู้ธรรม แล้วเราท่านจะไปต่อวงล้อกรรมกับเขาทำไม เพราะเราท่านเรียนรู้จากหลวงพ่อนิพนธ์แล้ว และที่สำคัญ ไม่อยากสร้างกรรม หรือ ทุกข์รออยู่วันข้างหน้าอีกมิใช่หรือ
ท้ายที่สุด ใครจะบอกว่ามียาดี รักษาโรคนั้นโรคนี้ได้ หรือมีพิธีกรรม เสกเป่า คาถา ก็ว่าไป แต่ถ้าเชื่อแม่ชีเมี้ยน เชื่อธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อหลวงพ่อนิพนธ์ เราท่านก็จักเชื่อว่า กรรมมีจริง มีอำนาจจริง วิธีเหล่านั้น เอาชนะกรรมไม่ได้แน่นอน เพราะอยากหนีกรรม ก็ต้องทำนิสัย และวันใดที่เราท่านเริ่มทำนิสัย และมีนิสัยของพระพทธเจ้าอยู่ในตนแล้วไซร้ เราท่านก็จักมองย้อนไปเห็นอำนาจกรรม และรู้ว่า การจะหนีกรรมไม่ใช่ง่ายเลย คนทั้งหลายที่ยังไม่รู้ ยังเป็นเชลยกรรม ยังใช้นิสัยกรรมอยู่ ย่อมมีกรรมหรือทุกข์รออยู่ในวันข้างหน้า คนเหล่านั้นน่าสงสาร คนมีธรรมย่อมเกิดเมตตาสงสาร และก็ไม่มีวันที่จะใช้นิสัยกรรมไปตอบโต้อย่างแน่นอน จิตอาสาท่านใด ที่เชื่อในธรรมของแม่ชีเมี้ยน ผู้นั้น ก็ย่อมไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้นแน่นอน ส่วนคนที่มีพฤติกรรม ท่านก็อภัยเขาเถิด เพราะทุกคนกำลังทำตน หากแต่วันเวลาผ่านไป ก็ไม่เปลี่ยน อันนั้นหลวงพ่อนิพนธ์ เรียกว่า คนดิบ ซึ่งก็ต้องมี เจอเมื่อไหร่ก็ทำใจ เพราะสถานที่ของพระพุทธศาสนา เป็นที่รวมของคนทุกหมู่เหล่า นี่จึงมีธรรมหมวด อุเบกขา นั่นเอง
กระนั้นก็ตาม สิ่งที่เราท่านมาหา คือ แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ พระธรรม และหลวงพ่อนิพนธ์ หาใช่ผู้อื่นไม่ ... ไม่ว่าเห็นอะไรอื่น พิจารณา แล้วก็วางลง นั่นคือ คำสอนที่แม่ชีเมี้ยนให้ไว้ เลือกเอาสิ่งที่ดี .... จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ศาสนาของพระภูมี เป็นศาสนาแห่งปัญญา มีทุกสรรพสิ่งในที่เดียวกัน แล้วแต่ใครจะมีปัญญาเลือกสิ่งที่ดีให้แก่ตน จะคาดหวังมาสถานที่นี้ แล้วจะเจอแต่คนดีๆ นั่นคิดเอง เออเอง แม้นแต่ในหมู่ผู้ปฏิบัติ ของพระพุทธเจ้า ยังมีเทวทัตและพวกเลย ....
เจอเหล่าคนพาล ก็ให้อุเบกขา ให้เมตตาธรรม ให้อภัย แล้วหลีกหนี เจอบัณฑิต ผู้มีนิสัยพระภูมี ก็เข้าใกล้ชิด สนิทสนม เพื่อพัฒนาตน แลเมื่อแม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ตัวกระทำไม่ตาย สิ่งที่เราท่านทำวันนี้ ย่อมรอเราอยู่ในวันข้างหน้า ตามที่ท่านอาสิ ย้ำทุกครั้ง ชาติหน้าฉันใด เราท่านก็จะได้มิเพียงแต่มีนิสัยพระภูมีติดตน แต่หมู่ชนที่ได้อยู่ร่วมกัน ก็ย่อมเป็นคนมีธรรม อย่างแน่นอน
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559
วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559
ดีแต่คุย
เฉกเช่นพระหลายองค์เข้ามาเรียนธรรม ก็มุ่งมั่นจดจำคำสอน ของแม่ชีเมี้ยน แล้วก็พูดได้จนน้ำไหลไฟดับ แต่หาได้ปฏิบัติหรือทำตามให้เกิดมรรคเกิดผล ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นก็หาไม่ ท้ายที่สุดก็เป็นได้แค่พวก ดีแต่พูด ทำไม่ได้
ด้วยศาสนา ที่แท้จริง หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า คือ ศาสนา ทำ มุ่งมั่นเปลี่ยนนิสัยตนแต่เดิมที่เป็นนิสัยกรรม ให้เป็นนิสัยธรรมของพระพุทธเจ้า และการทำนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ธรรมมากมายแต่ประการใด เพียงแต่สิ่งใดที่ทำได้ แลเป็นประโยชน์แก่ตน ก็จับมาฝึกมาทำ ค่อยๆทำไปทีละน้อย คือ เริ่มตั้งแต่ ๑ ชั่วโมง
อาทิ เช่นที่ท่านอาสิกล่าว คือ นิสัยไม่โกรธ หรือจะเป็นนิสัยใดของตนที่เลวร้ายให้ทุกข์แก่ผู้อื่นมาก ก็นำนิสัยอันนั้นมาถวายพระพุทธ แล้วทำก่อน ค่อยๆลดไป ฝึกวันละหนึ่งชั่วโมง โดยหลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า ชั่วโมงแห่งสัจจะหรือการสร้างนิสัยนั้น ก็พึงไตร่ตรอง ด้วยเหตุด้วยผล ให้เห็นโทษแห่งนิสัยนั้นๆ เมื่อนิสัยเกิด ก็พยายามหาหนทางที่จะควบคุมนิสัยนั้น ด้วย พิจารณากรรมเป็นกรรมฐาน ว่าทำไปแล้วเป็นทุกข์แก่ผู้อื่น กรรมอันนั้นก็จะย้อนกลับมาให้ทุกข์เราอีกไม่จบไม่สิ้น
หากเราสร้างสติ แล้วทำนิสัยในชั่วโมงสัจจะได้ ชั่วโมงอื่น เราก็น้อมนำสตินั้นมาประคองตน ให้มีนิสัยสร้างสุขให้แก่ผู้อื่น หากนิสัยมาก็พยายามเอาสติในชั่วโมงที่ทำมาปะทะ ซึ่งแรกๆ ไม่เคยชินก็จะควบคุมได้น้อยเป็นธรรมดา ค่อยๆทำไป ก็จะควบคุมนิสัยได้ดีขึ้น
จึงไม่มีความจำเป็นเลย ที่จะต้องไปเรียนพระไตรปิฏกเพราะศาสนาของพระภูมี นั้นฟังง่าย ปฏิบัติได้เลย ไม่มีคำที่ฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนในตำรานั้นๆหรอก มิหนำซ้ำยิ่งอ่านมากรู้มาก ก็จักเข้าข่าย รู้ไว้พูด ไม่ได้รู้ไว้ทำ ไปหมด
ดังนั้น เรื่องของศาสนา ที่ทำเพื่อช่วยตน ทุกคนทำได้ ฟังปุ๊บ พิจารณา แล้วจับเอาที่ตนทำแล้วมีประโยชน์มาทำ สร้างสุขให้แก่ตน แม้นเพียงคำเดียวประโยคเดียวก็พอแล้ว และเมื่อทำ หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นว่า แม้นจะเป็นคำเดียว ประโยคเดียว แต่ด้วยนิสัยเดิมอยู่กับเราท่านมานาน การจะฝืนนิสัยเดิม ก้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ทำได้ถ้าเราท่านเจอศาสนาที่แท้จริง แล้วใช้อำนาจธรรม สติธรรมค่อยๆข่มนิสัยเดิม หรือกิเลสเดิม หยุดใจ วาจายังไม่ได้ ก็เริ่มที่หยุดกายก่อนเป็นสำคัญ
วันหนึ่ง เมื่อสติธรรมเราท่านโต หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเราท่านมินิสัยธรรม เห็นกรรม ก็จะเกิดสิ่งหนึ่งผุดขึ้นมา นั่นคือ เมตตาธรรม เพราะรู้ตนดีว่า กรรมมีอำนาจ เราท่านผู้ทำ กว่าจะหลีกพ้นนิสัยกรรมเดิมของตน ไม่ใช่ง่ายเลย จึงไม่แปลกเลยว่า ขนาดพระโคดมผู้มีปัญญามีความพร้อม ยังใช้เวลาถึงกว่า ๖ ปี และเมื่อมีเมตตาธรรม เราท่านก็จะให้อภัยผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย ไม่เห็นผู้อื่นผิด เพราะรู้ดีว่า คนผู้นั้น ยังมีกรรมเป็นอำนาจ ควบคุมเขาอยู่นั่นเอง
บทสรุป โลกเราทุกวันนี้ มีแต่ผู้รู้มากมายเต็มโลก แต่หาผู้ทำนั้นน้อยนิด โลกจึงวุ่นวาย บ้านก็เป็นโลกย่อส่วน มีเราท่านเป็นประชากร ก็วุ่นวายหากทุกคนยังใช้นิสัยกรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงชักชวนเราท่าน มาใช้นิสัยธรรม ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เพื่อเป็นจุดเริ่ม แห่งความสงบ จากตัวเองก่อน แล้วก็ไปเป็นบ้านที่สงบ ซึ่งน่าคิด ว่าหากมีบ้านใดบ้านหนึ่ง ทำตามคำสอนของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา บ้านนั้นจะกลายเป็นบ้านที่ไม่มีเสียงด่าทอกันเลยในบ้าน บ้านนั้นจะมีแต่ให้สุขแก่ครอบครัวตนและผู้อื่น รวมไปถึงสรรพสัตว์ บ้านนั้นย่อมเป็นบ้านที่คนอื่นปรารถนาจะเป็น แต่เป็นไม่ได้ เพราะคนเหล่านั้น ดีแต่พูด ดีแต่อยาก แต่ไม่ทำ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะทำบ้านเราท่านให้สงบสุข ที่สำคัญ ไม่มีทุกข์จากโรคภัย เป็นของแถมอีกต่างหาก ไม่มีหัวหงอกเผาหัวดำ ไม่มีอุบัติภัย ทำให้ชีวิตดับ บ้านวิเศษแบบนี้ สร้างได้ ขอเพียงเราท่านทำ ด้วยขันติ อดทน อย่าพึงแต่พูดว่า อยากหายโรค อยากมีสุข แต่เก็บมือ เก็บไม้ และยังใช้นิสัยเดิม ฝันที่ว่าไม่มีทางเป็นจริงได้เลย
ด้วยศาสนา ที่แท้จริง หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า คือ ศาสนา ทำ มุ่งมั่นเปลี่ยนนิสัยตนแต่เดิมที่เป็นนิสัยกรรม ให้เป็นนิสัยธรรมของพระพุทธเจ้า และการทำนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ธรรมมากมายแต่ประการใด เพียงแต่สิ่งใดที่ทำได้ แลเป็นประโยชน์แก่ตน ก็จับมาฝึกมาทำ ค่อยๆทำไปทีละน้อย คือ เริ่มตั้งแต่ ๑ ชั่วโมง
อาทิ เช่นที่ท่านอาสิกล่าว คือ นิสัยไม่โกรธ หรือจะเป็นนิสัยใดของตนที่เลวร้ายให้ทุกข์แก่ผู้อื่นมาก ก็นำนิสัยอันนั้นมาถวายพระพุทธ แล้วทำก่อน ค่อยๆลดไป ฝึกวันละหนึ่งชั่วโมง โดยหลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า ชั่วโมงแห่งสัจจะหรือการสร้างนิสัยนั้น ก็พึงไตร่ตรอง ด้วยเหตุด้วยผล ให้เห็นโทษแห่งนิสัยนั้นๆ เมื่อนิสัยเกิด ก็พยายามหาหนทางที่จะควบคุมนิสัยนั้น ด้วย พิจารณากรรมเป็นกรรมฐาน ว่าทำไปแล้วเป็นทุกข์แก่ผู้อื่น กรรมอันนั้นก็จะย้อนกลับมาให้ทุกข์เราอีกไม่จบไม่สิ้น
หากเราสร้างสติ แล้วทำนิสัยในชั่วโมงสัจจะได้ ชั่วโมงอื่น เราก็น้อมนำสตินั้นมาประคองตน ให้มีนิสัยสร้างสุขให้แก่ผู้อื่น หากนิสัยมาก็พยายามเอาสติในชั่วโมงที่ทำมาปะทะ ซึ่งแรกๆ ไม่เคยชินก็จะควบคุมได้น้อยเป็นธรรมดา ค่อยๆทำไป ก็จะควบคุมนิสัยได้ดีขึ้น
จึงไม่มีความจำเป็นเลย ที่จะต้องไปเรียนพระไตรปิฏกเพราะศาสนาของพระภูมี นั้นฟังง่าย ปฏิบัติได้เลย ไม่มีคำที่ฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนในตำรานั้นๆหรอก มิหนำซ้ำยิ่งอ่านมากรู้มาก ก็จักเข้าข่าย รู้ไว้พูด ไม่ได้รู้ไว้ทำ ไปหมด
ดังนั้น เรื่องของศาสนา ที่ทำเพื่อช่วยตน ทุกคนทำได้ ฟังปุ๊บ พิจารณา แล้วจับเอาที่ตนทำแล้วมีประโยชน์มาทำ สร้างสุขให้แก่ตน แม้นเพียงคำเดียวประโยคเดียวก็พอแล้ว และเมื่อทำ หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นว่า แม้นจะเป็นคำเดียว ประโยคเดียว แต่ด้วยนิสัยเดิมอยู่กับเราท่านมานาน การจะฝืนนิสัยเดิม ก้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ทำได้ถ้าเราท่านเจอศาสนาที่แท้จริง แล้วใช้อำนาจธรรม สติธรรมค่อยๆข่มนิสัยเดิม หรือกิเลสเดิม หยุดใจ วาจายังไม่ได้ ก็เริ่มที่หยุดกายก่อนเป็นสำคัญ
วันหนึ่ง เมื่อสติธรรมเราท่านโต หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเราท่านมินิสัยธรรม เห็นกรรม ก็จะเกิดสิ่งหนึ่งผุดขึ้นมา นั่นคือ เมตตาธรรม เพราะรู้ตนดีว่า กรรมมีอำนาจ เราท่านผู้ทำ กว่าจะหลีกพ้นนิสัยกรรมเดิมของตน ไม่ใช่ง่ายเลย จึงไม่แปลกเลยว่า ขนาดพระโคดมผู้มีปัญญามีความพร้อม ยังใช้เวลาถึงกว่า ๖ ปี และเมื่อมีเมตตาธรรม เราท่านก็จะให้อภัยผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย ไม่เห็นผู้อื่นผิด เพราะรู้ดีว่า คนผู้นั้น ยังมีกรรมเป็นอำนาจ ควบคุมเขาอยู่นั่นเอง
บทสรุป โลกเราทุกวันนี้ มีแต่ผู้รู้มากมายเต็มโลก แต่หาผู้ทำนั้นน้อยนิด โลกจึงวุ่นวาย บ้านก็เป็นโลกย่อส่วน มีเราท่านเป็นประชากร ก็วุ่นวายหากทุกคนยังใช้นิสัยกรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงชักชวนเราท่าน มาใช้นิสัยธรรม ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เพื่อเป็นจุดเริ่ม แห่งความสงบ จากตัวเองก่อน แล้วก็ไปเป็นบ้านที่สงบ ซึ่งน่าคิด ว่าหากมีบ้านใดบ้านหนึ่ง ทำตามคำสอนของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา บ้านนั้นจะกลายเป็นบ้านที่ไม่มีเสียงด่าทอกันเลยในบ้าน บ้านนั้นจะมีแต่ให้สุขแก่ครอบครัวตนและผู้อื่น รวมไปถึงสรรพสัตว์ บ้านนั้นย่อมเป็นบ้านที่คนอื่นปรารถนาจะเป็น แต่เป็นไม่ได้ เพราะคนเหล่านั้น ดีแต่พูด ดีแต่อยาก แต่ไม่ทำ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะทำบ้านเราท่านให้สงบสุข ที่สำคัญ ไม่มีทุกข์จากโรคภัย เป็นของแถมอีกต่างหาก ไม่มีหัวหงอกเผาหัวดำ ไม่มีอุบัติภัย ทำให้ชีวิตดับ บ้านวิเศษแบบนี้ สร้างได้ ขอเพียงเราท่านทำ ด้วยขันติ อดทน อย่าพึงแต่พูดว่า อยากหายโรค อยากมีสุข แต่เก็บมือ เก็บไม้ และยังใช้นิสัยเดิม ฝันที่ว่าไม่มีทางเป็นจริงได้เลย
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559
สุดตัว
หากเราท่านหวนกลับไปคิด วันแรกๆที่รู้ว่าเป็นโรค แล้วก็่ผ่านวัน ผ่านคืน ในการรักษาตนมา จนถึงวันนี้ ความเป็นจริงที่ปรากฎ สะท้อนให้เห็นว่า หนทางใดๆ ที่เราท่านใช้มา ล้วนแล้วแต่มิเพียงไม่สำเร็จในการรักษาตน แถมยังก่อให้เกิดความเสียหายที่เพิ่มขึ้น จนถึงวันนี้ จากเดิมที่เป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ก่อกวน กลายมาเป็นความเจ็บ ความปวด ที่รุมเร้า แทบจะทุกโมงยาม ทำให้ไม่สามารถอยู่อย่างปกติสุข หรืออาจจะต้องเสียการเสียงานไป นั่นย่อมเป็นบทพิสูจน์อย่างดีว่า สิ่งที่กำลังเผชิญ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ที่สำคัญ ไม่สามารถเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปแลกได้เลย โดยเฉพาะวัตถุ เงินทอง แล้วทำไมเราท่านจึงประเมินกรรมต่ำเหลือเกิน ทั้งๆที่ปัญหาที่อยู่กับตน ไม่ว่าวิธีใด หรือใคร ก็ช่วยตนของเราท่านไม่ได้ พูดฟังง่ายก็คือ ไม่มีใครช่วยได้ อยากหายก็ต้องอาศัยปาฏิหารย์ เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าด้วยเหตุใดทำให้เราท่านได้มาพานพบ แม่ชีเมี้ยน ได้ยินได้ฟัง ศาสตร์สมุนไพร และธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ทำให้เราท่านได้รู้ว่า ปาฏิหารย์มีจริง แม่ชีเมี้ยนมีอำนาจ มีปาฏิหารย์ ทำให้ฝันของเราท่านในการหายโรค เป็นจริงได้ ด้วยประจักษ์พยาน ที่มีผู้ทำได้ และหาย ให้เห็นมากมาย ในช่วงที่ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ ปัญหาก็คือ ทำอย่างไรจึงเข้าถึงปาฏิหารย์อันนั้นได้
เมื่อเราท่านประเมินค่าของกรรม หรือ อำนาจกรรม ต่ำเกิน จึงทำตนแบบสบายๆ เอานิสัยตนเป็นหลัก จึงไม่น่าแปลกเลยว่า ทำไมหลายคน จึงมักใช้คำเป็นอมตะ นั่นคือ ไม่มีเวลา ต้องทำงาน มีภาระรับผิดชอบ .... ซึ่งน่าสงสัยอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่มีค่ามากที่สุด คือ ชีวิต มิใช่หรือ เราท่านกลับไม่มีวันเวลา เพื่อสร้างปาฏิหารย์ ทำสิ่งที่คนทั้งโลกทำให้ หรือ ช่วยตนของเราท่านไม่ได้ แต่กลับมีวันเวลา ไปทำสิ่งที่เป็นโทษเพิ่มให้แก่ร่างกาย ชีวิต และวิญญาณ ซ้ำอีก ฤาว่า ร่างกาย ชีวิต วิญญาณของเราท่านเอง นั้น ไม่ต้องรับผิดชอบ .... แต่ ... หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เวลาผลแห่งกรรมเกิด ใครเล่าจะมาเจ็บด้วย ใครเล่าจะมาตายด้วย และ วิญญาณใครเล่าที่ต้องรับผล .... ตัวเราท่านเอง วิญญาณของเราท่านเอง โดดเดี่ยว ไม่มีใครมาแบ่งปันได้เลย แม้นแต่เสี้ยวของความเจ็บ
ไม่ว่าทางโลก เราท่านจะเป็นผู้เลิศประเสริฐศรี เป็นคนดีของผู้อื่นสักฉันใด รักพี่ รักน้อง รับผิดชอบมากมายสักฉันใด สิ่งเหล่านั้น ฟ้าดิน เขาไม่ได้จัดสรรในการเป็นคนดีเลยแม้นแต่น้อย กลับเป็นตนของเราท่านเองต่างหาก ที่ฟ้าดินเขาใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาในการเป็นคนดี หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า "ไม่เห็นแก่ตน ฟ้าดินลงโทษ" มิใช่ให้เห็นแก่ตัว แต่ควรทำตนของตนให้รอด ให้เป็นคนดี รู้ผิดถูก รู้ธรรมที่ใช้ช่วยตนได้เสียก่อน แล้วจึงไปช่วยคนอื่น
หากช่วยตนยังไม่พ้น แต่กลับทำตน จับปลาสองมือ อยากหายโรคก็อยาก อยากทำงานทำเงิน ก็อยาก ผลสุดท้าย ไม่ได้สักตัว ร่างกายก็ทรุดลง ทำงานทำเงินไม่ได้ แถมอาจช่วยตนยังไม่ได้เลย ซ้ำร้ายสุดท้ายแม้นแต่ชีวิตก็รักษาไว้ไม่ได้ มีให้เห็นมากมาย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ นี่แหละอำนาจกรรม ดลจิตดลใจ ให้เสียน้อย เสียยาก ทั้งๆที่ธรรมของพระภูมี ปาฏิหารย์ของแม่ชีเมี้ยน ก็เป็นที่ประจักษ์ หากยอมเสียเวลา เสียรายได้ มาฟื้นฟูตน ทั้งร่างกายและจิตใจ อาจเสียเวลาเป็นปีสองปี หากแต่สิ่งที่ได้ ก็จักสามารถทำงาน หาเงิน ได้ไปอีกนานจวบจนจบอายุขัยที่มี แถมยังมีสุขภาพกายและจิตที่ดี ด้วยนิสัยสร้างสุขแก่ผู้อื่นติดตัว สร้างภพภูมิที่ดีรอในวันข้างหน้า หรือ ชาติหน้า ได้อีกด้วย ไม่ดีกว่าหรือ
หากเราท่านไม่ทุ่มสุดตัวแล้วไซร้ ... กรรมมีอำนาจ มีความละเอียดอ่อน เล่นกายให้ตายไม่ได้ ก็เล่นใจให้หลุดจากวงโคจรของศาสนาได้ไม่ยากนัก ไม่ว่าด้วยความรุ่งเรืองของธุรกิจ หรือ ความเห็นผิด และทิฐิทั้งหลาย จนหลายคน กว่าจะรู้ตัว วันเวลาของตนก็ใกล้แล้ว อยากมาก็อาย หรือ อยากมาสภาพก็ไม่เอื้อแล้ว น่าเสียดายนัก ..... รีบมา รีบทำ แล้วก็กลับไปใช้ชีวิต ไม่ดีกว้าหรือ ทำให้สุดๆ ยอมเสียเวลามาเรียนรู้ และปฏิบัติ หายโรคก็ไม่เรื่องฝัน ปาฏิหารย์ของแม่ชีเมี้ยน ก็จักได้เห็น ได้สัมผัส ได้นำไปเป็นที่พึ่งของชีวิต .... เล่าเรียนยี่สิบปี เพื่อปริญญา ไว้เลี้ยงชีวิต เสียเวลา ปีหนึ่งสองปี เพื่อพัฒนาตน แลวิญญาณ ให้เป็นคนดี แถมได้หายโรค .... ไม่น่าลงทุนกว่าหรือ ... แต่ใครเล่าจะฝ่ากระแสกรรมเข้ามา แม้นอยากให้ทุกคนหายโรค ก็ได้แต่อยาก เพราะความจริง ใครทำ ใครได้ คนที่ไม่ทำ ไม่ยอมเสีย ก็ได้แต่ต้องปลง และเสียดาย มีวาสนามาพานพบศาสนา แม่ชีเมี้ยน ... เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้จริง ช่วยตนได้ แต่กลับไม่เอื้อมมือไปไขว่คว้า กรรม กรรม อะไรเล่า น่าเศร้าจริงหนอ
ท้ายสุด เราจึงอยากชี้ให้เห็นว่า อยากหายโรค แต่ไม่ไปเรียนวิชาของศาสนา กับผู้ปฏิบัติ มันก็ได้แค่อยาก โชคดีก็หายจากโรคนี้ แต่ท้ายสุด ก็ไปเป็นโรคนั้น .... เพราะหวังแต่สมุนไพร เสียเวลาเปล่า ด้วยท้ายที่สุด ก็ไม่รอดเหมือนกัน ... แล้วทำไมไม่ไปเรียนวิชาเล่า เพื่อมาช่วยตน เพราะยอดของศาสนา คือ วิชาธรรม ที่ซึ่งชนะกรรม อันเป็นต้นเหตุแห่งโรคได้ .... เรียนเพื่อเปลี่ยนแปลงนิสัยตน ให้กลายเป็นนิสัยธรรม ที่สำคัญ เมื่อช่วยตนได้ ก็ช่วยคนที่ตนรักได้ เพื่อตนและคนที่ตนรัก ... ทำไมไม่ทุ่มสุดตัว อย่าหยุดแค่สมุนไพรเลย ... เพราะนั่นมันเสมือนรอวันแพ้ เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าด้วยเหตุใดทำให้เราท่านได้มาพานพบ แม่ชีเมี้ยน ได้ยินได้ฟัง ศาสตร์สมุนไพร และธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ทำให้เราท่านได้รู้ว่า ปาฏิหารย์มีจริง แม่ชีเมี้ยนมีอำนาจ มีปาฏิหารย์ ทำให้ฝันของเราท่านในการหายโรค เป็นจริงได้ ด้วยประจักษ์พยาน ที่มีผู้ทำได้ และหาย ให้เห็นมากมาย ในช่วงที่ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ ปัญหาก็คือ ทำอย่างไรจึงเข้าถึงปาฏิหารย์อันนั้นได้
เมื่อเราท่านประเมินค่าของกรรม หรือ อำนาจกรรม ต่ำเกิน จึงทำตนแบบสบายๆ เอานิสัยตนเป็นหลัก จึงไม่น่าแปลกเลยว่า ทำไมหลายคน จึงมักใช้คำเป็นอมตะ นั่นคือ ไม่มีเวลา ต้องทำงาน มีภาระรับผิดชอบ .... ซึ่งน่าสงสัยอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่มีค่ามากที่สุด คือ ชีวิต มิใช่หรือ เราท่านกลับไม่มีวันเวลา เพื่อสร้างปาฏิหารย์ ทำสิ่งที่คนทั้งโลกทำให้ หรือ ช่วยตนของเราท่านไม่ได้ แต่กลับมีวันเวลา ไปทำสิ่งที่เป็นโทษเพิ่มให้แก่ร่างกาย ชีวิต และวิญญาณ ซ้ำอีก ฤาว่า ร่างกาย ชีวิต วิญญาณของเราท่านเอง นั้น ไม่ต้องรับผิดชอบ .... แต่ ... หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เวลาผลแห่งกรรมเกิด ใครเล่าจะมาเจ็บด้วย ใครเล่าจะมาตายด้วย และ วิญญาณใครเล่าที่ต้องรับผล .... ตัวเราท่านเอง วิญญาณของเราท่านเอง โดดเดี่ยว ไม่มีใครมาแบ่งปันได้เลย แม้นแต่เสี้ยวของความเจ็บ
ไม่ว่าทางโลก เราท่านจะเป็นผู้เลิศประเสริฐศรี เป็นคนดีของผู้อื่นสักฉันใด รักพี่ รักน้อง รับผิดชอบมากมายสักฉันใด สิ่งเหล่านั้น ฟ้าดิน เขาไม่ได้จัดสรรในการเป็นคนดีเลยแม้นแต่น้อย กลับเป็นตนของเราท่านเองต่างหาก ที่ฟ้าดินเขาใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาในการเป็นคนดี หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า "ไม่เห็นแก่ตน ฟ้าดินลงโทษ" มิใช่ให้เห็นแก่ตัว แต่ควรทำตนของตนให้รอด ให้เป็นคนดี รู้ผิดถูก รู้ธรรมที่ใช้ช่วยตนได้เสียก่อน แล้วจึงไปช่วยคนอื่น
หากช่วยตนยังไม่พ้น แต่กลับทำตน จับปลาสองมือ อยากหายโรคก็อยาก อยากทำงานทำเงิน ก็อยาก ผลสุดท้าย ไม่ได้สักตัว ร่างกายก็ทรุดลง ทำงานทำเงินไม่ได้ แถมอาจช่วยตนยังไม่ได้เลย ซ้ำร้ายสุดท้ายแม้นแต่ชีวิตก็รักษาไว้ไม่ได้ มีให้เห็นมากมาย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ นี่แหละอำนาจกรรม ดลจิตดลใจ ให้เสียน้อย เสียยาก ทั้งๆที่ธรรมของพระภูมี ปาฏิหารย์ของแม่ชีเมี้ยน ก็เป็นที่ประจักษ์ หากยอมเสียเวลา เสียรายได้ มาฟื้นฟูตน ทั้งร่างกายและจิตใจ อาจเสียเวลาเป็นปีสองปี หากแต่สิ่งที่ได้ ก็จักสามารถทำงาน หาเงิน ได้ไปอีกนานจวบจนจบอายุขัยที่มี แถมยังมีสุขภาพกายและจิตที่ดี ด้วยนิสัยสร้างสุขแก่ผู้อื่นติดตัว สร้างภพภูมิที่ดีรอในวันข้างหน้า หรือ ชาติหน้า ได้อีกด้วย ไม่ดีกว่าหรือ
หากเราท่านไม่ทุ่มสุดตัวแล้วไซร้ ... กรรมมีอำนาจ มีความละเอียดอ่อน เล่นกายให้ตายไม่ได้ ก็เล่นใจให้หลุดจากวงโคจรของศาสนาได้ไม่ยากนัก ไม่ว่าด้วยความรุ่งเรืองของธุรกิจ หรือ ความเห็นผิด และทิฐิทั้งหลาย จนหลายคน กว่าจะรู้ตัว วันเวลาของตนก็ใกล้แล้ว อยากมาก็อาย หรือ อยากมาสภาพก็ไม่เอื้อแล้ว น่าเสียดายนัก ..... รีบมา รีบทำ แล้วก็กลับไปใช้ชีวิต ไม่ดีกว้าหรือ ทำให้สุดๆ ยอมเสียเวลามาเรียนรู้ และปฏิบัติ หายโรคก็ไม่เรื่องฝัน ปาฏิหารย์ของแม่ชีเมี้ยน ก็จักได้เห็น ได้สัมผัส ได้นำไปเป็นที่พึ่งของชีวิต .... เล่าเรียนยี่สิบปี เพื่อปริญญา ไว้เลี้ยงชีวิต เสียเวลา ปีหนึ่งสองปี เพื่อพัฒนาตน แลวิญญาณ ให้เป็นคนดี แถมได้หายโรค .... ไม่น่าลงทุนกว่าหรือ ... แต่ใครเล่าจะฝ่ากระแสกรรมเข้ามา แม้นอยากให้ทุกคนหายโรค ก็ได้แต่อยาก เพราะความจริง ใครทำ ใครได้ คนที่ไม่ทำ ไม่ยอมเสีย ก็ได้แต่ต้องปลง และเสียดาย มีวาสนามาพานพบศาสนา แม่ชีเมี้ยน ... เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้จริง ช่วยตนได้ แต่กลับไม่เอื้อมมือไปไขว่คว้า กรรม กรรม อะไรเล่า น่าเศร้าจริงหนอ
ท้ายสุด เราจึงอยากชี้ให้เห็นว่า อยากหายโรค แต่ไม่ไปเรียนวิชาของศาสนา กับผู้ปฏิบัติ มันก็ได้แค่อยาก โชคดีก็หายจากโรคนี้ แต่ท้ายสุด ก็ไปเป็นโรคนั้น .... เพราะหวังแต่สมุนไพร เสียเวลาเปล่า ด้วยท้ายที่สุด ก็ไม่รอดเหมือนกัน ... แล้วทำไมไม่ไปเรียนวิชาเล่า เพื่อมาช่วยตน เพราะยอดของศาสนา คือ วิชาธรรม ที่ซึ่งชนะกรรม อันเป็นต้นเหตุแห่งโรคได้ .... เรียนเพื่อเปลี่ยนแปลงนิสัยตน ให้กลายเป็นนิสัยธรรม ที่สำคัญ เมื่อช่วยตนได้ ก็ช่วยคนที่ตนรักได้ เพื่อตนและคนที่ตนรัก ... ทำไมไม่ทุ่มสุดตัว อย่าหยุดแค่สมุนไพรเลย ... เพราะนั่นมันเสมือนรอวันแพ้ เท่านั้นเอง
วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559
รีดพลัง
เปี๊ยก เจริญพาสน์ มีเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทสนมกัน และร่วมกลุ่มกัน ฉายา เล็ก มีดโกน ด้วยเหตุที่ใช้มืดโกนหนวดด้ามยาว ที่ช่างตัดผมใช้เป็นอาวุธประจำกายนั่นเอง
แลชื่อจริงของ เล็ก มีดโกน คือ คุณสมศักดิ์ แลอีกด้านหนึ่งก็เป็นเพื่อนรักของหลวงพ่อนิพนธ์ เช่นกัน จึงไม่แปลกที่เราท่านหลายคน อาจจะเห็น คุณพิศาล เดินในมูลนิธิ เพราะด้วยสายสัมพันธ์อันนี้นี่เอง
หลังจากยุค ๒๔๙๙ ต่างคนต่างแยกย้าย หลวงพ่อนิพนธ์ไปบวช คุณสมศักดิ์ ไปอยู่อุดร จนในที่สุดทำอาชีพรับจ้างอเมริกา เป็นสายลับ หรืออยู่หน่วยจารกรรมนั่นเอง
จวบจนหลวงพ่อนิพนธ์ ลาสึกจากถ้ำกระบอก ก็ได้แวะเวียนไปหาคุณสมศักดิ์ ด้วยความที่เบื่อหน่าย และเสียใจที่ต้องลาสึก จึงถามคุณสมศักดิ์ว่่า อาชีพอะไรที่ตายง่ายสุด คุณสมศักดิ์จึงแนะนำให้ไปเป็น ไทยถีบ อันหมายถึงคนไทยที่ไปทำหน้าที่ถีบลัง อาวุธ ยุทธภัณฑ์ และเสบียง ของทหาร จากเฮลิคอปเตอร์ เพื่อส่งให้เป้าหมายที่อยู่ในเขตเวียตนาม นั่่นเอง และส่วนใหญ่ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ มักจะไม่รอดกลับมา ด้วยต้องฝ่าดงกระสุนมหาศาลนั่นเอง
ในยุคนั้น แคมป์ของนักบินอเมริกา ชื่อของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงโด่งดังสุดๆ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า หากมีคนผู้นี้ไปด้วย ทุกคนจะได้กลับมาอย่างปลอดภัย จนมีนักบินอเมริกันบางคน ถึงกับบอกว่า หากจะให้ปฏิบัติภารกิจนี้ ต้องมีหลวงพ่อนิพนธ์นั่งไปด้วยจึงจะไป
ผ่านยุคจีไอ หลวงพ่อนิพนธ์ กลับมาเปิดสำนักที่ลพบุรี คุณสมศักดิ์ ก็กลับมากลายเป็น คนหาสถานที่ถ่ายทำหนัง ให้คุณพิศาล จนติดไข้ป่า เป็นมาเลเรียขึ้นสมอง และขณะขับรถขึ้นสะพานพุทธ เกิดอาการขึ้น ทำให้รถเสียหลัก ชนราวสะพานพุทธ และถูกส่งตัวไปที่ รพ. ศิริราช เป็นข่าวหน้าหนึ่งของยุคนั้น
เจ้าหน้าที่ พยายามกู้ชีวิต แต่ไม่สำเร็จ หากแต่เจ้าหน้าที่รู้ว่า คุณสมศักดิ์ เป็นเพื่อนกับท่าน ผอ. โรงพยาบาล คือ หมออำนาจ ในขณะนั้น จึงแจ้งอาการแก่หมออำนาจ ซึ่งก็สั่งว่า ยังไม่ต้องทำอะไร ให้เอาร่างเข้าห้องเย็น รอท่านมา
หมออำนาจมาถึง ด้วยความที่เป็น หมอด้านหัวใจอันดับหนึ่งของประเทศ จึงเอาร่างคุณสมศักดิ์ออกมา แล้วผ่าอก ใช้ไฟฟ้าจี้ที่หัวใจ จนคุณสมศักดิ์ กลับมาหัวใจเต้นอีกครั้ง
แลหมออำนาจ ก็เป็นเพื่อนของหลวงพ่อนิพนธ์เช่นกัน จึงเกิดเดิมพันกันว่า ใครจะเป็นผู้รักษา คุณสมศํกดิ์ ระหว่างหมอแผนปัจจุบัน กับหลวงพ่อนิพนธ์ ที่เพื่อนๆ เรียก หมอผี
หมออำนาจขอลองก่อน จึงใช้สรรพวิทยาที่มี จนผ่านไป ๗ ปี ก็ยอมแพ้ สภาพคุณสมศักดิ์ คือ ช่วยตัวเองไม่ได้ พูดจาลิ้นพันกัน จึงถูกส่งไปอยู่กับพี่สาว ที่อยุธยา
จนล่วงปีที่สิบ หลวงพ่อนิพนธ์จึงแจ้งแก่หมออำนาจว่า ขอลองบ้าง หมออำนาจก็ตกลง จึงไปรับตัวคุณสมศักดิ์มาอยู่เพื่อฟื้นฟู
หลัก ตนพึ่งตน ของพระภูมี จึงถูกพิสูจน์ด้วยคุณสมศักดิ์นี้เอง ให้เราได้ประจักษ์ เพราะคุณสมศักดิ์ นั้น ช่วยตัวเองไม่ได้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็ห้ามให้ใครช่วย ในยามทานข้าว ก็ให้จัดเตรียมวางไว้ คุณสมศักดิ์ ก็เสมือนนอนกิน เพียงแต่ให้คนดูแล อาหาร เสื้อผ้า ที่นอนให้
เมื่อเพื่อนของหลวงพ่อนิพนธ์มาหาและเยี่ยมเยือน เห็น ก็มักพูดว่า หลวงพ่อนิพนธ์นั้นโหด ทำเกินไป ทำไมไม่ให้คนป้อน
หลวงพ่อนิพนธ์ บอกกับคุณสมศักดิ์ว่า นี่แหละผลแห่งการกระทำ ยุคที่อยู่อุดร เป็นสายลับ เหยียบกลางหลังเขา แล้วยิงหัว ผลอันนั้นมาหาแล้วในวันนี้ หากทำใจได้ ก็ยอมรับ แล้วสู้ ช่วยตัวเอง นึกถึงคนที่เหยียดหยามตนเอาไว้ เมื่อเห็นสภาพนี้
คุณสมศักดิ์ ก็ค่อยพัฒนามาเป็นนั่งได้ แต่กินข้าวที กระจายไปกว่าครึ่ง เพราะควบคุมมือยังไม่ได้ จนมาเริ่มทำได้ ก็เริ่มหัดเดิน ภาพที่เราเห็นจนชินตา คือ เดินหน้าสองก้าว ถอยหลังหนึ่งก้าว
อาศัยไม้เท้า และความไม่ยอมแพ้ หลวงพ่อนิพนธ์ให้ไปอยู่ศรีสวัสดิ์ ด้วยเป็นเขา ทุกวัน เดินหน้าสองถอยหนึ่ง พาตัวเองไปหาพระบนยอดเขา เดินตั้งแต่เช้า กว่าจะถึง ฉันเช้าพอดี
ผ่านไปหลายปี คุณสมศักดิ์ ก็ฟื้นฟูตัวเอง สำเร็จ กลับมามีสภาพปกติ แลหากย้อนไป ในระหว่างฟื้นฟู ก็มักบอกกับคนรอบข้าง และหลวงพ่อนิพนธ์ว่า หากโชคดีหาย ก็จักไม่ไปไหน จะอยู่รับใช้หลวงพ่อนิพนธ์ไปจนตาย ด้วยวัยที่ล่วงมากว่าหกสิบปีแล้ว
ครั้นหายเป็นปกติ หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้ย้ายมาอยู่ศาลาขนมไทย ด้านหน้าที่ถูกรือไปแล้ว ไม่นาน คุณสมศักดิ์ก็มาลาหลวงพ่อนิพนธ์ ขออนุญาตไปแต่งงาน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า คุณสมศักดิ์ เป็นเพื่อนคนเดียวของท่าน ที่ยอมกราบและเรียกหลวงพ่อ บอกให้ทำอะไรทำ และใช้ความแค้น ที่ถูกเหยียดหยาม มาเป็นพลังในการฟื้นฟูตน และก็สำเร็จ นั่นก็ย่อมเกิดกับคนที่เป็นน้อยกว่า คือ อัมพฤกต์ อัมพาต ผู้ซึ่งเชื่อว่าตนเป็นคนไร้ค่า ทำอะไรไม่ได้ หากแต่ถ้ากระตุ้นพลังของเขาได้ คนเหล่านั้น ย่อมฟื้นฟูตน ได้ง่ายกว่า คุณสมศักดิ์มากนัก จะติดอยู่ก็แต่ความสงสารของพี่เลี้ยง โดยเฉพาะพ่อแม่ ลูกหลาน ที่ไม่ยอมให้คนป่วยทำด้วยตัวเอง
หลักตนพึ่งตน คนที่จะสำเร็จ องค์ประกอบที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ต้องมีขันติ อดทน ยอมรับกรรม ใช้ และไม่สร้างกรรมใหม่ ... พร้อมกันนั้น ก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นให้สุขแก่ผู้อื่น เมื่อพิจารณาหนทางของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมานี้ ก็จักเห็นว่า ไม่ว่าโรคใด ผลสำเร็จย่อมเป็นไปได้ทั้งสิ้น หากทำตาม และยืนระยะได้
แลชื่อจริงของ เล็ก มีดโกน คือ คุณสมศักดิ์ แลอีกด้านหนึ่งก็เป็นเพื่อนรักของหลวงพ่อนิพนธ์ เช่นกัน จึงไม่แปลกที่เราท่านหลายคน อาจจะเห็น คุณพิศาล เดินในมูลนิธิ เพราะด้วยสายสัมพันธ์อันนี้นี่เอง
หลังจากยุค ๒๔๙๙ ต่างคนต่างแยกย้าย หลวงพ่อนิพนธ์ไปบวช คุณสมศักดิ์ ไปอยู่อุดร จนในที่สุดทำอาชีพรับจ้างอเมริกา เป็นสายลับ หรืออยู่หน่วยจารกรรมนั่นเอง
จวบจนหลวงพ่อนิพนธ์ ลาสึกจากถ้ำกระบอก ก็ได้แวะเวียนไปหาคุณสมศักดิ์ ด้วยความที่เบื่อหน่าย และเสียใจที่ต้องลาสึก จึงถามคุณสมศักดิ์ว่่า อาชีพอะไรที่ตายง่ายสุด คุณสมศักดิ์จึงแนะนำให้ไปเป็น ไทยถีบ อันหมายถึงคนไทยที่ไปทำหน้าที่ถีบลัง อาวุธ ยุทธภัณฑ์ และเสบียง ของทหาร จากเฮลิคอปเตอร์ เพื่อส่งให้เป้าหมายที่อยู่ในเขตเวียตนาม นั่่นเอง และส่วนใหญ่ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ มักจะไม่รอดกลับมา ด้วยต้องฝ่าดงกระสุนมหาศาลนั่นเอง
ในยุคนั้น แคมป์ของนักบินอเมริกา ชื่อของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงโด่งดังสุดๆ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า หากมีคนผู้นี้ไปด้วย ทุกคนจะได้กลับมาอย่างปลอดภัย จนมีนักบินอเมริกันบางคน ถึงกับบอกว่า หากจะให้ปฏิบัติภารกิจนี้ ต้องมีหลวงพ่อนิพนธ์นั่งไปด้วยจึงจะไป
ผ่านยุคจีไอ หลวงพ่อนิพนธ์ กลับมาเปิดสำนักที่ลพบุรี คุณสมศักดิ์ ก็กลับมากลายเป็น คนหาสถานที่ถ่ายทำหนัง ให้คุณพิศาล จนติดไข้ป่า เป็นมาเลเรียขึ้นสมอง และขณะขับรถขึ้นสะพานพุทธ เกิดอาการขึ้น ทำให้รถเสียหลัก ชนราวสะพานพุทธ และถูกส่งตัวไปที่ รพ. ศิริราช เป็นข่าวหน้าหนึ่งของยุคนั้น
เจ้าหน้าที่ พยายามกู้ชีวิต แต่ไม่สำเร็จ หากแต่เจ้าหน้าที่รู้ว่า คุณสมศักดิ์ เป็นเพื่อนกับท่าน ผอ. โรงพยาบาล คือ หมออำนาจ ในขณะนั้น จึงแจ้งอาการแก่หมออำนาจ ซึ่งก็สั่งว่า ยังไม่ต้องทำอะไร ให้เอาร่างเข้าห้องเย็น รอท่านมา
หมออำนาจมาถึง ด้วยความที่เป็น หมอด้านหัวใจอันดับหนึ่งของประเทศ จึงเอาร่างคุณสมศักดิ์ออกมา แล้วผ่าอก ใช้ไฟฟ้าจี้ที่หัวใจ จนคุณสมศักดิ์ กลับมาหัวใจเต้นอีกครั้ง
แลหมออำนาจ ก็เป็นเพื่อนของหลวงพ่อนิพนธ์เช่นกัน จึงเกิดเดิมพันกันว่า ใครจะเป็นผู้รักษา คุณสมศํกดิ์ ระหว่างหมอแผนปัจจุบัน กับหลวงพ่อนิพนธ์ ที่เพื่อนๆ เรียก หมอผี
หมออำนาจขอลองก่อน จึงใช้สรรพวิทยาที่มี จนผ่านไป ๗ ปี ก็ยอมแพ้ สภาพคุณสมศักดิ์ คือ ช่วยตัวเองไม่ได้ พูดจาลิ้นพันกัน จึงถูกส่งไปอยู่กับพี่สาว ที่อยุธยา
จนล่วงปีที่สิบ หลวงพ่อนิพนธ์จึงแจ้งแก่หมออำนาจว่า ขอลองบ้าง หมออำนาจก็ตกลง จึงไปรับตัวคุณสมศักดิ์มาอยู่เพื่อฟื้นฟู
หลัก ตนพึ่งตน ของพระภูมี จึงถูกพิสูจน์ด้วยคุณสมศักดิ์นี้เอง ให้เราได้ประจักษ์ เพราะคุณสมศักดิ์ นั้น ช่วยตัวเองไม่ได้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็ห้ามให้ใครช่วย ในยามทานข้าว ก็ให้จัดเตรียมวางไว้ คุณสมศักดิ์ ก็เสมือนนอนกิน เพียงแต่ให้คนดูแล อาหาร เสื้อผ้า ที่นอนให้
เมื่อเพื่อนของหลวงพ่อนิพนธ์มาหาและเยี่ยมเยือน เห็น ก็มักพูดว่า หลวงพ่อนิพนธ์นั้นโหด ทำเกินไป ทำไมไม่ให้คนป้อน
หลวงพ่อนิพนธ์ บอกกับคุณสมศักดิ์ว่า นี่แหละผลแห่งการกระทำ ยุคที่อยู่อุดร เป็นสายลับ เหยียบกลางหลังเขา แล้วยิงหัว ผลอันนั้นมาหาแล้วในวันนี้ หากทำใจได้ ก็ยอมรับ แล้วสู้ ช่วยตัวเอง นึกถึงคนที่เหยียดหยามตนเอาไว้ เมื่อเห็นสภาพนี้
คุณสมศักดิ์ ก็ค่อยพัฒนามาเป็นนั่งได้ แต่กินข้าวที กระจายไปกว่าครึ่ง เพราะควบคุมมือยังไม่ได้ จนมาเริ่มทำได้ ก็เริ่มหัดเดิน ภาพที่เราเห็นจนชินตา คือ เดินหน้าสองก้าว ถอยหลังหนึ่งก้าว
อาศัยไม้เท้า และความไม่ยอมแพ้ หลวงพ่อนิพนธ์ให้ไปอยู่ศรีสวัสดิ์ ด้วยเป็นเขา ทุกวัน เดินหน้าสองถอยหนึ่ง พาตัวเองไปหาพระบนยอดเขา เดินตั้งแต่เช้า กว่าจะถึง ฉันเช้าพอดี
ผ่านไปหลายปี คุณสมศักดิ์ ก็ฟื้นฟูตัวเอง สำเร็จ กลับมามีสภาพปกติ แลหากย้อนไป ในระหว่างฟื้นฟู ก็มักบอกกับคนรอบข้าง และหลวงพ่อนิพนธ์ว่า หากโชคดีหาย ก็จักไม่ไปไหน จะอยู่รับใช้หลวงพ่อนิพนธ์ไปจนตาย ด้วยวัยที่ล่วงมากว่าหกสิบปีแล้ว
ครั้นหายเป็นปกติ หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้ย้ายมาอยู่ศาลาขนมไทย ด้านหน้าที่ถูกรือไปแล้ว ไม่นาน คุณสมศักดิ์ก็มาลาหลวงพ่อนิพนธ์ ขออนุญาตไปแต่งงาน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า คุณสมศักดิ์ เป็นเพื่อนคนเดียวของท่าน ที่ยอมกราบและเรียกหลวงพ่อ บอกให้ทำอะไรทำ และใช้ความแค้น ที่ถูกเหยียดหยาม มาเป็นพลังในการฟื้นฟูตน และก็สำเร็จ นั่นก็ย่อมเกิดกับคนที่เป็นน้อยกว่า คือ อัมพฤกต์ อัมพาต ผู้ซึ่งเชื่อว่าตนเป็นคนไร้ค่า ทำอะไรไม่ได้ หากแต่ถ้ากระตุ้นพลังของเขาได้ คนเหล่านั้น ย่อมฟื้นฟูตน ได้ง่ายกว่า คุณสมศักดิ์มากนัก จะติดอยู่ก็แต่ความสงสารของพี่เลี้ยง โดยเฉพาะพ่อแม่ ลูกหลาน ที่ไม่ยอมให้คนป่วยทำด้วยตัวเอง
หลักตนพึ่งตน คนที่จะสำเร็จ องค์ประกอบที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ต้องมีขันติ อดทน ยอมรับกรรม ใช้ และไม่สร้างกรรมใหม่ ... พร้อมกันนั้น ก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นให้สุขแก่ผู้อื่น เมื่อพิจารณาหนทางของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมานี้ ก็จักเห็นว่า ไม่ว่าโรคใด ผลสำเร็จย่อมเป็นไปได้ทั้งสิ้น หากทำตาม และยืนระยะได้
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559
เพี้ยน
เหตุการณ์ใดๆ เมื่อผ่านวันเวลา คนที่รู้ คนที่เห็น คนที่ทราบ และได้สัมผัส ย่อมร่อยหรอลง จนไม่เหลือในที่สุด การสืบต่อเรื่องราว จากรุ่นสู่รุ่น ย่อมผิดเพี้ยนเป็นธรรมดา จนบางทีเหลือแต่เค้าโครงของเรื่อง ส่วนรายละเอียดที่สืบทอดกันมา แตกต่างจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง อันเปลี่ยนไปตามผู้เขียน หรือผู้มีอำนาจในยุคนั้นๆเป็นสำคัญ
มิต้องอื่นไกล ดูจากเรื่องราวที่หลายคนดูจากภาพยนต์ อาจเป็นที่ชื่นชอบ และใคร่รู้ เช่นเรื่อง อันธพาลครองเมือง ๒๔๙๙ หลายคนอาจจะจำตัวเอก ของเรื่องได้เป็นอย่างดี และทำให้รู้ได้ว่า ผู้เล่าหรือเขียนเรื่องราว มีชื่อว่า เปี๊ยก วิสุทธกษัตริย์ หากแต่ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของเมืองไทยในยุคนี้ ยังไม่ห่างไกลนัก ยังคงมีผู้คนที่อยู่ร่วมสมัยในยุคนั้น ที่มีลมหายใจ และมีความทรงจำ มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด ทำให้เราท่านได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว เรื่องราวในภาพยนต์ กลับบิดเบือนความเป็นจริงอย่างมากมาย ทำให้บุคคลที่ถูกกล่าวถึง หรือ พาดพิง ที่ยังมีตัวตนอยู่ ล้วนได้รับผลกระทบอย่างมากมาย
บุคคลหนึ่ง ที่มีฉายา เปี๊ยก เจริญพาศน์ อันเป็นคนร่วมสมัย ในกลุ่มของแดง ไบเล่ย์ และยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นผู้หนึ่งที่ไม่อาจยอมรับประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนอันนี้ได้ หากพูดถึงฉายานี้ หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าเอ่ยนาม เปี๊ยก พิศาล อัครเศรณี คนทั้งหลายก็คงรู้จักกันดี
นับประสาอะไรกับธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ล่วงเลยมากว่าสองพันปี จะไม่ถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลา และอำนาจของกลุ่มบุคคลในยุคต่อมาเล่า จนกล่าวได้ว่า แทบไม่เหลือความเป็นจริงอันใดเลยก็ว่าได้ ผลที่ปรากฎ จึงไม่มีผู้ใด ประสพผลจากการทำตาม ตำราคำสอน เอาแค่ปฐมบทคือการหายโรค ให้เห็นเป็นประจักษ์ชัด ทั้งๆที่ตำราของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ทำได้ อย่าว่าแต่หายโรคเลย สามารถก้าวล่วงไปถึงการหลุดพ้น เวียนว่ายตายเกิด อันมีประจักษ์พยานในยุคนั้น เกือบแสนรูป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เราท่านพิจารณา ว่าการจะดูสิ่งใด อย่างไปพิจารณาที่เหตุ แล้วเอาตามใจชอบ แต่ควรพิจาณาที่ผลเป็นสำคัญ ด้วยผลถูกย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า การกระทำหรือเหตุนั้นย่อมถูกอย่างไม่ต้องสงสัย ในทางกลับกัน ผลผิดที่บังเกิด ก็ยืนยันได้ว่า ความคิด ความเชื่อ หรือเหตุนั้นๆ ย่อมเป็นหนทางที่ผิด เช่นกัน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อใดที่คนมีทุกข์ ย่อมต้องแสวงหาปาฏิหาริย์ แม่ชีเมี้ยนคือปาฏิหารย์ ผ่านการพิสูจน์ มีผลประจักษ์ยืนยันมากหลาย สิ่งสำคัญก็คือ เราท่านทำตน เข้าถึงแม่ชีเมี้ยน เพื่อให้สัมผัสปาฏิหารย์ของท่าน ได้หรือไม่ เท่านั้นเอง
หนทางสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา บัดนี้ ผู้สืบอำนาจปาฏิหาริย์ คือ ท่านอาสิ ไม่ว่าเราท่านจะมองเห็น คิดอ่านเป็นอย่างไร ใครอยากสัมผัสปาฏิหารย์ของแม่ชีเมี้ยน จะข้ามเลยไม่ได้เลย ด้วยหลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเสมอว่า ศาสนานั้นเขามีเจ้าของ และมีตัวแทน ไม่ใช่ใครอยากได้ อยากสัมผัสปาฏิหารย์ ก็ได้พบ ได้เจอ ได้รับ ตามความอยากก็หาไม่ ... เราจึงสงสัยว่า หลายคนอยากหายโรค แต่จนทุกวันนี้ ยังไม่รู้เลย ใครคือ ท่านอาสิ หรือ ยังไม่เคยเลยที่จะพูดคุยสักคำ ... แล้วจะเจอปาฏิหารย์ของแม่ชีเมี้ยนได้โดยวิธีใด นั่นก็หมายความว่า คนเหล่านั้น จะถึงซึ่งการหายโรค ได้อย่างไร ... ไม่มีทาง เพราะคนเหล่านั้น กำลังทำตามสำนวนโบราณ ที่กล่าวว่า "เกลี่ยดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง" จะเข้าวิหารไปเอาปาฏิหาริย์ แต่ไม่สนคนถือกุญแจ ... แม้นหายโรคเป็นเรื่องไม่ยาก แต่ฝันนี้ไม่มีทางเป็นจริง
เราจึงอยากเตือนว่า .... ศาสน์มีบัญญัติ เข้าทางตรอก ออกทางประตู ถ้าไม่ผ่านท่าน อาสิ อย่าหวังเลย ที่จะได้สัมผัสปาฏิหารย์ หากไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร ก็รีบๆ ไปเรียนรู้ ไปเข้าใกล้ซะ ถ้าอยากหาย
แลหากไม่เจอผู้รู้ เราท่านก็ไม่มีวันได้รู้เลยว่า เปี๊ยก วิสุทธิกษัตรย์ แท้จริงแล้วกลับไม่มีตัวตน เสมือนหนึ่ง หากไม่มีแม่ชีเมี้ยน ไม่มีหลวงพ่อนิพนธ์ เราท่านก็ไม่มีวันรู้เลยว่า ศาสน์เขามีเจ้าของ ปาฏิหาริย์ มีจริง แต่ไม่ได้มีอยู่ทั่่วไป ที่นั่นก็มี ที่โน่นก็มี และที่สำคัญ อยากสัมผัส ไม่ใช่ด้วยการขอ แต่ต้องเข้าให้ถึง เรียนรู้ พิจารณา แล้วทำเอง จึงจักได้
มิต้องอื่นไกล ดูจากเรื่องราวที่หลายคนดูจากภาพยนต์ อาจเป็นที่ชื่นชอบ และใคร่รู้ เช่นเรื่อง อันธพาลครองเมือง ๒๔๙๙ หลายคนอาจจะจำตัวเอก ของเรื่องได้เป็นอย่างดี และทำให้รู้ได้ว่า ผู้เล่าหรือเขียนเรื่องราว มีชื่อว่า เปี๊ยก วิสุทธกษัตริย์ หากแต่ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของเมืองไทยในยุคนี้ ยังไม่ห่างไกลนัก ยังคงมีผู้คนที่อยู่ร่วมสมัยในยุคนั้น ที่มีลมหายใจ และมีความทรงจำ มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด ทำให้เราท่านได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว เรื่องราวในภาพยนต์ กลับบิดเบือนความเป็นจริงอย่างมากมาย ทำให้บุคคลที่ถูกกล่าวถึง หรือ พาดพิง ที่ยังมีตัวตนอยู่ ล้วนได้รับผลกระทบอย่างมากมาย
บุคคลหนึ่ง ที่มีฉายา เปี๊ยก เจริญพาศน์ อันเป็นคนร่วมสมัย ในกลุ่มของแดง ไบเล่ย์ และยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นผู้หนึ่งที่ไม่อาจยอมรับประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนอันนี้ได้ หากพูดถึงฉายานี้ หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าเอ่ยนาม เปี๊ยก พิศาล อัครเศรณี คนทั้งหลายก็คงรู้จักกันดี
นับประสาอะไรกับธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ล่วงเลยมากว่าสองพันปี จะไม่ถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลา และอำนาจของกลุ่มบุคคลในยุคต่อมาเล่า จนกล่าวได้ว่า แทบไม่เหลือความเป็นจริงอันใดเลยก็ว่าได้ ผลที่ปรากฎ จึงไม่มีผู้ใด ประสพผลจากการทำตาม ตำราคำสอน เอาแค่ปฐมบทคือการหายโรค ให้เห็นเป็นประจักษ์ชัด ทั้งๆที่ตำราของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ทำได้ อย่าว่าแต่หายโรคเลย สามารถก้าวล่วงไปถึงการหลุดพ้น เวียนว่ายตายเกิด อันมีประจักษ์พยานในยุคนั้น เกือบแสนรูป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เราท่านพิจารณา ว่าการจะดูสิ่งใด อย่างไปพิจารณาที่เหตุ แล้วเอาตามใจชอบ แต่ควรพิจาณาที่ผลเป็นสำคัญ ด้วยผลถูกย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า การกระทำหรือเหตุนั้นย่อมถูกอย่างไม่ต้องสงสัย ในทางกลับกัน ผลผิดที่บังเกิด ก็ยืนยันได้ว่า ความคิด ความเชื่อ หรือเหตุนั้นๆ ย่อมเป็นหนทางที่ผิด เช่นกัน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อใดที่คนมีทุกข์ ย่อมต้องแสวงหาปาฏิหาริย์ แม่ชีเมี้ยนคือปาฏิหารย์ ผ่านการพิสูจน์ มีผลประจักษ์ยืนยันมากหลาย สิ่งสำคัญก็คือ เราท่านทำตน เข้าถึงแม่ชีเมี้ยน เพื่อให้สัมผัสปาฏิหารย์ของท่าน ได้หรือไม่ เท่านั้นเอง
หนทางสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา บัดนี้ ผู้สืบอำนาจปาฏิหาริย์ คือ ท่านอาสิ ไม่ว่าเราท่านจะมองเห็น คิดอ่านเป็นอย่างไร ใครอยากสัมผัสปาฏิหารย์ของแม่ชีเมี้ยน จะข้ามเลยไม่ได้เลย ด้วยหลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเสมอว่า ศาสนานั้นเขามีเจ้าของ และมีตัวแทน ไม่ใช่ใครอยากได้ อยากสัมผัสปาฏิหารย์ ก็ได้พบ ได้เจอ ได้รับ ตามความอยากก็หาไม่ ... เราจึงสงสัยว่า หลายคนอยากหายโรค แต่จนทุกวันนี้ ยังไม่รู้เลย ใครคือ ท่านอาสิ หรือ ยังไม่เคยเลยที่จะพูดคุยสักคำ ... แล้วจะเจอปาฏิหารย์ของแม่ชีเมี้ยนได้โดยวิธีใด นั่นก็หมายความว่า คนเหล่านั้น จะถึงซึ่งการหายโรค ได้อย่างไร ... ไม่มีทาง เพราะคนเหล่านั้น กำลังทำตามสำนวนโบราณ ที่กล่าวว่า "เกลี่ยดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง" จะเข้าวิหารไปเอาปาฏิหาริย์ แต่ไม่สนคนถือกุญแจ ... แม้นหายโรคเป็นเรื่องไม่ยาก แต่ฝันนี้ไม่มีทางเป็นจริง
เราจึงอยากเตือนว่า .... ศาสน์มีบัญญัติ เข้าทางตรอก ออกทางประตู ถ้าไม่ผ่านท่าน อาสิ อย่าหวังเลย ที่จะได้สัมผัสปาฏิหารย์ หากไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร ก็รีบๆ ไปเรียนรู้ ไปเข้าใกล้ซะ ถ้าอยากหาย
แลหากไม่เจอผู้รู้ เราท่านก็ไม่มีวันได้รู้เลยว่า เปี๊ยก วิสุทธิกษัตรย์ แท้จริงแล้วกลับไม่มีตัวตน เสมือนหนึ่ง หากไม่มีแม่ชีเมี้ยน ไม่มีหลวงพ่อนิพนธ์ เราท่านก็ไม่มีวันรู้เลยว่า ศาสน์เขามีเจ้าของ ปาฏิหาริย์ มีจริง แต่ไม่ได้มีอยู่ทั่่วไป ที่นั่นก็มี ที่โน่นก็มี และที่สำคัญ อยากสัมผัส ไม่ใช่ด้วยการขอ แต่ต้องเข้าให้ถึง เรียนรู้ พิจารณา แล้วทำเอง จึงจักได้
วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
สอนลูกหลาน
ศาสนา หรือ ลัทธิความเชื่อใดๆ ย่อมมีไว้เพื่อเป็นที่พึ่งของบุคคลที่นับถือนั้นๆ โดยเฉพาะในยามทุกข์
หากแต่ปัญหาหนึ่ง ที่หลายคนที่นับถือศาสนาพุทธ อาจจะสงสัย แม้นจะมีความเชื่อ ศรัทธา มากหลาย นั่นคือ การทำตน เพื่อเป็นคนดี ทำอย่างไร
แม่ชีท่านหนึ่ง กล่าวว่า เมื่อญาติของตนมายังแผ่นดินของศูนย์ปฏิบัติธรรม แม่ชีเมี้ยนกรุณา ประการหนึ่ง ก็เพื่อเยี่ยมท่าน ด้วยเพราะอาการของท่าน ทานสมุนไพรเพียงประการเดียว ที่มูลนิธิ นั้น ไม่เพียงพอ
เมื่อฟังท่าน อาสิ ก็เบนเข็มมาใช้หนทางในการปฏิบัติร่วมด้วย หากแต่ญาติก็ยังฟื้นฟูตน ที่มูลนิธิ
ญาติเห็นตัวท่าน มีสภาพดีขึ้นผิดหูผิดตา จึงถามท่านว่า อยากให้หลานวัยแปดขวบ ได้ปฏิบัติธรรมบ้าง แต่ญาติอีกคนก็กล่าวว่า ลูกของตน ไปเรียนวิปัสสนา กรรมฐาน จากวัดดัง ตั้งแต่เล็ก หากแต่เมื่อโตขึ้น กลับเกลียดวัดไปเลย
แม่ชีก็บอกว่า ที่นี่ ไม่มีวิปัสสนากรรมฐาน ไม่มีกติกาว่าต้องบวชมีใบสุทธิ ไม่ทำเหมือนที่อื่น และที่สำคัญท่านเองก็ไม่รู้ธรรมอะไรมากนัก แม้นจะบวชมาหลายเดือน รู้แต่ว่า ทำตามแม่ชีอ้อสอน ไม่ต้องสนอะไร พยายามถือสัจจะตามที่ให้ไว้ เท่านั้นเอง อาการของท่านก็ฟื้นฟูดีขึ้นเป็นลำดับ ไม่ต้องพึ่งยาเคมีใดๆอีก
ท่านจึงถามแม่ชีอ้อว่า แล้วหลานวัยแปดขวบ หากจะสอนธรรมเขาต้องทำอย่างไร ในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้รู้ธรรมอันใด
แม่ชีอ้อจึงชี้ให้เห็นว่า เรื่องของศาสนา ไม่จำเป็นต้องรุ้ธรรมมาก เพราะศาสนา คือ เราทำ ขอเพียงทำตาม แล้วนำสิ่งที่ทำได้ ไปสอน นั่่นคือ ทำอย่างไรแล้วผลถูกเกิด ก็ว่าไป ทำอย่างไรผลผิดเกิด ก็ว่าไป เท่านัน พอ ไม่จำเป็นต้องรู้ธรรมมากมายเลย
เด็กวัยแปดขวบ ก็เสมือนตัวเรา หากมีวันเวลา ธรรมของพระภูมี ไม่ว่าจะเป็นประการใด ก็ล้วนเริ่มที่กายเป็นสำคัญ ต้องทำกายก่อน
ตัวเรายังต้องเริ่มที่การสละแรงกายทำงานเพื่อศาสนา อันเป็นปฐมแห่งการให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วทานสมุนไพร เด็กก็เช่นกัน เขามีวันเวลา ก็สอนเขาทำให้ผู้อื่น และ ทานสมุนไพร
เมื่อวันเวลาผ่านไป ทำถูกผลถูกย่อมเกิด วันเวลาจะเป็นบทพิสูจน์ เมื่อเด็กโตขึ้น ความแตกต่างระหว่างเขากับเพื่อนจะปรากฎ เพราะตัวเขาเอง จะเห็นเพื่อนป่วย ไปโรงพยาบาลกันประจำ ในขณะที่ตัวเอง นั้น ไม่เคยต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการป่วยเลย
ไม่ต้องสอน ผ่านวันผ่านเดือน เด็กก็จะรู้ได้ สัมผัสปาฏิหาริย์ ของแม่ชีเมี้ยน อันนี้ได้ และเขาก็จะรู้และเข้าใจ คำว่า ศาสนา คือ เราทำ ต้องลงมือทำเอง
คนทั้งหลายก็เช่นกัน มาหาศาสนา แต่ทุกที่มักสอนให้ก้าวกระโดด ให้ทำใจ ผลสุดท้ายก็ตกลงมา ศาสน์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้เริ่มจากการทำ ทานบารมีก่อน เป็นสำคัญ ประกอบกับการสร้างบุญ ด้วยกาย วาจา เป็นปฐม โดยเว้นใจไว้ก่อน เพราะเป็นเรื่องที่มีรายละเอียด
การมาทานสมุนไพร และทำกิจกรรม จึงเป็นการเรียนรู้ มิใช่เพียงเพื่อตน เราท่านสามารถนำความรู้นี้ ไปสอนให้ลูกหลาน ช่วยตนของตนได้ เพราะผ่านการพิสูจน์ ด้วยตัวของเราท่านเองแล้ว ว่าถูก ผลถูกคือการหายโรค จึงปรากฎ
และก็เฉกเช่นเดียวกัน ท่าน อาสิ จึงชี้ว่า วันหนึ่ง เราท่านก็ควรขยับการเรียนของตน ให้ขึ้นชั้นไป เข้าหมวด บุญบารมี เป็นที่พึ่ง ด้วยการรับสัจจะ นำมาเป็นสติธรรมนำตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักอุปมาให้เห็นภาพของศาสนา เช่น เราท่านหิวข้าว จะมัวนั่งภาวนาสักฉันใด ก็หามีข้าวกินไม่ ต้องลุกขึ้นไป ตักข้าว ซาวน้ำ ตั้งหม้อ จุดไฟ เอากายไปทำ จึงได้ข้าวมากิน ฉันใดก็ฉันนั้น
วิปัสสนา กรรมฐาน จึงเป็นเพียงลม ลืมตามา ก็อยู่ที่เดิม ไม่มีประโยชน์แก่ผู้ใด แต่สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หากทำตาม แม้นจะเป็นเพียงมะกรูดห้าลูก เอามาทำสมุนไพรแจกคน ผลที่เกิดย่อมให้สุขแก่ผู้อื่น แลเป็นสุขย้อนมายังตน จึงหายโรค ไม่ใช่นั่งสวดมนต์อ้อนวอนของให้หายโรค
คำของแม่ชีอ้อ สอนแม่ชีท่านนั้น จึงชี้ให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องสอนธรรมอะไรให้หลานฟังเลย เพียงแต่ให้สอนให้เขาทำตาม ทำในสิ่งที่ให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วทานสมุนไพร เมือเวลาผ่าน เด็กก็จะรู้เองว่า ธรรมคืออะไร ก็เพราะเขาได้เรียนรู้แล้วว่า เมื่อเขาใช้กายทำ ให้สุขแก่ผู้อื่น ทานสมุนไพร ผลที่ได้คือสุขภาพที่ดี ... ก็แล้วถ้าวันหนึ่ง เขาพัฒนามาใช้วาจา และใจทำเล่า อะไรที่รอเขาอยู่
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงพูดอย่างมั่นใจว่า แม่ชีเมี้ยนมีปาฏิหาริย์ สมุนไพรของท่าน ช่วยให้หายโรคได้ ธรรมของท่านช่วยให้พ้นกรรมได้ ปัญหาก็มีเพียงประการเดียว คือ เราท่านเข้าถึงท่านหรือไม่ .... ก็ขึ้นกับตัวเอง จะเปลี่ยนแปลง ความคิด พฤติกรรม มาอยู่ในร่องธรรม และมีความขันติ อดทน สักขนาดไหน สร้างคุณสมบัติ รองรับปาฏิหารย์
หากสอนลูกหลานทำ แต่ผลที่ปรากฎไม่แก้ทุกข์ของเขาได้เลย ช้าเร็วเขาก็ต้องเบื่อและหันหลังให้ เป็นแน่แท้ แต่ถ้าเขาทำแล้ว แก้ทุกข์ที่มีได้ เขาย่อมซึมซับและอยากเข้าใกล้ เป็นธรรมดา เสมือนสมาชิกหลายท่าน ที่ให้ลูกหลานทานสมุนไพรเขียวแต่เด็ก จนเกิดสัญชาติญาณ วันใดเมื่อตัวมีไข้ เขาก็จะเดินไปหายาเขียว รินเอง ทานเอง โดยไม่มีวันนึกถึงยาเคมีแม้นแต่น้อย
วันใดที่เราท่านจากโลกนี้ไป ลูกหลานก็จักขอบคุณมรดกที่ล้ำค่านี้ มากกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ
คำถามที่ควรคิด หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวว่า เมื่อเราท่านมีวาสนามาพบ ทำไมไม่ทำ มิใช่แต่เพียงเพื่อตนของตน แต่เพื่อคนที่เราท่านรัก ลูกหลาน ได้มีหลักที่พึ่งพิง ฤาจะมาเอาแต่สมุนไพร ช่างน่าเสียดายนัก นั่นมันของแถม ธรรมของพระภูมีต่างหาก นั่นคือ ยอด ....
ท้ายที่สุด แม่ชีอ้อ จึงกล่าวว่า เสียดายสมาชิกผู้หญิงท่านหนึ่งเป็นมะเร็ง ท่านร้องขอให้มาเรียนรู้เรื่องศาสนา แล้วนำไปปฏิบัติ เธอตอบว่า ไม่มีเวลา ไว้มีเวลาจะมา นั่นคือช่วงที่หลวงพ่อนิพนธ์จากพวกเราไป มาวันนี้ เธอกลับมาหาแม่ชีอ้ออีกครั้ง บอกว่า อยากมา แต่สภาพของเธอตอนนี้ ถึงอยากมาก็มาไม่ได้แล้ว เพราะช่วยตัวเองยังไม่ได้เลย .... แล้วเราท่านคนไหนรู้บ้าง ว่ามีเวลาเหลือสักเท่าไหร่ จึงไม่คิดไปเรียน เพื่อมาปฏิบัติ นี่แหละอำนาจกรรม
หากแต่ปัญหาหนึ่ง ที่หลายคนที่นับถือศาสนาพุทธ อาจจะสงสัย แม้นจะมีความเชื่อ ศรัทธา มากหลาย นั่นคือ การทำตน เพื่อเป็นคนดี ทำอย่างไร
แม่ชีท่านหนึ่ง กล่าวว่า เมื่อญาติของตนมายังแผ่นดินของศูนย์ปฏิบัติธรรม แม่ชีเมี้ยนกรุณา ประการหนึ่ง ก็เพื่อเยี่ยมท่าน ด้วยเพราะอาการของท่าน ทานสมุนไพรเพียงประการเดียว ที่มูลนิธิ นั้น ไม่เพียงพอ
เมื่อฟังท่าน อาสิ ก็เบนเข็มมาใช้หนทางในการปฏิบัติร่วมด้วย หากแต่ญาติก็ยังฟื้นฟูตน ที่มูลนิธิ
ญาติเห็นตัวท่าน มีสภาพดีขึ้นผิดหูผิดตา จึงถามท่านว่า อยากให้หลานวัยแปดขวบ ได้ปฏิบัติธรรมบ้าง แต่ญาติอีกคนก็กล่าวว่า ลูกของตน ไปเรียนวิปัสสนา กรรมฐาน จากวัดดัง ตั้งแต่เล็ก หากแต่เมื่อโตขึ้น กลับเกลียดวัดไปเลย
แม่ชีก็บอกว่า ที่นี่ ไม่มีวิปัสสนากรรมฐาน ไม่มีกติกาว่าต้องบวชมีใบสุทธิ ไม่ทำเหมือนที่อื่น และที่สำคัญท่านเองก็ไม่รู้ธรรมอะไรมากนัก แม้นจะบวชมาหลายเดือน รู้แต่ว่า ทำตามแม่ชีอ้อสอน ไม่ต้องสนอะไร พยายามถือสัจจะตามที่ให้ไว้ เท่านั้นเอง อาการของท่านก็ฟื้นฟูดีขึ้นเป็นลำดับ ไม่ต้องพึ่งยาเคมีใดๆอีก
ท่านจึงถามแม่ชีอ้อว่า แล้วหลานวัยแปดขวบ หากจะสอนธรรมเขาต้องทำอย่างไร ในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้รู้ธรรมอันใด
แม่ชีอ้อจึงชี้ให้เห็นว่า เรื่องของศาสนา ไม่จำเป็นต้องรุ้ธรรมมาก เพราะศาสนา คือ เราทำ ขอเพียงทำตาม แล้วนำสิ่งที่ทำได้ ไปสอน นั่่นคือ ทำอย่างไรแล้วผลถูกเกิด ก็ว่าไป ทำอย่างไรผลผิดเกิด ก็ว่าไป เท่านัน พอ ไม่จำเป็นต้องรู้ธรรมมากมายเลย
เด็กวัยแปดขวบ ก็เสมือนตัวเรา หากมีวันเวลา ธรรมของพระภูมี ไม่ว่าจะเป็นประการใด ก็ล้วนเริ่มที่กายเป็นสำคัญ ต้องทำกายก่อน
ตัวเรายังต้องเริ่มที่การสละแรงกายทำงานเพื่อศาสนา อันเป็นปฐมแห่งการให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วทานสมุนไพร เด็กก็เช่นกัน เขามีวันเวลา ก็สอนเขาทำให้ผู้อื่น และ ทานสมุนไพร
เมื่อวันเวลาผ่านไป ทำถูกผลถูกย่อมเกิด วันเวลาจะเป็นบทพิสูจน์ เมื่อเด็กโตขึ้น ความแตกต่างระหว่างเขากับเพื่อนจะปรากฎ เพราะตัวเขาเอง จะเห็นเพื่อนป่วย ไปโรงพยาบาลกันประจำ ในขณะที่ตัวเอง นั้น ไม่เคยต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการป่วยเลย
ไม่ต้องสอน ผ่านวันผ่านเดือน เด็กก็จะรู้ได้ สัมผัสปาฏิหาริย์ ของแม่ชีเมี้ยน อันนี้ได้ และเขาก็จะรู้และเข้าใจ คำว่า ศาสนา คือ เราทำ ต้องลงมือทำเอง
คนทั้งหลายก็เช่นกัน มาหาศาสนา แต่ทุกที่มักสอนให้ก้าวกระโดด ให้ทำใจ ผลสุดท้ายก็ตกลงมา ศาสน์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้เริ่มจากการทำ ทานบารมีก่อน เป็นสำคัญ ประกอบกับการสร้างบุญ ด้วยกาย วาจา เป็นปฐม โดยเว้นใจไว้ก่อน เพราะเป็นเรื่องที่มีรายละเอียด
การมาทานสมุนไพร และทำกิจกรรม จึงเป็นการเรียนรู้ มิใช่เพียงเพื่อตน เราท่านสามารถนำความรู้นี้ ไปสอนให้ลูกหลาน ช่วยตนของตนได้ เพราะผ่านการพิสูจน์ ด้วยตัวของเราท่านเองแล้ว ว่าถูก ผลถูกคือการหายโรค จึงปรากฎ
และก็เฉกเช่นเดียวกัน ท่าน อาสิ จึงชี้ว่า วันหนึ่ง เราท่านก็ควรขยับการเรียนของตน ให้ขึ้นชั้นไป เข้าหมวด บุญบารมี เป็นที่พึ่ง ด้วยการรับสัจจะ นำมาเป็นสติธรรมนำตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักอุปมาให้เห็นภาพของศาสนา เช่น เราท่านหิวข้าว จะมัวนั่งภาวนาสักฉันใด ก็หามีข้าวกินไม่ ต้องลุกขึ้นไป ตักข้าว ซาวน้ำ ตั้งหม้อ จุดไฟ เอากายไปทำ จึงได้ข้าวมากิน ฉันใดก็ฉันนั้น
วิปัสสนา กรรมฐาน จึงเป็นเพียงลม ลืมตามา ก็อยู่ที่เดิม ไม่มีประโยชน์แก่ผู้ใด แต่สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หากทำตาม แม้นจะเป็นเพียงมะกรูดห้าลูก เอามาทำสมุนไพรแจกคน ผลที่เกิดย่อมให้สุขแก่ผู้อื่น แลเป็นสุขย้อนมายังตน จึงหายโรค ไม่ใช่นั่งสวดมนต์อ้อนวอนของให้หายโรค
คำของแม่ชีอ้อ สอนแม่ชีท่านนั้น จึงชี้ให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องสอนธรรมอะไรให้หลานฟังเลย เพียงแต่ให้สอนให้เขาทำตาม ทำในสิ่งที่ให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วทานสมุนไพร เมือเวลาผ่าน เด็กก็จะรู้เองว่า ธรรมคืออะไร ก็เพราะเขาได้เรียนรู้แล้วว่า เมื่อเขาใช้กายทำ ให้สุขแก่ผู้อื่น ทานสมุนไพร ผลที่ได้คือสุขภาพที่ดี ... ก็แล้วถ้าวันหนึ่ง เขาพัฒนามาใช้วาจา และใจทำเล่า อะไรที่รอเขาอยู่
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงพูดอย่างมั่นใจว่า แม่ชีเมี้ยนมีปาฏิหาริย์ สมุนไพรของท่าน ช่วยให้หายโรคได้ ธรรมของท่านช่วยให้พ้นกรรมได้ ปัญหาก็มีเพียงประการเดียว คือ เราท่านเข้าถึงท่านหรือไม่ .... ก็ขึ้นกับตัวเอง จะเปลี่ยนแปลง ความคิด พฤติกรรม มาอยู่ในร่องธรรม และมีความขันติ อดทน สักขนาดไหน สร้างคุณสมบัติ รองรับปาฏิหารย์
หากสอนลูกหลานทำ แต่ผลที่ปรากฎไม่แก้ทุกข์ของเขาได้เลย ช้าเร็วเขาก็ต้องเบื่อและหันหลังให้ เป็นแน่แท้ แต่ถ้าเขาทำแล้ว แก้ทุกข์ที่มีได้ เขาย่อมซึมซับและอยากเข้าใกล้ เป็นธรรมดา เสมือนสมาชิกหลายท่าน ที่ให้ลูกหลานทานสมุนไพรเขียวแต่เด็ก จนเกิดสัญชาติญาณ วันใดเมื่อตัวมีไข้ เขาก็จะเดินไปหายาเขียว รินเอง ทานเอง โดยไม่มีวันนึกถึงยาเคมีแม้นแต่น้อย
วันใดที่เราท่านจากโลกนี้ไป ลูกหลานก็จักขอบคุณมรดกที่ล้ำค่านี้ มากกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ
คำถามที่ควรคิด หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวว่า เมื่อเราท่านมีวาสนามาพบ ทำไมไม่ทำ มิใช่แต่เพียงเพื่อตนของตน แต่เพื่อคนที่เราท่านรัก ลูกหลาน ได้มีหลักที่พึ่งพิง ฤาจะมาเอาแต่สมุนไพร ช่างน่าเสียดายนัก นั่นมันของแถม ธรรมของพระภูมีต่างหาก นั่นคือ ยอด ....
ท้ายที่สุด แม่ชีอ้อ จึงกล่าวว่า เสียดายสมาชิกผู้หญิงท่านหนึ่งเป็นมะเร็ง ท่านร้องขอให้มาเรียนรู้เรื่องศาสนา แล้วนำไปปฏิบัติ เธอตอบว่า ไม่มีเวลา ไว้มีเวลาจะมา นั่นคือช่วงที่หลวงพ่อนิพนธ์จากพวกเราไป มาวันนี้ เธอกลับมาหาแม่ชีอ้ออีกครั้ง บอกว่า อยากมา แต่สภาพของเธอตอนนี้ ถึงอยากมาก็มาไม่ได้แล้ว เพราะช่วยตัวเองยังไม่ได้เลย .... แล้วเราท่านคนไหนรู้บ้าง ว่ามีเวลาเหลือสักเท่าไหร่ จึงไม่คิดไปเรียน เพื่อมาปฏิบัติ นี่แหละอำนาจกรรม
วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ตามฤดู
ตอนนี้ก็ย่างเข้าฤดูหนาว เวียนมาอีกครั้ง การมาก็มาพร้อมกับโรคหวัด
ธรรมชาติก็ให้สมุนไพรชนิดหนึ่ง ออกผลในยามนี้ นั่นคือ มะขามป้อม
เมื่อนำมาทำเป็นสมุนไพร ให้คุณค่าที่มากกว่าสมุนไพรมะนาว หลายประการ
น่าเสียดาย ที่แม้นจะมีสมาชิกมากหลาย ที่อาจต้องใช้สมุนไพรชนิดนี้ ในการแก้ไขอาการของตน แต่ก็กลายเป็นของขาดแคลนไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ส่วนหนึ่ง เพราะถูกส่งออก เพื่อไปทำสมุนไพร ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น การจะได้รับสมุนไพรมะขามป้อม ของมูลนิธิ จะรอคนนำมาคงยาก ก็ต้องรอลูกผล จากต้นที่หลวงพ่อนิพนธ์ปลูกรักษาเอาไว้
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า แม้นจะเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณสูง แต่ไม่ค่อยได้ทำแจก กว่าจะได้แจก ก็ต้องรอถึงปลายปี ธันว่า หรือ มกราคม เท่านั้นเอง
เห็นอาการของคนทั่วไป ไอบ้าง มีเสมหะบ้าง หวัดบ้าง และได้สัมผัสลมหนาว ก็พาลนึกถึงสมุนไพรนี้ หากมีแจกให้สมาชิกได้ทุกคน รวมทั้งเผื่อไปยังลูกเด็กเล็กแดง ได้ก็คงดี
แต่วันอาทิตย์ที่ผ่าน ... แม้นหน้านี้มะขามป้อมจะออกผลแล้ว ก็มีปริมาณที่นำมาทำสมุนไพรแจกได้แค่ ประมาณสามสิบขวดเท่านั้นเอง
ทำให้หวนคิด คำของหลวงพ่อนิพนธ์ ว่า มูลนิธิเรานั้นโดดเดี่ยว ผู้คนก็ดูเสมือนมาก แต่ยังไม่มีน้ำจิตน้ำใจรวมกัน ลำพังกำลังของเรา ก็คงทำได้แค่นี้ แม้นอยากช่วย แต่ก็ยังไม่มีความสามารถ คนอื่นไม่สนับสนุน ก็ช่างเขา แต่คนของเรา สมาชิกของเรา ยังไม่ช่วยกัน นี่แหละคือปัญหาใหญ่ ที่เราจะก้าวเดินกันไปอย่างไร
บทสรุปที่ท้าทาย คือ การจะทำให้สมุนไพร กระจายเติบโตในหมู่คน คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากสภาพคนที่มาทาน ไม่ช่วยกัน แม้นสมุนไพรจะมีคุณค่าช่วยให้หายโรคได้ แต่จะหาที่ไหนให้คนเหล่านั้นทาน ....
ก็ดูแค่สมุนไพรมะขามป้อมนี้แหละ หลายคนมีความจำเป็น แต่ก็ทำได้แค่ให้สมุนไพรมะนาวไป เท่านั้นเอง
ธรรมชาติก็ให้สมุนไพรชนิดหนึ่ง ออกผลในยามนี้ นั่นคือ มะขามป้อม
เมื่อนำมาทำเป็นสมุนไพร ให้คุณค่าที่มากกว่าสมุนไพรมะนาว หลายประการ
น่าเสียดาย ที่แม้นจะมีสมาชิกมากหลาย ที่อาจต้องใช้สมุนไพรชนิดนี้ ในการแก้ไขอาการของตน แต่ก็กลายเป็นของขาดแคลนไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ส่วนหนึ่ง เพราะถูกส่งออก เพื่อไปทำสมุนไพร ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น การจะได้รับสมุนไพรมะขามป้อม ของมูลนิธิ จะรอคนนำมาคงยาก ก็ต้องรอลูกผล จากต้นที่หลวงพ่อนิพนธ์ปลูกรักษาเอาไว้
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า แม้นจะเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณสูง แต่ไม่ค่อยได้ทำแจก กว่าจะได้แจก ก็ต้องรอถึงปลายปี ธันว่า หรือ มกราคม เท่านั้นเอง
เห็นอาการของคนทั่วไป ไอบ้าง มีเสมหะบ้าง หวัดบ้าง และได้สัมผัสลมหนาว ก็พาลนึกถึงสมุนไพรนี้ หากมีแจกให้สมาชิกได้ทุกคน รวมทั้งเผื่อไปยังลูกเด็กเล็กแดง ได้ก็คงดี
แต่วันอาทิตย์ที่ผ่าน ... แม้นหน้านี้มะขามป้อมจะออกผลแล้ว ก็มีปริมาณที่นำมาทำสมุนไพรแจกได้แค่ ประมาณสามสิบขวดเท่านั้นเอง
ทำให้หวนคิด คำของหลวงพ่อนิพนธ์ ว่า มูลนิธิเรานั้นโดดเดี่ยว ผู้คนก็ดูเสมือนมาก แต่ยังไม่มีน้ำจิตน้ำใจรวมกัน ลำพังกำลังของเรา ก็คงทำได้แค่นี้ แม้นอยากช่วย แต่ก็ยังไม่มีความสามารถ คนอื่นไม่สนับสนุน ก็ช่างเขา แต่คนของเรา สมาชิกของเรา ยังไม่ช่วยกัน นี่แหละคือปัญหาใหญ่ ที่เราจะก้าวเดินกันไปอย่างไร
บทสรุปที่ท้าทาย คือ การจะทำให้สมุนไพร กระจายเติบโตในหมู่คน คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากสภาพคนที่มาทาน ไม่ช่วยกัน แม้นสมุนไพรจะมีคุณค่าช่วยให้หายโรคได้ แต่จะหาที่ไหนให้คนเหล่านั้นทาน ....
ก็ดูแค่สมุนไพรมะขามป้อมนี้แหละ หลายคนมีความจำเป็น แต่ก็ทำได้แค่ให้สมุนไพรมะนาวไป เท่านั้นเอง
วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
บอกแต่ไม่สอน
ไม่ว่าเราจะมีความเชื่อในแขนงไหน หรือศาสนาใดในโลก ทุกคนก็พูดตรงกันหมด นั่นคือ ล้วนแล้วแต่สอนให้เป็น "คนดี"
การทำความดีจึงเป็นคำบอกที่มักถูกสอนกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า หากแต่เมื่อสืบสาวลงไป เพื่อหาเนื้อหากระบวนการ ในการเป็นคนดี หรือทำความดีนั้นๆ หารายละเอียดวิธีการ หรือ กระบวนการที่เป็นแก่นสารในการดำเนินรอยตาม กลับไม่มี
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมคนทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อ อยู่ในหลักคำสอน และปรารถนาที่จะเป็นคนดี จึงเป็นไม่ได้ดั่งใจคิด
เพราะเมื่อสาวลึกลงไป ไม่มีใครบอกถึงกระบวนการแห่งการเป็นคนดีได้เลย นั่นเอง จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ไม่สามารถการันตีได้เลยว่า หากเรามีความเชื่อ และทำตาม จะเป็นคนดีได้ ทุกคน
ความเชื่อ ไม่ว่า จะเป็นลัทธิ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ศาสนาใดๆ รวมทั้งพุทธศาสนา จึงถูกฟ้องด้วย การฉ้อฉลของผู้ปฏิบัติ ที่หลอกลวงนั่นเอง
ทั้งนี้ ก็ด้วยเหตุที่ ความเชื่อนั้นๆ เกิดจากความคิด ความอ่านของมนุษย์ สร้างเป็นกรอบ ประเพณี ปฏิบัติสืบกันมา เป็นเพียงกติกาที่ทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข แต่ขาดสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็น นั่นคือ "อำนาจ"
คำถามคือ ทำไม จึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะ โลกนี้ มีอำนาจกรรม ปกครองอยู่ ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามกรรม จึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะมีความคิดกรรมใดๆ ที่จะสร้างการปฏิบัติมาเพื่อเอาชนะอำนาจกรรมนั่นเอง
นี่คือประเด็นที่หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ทำไมเราจึงต้องมีพระพุทธเจ้า ต้องอาศัยอำนาจธรรม ที่ซึ่งเป็นอำนาจนอกโลก เพื่อให้ความคิดที่จะมาใช้ในการดำเนินชีวิต ฉีกพรหมลิขิต หรือ กรรมลิขิตได้นั่นเอง
บรรพบุรุษ จึงสอนให้เราท่านทำตนรอพระพุทธเจ้า
ดังนั้น เมื่อเราท่านมาเจอธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่แท้จริงที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนว่า อย่าไปกังวลกับโรค ที่เป็นปลายเหตุ นั่นเป็นเรื่องเล็กน้อย ของชีวิต
แต่สิ่งที่ควรตระหนัก นั่นคือ การพิจารณาคำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา แล้วนำมาเป็นความคิดในการประพฤติตน
สิ่งใดที่ทำแล้วผลถูกเกิด นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ถูก เราท่านก็จำไว้ทั้งข้อผิด ข้อถูก ทำไปจนกระทั่งช่วยตนประสพผล ความรู้ของเราท่าน ก็จะกลายเป็นตำราช่วยคน ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ไม่ใช่ลองผิดลองถูก เดาสุ่ม
แม้นการมายังมูลนิธิไทยกรุณาในวันนี้ จะเป็นแผ่นดินทาน ที่ใช้สร้างทานบารมีเป็นหลักก็ตาม แต่หากผู้ใดทำได้ คนผู้นั้น ก็พัฒนาตน จากผู้รับ ผู้ที่คอยเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มาจนกลายเป็นผู้ให้ เป็นพระเวสสันดร เป็นอย่างน้อย
แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ที่จะสร้างสุขในวันข้างหน้า นั่นคือ นิสัยที่สร้างสุขให้ผู้อื่นเป็นนิจ พร้อมกันนั้น ก็ได้ตำรา หรือ ธรรมหมวดสมุนไพรติดตัวไป อันตำรานี้ หากผุ้ใดมีจิตเมตตาอันมหาศาล ก็สามารถเรียบเรียง แล้วสร้างเป็นถ้อยคำ กระบวนการ แล้วทำตนเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ ไปสอนผู้อื่นต่อได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เพราะตนของตน ทำได้ มาแล้ว
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สมบัติของศาสน์มีค่ามหาศาล ดูจากพุทธประวัติก็จักเห็นว่า มีค่ามากกว่าบัลลังก์เสียอีก ใครได้มาเรียน แล้วทำได้ ก็นำสิ่งนี้ไปสอนลูก สอนหลาน คนที่รัก เพื่อให้คนเหล่านั้น มีสุขเฉกเช่นตน ที่สำคัญสมบัติอันนี้ ติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ
กระบวนการต่างๆ ที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด ล้วนแล้วเป็นบัญญััติของพระพุทธเจ้า ที่ใช้ในการพัฒนาวิญญาณของสาวก ให้กลายเป็นคนดี อันมีบทพิสูจน์มาแล้ว น่าเสียดาย ที่หลายคนกลับมุ่งแต่สมุนไพร ที่เป็นสมบัติต่ำค่าที่สุดของศาสนา
เราจึงขอเน้นย้ำในคำหลวงพ่อนิพนธ์อีกครั้ง หายโรคเป็นเพียงของแถมที่ศาสนาพึงให้แก่ผู้ปฏิบัติทุกรูปนาม อยู่แล้ว หากผู้ปฏิบัตินั้น พิจารณาคำสอน แล้วทำตาม ยกวิญญาณของตนให้อยู่สูงได้ เข้ามาตรฐาน เป็นนิสัย คือ ให้สุขแก่ผู้อื่น สุขนั้นกลับมาหาตน
หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า มิใช่มีแต่เพียงคำบอก คำกล่าว ให้เป็นคนดี แต่มีขั้น มีตอน มีกระบวนการสอน ให้ตนของตนพัฒนาเป็นคนดี ขึ้นมาได้ ที่สำคัญ ทุกคนทำได้
ผู้ทำได้ตามบัญญัตินี้ การันตีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คนผู้นั้นเป็นคนดีแน่นอน เพราะคนผู้นั้น จะยินอยู่บนพื้นฐาน ของการกลัวกรรม เป็นนิสัย และจะพึงมีความคิดสร้างสุขให้ผู้อื่น หรือ สร้างแต่ตัวกระทำที่ดี ด้วยนิสัยของพระภูมีที่มี เป็นที่พึ่งแห่งตน เพราะอยากให้ตนของตนมีแต่ความสุขรออยู่ในวันข้างหน้านั่นเอง
บทสรุป ทำไมเราท่านจึงไม่เรียนเพื่อช่วยตน และคนที่รัก แต่กลับมาเอาแค่กระพี้ คือสมุนไพรเพื่อหายโรค ช่างน่าเสียดายยิ่ง ในเมื่อ เราท่านทำแล้ว ยังช่วยตนได้ ทำในสิ่งที่คนทั้งโลกช่วยเราท่านไม่ได้ แล้วกลับทิ้งวิชาสุดยอดนี้ ไม่คิดทบทวน ตอกย้ำตน เพื่อให้เป็นที่พึ่งในภายภาคหน้า ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
มันถึงเวลาแล้วหรือไม่ ที่เราท่านควรจะบอกลูกหลาน ว่า เลิกกินยาเคมี เถอะ มาทานสมุนไพร เลิกดูละครสักนิด มาสวดมนต์กันสักหน่อย เลิกโกรธ เกลียด และใช้นิสัยตนกันลงสักนิด เพื่อให้สังคมครอบครัวเป็นสุข ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แม่ชีเมี้ยนนำมา
หรือจะเอาแค่เพียงหายโรค เพื่อที่จะมีแรงกลับไปด่าผัว ด่าเมีย ด่าลูก หรือเพื่อทำลายผู้อื่น เอาเปรียบเขาอีกกระนั้นหรือ
การทำความดีจึงเป็นคำบอกที่มักถูกสอนกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า หากแต่เมื่อสืบสาวลงไป เพื่อหาเนื้อหากระบวนการ ในการเป็นคนดี หรือทำความดีนั้นๆ หารายละเอียดวิธีการ หรือ กระบวนการที่เป็นแก่นสารในการดำเนินรอยตาม กลับไม่มี
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมคนทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อ อยู่ในหลักคำสอน และปรารถนาที่จะเป็นคนดี จึงเป็นไม่ได้ดั่งใจคิด
เพราะเมื่อสาวลึกลงไป ไม่มีใครบอกถึงกระบวนการแห่งการเป็นคนดีได้เลย นั่นเอง จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ไม่สามารถการันตีได้เลยว่า หากเรามีความเชื่อ และทำตาม จะเป็นคนดีได้ ทุกคน
ความเชื่อ ไม่ว่า จะเป็นลัทธิ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ศาสนาใดๆ รวมทั้งพุทธศาสนา จึงถูกฟ้องด้วย การฉ้อฉลของผู้ปฏิบัติ ที่หลอกลวงนั่นเอง
ทั้งนี้ ก็ด้วยเหตุที่ ความเชื่อนั้นๆ เกิดจากความคิด ความอ่านของมนุษย์ สร้างเป็นกรอบ ประเพณี ปฏิบัติสืบกันมา เป็นเพียงกติกาที่ทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข แต่ขาดสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็น นั่นคือ "อำนาจ"
คำถามคือ ทำไม จึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะ โลกนี้ มีอำนาจกรรม ปกครองอยู่ ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามกรรม จึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะมีความคิดกรรมใดๆ ที่จะสร้างการปฏิบัติมาเพื่อเอาชนะอำนาจกรรมนั่นเอง
นี่คือประเด็นที่หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ทำไมเราจึงต้องมีพระพุทธเจ้า ต้องอาศัยอำนาจธรรม ที่ซึ่งเป็นอำนาจนอกโลก เพื่อให้ความคิดที่จะมาใช้ในการดำเนินชีวิต ฉีกพรหมลิขิต หรือ กรรมลิขิตได้นั่นเอง
บรรพบุรุษ จึงสอนให้เราท่านทำตนรอพระพุทธเจ้า
ดังนั้น เมื่อเราท่านมาเจอธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่แท้จริงที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนว่า อย่าไปกังวลกับโรค ที่เป็นปลายเหตุ นั่นเป็นเรื่องเล็กน้อย ของชีวิต
แต่สิ่งที่ควรตระหนัก นั่นคือ การพิจารณาคำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา แล้วนำมาเป็นความคิดในการประพฤติตน
สิ่งใดที่ทำแล้วผลถูกเกิด นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ถูก เราท่านก็จำไว้ทั้งข้อผิด ข้อถูก ทำไปจนกระทั่งช่วยตนประสพผล ความรู้ของเราท่าน ก็จะกลายเป็นตำราช่วยคน ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ไม่ใช่ลองผิดลองถูก เดาสุ่ม
แม้นการมายังมูลนิธิไทยกรุณาในวันนี้ จะเป็นแผ่นดินทาน ที่ใช้สร้างทานบารมีเป็นหลักก็ตาม แต่หากผู้ใดทำได้ คนผู้นั้น ก็พัฒนาตน จากผู้รับ ผู้ที่คอยเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มาจนกลายเป็นผู้ให้ เป็นพระเวสสันดร เป็นอย่างน้อย
แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ที่จะสร้างสุขในวันข้างหน้า นั่นคือ นิสัยที่สร้างสุขให้ผู้อื่นเป็นนิจ พร้อมกันนั้น ก็ได้ตำรา หรือ ธรรมหมวดสมุนไพรติดตัวไป อันตำรานี้ หากผุ้ใดมีจิตเมตตาอันมหาศาล ก็สามารถเรียบเรียง แล้วสร้างเป็นถ้อยคำ กระบวนการ แล้วทำตนเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ ไปสอนผู้อื่นต่อได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เพราะตนของตน ทำได้ มาแล้ว
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สมบัติของศาสน์มีค่ามหาศาล ดูจากพุทธประวัติก็จักเห็นว่า มีค่ามากกว่าบัลลังก์เสียอีก ใครได้มาเรียน แล้วทำได้ ก็นำสิ่งนี้ไปสอนลูก สอนหลาน คนที่รัก เพื่อให้คนเหล่านั้น มีสุขเฉกเช่นตน ที่สำคัญสมบัติอันนี้ ติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ
กระบวนการต่างๆ ที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด ล้วนแล้วเป็นบัญญััติของพระพุทธเจ้า ที่ใช้ในการพัฒนาวิญญาณของสาวก ให้กลายเป็นคนดี อันมีบทพิสูจน์มาแล้ว น่าเสียดาย ที่หลายคนกลับมุ่งแต่สมุนไพร ที่เป็นสมบัติต่ำค่าที่สุดของศาสนา
เราจึงขอเน้นย้ำในคำหลวงพ่อนิพนธ์อีกครั้ง หายโรคเป็นเพียงของแถมที่ศาสนาพึงให้แก่ผู้ปฏิบัติทุกรูปนาม อยู่แล้ว หากผู้ปฏิบัตินั้น พิจารณาคำสอน แล้วทำตาม ยกวิญญาณของตนให้อยู่สูงได้ เข้ามาตรฐาน เป็นนิสัย คือ ให้สุขแก่ผู้อื่น สุขนั้นกลับมาหาตน
หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า มิใช่มีแต่เพียงคำบอก คำกล่าว ให้เป็นคนดี แต่มีขั้น มีตอน มีกระบวนการสอน ให้ตนของตนพัฒนาเป็นคนดี ขึ้นมาได้ ที่สำคัญ ทุกคนทำได้
ผู้ทำได้ตามบัญญัตินี้ การันตีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คนผู้นั้นเป็นคนดีแน่นอน เพราะคนผู้นั้น จะยินอยู่บนพื้นฐาน ของการกลัวกรรม เป็นนิสัย และจะพึงมีความคิดสร้างสุขให้ผู้อื่น หรือ สร้างแต่ตัวกระทำที่ดี ด้วยนิสัยของพระภูมีที่มี เป็นที่พึ่งแห่งตน เพราะอยากให้ตนของตนมีแต่ความสุขรออยู่ในวันข้างหน้านั่นเอง
บทสรุป ทำไมเราท่านจึงไม่เรียนเพื่อช่วยตน และคนที่รัก แต่กลับมาเอาแค่กระพี้ คือสมุนไพรเพื่อหายโรค ช่างน่าเสียดายยิ่ง ในเมื่อ เราท่านทำแล้ว ยังช่วยตนได้ ทำในสิ่งที่คนทั้งโลกช่วยเราท่านไม่ได้ แล้วกลับทิ้งวิชาสุดยอดนี้ ไม่คิดทบทวน ตอกย้ำตน เพื่อให้เป็นที่พึ่งในภายภาคหน้า ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
มันถึงเวลาแล้วหรือไม่ ที่เราท่านควรจะบอกลูกหลาน ว่า เลิกกินยาเคมี เถอะ มาทานสมุนไพร เลิกดูละครสักนิด มาสวดมนต์กันสักหน่อย เลิกโกรธ เกลียด และใช้นิสัยตนกันลงสักนิด เพื่อให้สังคมครอบครัวเป็นสุข ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แม่ชีเมี้ยนนำมา
หรือจะเอาแค่เพียงหายโรค เพื่อที่จะมีแรงกลับไปด่าผัว ด่าเมีย ด่าลูก หรือเพื่อทำลายผู้อื่น เอาเปรียบเขาอีกกระนั้นหรือ
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ด้าน ได้ อาย อด
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า การใช้บัญญัติสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมานั้น อุปมา เสมือน "บ่งหนาม ย่อมเจ็บเนื้อ"
จึงเห็นได้ว่า ทุกกระบวนการล้วนแล้วแต่ต้องใช้ขันติ อดทน เริ่มตั้งแต่ รสชาดของสมุนไพร การเข้ากระโจม เรื่อยมา...
ที่สำคัญที่เป็นสุดยอดของเรื่องราวในแต่ละคน คือสภาวะในช่วงของการฟื้นฟู ย่อมมีสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า อาการลงแดง
หรือแม้นกระทั่งผลกระทบ ที่แม้นไม่เป็นอันตราย แต่หลายคนก็ยากจะรับได้ เพราะอาการเหล่านั้น สร้างความอายให้เกิดขึ้น
เราจึงอยากยกตัวอย่าง ผู้หญิงวัยกลางคน ที่ทำงานมีหน้ามีตาในสังคม ท่านหนึ่ง ที่บังเอิญเป็นโรคเบาหวาน ตั้งแต่เริ่มสาว รักษาตนมานานปี ด้วยทางเลือกอื่น แต่ก็ไม่ประสพผล จนอาการของเธอเข้าขั้นวิกฤต
เธอก็ยังมีวาสนา วันหนึ่งเธอเวียนว่ายมาพบทางเลือกสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน และเธอก็ทิ้งทุกแนวทาง ที่เคยผ่าน มาลองใช้ทางเลือกอันนี้ดู
ผ่านวัน ผ่านคืน ไม่ว่าสภาพใดๆ ที่เกิดขึ้น เธอก็ทำใจรับสภาพ ใช้ขันติ อดทน ผ่านมาได้หมด ยกเว้นประการเดียว ที่ทำให้เธอกังวล นั่นคือ ในขณะที่อาการของเธอเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ผิวเธอที่เป็นคนขาว ค่อยๆ เริ่มดำคล้ำขึ้นทุกวัน จนไม่ว่าใครๆ ก็ทัก และเริ่มซุบซิบว่า สงสัยเธอน่าจะเป็นเอดส์ เพราะสีผิวของเธอดำคล้ำมากขึ้นทุกวัน
บังเอฺิญเธอมีโอกาสได้คุยกับเรา แลเล่าทุกข์อันนี้ระบายให้ฟัง
เราจึงชี้สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ และวิทยากร ท่าน อ.อร่าม มักกล่าวเตือนเสมอว่า คนป่วยเบาหวาน วิทยาการสมัยใหม่ มุ่งไปที่ตัวเลขของปริมาณน้ำตาลในเลือด ต้องอยู่ในเกณฑ์นั้น นี้ ...
แต่จะทำอย่างไรเล่า ที่จะเอาน้ำตาลส่วนเกินออกจากตัวคนป่วย เมื่อทำไม่ได้ วิธีการเดียวที่ใช้ก็คือ บังคับให้น้ำตาลในเลือด เข้าไปฝังตัวในกล้ามเนื้อ นั่นเอง
ทีนี้ คนป่วยก็สบายใจเพราะค่าน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นั่นกลายเป็นสร้างวิกฤตอันใหญ่หลวง แก่ร่างกาย และชีวิต
เมื่อใช้สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้ให้เห็นว่า น้ำตาลที่อยู่ในเลือดต่างหาก เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด คืออันตรายน้อยสุด
เมื่อร่างกายได้สมุนไพร และอาหาร มีความพร้อม ก็ต้องรีบดึงน้ำตาล ที่ถูกกดในกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ออกมา ให้อยู่ในเลือด เพื่อรอการขับออก ทางไต
ผลก็คือ ด้วยปริมาณน้ำตาลที่สูง ทำให้บริเวณผิวของเรา เปลี่ยนสีกลายเป็นสีดำ คล้ำขึ้น ตามปริมาณน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่เป็นผลข้างเคียงชั่วคราว ที่ไม่อันตรายใดๆเลย
เราจึงบอกคนป่วยว่า ถ้าหากเราอาย และทนคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่บางคนเห็นไม่รู้ ก็บอกว่าเราเป็นเอดส์บ้าง โน่นบ้าง นี่บ้าง แล้วเราก็หยุดทานสมุนไพร หยุดพฤติกรรมในการฟื้นฟูตนเสีย สิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่า
เราอาจจะได้ผิวขาวกลับมาในทันทีที่กลับไปทานยาลดเบาหวาน แต่เราจะไม่มีโอกาสหายจากโรคเบาหวานเลยในชีวิตนี้ และที่สำคัญ คงหนีการตายด้วยโรคเบาหวานไม่พ้น
คนป่วยท่านนั้น กลับไปพิจารณา แล้วก็บอกว่า เขาจะยอมรับความอายแก่สังคมนี้ให้ได้ เพื่อตัวของเขาเอง ที่อยากหายเบาหวาน
จากวันนั้น สภาพผิวที่ดำขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปหลายเดือน วันก่อนได้มีโอกาสพบกันอีกครั้ง เธอบอกว่า ตอนนี้ผิวของเธอกลับมาขาวเหมือนเดิมแล้ว
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ว่า การจะใช้แนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน จึงจำเป็นต้องอาศํยขันติ อดทน มิเพียงแต่อาการ ในบางครั้ง ก็ต้องทนเสียงของผู้คนอีกต่างหาก แต่ ... ทั้งนี้ทั้งนั้น "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า "
วันนี้ของคนป่วยท่านนั้น จึงบ่งบอกว่า โรคเบาหวานกำลังเดินจากเธอไป การฟื้นฟูตนของเธอ ใกล้จะบรรลุผลแล้ว ความขันติ อดทน ต่อความอายของเธอ คุ้มค่ายิ่ง ชีวิตที่เหลืออีกหลายสิบปี โดยไม่มีโรคเบาหวาน คือรางวัลแห่งความขันติของเธอ
จึงเห็นได้ว่า ทุกกระบวนการล้วนแล้วแต่ต้องใช้ขันติ อดทน เริ่มตั้งแต่ รสชาดของสมุนไพร การเข้ากระโจม เรื่อยมา...
ที่สำคัญที่เป็นสุดยอดของเรื่องราวในแต่ละคน คือสภาวะในช่วงของการฟื้นฟู ย่อมมีสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า อาการลงแดง
หรือแม้นกระทั่งผลกระทบ ที่แม้นไม่เป็นอันตราย แต่หลายคนก็ยากจะรับได้ เพราะอาการเหล่านั้น สร้างความอายให้เกิดขึ้น
เราจึงอยากยกตัวอย่าง ผู้หญิงวัยกลางคน ที่ทำงานมีหน้ามีตาในสังคม ท่านหนึ่ง ที่บังเอิญเป็นโรคเบาหวาน ตั้งแต่เริ่มสาว รักษาตนมานานปี ด้วยทางเลือกอื่น แต่ก็ไม่ประสพผล จนอาการของเธอเข้าขั้นวิกฤต
เธอก็ยังมีวาสนา วันหนึ่งเธอเวียนว่ายมาพบทางเลือกสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน และเธอก็ทิ้งทุกแนวทาง ที่เคยผ่าน มาลองใช้ทางเลือกอันนี้ดู
ผ่านวัน ผ่านคืน ไม่ว่าสภาพใดๆ ที่เกิดขึ้น เธอก็ทำใจรับสภาพ ใช้ขันติ อดทน ผ่านมาได้หมด ยกเว้นประการเดียว ที่ทำให้เธอกังวล นั่นคือ ในขณะที่อาการของเธอเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ผิวเธอที่เป็นคนขาว ค่อยๆ เริ่มดำคล้ำขึ้นทุกวัน จนไม่ว่าใครๆ ก็ทัก และเริ่มซุบซิบว่า สงสัยเธอน่าจะเป็นเอดส์ เพราะสีผิวของเธอดำคล้ำมากขึ้นทุกวัน
บังเอฺิญเธอมีโอกาสได้คุยกับเรา แลเล่าทุกข์อันนี้ระบายให้ฟัง
เราจึงชี้สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ และวิทยากร ท่าน อ.อร่าม มักกล่าวเตือนเสมอว่า คนป่วยเบาหวาน วิทยาการสมัยใหม่ มุ่งไปที่ตัวเลขของปริมาณน้ำตาลในเลือด ต้องอยู่ในเกณฑ์นั้น นี้ ...
แต่จะทำอย่างไรเล่า ที่จะเอาน้ำตาลส่วนเกินออกจากตัวคนป่วย เมื่อทำไม่ได้ วิธีการเดียวที่ใช้ก็คือ บังคับให้น้ำตาลในเลือด เข้าไปฝังตัวในกล้ามเนื้อ นั่นเอง
ทีนี้ คนป่วยก็สบายใจเพราะค่าน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นั่นกลายเป็นสร้างวิกฤตอันใหญ่หลวง แก่ร่างกาย และชีวิต
เมื่อใช้สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้ให้เห็นว่า น้ำตาลที่อยู่ในเลือดต่างหาก เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด คืออันตรายน้อยสุด
เมื่อร่างกายได้สมุนไพร และอาหาร มีความพร้อม ก็ต้องรีบดึงน้ำตาล ที่ถูกกดในกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ออกมา ให้อยู่ในเลือด เพื่อรอการขับออก ทางไต
ผลก็คือ ด้วยปริมาณน้ำตาลที่สูง ทำให้บริเวณผิวของเรา เปลี่ยนสีกลายเป็นสีดำ คล้ำขึ้น ตามปริมาณน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่เป็นผลข้างเคียงชั่วคราว ที่ไม่อันตรายใดๆเลย
เราจึงบอกคนป่วยว่า ถ้าหากเราอาย และทนคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่บางคนเห็นไม่รู้ ก็บอกว่าเราเป็นเอดส์บ้าง โน่นบ้าง นี่บ้าง แล้วเราก็หยุดทานสมุนไพร หยุดพฤติกรรมในการฟื้นฟูตนเสีย สิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่า
เราอาจจะได้ผิวขาวกลับมาในทันทีที่กลับไปทานยาลดเบาหวาน แต่เราจะไม่มีโอกาสหายจากโรคเบาหวานเลยในชีวิตนี้ และที่สำคัญ คงหนีการตายด้วยโรคเบาหวานไม่พ้น
คนป่วยท่านนั้น กลับไปพิจารณา แล้วก็บอกว่า เขาจะยอมรับความอายแก่สังคมนี้ให้ได้ เพื่อตัวของเขาเอง ที่อยากหายเบาหวาน
จากวันนั้น สภาพผิวที่ดำขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปหลายเดือน วันก่อนได้มีโอกาสพบกันอีกครั้ง เธอบอกว่า ตอนนี้ผิวของเธอกลับมาขาวเหมือนเดิมแล้ว
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ว่า การจะใช้แนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน จึงจำเป็นต้องอาศํยขันติ อดทน มิเพียงแต่อาการ ในบางครั้ง ก็ต้องทนเสียงของผู้คนอีกต่างหาก แต่ ... ทั้งนี้ทั้งนั้น "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า "
วันนี้ของคนป่วยท่านนั้น จึงบ่งบอกว่า โรคเบาหวานกำลังเดินจากเธอไป การฟื้นฟูตนของเธอ ใกล้จะบรรลุผลแล้ว ความขันติ อดทน ต่อความอายของเธอ คุ้มค่ายิ่ง ชีวิตที่เหลืออีกหลายสิบปี โดยไม่มีโรคเบาหวาน คือรางวัลแห่งความขันติของเธอ
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ยากกว่าโรค
เราท่านมักจะได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า การหายโรคนั้นไม่ยาก
แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ ที่ทำให้การหายโรคกลายเป็นเรื่องยาก คือ นิสัยสันดาน และความเชื่อ
คนป่วยที่มาใหม่ และฟังวิทยากรอบรม ประโยคหนึ่งที่มักจะได้ยินวิทยากรแนะนำ นั่นก็คือ การใช้แนวทางของพระภูมีที่แม่ชเีมี้ยนนำมา ต้องพึ่งพา มิเพียงแต่สมุนไพร หากแต่ต้องให้ร่างกายได้รับอาหารครบทั้ง ๕ หมู่
เป็นการปฏิบัติที่ดูแล้ว พื้นๆ ใครใครก็ควรจะทำได้
แต่ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหลายคนมีความคิด ความเชื่อ เป็นทุนเดิม สร้างเป็นกำแพงแน่นหนา กลายเป็นอุปสรรคใหญ๋ ที่ทำให้การหายโรคกลายเป็นเรื่องยาก
อาทิเช่น คนป่วยที่เป็นโรคกระดูก ต้องอาศัยยาขาตั๊ง ซึ่งทำมาจากหมู บังเอิญ ตนเองเป็นอิสลาม ก็บอกว่า ทานไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ว่า ก็ท่านจะเป็นคนดีของพระเจ้า แต่ตอนนี้ท่านป่วย ท่านไม่ทานวัตถุดิบสมุนไพรเข้าไปให้ร่างกายซ่อมแซม แล้วท่านจะมีชีวิต มีสังขาร ไปทำกิจของพระเจ้าของท่านได้อย่างไร ยากระดูกหมู หรือ ขาตั้ง ก็ควรมองให้เป็นยาที่ทำให้เราท่านได้มีโอกาสไปทำความดีตามคำสอนของพระเจ้าต่างหาก
แต่ที่หนักกว่า ก็คือ พวกเป็นโรคมะเร็ง แต่มีความเชื่อว่า ทานมังสวิรัติบ้าง เจบ้าง ... หนักกว่านั้นคือพวกที่ แม้นแต่ข้าวก็ไม่ทาน ไปโน่นเลย ลัทธิ กินถัว กินแต่ผัก ว่าเข้าไป ...
ที่ซึ่ง เมื่อปฏิบัติในระยะแรก มะเร็งมันอาจตั้งตัวไม่ทัน เกิดการหยุดชะงัก ก็ดูเหมือนร่างกายของตนจะดี แต่พอครั้นมะเร็งปรับตัวได้ ทีนี้ สองเด้งเลย ไหนจะมะเร็ง ไหนจะขาดอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไมอาการทรุดรวดเร็ว รู้ปุ๊บ ก็แทบไม่เหลือเวลาแล้ว
อีกสายหนึ่งที่มักพบเจอ ก็คือ มีความเชื่อว่าต้องนั่งวิปัสสนา กรรมฐาน ทำสมาธิ ทำจิต ทำใจ หวังว่า เมื่อไม่เครียด แล้ว จะช่วยอาการของตนได้ ผลก็คือ ตายไปรายแล้วรายเล่า
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให็เห็นแนวทางของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาว่า การทำจิตทำใจ นั่นคือ การที่จะให้สุขแก่ผู้อื่น ที่สำคัญ ชีวิตจะดำรงอยู่ได้ด้วยการกิน เป็นสำคัญ
ดังนั้น บัญญัติของพระภูมีในธรรมหมวดสมุนไพร จึงแฝงมากับการสร้างทานบารมี โดยให้ทำตนเป็นจิตอาสา เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว เซลล์ทุกกลุ่มถูกบังคับให้ทำงาน กระตุ้นให้เกิดความล้า
ศาสตร์อันนี้จึงตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง ที่มักให้ผู้ป่วยพักผ่อนเยอะๆ นอนเป็นหลัก
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ เซลล์ทุกส่วนของร่างกาย หลังจากการทำงาน ย่อมต้องการพลังงาน สมองก็สั่งงาน ให้ต้องการอาหาร บวกกับสมุนไพรเขียว ที่ไปกระตุ้นต่อม ให้อยากอาหาร และช่วยในการดูดซับสารอาหาร ทำให้ผู้ป่วย ทานอาหารได้มาก เซลล์ทุกกลุ่มก็มีวัตถุดิบ ทั้งอาหาร และสมุนไพร เพื่อฟื้นฟู
บทสรุป หลายคนอาจจะบอกว่า บัญญํติของพระภูมีนั้นเป็นการหลอกให้ไปทำงานให้ จะทำไปทำไม นั่งเฉยๆ รอสมุนไพรไม่ดีกว่าหรือ ไม่เหนื่อย แต่ความเป็นจริงแล้ว บัญญัติที่ให้ผู้ป่วยเป็นจิตอาสา ทำงานเพื่อศาสนา แท้จริงแล้วทำเพื่อช่วยตน ต่างหาก
สิ่งหนึ่งที่มักจะได้ยินวิทยากร อ.อร่าม พูด คือให้ทานอาหารทุกชนิด ยิ่งเป็นอาหารที่หมอห้าม เช่น เบาหวาน ต้องทานหวาน เก๊าต์ ต้องกินสัตว์ปีก ก็เพื่อให้อาหารเป็นตัวนำสมุนไพรไปยังแหล่งต้นเหตุของโรค แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทานอาหารไม่ได้ หรือ ไม่เพียงพอ
เราท่านก็จะมองเห็นภาพปืนใหญ่สมัยโบราณ ที่มีแต่ลูกกระสุน ไม่มีดินปืน หรือ ดินปืนน้อยไป จะไปไม่ถึงเป้าหมาย หรือถึงเป้าหมายก็หมดกำลังในการทำลายล้างเสียแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น สมุนไพรเสมือนลูกปืน ที่จะทำลายล้างต้นเหตุ แต่ทานสักฉันใด ก็ไปไม่ถึง เพราะไม่มีอาหารเป็นตัวนำพาพาไปยังที่เกิดเหตุ
ผลก็คือ หลายคนคิดว่าทานสมุนไพรเยอะๆ แล้วจะช่วยตนของตนได้ จึงคิดผิด เพราะสมุนไพรที่ทาน มันไม่ได้ไปไหนเลย เพราะไม่มีพาหะคืออาหาร
หากแต่คนที่เชื่อหลวงพ่อนิพนธ์ แม้นเริ่มแรก แรงจะเหลือน้อย แต่ก็ฝืนทำตนเป็นจิตอาสา ขยับร่างกาย ก็เริ่มจะทานอาหารได้มากขึ้นทีละนิด สมุนไพร ก็จักทำงานได้เพิ่มตามปริมาณอาหารที่ทาน กำลังก็จะเพิ่มขึ้น เวียนเป็นวัฐจักร
จึงไม่ต้องแปลกใจเลย เมื่อตอนที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ผู้ประสพผลในด้านมะเร็งมาเล่าประวัติ ยายท่านหนึ่งจึงบอกว่า ท่านเชื่อหลวงพ่อนิพนธ์จึงไปทำหน้าที่เช็ดจาน โดยบอกลูกสาวให้ไปช่วยกัน จากวันแรกที่เช็ดทั้งวันได้ ๒ จาน ผ่านวัน ผ่านเดือน ผ่านปี ในที่สุด ยายก็สามารถเช็ดจานได้ถึงวันละ สองพัน จาน พร้อมกับการหายมะเร็ง
คำที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดฟังดูเหมือนพูดเล่น ที่มักกล่าวกับคนไข้เสมอ ที่ควรนำไปพิจารณา "กินได้ไม่ตาย แต่ถ้าไม่กินน่ะตายแน่" แต่จะทำอย่างไรให้กินได้เพิ่มขึืน .... ก็จิตอาสาไง นี่แหละทำไมจึงต้องมีโรงทาน ทำไมจึงต้องชวนให้ทุกคนมาเป็นจิตอาสา ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตนของเราท่านนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อทำตามบัญญัติของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ได้บุญ ได้ทาน บารมี และได้ของแถมคือหายโรค ก็ด้วยเหตุนี้นั่นเอง
แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ ที่ทำให้การหายโรคกลายเป็นเรื่องยาก คือ นิสัยสันดาน และความเชื่อ
คนป่วยที่มาใหม่ และฟังวิทยากรอบรม ประโยคหนึ่งที่มักจะได้ยินวิทยากรแนะนำ นั่นก็คือ การใช้แนวทางของพระภูมีที่แม่ชเีมี้ยนนำมา ต้องพึ่งพา มิเพียงแต่สมุนไพร หากแต่ต้องให้ร่างกายได้รับอาหารครบทั้ง ๕ หมู่
เป็นการปฏิบัติที่ดูแล้ว พื้นๆ ใครใครก็ควรจะทำได้
แต่ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหลายคนมีความคิด ความเชื่อ เป็นทุนเดิม สร้างเป็นกำแพงแน่นหนา กลายเป็นอุปสรรคใหญ๋ ที่ทำให้การหายโรคกลายเป็นเรื่องยาก
อาทิเช่น คนป่วยที่เป็นโรคกระดูก ต้องอาศัยยาขาตั๊ง ซึ่งทำมาจากหมู บังเอิญ ตนเองเป็นอิสลาม ก็บอกว่า ทานไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ว่า ก็ท่านจะเป็นคนดีของพระเจ้า แต่ตอนนี้ท่านป่วย ท่านไม่ทานวัตถุดิบสมุนไพรเข้าไปให้ร่างกายซ่อมแซม แล้วท่านจะมีชีวิต มีสังขาร ไปทำกิจของพระเจ้าของท่านได้อย่างไร ยากระดูกหมู หรือ ขาตั้ง ก็ควรมองให้เป็นยาที่ทำให้เราท่านได้มีโอกาสไปทำความดีตามคำสอนของพระเจ้าต่างหาก
แต่ที่หนักกว่า ก็คือ พวกเป็นโรคมะเร็ง แต่มีความเชื่อว่า ทานมังสวิรัติบ้าง เจบ้าง ... หนักกว่านั้นคือพวกที่ แม้นแต่ข้าวก็ไม่ทาน ไปโน่นเลย ลัทธิ กินถัว กินแต่ผัก ว่าเข้าไป ...
ที่ซึ่ง เมื่อปฏิบัติในระยะแรก มะเร็งมันอาจตั้งตัวไม่ทัน เกิดการหยุดชะงัก ก็ดูเหมือนร่างกายของตนจะดี แต่พอครั้นมะเร็งปรับตัวได้ ทีนี้ สองเด้งเลย ไหนจะมะเร็ง ไหนจะขาดอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไมอาการทรุดรวดเร็ว รู้ปุ๊บ ก็แทบไม่เหลือเวลาแล้ว
อีกสายหนึ่งที่มักพบเจอ ก็คือ มีความเชื่อว่าต้องนั่งวิปัสสนา กรรมฐาน ทำสมาธิ ทำจิต ทำใจ หวังว่า เมื่อไม่เครียด แล้ว จะช่วยอาการของตนได้ ผลก็คือ ตายไปรายแล้วรายเล่า
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให็เห็นแนวทางของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาว่า การทำจิตทำใจ นั่นคือ การที่จะให้สุขแก่ผู้อื่น ที่สำคัญ ชีวิตจะดำรงอยู่ได้ด้วยการกิน เป็นสำคัญ
ดังนั้น บัญญัติของพระภูมีในธรรมหมวดสมุนไพร จึงแฝงมากับการสร้างทานบารมี โดยให้ทำตนเป็นจิตอาสา เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว เซลล์ทุกกลุ่มถูกบังคับให้ทำงาน กระตุ้นให้เกิดความล้า
ศาสตร์อันนี้จึงตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง ที่มักให้ผู้ป่วยพักผ่อนเยอะๆ นอนเป็นหลัก
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ เซลล์ทุกส่วนของร่างกาย หลังจากการทำงาน ย่อมต้องการพลังงาน สมองก็สั่งงาน ให้ต้องการอาหาร บวกกับสมุนไพรเขียว ที่ไปกระตุ้นต่อม ให้อยากอาหาร และช่วยในการดูดซับสารอาหาร ทำให้ผู้ป่วย ทานอาหารได้มาก เซลล์ทุกกลุ่มก็มีวัตถุดิบ ทั้งอาหาร และสมุนไพร เพื่อฟื้นฟู
บทสรุป หลายคนอาจจะบอกว่า บัญญํติของพระภูมีนั้นเป็นการหลอกให้ไปทำงานให้ จะทำไปทำไม นั่งเฉยๆ รอสมุนไพรไม่ดีกว่าหรือ ไม่เหนื่อย แต่ความเป็นจริงแล้ว บัญญัติที่ให้ผู้ป่วยเป็นจิตอาสา ทำงานเพื่อศาสนา แท้จริงแล้วทำเพื่อช่วยตน ต่างหาก
สิ่งหนึ่งที่มักจะได้ยินวิทยากร อ.อร่าม พูด คือให้ทานอาหารทุกชนิด ยิ่งเป็นอาหารที่หมอห้าม เช่น เบาหวาน ต้องทานหวาน เก๊าต์ ต้องกินสัตว์ปีก ก็เพื่อให้อาหารเป็นตัวนำสมุนไพรไปยังแหล่งต้นเหตุของโรค แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทานอาหารไม่ได้ หรือ ไม่เพียงพอ
เราท่านก็จะมองเห็นภาพปืนใหญ่สมัยโบราณ ที่มีแต่ลูกกระสุน ไม่มีดินปืน หรือ ดินปืนน้อยไป จะไปไม่ถึงเป้าหมาย หรือถึงเป้าหมายก็หมดกำลังในการทำลายล้างเสียแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น สมุนไพรเสมือนลูกปืน ที่จะทำลายล้างต้นเหตุ แต่ทานสักฉันใด ก็ไปไม่ถึง เพราะไม่มีอาหารเป็นตัวนำพาพาไปยังที่เกิดเหตุ
ผลก็คือ หลายคนคิดว่าทานสมุนไพรเยอะๆ แล้วจะช่วยตนของตนได้ จึงคิดผิด เพราะสมุนไพรที่ทาน มันไม่ได้ไปไหนเลย เพราะไม่มีพาหะคืออาหาร
หากแต่คนที่เชื่อหลวงพ่อนิพนธ์ แม้นเริ่มแรก แรงจะเหลือน้อย แต่ก็ฝืนทำตนเป็นจิตอาสา ขยับร่างกาย ก็เริ่มจะทานอาหารได้มากขึ้นทีละนิด สมุนไพร ก็จักทำงานได้เพิ่มตามปริมาณอาหารที่ทาน กำลังก็จะเพิ่มขึ้น เวียนเป็นวัฐจักร
จึงไม่ต้องแปลกใจเลย เมื่อตอนที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ผู้ประสพผลในด้านมะเร็งมาเล่าประวัติ ยายท่านหนึ่งจึงบอกว่า ท่านเชื่อหลวงพ่อนิพนธ์จึงไปทำหน้าที่เช็ดจาน โดยบอกลูกสาวให้ไปช่วยกัน จากวันแรกที่เช็ดทั้งวันได้ ๒ จาน ผ่านวัน ผ่านเดือน ผ่านปี ในที่สุด ยายก็สามารถเช็ดจานได้ถึงวันละ สองพัน จาน พร้อมกับการหายมะเร็ง
คำที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดฟังดูเหมือนพูดเล่น ที่มักกล่าวกับคนไข้เสมอ ที่ควรนำไปพิจารณา "กินได้ไม่ตาย แต่ถ้าไม่กินน่ะตายแน่" แต่จะทำอย่างไรให้กินได้เพิ่มขึืน .... ก็จิตอาสาไง นี่แหละทำไมจึงต้องมีโรงทาน ทำไมจึงต้องชวนให้ทุกคนมาเป็นจิตอาสา ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตนของเราท่านนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อทำตามบัญญัติของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ได้บุญ ได้ทาน บารมี และได้ของแถมคือหายโรค ก็ด้วยเหตุนี้นั่นเอง
วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
สติ และ ปัญญา
สิ่งที่ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมศาสนาพุทธ จึงเป็นศาสนาที่อัลเบิร์ต ไอไสตน์ กล่าวว่่า จะเป็นศาสนาเอกของโลก ก็ด้วยหลัก เหตุ และผล อันสอนให้ทุกผู้คนอย่าพึงเชื่อ จงไตร่ตรองด้วย สติ และปัญญา พิจารณาก่อน แล้วจึงทำ
ประเทศไทย ได้ชื่อว่า มีคนนับถือพุทธศาสนามาก หากแต่พฤติกรรม กลับสวนทางกับคำสอนอย่างสิ้นเชิง
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า กลยุทธ์การโฆษณา หรือสร้างความน่าเชื่อถือ จึงถูกนำมาใช้ และได้ผลอย่างยิ่งกับคนไทย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอน ให้เราท่านฝึกสติ ยิ่งเป็นสติของพระพุทธศาสนา ยิ่งมีความสำคัญ มีความหมายยิ่ง เพื่อที่มาพิจารณาเหตุและผล ให้เกิดเป็นตัวปัญญา
ท่านจึงชี้ให้ดูว่า กระบวนการใดๆ ที่จะมาใช้ในเรื่องของชีวิต และสุขภาพ หากดูตามกระแสของคนไทย ย่อมผิดพลาดได้ง่าย หากแต่ดูจากประเทศที่ถูกกล่าวว่าเจริญแล้ว ก็จะเห็นเด่นชัด
หากหนทางนั้นๆ ใช้ได้ผล ประเทศที่เจริญ คือประเทศที่กังวลในสุขภาพของประชาชน ย่อมนำไปใช้แก่หมู่ชนของเขา และส่งเสริมให้กว้างขวาง
ดังนั้น เราท่าน อาจจะได้ยินสูตรยา สารพัด อ้างเป็นสมุนไพร อ้างเป็นวิทยาการชั้นเลิศ ก็ถ้ามันดีจริง มีหรือประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านั้น จักไม่นำไปใช้ในคนของเขา
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกตัวอย่างเช่น การใช้คีโม ฉายแสง ในผู้ป่วยมะเร็ง หากมันดีจริง ประเทศต้นคิด ทำไมยังมีผู้ป่วยมะเร็งตายกันมากมายอวดตัวเลขกันอยู่
ย้อนกลับมาประเทศไทย มีตำราโน่นนี่นั่น มีผู้คนไปลองทำ แล้วก็บอกว่า ดี กินแล้ว ดี ทำแล้วดี เผยแพร่กันใหญ่ ก็ถ้ามันดีจริง ต่างประเทศเขากอบโกยไปหมดแล้ว เพราะคนของเขามีค่า
ยกตัวอย่างเช่น ใบกระท่อม ประเทศไทย ยังจัดว่าเป็นยาเสพติดอยู่เลย หากแต่ประเทศญี่ปุ่น กลับไปจดสิทธิบัตร เป็นยาแล้ว ทั้งๆที่คนในหลายพื้นที่ของไทย ปลูกไว้ทาน ใช้แก้ปวด แก้สารพัด แต่ถูกจับ อนาคต ต้องซื้อยาญี่ปุ่นทาน นี่สิน่าขำ
หากแต่ สารพัดสูตร ที่อ้างกัน มีหรือต่างชาติเขาจะไม่ลอง ไม่พิสูจน์ แต่ผลมันไม่มี เขาจึงไม่สน ยิ่งเรื่องของสมุนไพรแล้ว คนไทยบอกว่าเป็นเมืองสมุนไพร แต่วงการวิทยาศาสตร์เขารู้กันว่า ไม่มีพืชสมุนไพรตัวใด ตัวหนึ่ง ที่สามารถให้ฤทธิ์ทางการรักษา โดยลำพังของตัวมันเอง
จึงไม่แปลก เมื่อต่างชาติเห็นคนไทย แห่ซื้อสมุนไพร ต้นโน้น ต้นนี้ แล้วไปทาน จะหัวเราะ ก็ขนาดขิงที่นักวิทยาศาสตร์ หรือ แม้นแต่ชาวบ้าน รู้ดีว่า มีสารไล่ลม รักษาโรคลมได้ ยังทำได้แค่ต้มน้ำขิง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้สารในขิง จะแสดงฤทธิ์เพื่อขจัดโรคลมได้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า อย่าไปเสียเวลาเลย ที่สำคัญ ยิ่งไปบอกสิ่งผิดๆกับผู้อื่น ผู้อื่นทำตาม แล้วเกิดผลเสีย กรรมอันนั้นจะเลี่ยงได้อย่างไร เมื่อโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม มีหรือ กรรมเขาจะให้ปัญญา มาเพื่อพิชิตตัวของกรรมเอง เป็นไปไม่ได้
ศาสตร์สมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงไม่ใช่ด้วยคิดเอง หากแต่มีอำนาจ แลเห็น ก็นำมาบอก เราท่านจึงไม่ต้องลองผิดลองถูก มิหนำซ้ำ ยังผ่านร้อน ผ่านหนาว มากว่าครึ่งศตวรรษ มีผู้คนหายให้เห็นกันมากมาย
สุดท้าย จึงอยากทิ้งคำของหลวงพ่อนิพนธ์ให้เราท่านพิจารณา ลำพังกรรมของเรา ก็มากโข ยังไปสร้างกรรมเพิ่ม ด้วยให้ความรู้ที่ผิด ที่ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นถึงชีวิต เท่ากับเจตนาฆ่าคนตาย ทำไปทำไม ถ้าไม่มีเจตนาจะหลอกเขากิน ก็ไม่มีเหตุที่จะทำให้เป็นเวรเป็นกรรม
ป้ายโฆษณา จึงเห็นคำว่า หายแน่ รักษาได้ .... เพื่อชวนเชิญ แต่กลับกัน พระพุทธเจ้ามีบุญญาธิการมหาศาล ยังไม่กล้าพูดเลย อย่างดีก็แค่ มีหนทาง มีธรรมคำสอน และสมุนไพร แต่จะหายได้ ต้องอาศัยตนของตน ใครทำ ใครได้ แล้วเราท่านแน่มาจากไหน ไปบอกผู้อื่นว่า ทานนี่สิ ทำแบบนี้สิ เขาบอกมา ว่าดี หายจริงๆ ... แล้วจะหนีผลแห่งการพูดพ้นหรือ เพราะเราท่านทำเข้าทำนอง ไม้สูงกว่าแม่ ก็ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่กล้าพูดเลย แต่เราท่านกลับพูดแถมยืนยันหนักแน่น ให้ผู้อื่นทำตาม .... ดูแล้วน่ากลัวยิ่ง
ไม่เห็นหรือ คนที่โฆษณา ว่าสร้างวัด สร้างโบสถ์ แล้วเป็นบุญ เขาห่มผ้าเหลือง พูดไปพูดมา พูดจนโรคงอม .... มันบอกอะไร ทำถูกผลถูกก็เกิด ทำผิด ผลผิดจะไปไหน ใครพูด ใครชวน
หรือมองข้ามฝั่งไปดูประเทศที่ส่งออกยาเคมีมากที่สุด แต่กลับออกกฎหมาย ห้ามประชาชนซื้อยาเคมี โดยพลการ หากจำเป็นต้องใช้ ให้ใช้ร่วมกับสมุนไพร โดยสัดส่วนยาเคมีต้องไม่เกินครึ่ง มีนัยยะอะไร
ประเทศไทย ได้ชื่อว่า มีคนนับถือพุทธศาสนามาก หากแต่พฤติกรรม กลับสวนทางกับคำสอนอย่างสิ้นเชิง
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า กลยุทธ์การโฆษณา หรือสร้างความน่าเชื่อถือ จึงถูกนำมาใช้ และได้ผลอย่างยิ่งกับคนไทย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอน ให้เราท่านฝึกสติ ยิ่งเป็นสติของพระพุทธศาสนา ยิ่งมีความสำคัญ มีความหมายยิ่ง เพื่อที่มาพิจารณาเหตุและผล ให้เกิดเป็นตัวปัญญา
ท่านจึงชี้ให้ดูว่า กระบวนการใดๆ ที่จะมาใช้ในเรื่องของชีวิต และสุขภาพ หากดูตามกระแสของคนไทย ย่อมผิดพลาดได้ง่าย หากแต่ดูจากประเทศที่ถูกกล่าวว่าเจริญแล้ว ก็จะเห็นเด่นชัด
หากหนทางนั้นๆ ใช้ได้ผล ประเทศที่เจริญ คือประเทศที่กังวลในสุขภาพของประชาชน ย่อมนำไปใช้แก่หมู่ชนของเขา และส่งเสริมให้กว้างขวาง
ดังนั้น เราท่าน อาจจะได้ยินสูตรยา สารพัด อ้างเป็นสมุนไพร อ้างเป็นวิทยาการชั้นเลิศ ก็ถ้ามันดีจริง มีหรือประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านั้น จักไม่นำไปใช้ในคนของเขา
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกตัวอย่างเช่น การใช้คีโม ฉายแสง ในผู้ป่วยมะเร็ง หากมันดีจริง ประเทศต้นคิด ทำไมยังมีผู้ป่วยมะเร็งตายกันมากมายอวดตัวเลขกันอยู่
ย้อนกลับมาประเทศไทย มีตำราโน่นนี่นั่น มีผู้คนไปลองทำ แล้วก็บอกว่า ดี กินแล้ว ดี ทำแล้วดี เผยแพร่กันใหญ่ ก็ถ้ามันดีจริง ต่างประเทศเขากอบโกยไปหมดแล้ว เพราะคนของเขามีค่า
ยกตัวอย่างเช่น ใบกระท่อม ประเทศไทย ยังจัดว่าเป็นยาเสพติดอยู่เลย หากแต่ประเทศญี่ปุ่น กลับไปจดสิทธิบัตร เป็นยาแล้ว ทั้งๆที่คนในหลายพื้นที่ของไทย ปลูกไว้ทาน ใช้แก้ปวด แก้สารพัด แต่ถูกจับ อนาคต ต้องซื้อยาญี่ปุ่นทาน นี่สิน่าขำ
หากแต่ สารพัดสูตร ที่อ้างกัน มีหรือต่างชาติเขาจะไม่ลอง ไม่พิสูจน์ แต่ผลมันไม่มี เขาจึงไม่สน ยิ่งเรื่องของสมุนไพรแล้ว คนไทยบอกว่าเป็นเมืองสมุนไพร แต่วงการวิทยาศาสตร์เขารู้กันว่า ไม่มีพืชสมุนไพรตัวใด ตัวหนึ่ง ที่สามารถให้ฤทธิ์ทางการรักษา โดยลำพังของตัวมันเอง
จึงไม่แปลก เมื่อต่างชาติเห็นคนไทย แห่ซื้อสมุนไพร ต้นโน้น ต้นนี้ แล้วไปทาน จะหัวเราะ ก็ขนาดขิงที่นักวิทยาศาสตร์ หรือ แม้นแต่ชาวบ้าน รู้ดีว่า มีสารไล่ลม รักษาโรคลมได้ ยังทำได้แค่ต้มน้ำขิง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้สารในขิง จะแสดงฤทธิ์เพื่อขจัดโรคลมได้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า อย่าไปเสียเวลาเลย ที่สำคัญ ยิ่งไปบอกสิ่งผิดๆกับผู้อื่น ผู้อื่นทำตาม แล้วเกิดผลเสีย กรรมอันนั้นจะเลี่ยงได้อย่างไร เมื่อโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม มีหรือ กรรมเขาจะให้ปัญญา มาเพื่อพิชิตตัวของกรรมเอง เป็นไปไม่ได้
ศาสตร์สมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงไม่ใช่ด้วยคิดเอง หากแต่มีอำนาจ แลเห็น ก็นำมาบอก เราท่านจึงไม่ต้องลองผิดลองถูก มิหนำซ้ำ ยังผ่านร้อน ผ่านหนาว มากว่าครึ่งศตวรรษ มีผู้คนหายให้เห็นกันมากมาย
สุดท้าย จึงอยากทิ้งคำของหลวงพ่อนิพนธ์ให้เราท่านพิจารณา ลำพังกรรมของเรา ก็มากโข ยังไปสร้างกรรมเพิ่ม ด้วยให้ความรู้ที่ผิด ที่ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นถึงชีวิต เท่ากับเจตนาฆ่าคนตาย ทำไปทำไม ถ้าไม่มีเจตนาจะหลอกเขากิน ก็ไม่มีเหตุที่จะทำให้เป็นเวรเป็นกรรม
ป้ายโฆษณา จึงเห็นคำว่า หายแน่ รักษาได้ .... เพื่อชวนเชิญ แต่กลับกัน พระพุทธเจ้ามีบุญญาธิการมหาศาล ยังไม่กล้าพูดเลย อย่างดีก็แค่ มีหนทาง มีธรรมคำสอน และสมุนไพร แต่จะหายได้ ต้องอาศัยตนของตน ใครทำ ใครได้ แล้วเราท่านแน่มาจากไหน ไปบอกผู้อื่นว่า ทานนี่สิ ทำแบบนี้สิ เขาบอกมา ว่าดี หายจริงๆ ... แล้วจะหนีผลแห่งการพูดพ้นหรือ เพราะเราท่านทำเข้าทำนอง ไม้สูงกว่าแม่ ก็ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่กล้าพูดเลย แต่เราท่านกลับพูดแถมยืนยันหนักแน่น ให้ผู้อื่นทำตาม .... ดูแล้วน่ากลัวยิ่ง
ไม่เห็นหรือ คนที่โฆษณา ว่าสร้างวัด สร้างโบสถ์ แล้วเป็นบุญ เขาห่มผ้าเหลือง พูดไปพูดมา พูดจนโรคงอม .... มันบอกอะไร ทำถูกผลถูกก็เกิด ทำผิด ผลผิดจะไปไหน ใครพูด ใครชวน
หรือมองข้ามฝั่งไปดูประเทศที่ส่งออกยาเคมีมากที่สุด แต่กลับออกกฎหมาย ห้ามประชาชนซื้อยาเคมี โดยพลการ หากจำเป็นต้องใช้ ให้ใช้ร่วมกับสมุนไพร โดยสัดส่วนยาเคมีต้องไม่เกินครึ่ง มีนัยยะอะไร
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
เสียน้อยเสียยาก
คำกล่าวที่ได้ยินได้ฟัง แทบทุกครั้งที่หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้นำให้คนป่วย อุทิศเวลามาทำกิจกรรม และเดินตามรอยศาสนา ที่ฟังจนชินคือ ไม่มีเวลา มีความจำเป็น ต้องรับผิดชอบโน่นนี่นั่น ....
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เมื่อกรรมที่ทำมา ดลบันดาลให้เกิดทุกข์ นั่นก็หมายความถึง ต้องสูญเสีย
หากแต่มนุษย์ปฏิเสธทุกข์ ปฏิเสธกรรม คิดเข้าข้างตัวเอง เราท่านจึงเห็นการกระทำที่จะไม่ยอมสูญเสียใดๆเลย แถมยังคิดจะเอาแต่ได้อีกต่างหาก
จึงไม่ต้องแปลกใจเลย คนมาหาศาสนา ก็หวังจะมาเอาสมุนไพร ไปทำให้ตนหายโรค แล้วก็ไปทำตามความอยากของตนต่อ หรือไม่ก็มาขอ ให้ความประสงค์ของตนสำเร็จ ค้าขายร่ำรวย มั่งมีศรีสุข ไม่เจ็บไม่ไข้ ตราบชั่วชีวิต
ศาสนา แม้นมีบุญญาธิการ มีเมตตาอันมหาศาล แต่ก็ไม่ก้าวล่วงอำนาจกรรม จึงไม่เคยมีผู้ใดสมหวัง ด้วยการขอเช่นนั้นแม้นแต่สักรายเดียว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกคำสอนของแม่ชีเมี้ยนให้ฟังว่า "ศาสนา คือ เราทำ" อยากได้ ต้องเรียนรู้ พิจารณา แล้วไปทำ ทำแค่ไหน ได้แค่นั้น
หลายคนดีดลูกคิด พิจารณากิจการของตนเอง อย่างละเอียดรอบคอบ ทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ยอมให้ผิดพลาด นั่นหมายถึง จะกระทำสิ่งใด ย่อมหวังผลเลิศ กำไรงาม คำถามก็คือ แล้วเรื่องของชีวิตเล่า
หากเราท่านมีปัญหาของชีวิต กรรมมาเป็นโรครุมเร้าแล้ว กลับคิดหยาบๆ ทานสมุนไพร แล้วหาย ... หากเป็นเช่นนั้น จะเรียกว่ากรรมมีอำนาจได้อย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้หนทาง ให้แก่คนป่วยในยุคปี ๓๐ ที่เปิดสำนักมนต์บาลี ที่ลพบุรี อันเป็นสำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนในวันนี้ ว่า ทำไมไม่หยุดทางโลกไว้สักขณะ แล้วมากอบกู้ชีวิตของตนให้ดีขึ้นก่อน เพื่อที่ชีวิตที่เหลือ จะได้ไม่เลวร้าย
ตัวอย่างที่เราเห็น เด็กหนุ่มวัยเรียนคนหนึ่ง ป่วยด้วยโรคน้ำเหลืองเป็นพิษ ร่างกายเป็นแผลพุพอง คล้ายคนเป็นฝีดาษ แผลนั้นก็ยากจะหาย หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกพ่อแม่เด็กว่า หยุดเรียนไปก่อน มาบวชสักระยะ ปีนึง เพื่อฟื้นฟูร่างกาย
ยอมเสียน้อย เวลาปีเดียว แลกกับชีวิตที่เหลืออีกหลายสิบปี ไม่ดีกว่าหรือ
พ่อแม่ของเด็ก ก็ตกลงปลงใจ เด็กหนุ่มนั้นก็ได้บวชในหลักธรรมโลกุตระของแม่ชีเมี้ยน จากเดิมที่ตั้งไว้ แค่ปีเดียว เขากลับบวชต่อ เพื่อแทนคุณศาสนาในการฟื้นฟูตนของเขา จนครบสามปี
เด็กหนุ่มคนนั้น ก็กลับออกไปเรียนหนังสือ และกลายเป็นผู้จัดการแบงค์ อยู่อย่างมีความสุข ร่างกายแข็งแรง จนทุกวันนี้ ผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้ว ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลอีกเลย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่ จับปลาหลายมือ ทางโลกก็จักรักษาไว้ ชีวิตก็จะเอา ท้ายที่สุด อาจจะไม่ได้ปลาเลยสักตัว ก็เห็นมามากมาย
คำถามที่หลวงพ่อนิพนธ์มักให้คิด ... "อะไรมีค่าที่สุด" ... ก็ชีวิต แลสุขภาพ มิใช่หรือ มีชีวิต มีสุขภาพดี อยากจะไปทำอะไรก็ได้ ทำแล้วก็เป็นสุข ... แล้วทำไม ไม่ทุ่มเทให้ชีวิต และสุขภาพก่อน ยอมเสียซะบ้างเถอะ .... แล้วจะรู้ว่ามันแสนคุ้ม ดีกว่าไม่ยอมเสียอะไรเลย ท้ายที่สุด กลับต้องเสียทุกอย่าง รวมทั้งชีวิต
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เมื่อกรรมที่ทำมา ดลบันดาลให้เกิดทุกข์ นั่นก็หมายความถึง ต้องสูญเสีย
หากแต่มนุษย์ปฏิเสธทุกข์ ปฏิเสธกรรม คิดเข้าข้างตัวเอง เราท่านจึงเห็นการกระทำที่จะไม่ยอมสูญเสียใดๆเลย แถมยังคิดจะเอาแต่ได้อีกต่างหาก
จึงไม่ต้องแปลกใจเลย คนมาหาศาสนา ก็หวังจะมาเอาสมุนไพร ไปทำให้ตนหายโรค แล้วก็ไปทำตามความอยากของตนต่อ หรือไม่ก็มาขอ ให้ความประสงค์ของตนสำเร็จ ค้าขายร่ำรวย มั่งมีศรีสุข ไม่เจ็บไม่ไข้ ตราบชั่วชีวิต
ศาสนา แม้นมีบุญญาธิการ มีเมตตาอันมหาศาล แต่ก็ไม่ก้าวล่วงอำนาจกรรม จึงไม่เคยมีผู้ใดสมหวัง ด้วยการขอเช่นนั้นแม้นแต่สักรายเดียว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกคำสอนของแม่ชีเมี้ยนให้ฟังว่า "ศาสนา คือ เราทำ" อยากได้ ต้องเรียนรู้ พิจารณา แล้วไปทำ ทำแค่ไหน ได้แค่นั้น
หลายคนดีดลูกคิด พิจารณากิจการของตนเอง อย่างละเอียดรอบคอบ ทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ยอมให้ผิดพลาด นั่นหมายถึง จะกระทำสิ่งใด ย่อมหวังผลเลิศ กำไรงาม คำถามก็คือ แล้วเรื่องของชีวิตเล่า
หากเราท่านมีปัญหาของชีวิต กรรมมาเป็นโรครุมเร้าแล้ว กลับคิดหยาบๆ ทานสมุนไพร แล้วหาย ... หากเป็นเช่นนั้น จะเรียกว่ากรรมมีอำนาจได้อย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้หนทาง ให้แก่คนป่วยในยุคปี ๓๐ ที่เปิดสำนักมนต์บาลี ที่ลพบุรี อันเป็นสำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนในวันนี้ ว่า ทำไมไม่หยุดทางโลกไว้สักขณะ แล้วมากอบกู้ชีวิตของตนให้ดีขึ้นก่อน เพื่อที่ชีวิตที่เหลือ จะได้ไม่เลวร้าย
ตัวอย่างที่เราเห็น เด็กหนุ่มวัยเรียนคนหนึ่ง ป่วยด้วยโรคน้ำเหลืองเป็นพิษ ร่างกายเป็นแผลพุพอง คล้ายคนเป็นฝีดาษ แผลนั้นก็ยากจะหาย หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกพ่อแม่เด็กว่า หยุดเรียนไปก่อน มาบวชสักระยะ ปีนึง เพื่อฟื้นฟูร่างกาย
ยอมเสียน้อย เวลาปีเดียว แลกกับชีวิตที่เหลืออีกหลายสิบปี ไม่ดีกว่าหรือ
พ่อแม่ของเด็ก ก็ตกลงปลงใจ เด็กหนุ่มนั้นก็ได้บวชในหลักธรรมโลกุตระของแม่ชีเมี้ยน จากเดิมที่ตั้งไว้ แค่ปีเดียว เขากลับบวชต่อ เพื่อแทนคุณศาสนาในการฟื้นฟูตนของเขา จนครบสามปี
เด็กหนุ่มคนนั้น ก็กลับออกไปเรียนหนังสือ และกลายเป็นผู้จัดการแบงค์ อยู่อย่างมีความสุข ร่างกายแข็งแรง จนทุกวันนี้ ผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้ว ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลอีกเลย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่ จับปลาหลายมือ ทางโลกก็จักรักษาไว้ ชีวิตก็จะเอา ท้ายที่สุด อาจจะไม่ได้ปลาเลยสักตัว ก็เห็นมามากมาย
คำถามที่หลวงพ่อนิพนธ์มักให้คิด ... "อะไรมีค่าที่สุด" ... ก็ชีวิต แลสุขภาพ มิใช่หรือ มีชีวิต มีสุขภาพดี อยากจะไปทำอะไรก็ได้ ทำแล้วก็เป็นสุข ... แล้วทำไม ไม่ทุ่มเทให้ชีวิต และสุขภาพก่อน ยอมเสียซะบ้างเถอะ .... แล้วจะรู้ว่ามันแสนคุ้ม ดีกว่าไม่ยอมเสียอะไรเลย ท้ายที่สุด กลับต้องเสียทุกอย่าง รวมทั้งชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ตัวเราหล่ะ
สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนมักจะเป็น คือ หากสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดี ที่ตนชอบ ก็มักจะคิดว่าสิ่งนั้นต้องอยู่กับเราตลอดไป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้เสมอว่า นั่นคือ ความประมาท
จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เราจึงเห็นคนมากมาย โดยเฉพาะคนที่มาเป็นพี่เลี้ยงคนป่วย ที่ยังมีสุขภาพดีอยู่ ทั้งๆที่เห็นคนป่วยมากมาย รวมทั้งคนป่วยของตน
และก็เห็นกิจกรรมที่คนป่วยใช้ช่วยตน แต่คนทั้งหลายทั้งปวง กลับคิดว่าตนไม่เป็นอะไร ซ้ำร้าย คือคิดว่าตนจะไม่ป่วยแบบคนทั้งหลายที่ตนเห็น
จึงไม่แปลกเลยว่า คนเหล่านั้น จะวางเฉย ไม่สนในกิจกรรมของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา
อาทิเช่นที่หลวงพ่อนิพนธ์ยกมาให้ฟังว่า ชายผู้หนึ่ง พาภรรยาที่เป็นมะเร็ง และลูกสาว ๒ คน ที่ยังเล็กมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ให้ช่วย
หลวงพ่อนิพนธ์เห็นว่าหากไม่ช่วยภรรยา ครอบครัวนี้ก็คงแตก เพราะในไม่ช้าภรรยาก็คงเสียชีวิต และพ่อก็คงมีภรรยาใหม่ ลูกสองคนก็คงลำบาก จึงรับไว้
ฝ่ายชาย ทำทุกสิ่งอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์บอก ด้วยความรักภรรยา แต่ไม่ใช่ด้วยศรัทธาที่ตนมี การกระทำจึงเป็นแต่เพียงกาย
จะมีก็แต่ภรรยาที่มี่ใจศรัทธา ขันติ อดทน และในที่สุด ภรรยาก็หายจากโรคมะเร็ง เลี้ยงลูกสาวทั้งสองจนจบปริญญา และได้อยู่เลี้ยงหลาน
แต่วันหนึ่ง ฝ่ายสามีเกิดอาการแน่นหน้าอกกระทันหัน และถูกนำส่งโรงพยาบาล แล้วก็ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลจุฬา ด้วยเคสกรณีฉุกเฉินทางด้านหัวใจ
จุฬาแจ้งอาการให้ทราบว่า เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ด้วยกล้ามเนื้อบางส่วนหยุดทำงาน หรือตาย ต้องเปลี่ยนหัวใจเพียงอย่างเดียว และเร่งด่วน ให้ลงชื่อขอบริจาคหัวใจไว้ แต่ไม่รู้จะได้หรือไม่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกมาและสอน ให้เปลี่ยนความคิด พฤติกรรม แล้วไปพิจารณา เชื่อก็ทำตาม แล้วจะไม่ต้องเปลี่ยนหัวใจ
ชายผู้นั้นตกลง ที่จะทำตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ไปดูแลสถานที่ และต้นยา ที่ศรีสวัสดิ์ให้หลวงพ่อนิพนธ์
ทั้งๆที่อาการของเขา หมอบอกออกแรงไม่ได้ แต่สภาพพื้นที่ที่ไปดูแล เป็นเนินเขา
ชายผู้นั้น ก็ค่อยๆทำงานรดน้ำ เหนื่อยก็พัก ดูแลตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สั่งอย่างดี แล้วเขาก็กลับมามีหัวใจที่แข็งแรง ทำงานได้ปกติ โดยไม่ต้องเปลี่ยนหัวใจ พร้อมกับไปยกเลิกคิวการขอรับบริจาค
บทสรุุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เราท่านทุกคน ล้วนมีกรรม แม้นวันนี้ยังไม่ปรากฎ ก็หาใช่จะไม่มี ช้าเร็วก็ต้องมา แต่ทำไมเล่า หลายคนจึงประมาท ทั้งๆที่เห็นสิ่งที่ทำ ทำแล้วแม้นแต่คนป่วยยังหาย ทำไมจึงไม่ทำไว้ช่วยตนก่อน
นี่แลจึงเสมือนคำสาป ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา เราที่เป็นคนป่วย ทำตามคำสอนแล้วดีวันดีคืน ทำไมจึงไม่ชักชวน ให้คนที่เป็นญาติ ที่พาเราท่านมา ทำให้แก่ตนไว้บ้าง เวลากรรมมา จะได้มีทุน ผ่อนหนักเป็นเบา หรือพ้นกรรมอันนั้นได้
แต่ใครหล่ะจะเชื่อว่าตนจะเป็นโรค ก็วันนี้ร่างกายตนยังดี นี่แลพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เราท่านมักตกอยู่ในความประมาท ตอนดีๆ ก็ไม่ทำบุญบารมีสะสมไว้ กว่าจะรู้ตัว อยากจะทำ โรคมันก็รุมเร้า กรรมมันก็ทำให้เราท่านทำอะไรไม่ได้แล้ว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้เสมอว่า นั่นคือ ความประมาท
จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เราจึงเห็นคนมากมาย โดยเฉพาะคนที่มาเป็นพี่เลี้ยงคนป่วย ที่ยังมีสุขภาพดีอยู่ ทั้งๆที่เห็นคนป่วยมากมาย รวมทั้งคนป่วยของตน
และก็เห็นกิจกรรมที่คนป่วยใช้ช่วยตน แต่คนทั้งหลายทั้งปวง กลับคิดว่าตนไม่เป็นอะไร ซ้ำร้าย คือคิดว่าตนจะไม่ป่วยแบบคนทั้งหลายที่ตนเห็น
จึงไม่แปลกเลยว่า คนเหล่านั้น จะวางเฉย ไม่สนในกิจกรรมของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา
อาทิเช่นที่หลวงพ่อนิพนธ์ยกมาให้ฟังว่า ชายผู้หนึ่ง พาภรรยาที่เป็นมะเร็ง และลูกสาว ๒ คน ที่ยังเล็กมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ให้ช่วย
หลวงพ่อนิพนธ์เห็นว่าหากไม่ช่วยภรรยา ครอบครัวนี้ก็คงแตก เพราะในไม่ช้าภรรยาก็คงเสียชีวิต และพ่อก็คงมีภรรยาใหม่ ลูกสองคนก็คงลำบาก จึงรับไว้
ฝ่ายชาย ทำทุกสิ่งอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์บอก ด้วยความรักภรรยา แต่ไม่ใช่ด้วยศรัทธาที่ตนมี การกระทำจึงเป็นแต่เพียงกาย
จะมีก็แต่ภรรยาที่มี่ใจศรัทธา ขันติ อดทน และในที่สุด ภรรยาก็หายจากโรคมะเร็ง เลี้ยงลูกสาวทั้งสองจนจบปริญญา และได้อยู่เลี้ยงหลาน
แต่วันหนึ่ง ฝ่ายสามีเกิดอาการแน่นหน้าอกกระทันหัน และถูกนำส่งโรงพยาบาล แล้วก็ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลจุฬา ด้วยเคสกรณีฉุกเฉินทางด้านหัวใจ
จุฬาแจ้งอาการให้ทราบว่า เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ด้วยกล้ามเนื้อบางส่วนหยุดทำงาน หรือตาย ต้องเปลี่ยนหัวใจเพียงอย่างเดียว และเร่งด่วน ให้ลงชื่อขอบริจาคหัวใจไว้ แต่ไม่รู้จะได้หรือไม่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกมาและสอน ให้เปลี่ยนความคิด พฤติกรรม แล้วไปพิจารณา เชื่อก็ทำตาม แล้วจะไม่ต้องเปลี่ยนหัวใจ
ชายผู้นั้นตกลง ที่จะทำตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ไปดูแลสถานที่ และต้นยา ที่ศรีสวัสดิ์ให้หลวงพ่อนิพนธ์
ทั้งๆที่อาการของเขา หมอบอกออกแรงไม่ได้ แต่สภาพพื้นที่ที่ไปดูแล เป็นเนินเขา
ชายผู้นั้น ก็ค่อยๆทำงานรดน้ำ เหนื่อยก็พัก ดูแลตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สั่งอย่างดี แล้วเขาก็กลับมามีหัวใจที่แข็งแรง ทำงานได้ปกติ โดยไม่ต้องเปลี่ยนหัวใจ พร้อมกับไปยกเลิกคิวการขอรับบริจาค
บทสรุุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เราท่านทุกคน ล้วนมีกรรม แม้นวันนี้ยังไม่ปรากฎ ก็หาใช่จะไม่มี ช้าเร็วก็ต้องมา แต่ทำไมเล่า หลายคนจึงประมาท ทั้งๆที่เห็นสิ่งที่ทำ ทำแล้วแม้นแต่คนป่วยยังหาย ทำไมจึงไม่ทำไว้ช่วยตนก่อน
นี่แลจึงเสมือนคำสาป ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา เราที่เป็นคนป่วย ทำตามคำสอนแล้วดีวันดีคืน ทำไมจึงไม่ชักชวน ให้คนที่เป็นญาติ ที่พาเราท่านมา ทำให้แก่ตนไว้บ้าง เวลากรรมมา จะได้มีทุน ผ่อนหนักเป็นเบา หรือพ้นกรรมอันนั้นได้
แต่ใครหล่ะจะเชื่อว่าตนจะเป็นโรค ก็วันนี้ร่างกายตนยังดี นี่แลพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เราท่านมักตกอยู่ในความประมาท ตอนดีๆ ก็ไม่ทำบุญบารมีสะสมไว้ กว่าจะรู้ตัว อยากจะทำ โรคมันก็รุมเร้า กรรมมันก็ทำให้เราท่านทำอะไรไม่ได้แล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559
ยุคที่ ๓ ของไทย
การจากไปของหลวงพ่อนิพนธ์ และทิ้งอำนาจไว้ให้ท่านอาสิ ผู้ซึ่งเป็นลูกชาย ให้สืบต่อปณิธาน ในการเผยแผ่ศาสนาพุทธในแผ่นดินไทย
อ.อร่าม เรียกว่า เป็นยุคที่ ๓ ของคนไทย
ภาพที่เห็นที่หลวงพ่อนิพนธ์เคยอุปมา เมื่อเทียบกับครั้งถ้ำกระบอก คือ ทองคำที่อยู่บนพานทอง ด้วยธรรมคำสอน อยู่กับผู้ปฏิบัติที่เป็นพระ
ครั้นแม่ชีเมี้ยนมอบให้แก่ตัวท่าน หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า เสมือนทองคำอยู่ในส้วม ด้วยสภาพที่ตัวท่านก็นุ่งกางเกง มีการดำเนินชีวิตเสมือนคนทั่วไป ยากแก่การทำใจของหลายคน
แลมาวันนี้ ศาสน์ก็ให้ผู้ถืออำนาจ ถอยไปอีก ดุจดั่งจะลงโทษคนไทย ที่มีของดีแต่มองไม่เห็น มีของดีแต่ไม่เอามาทำ เพื่อช่วยตน ด้วยผู้ที่ถืออำนาจ มิเพียงนุ่งกางเกง หากแต่ยังมีวัยวุฒิที่ยังน้อยในสายตาคนทั่วไป
อ.อร่าม จึงกล่าวว่า ภาพนี้ยิ่งทำให้คนเข้าถึงยากขึ้น ต้องทำใจมากขึ้นหากอยากได้ สิ่งดีๆของศาสนา มาช่วยตน
นั่นหมายความว่า การได้มายิ่งยากขึ้น แลในทางกลับกัน ผู้ที่ทำได้ ผลที่ได้ย่อมมหาศาล เช่นกัน
หากจะให้กลับเป็นบุญอีกครั้ง ก็ต้องเข้าหาท่านอาสิ ให้รับรู้อนุญาต
ด้วยศาสนา เป็นศาสน์ที่มีเจ้าของ มีตัวแทนเป็นผู้ถืออำนาจ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวตนของเราท่าน เมื่อการณ์เปลี่ยน ทำใจได้ไหม
ผลก็จะเป็นเครื่องชี้เองว่า ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่ โดยเฉพาะ ผลแห่งการฟื้นฟูตน ย่อมทำให้ผู้ทำรู้ได้เองว่า เป็นจริงดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวหรือไม่ ที่ว่า สถานการณ์เปลี่ยน จักทำเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว
บทสรุป ที่ศาสน์ให้ภาพสวย คือ ไหว้ผู้ปฏิบัติแต่เป็นหญิงคนไทยไม่รับ กลายเป็นไหว้คนนุ่งกางเกง ก็ยังไม่ตื่นตัว วันนี้ ต้องมาไหว้ มิเพียงแต่นุ่งกางเกง แต่ยังด้อยวัยวุฒิ เสียอีก .. เราก็รอดูว่า คนที่ผ่านได้ ทำใจได้ ผลจักเป็นเช่นไร
เราจึงอยากชี้ช่อง การกระทำที่เคยเป็นบุญในอดีต ที่หลวงพ่อนิพนธ์เคยบอกให้ทำ ในการเป็นจิตอาสา แล้วทำใจไม่โกรธ แลสิ้นสภาพการทำแล้วเป็นบุญไป พร้อมกับการลาสังขารของหลวงพ่อนิพนธ์
อ.อร่าม เรียกว่า เป็นยุคที่ ๓ ของคนไทย
ภาพที่เห็นที่หลวงพ่อนิพนธ์เคยอุปมา เมื่อเทียบกับครั้งถ้ำกระบอก คือ ทองคำที่อยู่บนพานทอง ด้วยธรรมคำสอน อยู่กับผู้ปฏิบัติที่เป็นพระ
ครั้นแม่ชีเมี้ยนมอบให้แก่ตัวท่าน หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า เสมือนทองคำอยู่ในส้วม ด้วยสภาพที่ตัวท่านก็นุ่งกางเกง มีการดำเนินชีวิตเสมือนคนทั่วไป ยากแก่การทำใจของหลายคน
แลมาวันนี้ ศาสน์ก็ให้ผู้ถืออำนาจ ถอยไปอีก ดุจดั่งจะลงโทษคนไทย ที่มีของดีแต่มองไม่เห็น มีของดีแต่ไม่เอามาทำ เพื่อช่วยตน ด้วยผู้ที่ถืออำนาจ มิเพียงนุ่งกางเกง หากแต่ยังมีวัยวุฒิที่ยังน้อยในสายตาคนทั่วไป
อ.อร่าม จึงกล่าวว่า ภาพนี้ยิ่งทำให้คนเข้าถึงยากขึ้น ต้องทำใจมากขึ้นหากอยากได้ สิ่งดีๆของศาสนา มาช่วยตน
นั่นหมายความว่า การได้มายิ่งยากขึ้น แลในทางกลับกัน ผู้ที่ทำได้ ผลที่ได้ย่อมมหาศาล เช่นกัน
หากจะให้กลับเป็นบุญอีกครั้ง ก็ต้องเข้าหาท่านอาสิ ให้รับรู้อนุญาต
ด้วยศาสนา เป็นศาสน์ที่มีเจ้าของ มีตัวแทนเป็นผู้ถืออำนาจ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวตนของเราท่าน เมื่อการณ์เปลี่ยน ทำใจได้ไหม
ผลก็จะเป็นเครื่องชี้เองว่า ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่ โดยเฉพาะ ผลแห่งการฟื้นฟูตน ย่อมทำให้ผู้ทำรู้ได้เองว่า เป็นจริงดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวหรือไม่ ที่ว่า สถานการณ์เปลี่ยน จักทำเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว
บทสรุป ที่ศาสน์ให้ภาพสวย คือ ไหว้ผู้ปฏิบัติแต่เป็นหญิงคนไทยไม่รับ กลายเป็นไหว้คนนุ่งกางเกง ก็ยังไม่ตื่นตัว วันนี้ ต้องมาไหว้ มิเพียงแต่นุ่งกางเกง แต่ยังด้อยวัยวุฒิ เสียอีก .. เราก็รอดูว่า คนที่ผ่านได้ ทำใจได้ ผลจักเป็นเช่นไร
เราจึงอยากชี้ช่อง การกระทำที่เคยเป็นบุญในอดีต ที่หลวงพ่อนิพนธ์เคยบอกให้ทำ ในการเป็นจิตอาสา แล้วทำใจไม่โกรธ แลสิ้นสภาพการทำแล้วเป็นบุญไป พร้อมกับการลาสังขารของหลวงพ่อนิพนธ์
วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559
เหนื่อยแน่
การมอบตำราสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ให้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ สิ่งหนึ่งที่ได้เตือนและแนะนำแก่หลวงพ่อนิพนธ์ ให้เป็นตัวเลือก นั่นคือ ประเภทของคนที่จะช่วย และสถานที่ตั้ง
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า หากสถานที่ตั้งอยู่ที่ลพบุรี ท่านก็จะดำเนินงานไปได้สะดวก หากแต่ถ้าจะเลือกไปยังกาญจนบุรี ทางของท่านก็ยากลำบาก และด้วยความที่หลวงพ่อนิพนธ์มีนิสัยเป็นนักสู้ ชอบท้าทาย จึงเลือกกาญจนบุรี ในที่สุด
แลยิ่งไปกว่านั้น แม่ชีเมี้ยนยังกำชับอีกว่า หากท่านจะเลือกช่วยคนให้ได้ผล และไม่เหนื่อยมาก ก็ควรเลือกบุคคลที่ไม่ใช่โรค งานของท่านก็จะง่ายไม่ลำบาก
แม้นว่าในขณะที่มอบตำรานั้น โรคชนิดนั้นยังไม่ปรากฎ แต่แม่ชีเมี้ยนก็บอกว่าท่านก็รอไปอีก๒๐ ปี
นั่นคือ การให้เลือกที่จะเปิดบำบัดยาเสพติด และโรคที่ทราบในภายหลังที่เรียกกันว่า "เอดส์" นั่นเอง
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า โรคทั้งสองนี้ ด้วยความที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรค หากแต่มนุษย์ไม่รู้วิธีแก้ที่ถูกต้อง จึงเสมือนเส้นผมบังภูเขา การช่วยก็ทำได้ง่าย ด้วยหนึ่ง ผู้เป็นอับจนหนทาง แลมีความอยากหายเป็นกำลังเสริมนั่นเอง บอกสิ่งไรก็ปฏิบัติตามโดยง่าย
แต่ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านจึงละเลยคำเตือนเหล่านี้ ด้วยหวังว่า คนทุกข์ยากทุกข์หมู่เหล่าจะได้มีโอกาส แม้นจะยากลำบากสักเพียงไหน ก็จะอดทนสู้ เพื่อให้คนเหล่านั้นได้มีโอกาสมาเจอะเจอศาสนา และช่วยตน
แล้วในที่สุด ก็เป็นดั่งคำของแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์จึงตกในสภาวะ "ช่วยเขาแล้วเราตาย" ดั่งที่พระอาสิได้กล่าวในวันงาน ด้วยความเมตตา ทำให้หนทางแต่เดิมที่ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี ๓๐ คือ ใครเป็นอะไรไม่สน ขอให้บวชแล้วสอนให้ทำตน หากผู้ใดทำได้คนนั้นก็รอด
มาในยุคหลังหลวงพ่อนิพนธ์ก็โอนอ่อนผ่อนตาม ด้วยเมตตา และให้โอกาส ยังไม่ต้องบวช หวังว่าสักวันหนึ่งคนที่ช่วยไว้ จะสำนึ่กในคุณที่ศาสนาช่วย กลับมาทำตนในศาสนาบ้าง แต่ยิ่งนานวัน ก็หาเห็นไม่
วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงแยกแผ่นดิน ให้เห็นเด่นชัด ใครไม่ไปแผ่นดินบุญ ไม่คิดทำตน ไม่ว่ากัน แต่จะทำให้ดูว่า แผ่นดินทาน ที่มีสมุนไพรเป็นพี่เลี้ยงนั้น เป็นได้แค่เพียงที่หลบภัย แต่หาปลอดภัยไม่
ด้วยกรรมที่ทำมา ผลยังไม่เกิด เราท่านทั้งหลายจึงประมาท การจะพัฒนาตน แล้วไปเรียนวิชาบุญมาทำ เพื่อทำพรหมลิขิตใหม่แห่งตน ให้ปลอดภัย จึงเป็นไปได้ยาก ครั้นกรรมมา ร่างกายสภาพไม่พร้อม อยากจะไป ก็ทำไม่ได้แล้ว หรือไม่ทันแล้ว
ยุคนี้จึงกล่าวได้ว่า เป็นยุคที่คนไทยเหนื่อยแน่ เพราะไร้ซึ่งต้นบุญต้นอำนาจ มาสั่งการทำให้เป็นบุญ ต้องอาศัยสติปัญญาของตน แหวกพรหมลิขิตเดิม ความเห็นเดิม เพื่อพาตนไปพัฒนานิสัย เอานิสัยพระพุทธเจ้ามานำตน ลดนิสัยเดิมให้เป็นบุญ
นั่นหมายความว่า กรรมมันแรง แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นว่า อำนาจธรรมเขาเหนือกว่าอำนาจกรรม ดังนั้น ผู้ใดที่แหวกมาถึงแผ่นดินศาสนา แล้วทำตนได้ บุญที่ได้ย่อมแรงนัก ไม่ว่าโรคอะไร หนักสักเพียงไหน ย่อมหายได้อย่างแน่นอน
เราก็รอดูว่า จะมีสักกี่คน ที่ผ่านกรรมของตน แลทำตนจะชีวิตปลอดภัย และก็เชื่อว่า ต้องมีคนไทยที่ทำได้อย่างแน่นอน
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า หากสถานที่ตั้งอยู่ที่ลพบุรี ท่านก็จะดำเนินงานไปได้สะดวก หากแต่ถ้าจะเลือกไปยังกาญจนบุรี ทางของท่านก็ยากลำบาก และด้วยความที่หลวงพ่อนิพนธ์มีนิสัยเป็นนักสู้ ชอบท้าทาย จึงเลือกกาญจนบุรี ในที่สุด
แลยิ่งไปกว่านั้น แม่ชีเมี้ยนยังกำชับอีกว่า หากท่านจะเลือกช่วยคนให้ได้ผล และไม่เหนื่อยมาก ก็ควรเลือกบุคคลที่ไม่ใช่โรค งานของท่านก็จะง่ายไม่ลำบาก
แม้นว่าในขณะที่มอบตำรานั้น โรคชนิดนั้นยังไม่ปรากฎ แต่แม่ชีเมี้ยนก็บอกว่าท่านก็รอไปอีก๒๐ ปี
นั่นคือ การให้เลือกที่จะเปิดบำบัดยาเสพติด และโรคที่ทราบในภายหลังที่เรียกกันว่า "เอดส์" นั่นเอง
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า โรคทั้งสองนี้ ด้วยความที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรค หากแต่มนุษย์ไม่รู้วิธีแก้ที่ถูกต้อง จึงเสมือนเส้นผมบังภูเขา การช่วยก็ทำได้ง่าย ด้วยหนึ่ง ผู้เป็นอับจนหนทาง แลมีความอยากหายเป็นกำลังเสริมนั่นเอง บอกสิ่งไรก็ปฏิบัติตามโดยง่าย
แต่ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านจึงละเลยคำเตือนเหล่านี้ ด้วยหวังว่า คนทุกข์ยากทุกข์หมู่เหล่าจะได้มีโอกาส แม้นจะยากลำบากสักเพียงไหน ก็จะอดทนสู้ เพื่อให้คนเหล่านั้นได้มีโอกาสมาเจอะเจอศาสนา และช่วยตน
แล้วในที่สุด ก็เป็นดั่งคำของแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์จึงตกในสภาวะ "ช่วยเขาแล้วเราตาย" ดั่งที่พระอาสิได้กล่าวในวันงาน ด้วยความเมตตา ทำให้หนทางแต่เดิมที่ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี ๓๐ คือ ใครเป็นอะไรไม่สน ขอให้บวชแล้วสอนให้ทำตน หากผู้ใดทำได้คนนั้นก็รอด
มาในยุคหลังหลวงพ่อนิพนธ์ก็โอนอ่อนผ่อนตาม ด้วยเมตตา และให้โอกาส ยังไม่ต้องบวช หวังว่าสักวันหนึ่งคนที่ช่วยไว้ จะสำนึ่กในคุณที่ศาสนาช่วย กลับมาทำตนในศาสนาบ้าง แต่ยิ่งนานวัน ก็หาเห็นไม่
วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงแยกแผ่นดิน ให้เห็นเด่นชัด ใครไม่ไปแผ่นดินบุญ ไม่คิดทำตน ไม่ว่ากัน แต่จะทำให้ดูว่า แผ่นดินทาน ที่มีสมุนไพรเป็นพี่เลี้ยงนั้น เป็นได้แค่เพียงที่หลบภัย แต่หาปลอดภัยไม่
ด้วยกรรมที่ทำมา ผลยังไม่เกิด เราท่านทั้งหลายจึงประมาท การจะพัฒนาตน แล้วไปเรียนวิชาบุญมาทำ เพื่อทำพรหมลิขิตใหม่แห่งตน ให้ปลอดภัย จึงเป็นไปได้ยาก ครั้นกรรมมา ร่างกายสภาพไม่พร้อม อยากจะไป ก็ทำไม่ได้แล้ว หรือไม่ทันแล้ว
ยุคนี้จึงกล่าวได้ว่า เป็นยุคที่คนไทยเหนื่อยแน่ เพราะไร้ซึ่งต้นบุญต้นอำนาจ มาสั่งการทำให้เป็นบุญ ต้องอาศัยสติปัญญาของตน แหวกพรหมลิขิตเดิม ความเห็นเดิม เพื่อพาตนไปพัฒนานิสัย เอานิสัยพระพุทธเจ้ามานำตน ลดนิสัยเดิมให้เป็นบุญ
นั่นหมายความว่า กรรมมันแรง แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นว่า อำนาจธรรมเขาเหนือกว่าอำนาจกรรม ดังนั้น ผู้ใดที่แหวกมาถึงแผ่นดินศาสนา แล้วทำตนได้ บุญที่ได้ย่อมแรงนัก ไม่ว่าโรคอะไร หนักสักเพียงไหน ย่อมหายได้อย่างแน่นอน
เราก็รอดูว่า จะมีสักกี่คน ที่ผ่านกรรมของตน แลทำตนจะชีวิตปลอดภัย และก็เชื่อว่า ต้องมีคนไทยที่ทำได้อย่างแน่นอน
วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559
เหมือนกัน
โลกขอกกรรม หรือ โลกโลกียะ มีเช่นไร โลกของธรรม หรือ โลกของโลกุตระ ก็มีเหมือนกันเช่นนั้น
โลกของกรรม มีกรรมชั่ว ให้เลือกทำ ก็มีกรรมดีให้เลือกทำ แล้วแต่ใครจะเลือก
สิ่งที่ควรรู้และต้องรู้ นั่นคือ เมื่อเป็นกรรมเหมือนกัน ศักดิ์จึงเท่ากัน ไม่ก้าวก่ายกัน หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า "กรรมดี" จึงแก้ไข "กรรมชั่ว" ที่ดลบันดาลให้เกิดโรคแก่เราท่านได้
สิ่งที่จะแก้ไขโรค อันหมายถึง โรคตาย หรือ โรคที่มาเพื่อดับชีวิต จึงไม่สามารถใช้กรรมดีได้ และยิ่งไม่สามารถใช้ความคิด ที่มีใดๆในโลก ซึ่งเป็นความคิดกรรม มาแก้ไขได้เช่นกัน
จึงนั่งยัน ยืนยัน นอนยัน ได้เลยว่า ไม่ว่าเวลาผ่านไปสักฉันใด จะไม่มีทางค้นพบยารักษา หรือวิธีใด ที่มาแก้ไขโรคตายเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน
เพราะนั่นเป็นการเอาความคิดกรรม มาชนะกรรม ที่ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน ได้แต่ขายฝัน หรือ บิดเบือน ให้เข้าใจผิด หลงผิดเท่านั้นเอง
ศาสนา หรือ อำนาจธรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เป็นอำนาจนอกโลก ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เราท่านจึงสามารถใช้ความรู้นี้ และอำนาจนี้ในการช่วยตน ให้พ้นโรคได้นั่นเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ และไม่เคยได้ยิน นั่นคือ อำนาจของศาสนา เมื่อทำถูก ผลถูกก็มหาศาล หากแต่ถ้าทำผิด ผลผิดก็ทวีคูณเช่นกัน นั่นก็คือ มีทั้งคุณและโทษ เหมือนอำนาจกรรมนั่นเอง
องค์ความรู้ จึงเป็นสิ่งจำเป็น ที่เราท่านต้องเรียนรู้ เพื่อที่จะได้นำไปพิจารณา แล้วเลือกที่จะทำ ในสิ่งที่ช่วยตน
อย่าไปหลงตาม ความเชื่อเดิมๆ และกระทำแบบเดิมๆ เพราะสิ่งที่เราท่านทำมาในอดีต ความเชื่อเหล่านั้น ไม่มีอำนาจจริง การกระทำจึงไม่มีผล จะไปวัด แล้วร้องรำทำเพลง คุยตลก โปกฮา ไม่ว่าวัดใดในโลก สักฉันใด ก็ทำได้ เพราะนั่นมันสิ่งศักดิ์สิทธิ์คิดเอาเอง หากแต่อยู่ในแผ่นดินหรือวัดของแม่ชีเมี้ยน ขืนไปทำอย่างนั้น สภาพคงไม่น่าดู
แผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน การกระทำใดๆ ทำแล้วมีผล นั่นแสดงว่า มีอำนาจจริง จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมแค่สวดมนต์ ทำกิจกรรม และเปลี่ยนพฤติกรรมบางสิ่งบางอย่าง คนทั้งหลายจึงสามารถหายโรคได้
แต่ก็อยากเตือนสติไว้ว่า ทำถูกผลถูกก็เกิด หากทำผิด ปล่อยตามนิสัยตนแล้วไซร้ ผลผิดก็เกิดเช่นกัน หากไม่ชอบ ก็ทางใครทางมัน อย่าเอานิสัยตน มาใช้ที่นี่ มันน่ากลัวกว่าโดนกรรมเสียอีก
เพราะไม่ว่ากรรมใดที่ทำในโลกใบนี้ ยังไม่เคยมีใครถูกธรณีสูบ แต่กรรมที่ทำกับศาสนา ในประวัติศาสตร์ก็มีจารึกให้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง มาแล้วว่า แม้นแต่ธรณียังรับไม่ไหว
โลกของกรรม มีกรรมชั่ว ให้เลือกทำ ก็มีกรรมดีให้เลือกทำ แล้วแต่ใครจะเลือก
สิ่งที่ควรรู้และต้องรู้ นั่นคือ เมื่อเป็นกรรมเหมือนกัน ศักดิ์จึงเท่ากัน ไม่ก้าวก่ายกัน หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า "กรรมดี" จึงแก้ไข "กรรมชั่ว" ที่ดลบันดาลให้เกิดโรคแก่เราท่านได้
สิ่งที่จะแก้ไขโรค อันหมายถึง โรคตาย หรือ โรคที่มาเพื่อดับชีวิต จึงไม่สามารถใช้กรรมดีได้ และยิ่งไม่สามารถใช้ความคิด ที่มีใดๆในโลก ซึ่งเป็นความคิดกรรม มาแก้ไขได้เช่นกัน
จึงนั่งยัน ยืนยัน นอนยัน ได้เลยว่า ไม่ว่าเวลาผ่านไปสักฉันใด จะไม่มีทางค้นพบยารักษา หรือวิธีใด ที่มาแก้ไขโรคตายเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน
เพราะนั่นเป็นการเอาความคิดกรรม มาชนะกรรม ที่ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน ได้แต่ขายฝัน หรือ บิดเบือน ให้เข้าใจผิด หลงผิดเท่านั้นเอง
ศาสนา หรือ อำนาจธรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เป็นอำนาจนอกโลก ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เราท่านจึงสามารถใช้ความรู้นี้ และอำนาจนี้ในการช่วยตน ให้พ้นโรคได้นั่นเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ และไม่เคยได้ยิน นั่นคือ อำนาจของศาสนา เมื่อทำถูก ผลถูกก็มหาศาล หากแต่ถ้าทำผิด ผลผิดก็ทวีคูณเช่นกัน นั่นก็คือ มีทั้งคุณและโทษ เหมือนอำนาจกรรมนั่นเอง
องค์ความรู้ จึงเป็นสิ่งจำเป็น ที่เราท่านต้องเรียนรู้ เพื่อที่จะได้นำไปพิจารณา แล้วเลือกที่จะทำ ในสิ่งที่ช่วยตน
อย่าไปหลงตาม ความเชื่อเดิมๆ และกระทำแบบเดิมๆ เพราะสิ่งที่เราท่านทำมาในอดีต ความเชื่อเหล่านั้น ไม่มีอำนาจจริง การกระทำจึงไม่มีผล จะไปวัด แล้วร้องรำทำเพลง คุยตลก โปกฮา ไม่ว่าวัดใดในโลก สักฉันใด ก็ทำได้ เพราะนั่นมันสิ่งศักดิ์สิทธิ์คิดเอาเอง หากแต่อยู่ในแผ่นดินหรือวัดของแม่ชีเมี้ยน ขืนไปทำอย่างนั้น สภาพคงไม่น่าดู
แผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน การกระทำใดๆ ทำแล้วมีผล นั่นแสดงว่า มีอำนาจจริง จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมแค่สวดมนต์ ทำกิจกรรม และเปลี่ยนพฤติกรรมบางสิ่งบางอย่าง คนทั้งหลายจึงสามารถหายโรคได้
แต่ก็อยากเตือนสติไว้ว่า ทำถูกผลถูกก็เกิด หากทำผิด ปล่อยตามนิสัยตนแล้วไซร้ ผลผิดก็เกิดเช่นกัน หากไม่ชอบ ก็ทางใครทางมัน อย่าเอานิสัยตน มาใช้ที่นี่ มันน่ากลัวกว่าโดนกรรมเสียอีก
เพราะไม่ว่ากรรมใดที่ทำในโลกใบนี้ ยังไม่เคยมีใครถูกธรณีสูบ แต่กรรมที่ทำกับศาสนา ในประวัติศาสตร์ก็มีจารึกให้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง มาแล้วว่า แม้นแต่ธรณียังรับไม่ไหว
วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559
เริ่มแล้ว
วัฐจักรของจักรวาล ทุกยุคของพระพุทธเจ้าที่มาอุบัติ ก่อนหน้าคือกลียุค หรือยุคเข็ญของมวลมนุษย์
การอุบัติเพื่อแสดงบุญญาธิการ โดยการดับยุคเข็ญนั่นเอง ทำให้คนที่แม้ไม่นับถือก็ต้องยอมรับ
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเตือนเสมอ ภัยสิ่งหนึ่งที่จะมาอย่างแน่นอน คือการฟื้นคืนของเชื้อโรค ทึ่ฝังอยู่ในดิน
มันเริ่มเกิดขึ้นแล้วในไซบีเรีย ผลคือกวางในพื้นที่ตายทันทีทั้งบริเวณ
อีกไม่นาน คนจะรู้จัก"เพอมาฟรอสต์"
นักวิชาการประมาณการว่าความเสียหาย คือ 60 ล้านล้านดอลล่าร์
เราจึงอยากเตือนว่า ในเมื่อโชคดีที่รู้ก่อนใคร จากหลวงพ่อนิพนธ์ รีบทำตน เตรียมตัวรับ
วันนี้คนทานสมุนไพรเขาว่าบ้า ถึงวันนั้นคนที่บ้านี่แหละจะรอด
การอุบัติเพื่อแสดงบุญญาธิการ โดยการดับยุคเข็ญนั่นเอง ทำให้คนที่แม้ไม่นับถือก็ต้องยอมรับ
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเตือนเสมอ ภัยสิ่งหนึ่งที่จะมาอย่างแน่นอน คือการฟื้นคืนของเชื้อโรค ทึ่ฝังอยู่ในดิน
มันเริ่มเกิดขึ้นแล้วในไซบีเรีย ผลคือกวางในพื้นที่ตายทันทีทั้งบริเวณ
อีกไม่นาน คนจะรู้จัก"เพอมาฟรอสต์"
นักวิชาการประมาณการว่าความเสียหาย คือ 60 ล้านล้านดอลล่าร์
เราจึงอยากเตือนว่า ในเมื่อโชคดีที่รู้ก่อนใคร จากหลวงพ่อนิพนธ์ รีบทำตน เตรียมตัวรับ
วันนี้คนทานสมุนไพรเขาว่าบ้า ถึงวันนั้นคนที่บ้านี่แหละจะรอด
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559
ติดมือ
ความรู้ของศาสนา ไม่จำเป็นต้องมีมาก จับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ได้ฟังมาพิจารณาแล้วทำให้เกิดผล ก็พอที่จะช่วยตนให้พ้นกรรมนานาชนิดได้
งานของหลวงพ่อนิพนธ์ พระหยิบยกธรรมที่แม่ชีเมี้ยนถอดมาให้มนุษย์ได้พิจารณา มีความหมายลึกซึ้ง แต่ก็คาดเดาได้ว่า คนที่ฟังแล้วเก็บติดมือมาคงน้อยกว่าน้อย หรือไม่มีเลย
เราก็เลยหยิบมาฝาก เพื่อไม่ให้ความตั้งใจของพระเสียเปล่าไปทั้งหมด
โดยเฉพาะเห็นว่าเข้ายุคสมัยนี้อย่างดี ไม่ผิดเพี้ยน
ทรงตรัสว่า " อ้ายป้ายสีผู้อื่นมันเป็นพื้นกรรม อย่าทำเลย กรรมอันนี้อยู่กับเรานาน"
ยุคที่โซเชี่ยลกำลังเฟื่องฟู เราท่านขาดสติ ก็ละเลงกันไป กรรมก็เพิ่มพูน เอาความเห็นของตนทำลายผู้อื่น
จึงติดมือมากระตุกเตือน ทำไมเราท่านจึงเป็นโรค หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นก็กรรมที่ทำมานั่นแลดลบันดาล พฤติกรรมนี้จึงอันตรายยิ่ง
ก็ตรองดูเถิด ไม่รู้บอกไม่รู้ ไม่เห็นก็บอกไม่เห็น อย่าเอาความเห็นตนไปป้ายสีผู้อื่น หากไม่รู้จริง สนุกแค่หน้าแป้น สะใจแค่ชั่วครู่ แต่กรรรมมันอยู่กับเรานาน ปราชญ์เขาไม่ทำกัน ด้วยขาดทุนยับเยิน มีแต่เสีย ไม่มีได้
งานของหลวงพ่อนิพนธ์ พระหยิบยกธรรมที่แม่ชีเมี้ยนถอดมาให้มนุษย์ได้พิจารณา มีความหมายลึกซึ้ง แต่ก็คาดเดาได้ว่า คนที่ฟังแล้วเก็บติดมือมาคงน้อยกว่าน้อย หรือไม่มีเลย
เราก็เลยหยิบมาฝาก เพื่อไม่ให้ความตั้งใจของพระเสียเปล่าไปทั้งหมด
โดยเฉพาะเห็นว่าเข้ายุคสมัยนี้อย่างดี ไม่ผิดเพี้ยน
ทรงตรัสว่า " อ้ายป้ายสีผู้อื่นมันเป็นพื้นกรรม อย่าทำเลย กรรมอันนี้อยู่กับเรานาน"
ยุคที่โซเชี่ยลกำลังเฟื่องฟู เราท่านขาดสติ ก็ละเลงกันไป กรรมก็เพิ่มพูน เอาความเห็นของตนทำลายผู้อื่น
จึงติดมือมากระตุกเตือน ทำไมเราท่านจึงเป็นโรค หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นก็กรรมที่ทำมานั่นแลดลบันดาล พฤติกรรมนี้จึงอันตรายยิ่ง
ก็ตรองดูเถิด ไม่รู้บอกไม่รู้ ไม่เห็นก็บอกไม่เห็น อย่าเอาความเห็นตนไปป้ายสีผู้อื่น หากไม่รู้จริง สนุกแค่หน้าแป้น สะใจแค่ชั่วครู่ แต่กรรรมมันอยู่กับเรานาน ปราชญ์เขาไม่ทำกัน ด้วยขาดทุนยับเยิน มีแต่เสีย ไม่มีได้
วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
อะไรที่ควรรู้
เรื่องของศาสนาเป็นเรื่องนอกโลก คนทั่วไปจึงไม่คุ้นชิน แลไม่รู้ หากไม่มีแม่ชีเมี้ยนและหลวงพ่อนิพนธ์มาบอกมาสอน ก็เมือนคนตาบอดมองไม่เห็น
พวกคนโลภได้ทีก็แอบอ้างเอาศาสนามาหากิน เพราะไม่มีใครรู้จริง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกมีหนึ่งเดียว คือกรรม แลแยกเป็นกรรมดีและกรรมชั่ว
เมื่อเจอศาสนา จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ศาสนาทึ่แท้จริงไม่สอนให้เราท่านทำกรรมดี เหมือนลัทธิความเชื่อทั่วไป
เพราะกรรมดีเป็นของโลกนี้อยู่แล้ว จึงไม่สามารถแก้กรรมชั่วได้ เราท่านจึงไม่สามารถบรรเทาทุกข์จากโรคได้ด้วยกรรมดี
สิ่งทึ่ศาสนาสอนแลมีอำนาจเหนือกรรม คือบุญและทาน
ดังนั้นหากจะคิดช่วยตน จึงต้องเรียนรู้วิธีสร้างบุญและทาน
พวกคนโลภได้ทีก็แอบอ้างเอาศาสนามาหากิน เพราะไม่มีใครรู้จริง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกมีหนึ่งเดียว คือกรรม แลแยกเป็นกรรมดีและกรรมชั่ว
เมื่อเจอศาสนา จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ศาสนาทึ่แท้จริงไม่สอนให้เราท่านทำกรรมดี เหมือนลัทธิความเชื่อทั่วไป
เพราะกรรมดีเป็นของโลกนี้อยู่แล้ว จึงไม่สามารถแก้กรรมชั่วได้ เราท่านจึงไม่สามารถบรรเทาทุกข์จากโรคได้ด้วยกรรมดี
สิ่งทึ่ศาสนาสอนแลมีอำนาจเหนือกรรม คือบุญและทาน
ดังนั้นหากจะคิดช่วยตน จึงต้องเรียนรู้วิธีสร้างบุญและทาน
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
ตัวคนเดียว
คนส่วนใหญ่อยู่ในโลก ย่อมมีมิตรสหายญาติ ที่เกื้อกูลกันและกัน เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป จนกล่าวว่ายิ่งมีพวกเยอะยิ่งได้เปรียบ
จึงเป็นความเคยชิน การมาในแผ่นดินศาสนา นิสัยอันนี้ย่อมมีเป็นธรรมดา
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นอันตราย จากนิสัยอันนี้ เพราะการช่วยตน เป็นกระบวนการหนึ่งต่อหนึ่ง คือเราท่านกับศาสนาเท่านั้นเอง
เมื่อมีพวก ทำให้เจตนาไขว้เขวหรือลืมเลือน ว่าจุดประสงค์นั้นมาเพื่อช่วยตน กลายเป็นอื่นไปเสียแล้ว
หากเอาตัวไปผูกติดกันนั่นซวยแล้ว เพราะวันหนึ่งหากคนผู้นั้นไม่ทำ แลเอาตัวไม่รอดจากกรรม จิตของเราท่านย่อมจะตกไปด้วยอย่างแน่นอน
อาจจะพาลเกิดทิฐิมานะชั่ว ไม่มา ไม่ศรัทธา ตามไปด้วย ทั้งที่ต่างคนต่างกรรม ต่างวาระ เราทำเราก็รอด เขาไม่ทำย่อมไม่รอด ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา "ใครทำใครได้" นั่นเอง
พระภูมีจึงตรัส รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคน เมื่อรอดแล้ว ก็เอาความรู้จากสิ่งที่ทำไปช่วยคนที่รัก คนที่อยากช่วย
รักษาตัวรอด มิใช่เอาตัวรอด แต่ถ้าผูกติดกัน อาจจะไม่รอดทั้งคู่ แลถ้าจะให้ดี ช่วยกันให้รอด
จึงเป็นความเคยชิน การมาในแผ่นดินศาสนา นิสัยอันนี้ย่อมมีเป็นธรรมดา
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นอันตราย จากนิสัยอันนี้ เพราะการช่วยตน เป็นกระบวนการหนึ่งต่อหนึ่ง คือเราท่านกับศาสนาเท่านั้นเอง
เมื่อมีพวก ทำให้เจตนาไขว้เขวหรือลืมเลือน ว่าจุดประสงค์นั้นมาเพื่อช่วยตน กลายเป็นอื่นไปเสียแล้ว
หากเอาตัวไปผูกติดกันนั่นซวยแล้ว เพราะวันหนึ่งหากคนผู้นั้นไม่ทำ แลเอาตัวไม่รอดจากกรรม จิตของเราท่านย่อมจะตกไปด้วยอย่างแน่นอน
อาจจะพาลเกิดทิฐิมานะชั่ว ไม่มา ไม่ศรัทธา ตามไปด้วย ทั้งที่ต่างคนต่างกรรม ต่างวาระ เราทำเราก็รอด เขาไม่ทำย่อมไม่รอด ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา "ใครทำใครได้" นั่นเอง
พระภูมีจึงตรัส รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคน เมื่อรอดแล้ว ก็เอาความรู้จากสิ่งที่ทำไปช่วยคนที่รัก คนที่อยากช่วย
รักษาตัวรอด มิใช่เอาตัวรอด แต่ถ้าผูกติดกัน อาจจะไม่รอดทั้งคู่ แลถ้าจะให้ดี ช่วยกันให้รอด
วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
ทำไมต้องมา
แผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่าเป็นแผ่นดินของศาสนา
แม้นจะเป็นเพียงเสี้ยวที่แบ่งออกมา ก็มีอำนาจ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้อง
สิ่งที่ทำ สิ่งที่สอน มิเหมือนลัทธิพิธีกรรมที่ไหนๆ
ด้วยทุกที่สอนให้ทำความดี ดังนั้นอยากทำความดีไปทำที่ไหนก็ได้
แต่ความดีหรือกรรมดีนั้นแก้กรรมไม่ได้ จะทำสักฉีนใดเมื่อกรรมอุบัติแล้ว ลดไม่ได้แม้นแต่กระผีก
แต่ธรรมของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมานั้น หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่ามีเพื่อสร้างบารมี ทั้งทานบารมี แลบุญบารมี เมื่อทำได้จึงมีผลช่วยตนของตนได้
คนมากมายวิ่งมาหาสมุนไพร อยากหายจึงคิดงว่าทานเยอะๆต้องหาย แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั่นไม่ เพราะผลแห่งการทานขึ้นกับคุณสมบัติของผู้ทานเป็นสำคัญ
จึงหาคนพิจารณาเชื่อ แล้วทำตามน้อยนิด เพราะใครจะเชื่อว่ามะเร็งที่หมอยังยอม จะมาหาบด้วยการล้างห้องน้ำทีาดูไม่เกี่ยวกันเลย
แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ทำให้ดูแล้ว
หากไปล้างที่อื่นเล่า ล้างมากกว่า ล้างให้ตาย แค่ลดปวดท้องไม่ได้
เราท่านจึงต้องมาที่นี่มาสร้างบารมี แต่น่าเสียดายหลายคนที่มา กลับปล่อยเวลาเสียเปล่า นั่งเฉยรวมกลุ่มคุย หวังแต่ยาดีช่วยได้
อุตส่าห์มาถึงกลับมือเปล่าซะงั้น กว่าจะรู้ค่า. ก็ปล่อยเวลาล่วงเลยถึงวันที่ทำอะไรไม่ไหวเสียแล้ว
มีงานที่ไหน ที่ทำแล้วกอบกู้ชีวิตจนได้ ไม่มี. นี่แลทำไมต้องมา ก็แผ่นดินแบบนี้ไม่มีที่ไหน
ถ้าไม่จำเป็น หลวงพ่อนิพนธ์ก็ไม่หยากให้ทุกข์คนลำบาก จดบ้านเลขที่แล้วส่งถึงบ้านเลยไม่ดีกว่าหรือ
แม้นจะเป็นเพียงเสี้ยวที่แบ่งออกมา ก็มีอำนาจ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้อง
สิ่งที่ทำ สิ่งที่สอน มิเหมือนลัทธิพิธีกรรมที่ไหนๆ
ด้วยทุกที่สอนให้ทำความดี ดังนั้นอยากทำความดีไปทำที่ไหนก็ได้
แต่ความดีหรือกรรมดีนั้นแก้กรรมไม่ได้ จะทำสักฉีนใดเมื่อกรรมอุบัติแล้ว ลดไม่ได้แม้นแต่กระผีก
แต่ธรรมของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมานั้น หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่ามีเพื่อสร้างบารมี ทั้งทานบารมี แลบุญบารมี เมื่อทำได้จึงมีผลช่วยตนของตนได้
คนมากมายวิ่งมาหาสมุนไพร อยากหายจึงคิดงว่าทานเยอะๆต้องหาย แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั่นไม่ เพราะผลแห่งการทานขึ้นกับคุณสมบัติของผู้ทานเป็นสำคัญ
จึงหาคนพิจารณาเชื่อ แล้วทำตามน้อยนิด เพราะใครจะเชื่อว่ามะเร็งที่หมอยังยอม จะมาหาบด้วยการล้างห้องน้ำทีาดูไม่เกี่ยวกันเลย
แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ทำให้ดูแล้ว
หากไปล้างที่อื่นเล่า ล้างมากกว่า ล้างให้ตาย แค่ลดปวดท้องไม่ได้
เราท่านจึงต้องมาที่นี่มาสร้างบารมี แต่น่าเสียดายหลายคนที่มา กลับปล่อยเวลาเสียเปล่า นั่งเฉยรวมกลุ่มคุย หวังแต่ยาดีช่วยได้
อุตส่าห์มาถึงกลับมือเปล่าซะงั้น กว่าจะรู้ค่า. ก็ปล่อยเวลาล่วงเลยถึงวันที่ทำอะไรไม่ไหวเสียแล้ว
มีงานที่ไหน ที่ทำแล้วกอบกู้ชีวิตจนได้ ไม่มี. นี่แลทำไมต้องมา ก็แผ่นดินแบบนี้ไม่มีที่ไหน
ถ้าไม่จำเป็น หลวงพ่อนิพนธ์ก็ไม่หยากให้ทุกข์คนลำบาก จดบ้านเลขที่แล้วส่งถึงบ้านเลยไม่ดีกว่าหรือ
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
ต้องรู้
คำถามที่ควรหาคำตอบ สำหรับชาวพุทธ คือไปวัดเพื่ออะไร
แล้วถ้าแผ่นดินที่เราท่านต้องอาศัยไม่มีวัดจะทำอย่างไร
ความรู้จึงกลายเป็นความจำเป็น แลเรื่องของศาสนา เรื่องของบุญ หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกเสมอว่าต้องมีครู
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า คนมากมายบอกตนทำบุญมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น แต่ทำไมจึงไม่มีบุญมาเลี้ยงตนยามทุกช์แม้แต่น้อยนิด
นั่นเพราะเป็นบุญนึกเอาเอง หาใช่ตามพระภูมีบัญญัตินั่นเอง
แค่บอกบุญต้องทำที่วัด นั่นก็ผิดแล้ว
อยากรู้เรื่องศาสนา เรื่องบุญ ไปสถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ไปเรียนให้รู้ เมื่อรู้แล้ว ทำเป็น อยู่ที่ไหนในโลกก็สร้างบุญได้
แล้วถ้าแผ่นดินที่เราท่านต้องอาศัยไม่มีวัดจะทำอย่างไร
ความรู้จึงกลายเป็นความจำเป็น แลเรื่องของศาสนา เรื่องของบุญ หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกเสมอว่าต้องมีครู
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า คนมากมายบอกตนทำบุญมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น แต่ทำไมจึงไม่มีบุญมาเลี้ยงตนยามทุกช์แม้แต่น้อยนิด
นั่นเพราะเป็นบุญนึกเอาเอง หาใช่ตามพระภูมีบัญญัตินั่นเอง
แค่บอกบุญต้องทำที่วัด นั่นก็ผิดแล้ว
อยากรู้เรื่องศาสนา เรื่องบุญ ไปสถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ไปเรียนให้รู้ เมื่อรู้แล้ว ทำเป็น อยู่ที่ไหนในโลกก็สร้างบุญได้
วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
สักวันก็ต้องถึง
เมื่อศาสนาที่แท้จริง หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่าเป็นของมีชีวิต ธรรมของพระภูมีที่ใช้เป็นของเป็น เรียก "ธรรมเป็น"
จึงชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่จะใช้หนทางนี้ จึงต้องเรียนรู้ แล้วพัฒนาตนของตน เสมือนหนึ่งเป็นนักเรียน
เมื่อเรียนแล้ว สักวันหนึ่งก็ต้องถึงวันสอบ ไม่ช้าก็เร็ว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า สมุนไพรเป็นเสมือนพี่เลี้ยง ประคองและพามาส่งได้ระยะหนึ่ง ถึงเวลาก็ต้องพึ่งผลแห่งการกระทำของตน ด้วยการพัฒนาตนไปในทางบุญ คือลดนิสัย
ความหมายก็คือ เมื่อถึงวันนั้น หากไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย หวังพึ่งสมุนไพรเพียงอย่างเดียว วันหนึ่งก็จะถึงทางตัน ทานสมุนไพรมากเท่าใด ก็ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาตนได้หมด
อุปมานักเรียนที่ไม่เรียน สอบไม่ผ่าน หลายครั้งเข้า สุดท้ายครูก็ต้องให้ออก
ศาสนาก็เช่นกัน หากสอนแล้วไม่พัฒนา ก็จัดว่าคนผู้นั้นดิบเกินไป ต้องทิ้งเสีย
บทสรุป สมุนไพรหรือการหายโรค จึงเป็นแค่บทเริ่มเท่านั้นเอง หาใช่เป้าหมาย หรือสิ่งที่ศาสนาอยากให้มนุษย์ได้ใช้เป็นที่พึ่ง
เรื่องของศาสนา หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกให้เราต้องเรียนรู้ เหมือนตำรา ก ข ไม่เรียนจะเขียนอ่านได้อย่างไร
ยิ่งเรื่องของบุญ ถ้าไม่เรียนรู้ ว่าบุญที่แท้จริงทำกันอย่างไร ก็ตกเป็นเหยื่อคนโลภ ทำบุญเก๊ ได้แต่บุญนึกเอาเอง กว่าจะรู้ชีวิตก็วิกฤตเสียแล้ว
ก็ขั้นทาน หลายคนก็ไม่สนจะเรียน จะพิจารณาแล้วทำ สร้างคุณสมบัติ ขืนไปขั้นบุญ มิได้ไปเพื่อสร้างบุญ จะกลายเป็นสร้างบาปเพิ่มอีก
จึงชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่จะใช้หนทางนี้ จึงต้องเรียนรู้ แล้วพัฒนาตนของตน เสมือนหนึ่งเป็นนักเรียน
เมื่อเรียนแล้ว สักวันหนึ่งก็ต้องถึงวันสอบ ไม่ช้าก็เร็ว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า สมุนไพรเป็นเสมือนพี่เลี้ยง ประคองและพามาส่งได้ระยะหนึ่ง ถึงเวลาก็ต้องพึ่งผลแห่งการกระทำของตน ด้วยการพัฒนาตนไปในทางบุญ คือลดนิสัย
ความหมายก็คือ เมื่อถึงวันนั้น หากไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย หวังพึ่งสมุนไพรเพียงอย่างเดียว วันหนึ่งก็จะถึงทางตัน ทานสมุนไพรมากเท่าใด ก็ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาตนได้หมด
อุปมานักเรียนที่ไม่เรียน สอบไม่ผ่าน หลายครั้งเข้า สุดท้ายครูก็ต้องให้ออก
ศาสนาก็เช่นกัน หากสอนแล้วไม่พัฒนา ก็จัดว่าคนผู้นั้นดิบเกินไป ต้องทิ้งเสีย
บทสรุป สมุนไพรหรือการหายโรค จึงเป็นแค่บทเริ่มเท่านั้นเอง หาใช่เป้าหมาย หรือสิ่งที่ศาสนาอยากให้มนุษย์ได้ใช้เป็นที่พึ่ง
เรื่องของศาสนา หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกให้เราต้องเรียนรู้ เหมือนตำรา ก ข ไม่เรียนจะเขียนอ่านได้อย่างไร
ยิ่งเรื่องของบุญ ถ้าไม่เรียนรู้ ว่าบุญที่แท้จริงทำกันอย่างไร ก็ตกเป็นเหยื่อคนโลภ ทำบุญเก๊ ได้แต่บุญนึกเอาเอง กว่าจะรู้ชีวิตก็วิกฤตเสียแล้ว
ก็ขั้นทาน หลายคนก็ไม่สนจะเรียน จะพิจารณาแล้วทำ สร้างคุณสมบัติ ขืนไปขั้นบุญ มิได้ไปเพื่อสร้างบุญ จะกลายเป็นสร้างบาปเพิ่มอีก
วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
ปิดตาเดิน
จะทำการรบ ต้องรู้เขารู้เรา จึงจะชนะใครก็รู้ ได้ยิน ได้ฟัง
การฟื้นฟูตนก็คงไม่ต่างกัน ผลย่อมคาดการณ์ได้ทั้งที่ยังไม่เริ่ม
ความอยากหายก็อุปมาอยากชนะศึก แต่คนทั้งหลายกลับทำศึกโดยความอยากของตนเป็นที่ตั้ง ผลคือ รายไหนรายนั้นแพ้ราบคาบ
เพราะไม่รู้ทั้งศัตรูก็แย่แล้ว นี่ไม่รู้ตนอีกต่างหาก เสมือนปิดตาเดิน แถมยังไม่รู้ว่าเป้าหมายอยู่ทิศใด
ปัจจัยที่จะชนะจึงต้องหาผู้รู้ให้เจอก่อน แต่ความเชื่อตนก็บดบังอยู่เหนือเหตุและผล จึงคิดเอาเอง เชื่อเอง ใครว่าอันไหนดี อันไหนน่าเชื่อ ยิ่งมีดีกรี ยิ่งน่าเชื่อ ก็แห่ตามไป ไม่ว่า หมอผี หมอสมัยใหม่ ลัทธิ พิธีกรรม เข้าทรงองค์เจ้า อ้างไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แล้วก็บอกตนว่าดีๆ ช่วยตนของเราได้แน่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นคุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ไม่ใช่คำพูดหรือรูปลักษณ์ที่ดูดี จึงต้องดูว่าผู้ที่เราท่านจะวางใจ เอาชีวิตไปฝาก มีผลงานที่เราท่านเห็นเป็นประจักษ์ ไม่ใช่ฟังเขาเล่าว่า
เสมือนรถเราท่านเสีย คนที่ชำนาญจริง ก็แก้ได้ถูกจุด รวดเร็ว และอาการเสียนั้นก็หายขาด ฉันใดฉันนั้น
แต่นี่ชีวิต ถ้าแก้ผิด มันจะรื้อซ่อมอีกไม่ได้เหมือนรถ ทำไมไม่พิถีพิถันเลือกผู้รู้เลย นั่นจึงเสมือนปิดตาเดินนั่นเอง
คนโลภ จึงเอาความมักง่ายของเราท่านใช้หากิน แค่อวดอ้าง หายในสามวันเจ็ดวัน ก็เชื่อแล้ว หรือทำภาพลักษณ์ให้ดูดี มีเครื่องมือดีทันสมัย วิทยาการล้ำ ผลที่เห็น เดินไปหา หามกลับมา รายแล้วรายเล่า
อยากหายโรค พระพุทธเจ้าผู้รู้จริง บอกว่าเหตุมาแต่กรรม ไม่เชื่อหรือ
ถึงวันนี้ สิ่งที่เคยเชื่อ ก็ทำตามมาแล้ว ผลก็เห็นแล้ว คำถามคือ ทำไมไม่วางความเชื่อเหล่านั้นลง
การหายโรค ที่ดูแล้วหากทำตามธรรมคำสอน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก จึงกลายเป็นเรื่องยาก เพราะไม่ยอมวางของเก่า แลไม่เรียนรู้ของใหม่ หรือเก่าก็เอาใหม่ก็ทำ
ผลก็คือเมื่อถึงช่วงสำคัญไม่รู้สิ่งใดช่วยตน แต่ความเชื่อเดิมนั้นมีมานานและมากโข กลายเป็นยามวิกฤตต้องอาศัยความเชื่อ กลับบอกสิ่งที่ช่วยตนเป็นผู้ทำให้ตนเจ็บไปเสียนี่
ไม่แปลกที่จะได้ยิน ทานสมุนไพรแล้ว คันบ้าง แสบร้อนบ้าง นอนไม่หลับบ้าง .... แล้วก็บอกว่าสมุนไพรทำให้เป็น ทั้งๆ ที่สมุนไพรมีแต่คุณ นั่นมันอาการของตนที่มี มันปรากฎ
ก็ถ้าสมุนไพรทำให้เกิด ก็ต้องเกิดกับทุกคนที่ทาน เท่านั้นยังไม่พอ ครั้นยามดีมาถึง กลับบอกเพราะสิ่งที่ตนเชื่อดลบันดาล
ทางเลือกสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จะช่วยให้หายโรคนั้นง่ายยิ่ง แต่ด้วยความเชื่อและนิสัยนี้เอง ทำให้ล่าช้า
อดีตหาผู้รู้หรือช่างผิด แต่ทำตามสนิทใจ ผลก็ไม่บังเกิด แล้วอะไรเล่ามาวันนี้ เจอผู้รู้จริง อยากเอาผล แต่ไม่เรียน ไม่ทำตาม กรรมกรรมอะไรเล่า ดลจิตดลใจ
การฟื้นฟูตนก็คงไม่ต่างกัน ผลย่อมคาดการณ์ได้ทั้งที่ยังไม่เริ่ม
ความอยากหายก็อุปมาอยากชนะศึก แต่คนทั้งหลายกลับทำศึกโดยความอยากของตนเป็นที่ตั้ง ผลคือ รายไหนรายนั้นแพ้ราบคาบ
เพราะไม่รู้ทั้งศัตรูก็แย่แล้ว นี่ไม่รู้ตนอีกต่างหาก เสมือนปิดตาเดิน แถมยังไม่รู้ว่าเป้าหมายอยู่ทิศใด
ปัจจัยที่จะชนะจึงต้องหาผู้รู้ให้เจอก่อน แต่ความเชื่อตนก็บดบังอยู่เหนือเหตุและผล จึงคิดเอาเอง เชื่อเอง ใครว่าอันไหนดี อันไหนน่าเชื่อ ยิ่งมีดีกรี ยิ่งน่าเชื่อ ก็แห่ตามไป ไม่ว่า หมอผี หมอสมัยใหม่ ลัทธิ พิธีกรรม เข้าทรงองค์เจ้า อ้างไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แล้วก็บอกตนว่าดีๆ ช่วยตนของเราได้แน่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นคุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ไม่ใช่คำพูดหรือรูปลักษณ์ที่ดูดี จึงต้องดูว่าผู้ที่เราท่านจะวางใจ เอาชีวิตไปฝาก มีผลงานที่เราท่านเห็นเป็นประจักษ์ ไม่ใช่ฟังเขาเล่าว่า
เสมือนรถเราท่านเสีย คนที่ชำนาญจริง ก็แก้ได้ถูกจุด รวดเร็ว และอาการเสียนั้นก็หายขาด ฉันใดฉันนั้น
แต่นี่ชีวิต ถ้าแก้ผิด มันจะรื้อซ่อมอีกไม่ได้เหมือนรถ ทำไมไม่พิถีพิถันเลือกผู้รู้เลย นั่นจึงเสมือนปิดตาเดินนั่นเอง
คนโลภ จึงเอาความมักง่ายของเราท่านใช้หากิน แค่อวดอ้าง หายในสามวันเจ็ดวัน ก็เชื่อแล้ว หรือทำภาพลักษณ์ให้ดูดี มีเครื่องมือดีทันสมัย วิทยาการล้ำ ผลที่เห็น เดินไปหา หามกลับมา รายแล้วรายเล่า
อยากหายโรค พระพุทธเจ้าผู้รู้จริง บอกว่าเหตุมาแต่กรรม ไม่เชื่อหรือ
ถึงวันนี้ สิ่งที่เคยเชื่อ ก็ทำตามมาแล้ว ผลก็เห็นแล้ว คำถามคือ ทำไมไม่วางความเชื่อเหล่านั้นลง
การหายโรค ที่ดูแล้วหากทำตามธรรมคำสอน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก จึงกลายเป็นเรื่องยาก เพราะไม่ยอมวางของเก่า แลไม่เรียนรู้ของใหม่ หรือเก่าก็เอาใหม่ก็ทำ
ผลก็คือเมื่อถึงช่วงสำคัญไม่รู้สิ่งใดช่วยตน แต่ความเชื่อเดิมนั้นมีมานานและมากโข กลายเป็นยามวิกฤตต้องอาศัยความเชื่อ กลับบอกสิ่งที่ช่วยตนเป็นผู้ทำให้ตนเจ็บไปเสียนี่
ไม่แปลกที่จะได้ยิน ทานสมุนไพรแล้ว คันบ้าง แสบร้อนบ้าง นอนไม่หลับบ้าง .... แล้วก็บอกว่าสมุนไพรทำให้เป็น ทั้งๆ ที่สมุนไพรมีแต่คุณ นั่นมันอาการของตนที่มี มันปรากฎ
ก็ถ้าสมุนไพรทำให้เกิด ก็ต้องเกิดกับทุกคนที่ทาน เท่านั้นยังไม่พอ ครั้นยามดีมาถึง กลับบอกเพราะสิ่งที่ตนเชื่อดลบันดาล
ทางเลือกสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จะช่วยให้หายโรคนั้นง่ายยิ่ง แต่ด้วยความเชื่อและนิสัยนี้เอง ทำให้ล่าช้า
อดีตหาผู้รู้หรือช่างผิด แต่ทำตามสนิทใจ ผลก็ไม่บังเกิด แล้วอะไรเล่ามาวันนี้ เจอผู้รู้จริง อยากเอาผล แต่ไม่เรียน ไม่ทำตาม กรรมกรรมอะไรเล่า ดลจิตดลใจ
วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
เรื่องของบุญ
หลายคนไม่เคยนึกว่า ในบัญญัติศัพท์ของหลายภาษา เช่น อังกฤษ ไม่มีคำว่า บุญ
ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยรู้ จึงนิยามความหมายของบุญไม่ได้ ด้วยไม่เข้าใจ ไม่รู้นั่นเอง
อย่าว่าแต่คนที่ไกลต่างชาติต่างพันธ์เลย แม้นแต่คนที่คิดว่าตนเป็นชาวพุทธ ลองถามตัวเองรู้จัก ความหมายหรือไม่ ถามร้อยคน อาจตอบไม่เหมือนกันเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เราท่านไม่รู้เรื่องศาสนา ด้วยเหตุที่ว่า โลกใบนี้ มีอำนาจกรรม ปกครองอยู่ เรียกโลกโลกียะ มีแต่กรรมดี กรรมชั่ว เป็นบริวารกรรม ให้สุขให้ทุกข์
ศาสนา มีธรรมเป็นอำนาจ มีบุญ ทาน เป็นบริวาร ให้แต่สุข เป็นของนอกโลก คือโลกของโลกุตระ เมื่อถึงวันเวลา จึงสามารถเข้ามายังโลก แล้วสอน มีผู้อาสาทำตน คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นพระพุทธเจ้า รองรับอำนาจธรรม ไปหาสาวก ครั้นครบเวลาอำนาจธรรมก็จะหอบคนเหล่านี้ไปโลกนิพพาน
ด้วยเหตุที่คนรู้ คือคนที่ทำตนของตนได้ไปหมดแล้ว เรื่องของศาสนาจึงกลายเป็นเรื่องเล่าขาน ยิ่งไกลจากยุคของพระพุทธเจ้าเท่าไร ความรู้ยิ่งผิดเพี้ยน มาวันนี้ จึงมีผู้อ้าง บุญทาน หากินกันเต็มบ้านเต็มเมือง คนทำมีแต่ความเชื่อที่สืบต่อกันมา หามีความรู้ไม่ จึงกลายเป็นเหยื่อคนโลภ
ผลก็คือ บางคนถึงวันนี้ หวนคิดก็อดสงสัย ตนทำบุญทาน มาตลอดชีวิต ทำไมจึงพบความเลวร้าย ทุกข์มาเป็นโรค ไยบุญทานที่ทำมาไม่มาเกื้อหนุนตนให้พ้นทุกข์
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นเสมอว่า ก็นั่นมันของเก๊ บุญทานที่ได้ จึงเป็นแต่ลม นึกเอาเอง หาบุญทานที่แท้จริงไม่
นี่แลศาสนาจึงเอาสมุนไพรมาล่อ เราท่าน ใช้ทุกข์ที่มีพามาหาศาสนา แล้วชี้แนะวางเหยื่อ เราท่านเมื่อฟังแล้วทำตาม จึงหายโรค พ้นทุกข์อันนี้ได้
แล้วหลวงพ่อนิพนธ์ก็ใช้โอกาสนี้ ชี้ช่องบุญ ก็แค่เสี้ยวของอำนาจคือสมุนไพร ยังมีคุณค่ามหาศาล ถ้าเราท่านได้ไปเรียนรู้วิธีการสร้างบุญ แล้วทำ ผลที่จะพึงได้ยิ่งมากมายมหาศาล นั่นคือ ชีวิตปลอดภัย มีสุข อย่างแน่นอน
สิ่งที่เป็นอุปสรรค คือความรู้เดิมที่ผิดนั่นเอง เราท่านคิดว่าตนรู้ทั้งที่ตนไม่รู้ สิ่งที่ทำจึงไม่เป็นผล เราท่านจะรู้ได้โดยไม่เรียน เป็นไปไม่ได้
ยกตัวอย่าง ที่ไหนก็รู้ว่า การไม่โกรธ เป็นเรื่องดี ทุกลัทธิ ทุกศาสนา ล้วนสอนให้ทำทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ผลแห่งการทำ ทำไมติดอยู่แค่กรรมดี ไม่เป็นบุญ ทำแล้วแก้ปวดท้องยังไม่ได้เลย
นี่แล ทำไมเราท่านอยากได้บุญ จึงต้องไปเรียน วิชาบุญจากพระของหลวงพ่อนิพนธ์ เรียนแล้วจะไปทำสร้างบุญที่ไหนก็ได้ในโลก ไม่จำเป็นต้องที่วัด
คนโลภ มันก็อ้าง อยากทำบุญต้องมาวัด เพื่อให้ตนหลอกเอาทรัพย์ เอาวัตถุ แลสอนให้ติดวัตถุ จนไม่เห็นธรรมคำสอน ภาพที่ปรากฏ คนไปวัด แทนที่จะสงบ กลับมาด่าลูก ด่าเมีย ด่าผัว ตีรันฟันแทง ด้วยมีของดี
บุญของพระพุทธเจ้าไม่ได้มาง่ายปานนั้นหรอก แลวันใดที่พระพุทธเจ้าปรากฎโฉม พวกเอาศาสนามาหากิน ห่มเหลืองนี่แหละ จะต้องถูกสังคายนาก่อน
วันนั้นเราท่านจะได้เห็น คนห่มเหลืองที่กล่าวเรียกให้เอาเงินมาทำบุญ ถูกฟ้าดินกระทืบ ถอดจีวรแทบไม่ทัน
บทสรุป เพื่อไม่ให้เราท่านหลงทางบุญ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกำหนดแผ่นดินลพบุรี คือสถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ให้เราท่านคนใดอยากเรียนรู้ อยากสร้างบุญ ได้ไปเรียน และทำ เมื่อรู้แล้ว ทีนี้อยู่ที่ใดก็สร้างบุญได้ อย่าว่าแต่ปวดท้องเลย ให้โคตรมะเร็งก็ไม่กลัว เพราะนั่นคือบุญจริงๆ มีอำนาจเหนือกรรมเหนือเวร นั่นเอง
ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยรู้ จึงนิยามความหมายของบุญไม่ได้ ด้วยไม่เข้าใจ ไม่รู้นั่นเอง
อย่าว่าแต่คนที่ไกลต่างชาติต่างพันธ์เลย แม้นแต่คนที่คิดว่าตนเป็นชาวพุทธ ลองถามตัวเองรู้จัก ความหมายหรือไม่ ถามร้อยคน อาจตอบไม่เหมือนกันเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เราท่านไม่รู้เรื่องศาสนา ด้วยเหตุที่ว่า โลกใบนี้ มีอำนาจกรรม ปกครองอยู่ เรียกโลกโลกียะ มีแต่กรรมดี กรรมชั่ว เป็นบริวารกรรม ให้สุขให้ทุกข์
ศาสนา มีธรรมเป็นอำนาจ มีบุญ ทาน เป็นบริวาร ให้แต่สุข เป็นของนอกโลก คือโลกของโลกุตระ เมื่อถึงวันเวลา จึงสามารถเข้ามายังโลก แล้วสอน มีผู้อาสาทำตน คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นพระพุทธเจ้า รองรับอำนาจธรรม ไปหาสาวก ครั้นครบเวลาอำนาจธรรมก็จะหอบคนเหล่านี้ไปโลกนิพพาน
ด้วยเหตุที่คนรู้ คือคนที่ทำตนของตนได้ไปหมดแล้ว เรื่องของศาสนาจึงกลายเป็นเรื่องเล่าขาน ยิ่งไกลจากยุคของพระพุทธเจ้าเท่าไร ความรู้ยิ่งผิดเพี้ยน มาวันนี้ จึงมีผู้อ้าง บุญทาน หากินกันเต็มบ้านเต็มเมือง คนทำมีแต่ความเชื่อที่สืบต่อกันมา หามีความรู้ไม่ จึงกลายเป็นเหยื่อคนโลภ
ผลก็คือ บางคนถึงวันนี้ หวนคิดก็อดสงสัย ตนทำบุญทาน มาตลอดชีวิต ทำไมจึงพบความเลวร้าย ทุกข์มาเป็นโรค ไยบุญทานที่ทำมาไม่มาเกื้อหนุนตนให้พ้นทุกข์
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นเสมอว่า ก็นั่นมันของเก๊ บุญทานที่ได้ จึงเป็นแต่ลม นึกเอาเอง หาบุญทานที่แท้จริงไม่
นี่แลศาสนาจึงเอาสมุนไพรมาล่อ เราท่าน ใช้ทุกข์ที่มีพามาหาศาสนา แล้วชี้แนะวางเหยื่อ เราท่านเมื่อฟังแล้วทำตาม จึงหายโรค พ้นทุกข์อันนี้ได้
แล้วหลวงพ่อนิพนธ์ก็ใช้โอกาสนี้ ชี้ช่องบุญ ก็แค่เสี้ยวของอำนาจคือสมุนไพร ยังมีคุณค่ามหาศาล ถ้าเราท่านได้ไปเรียนรู้วิธีการสร้างบุญ แล้วทำ ผลที่จะพึงได้ยิ่งมากมายมหาศาล นั่นคือ ชีวิตปลอดภัย มีสุข อย่างแน่นอน
สิ่งที่เป็นอุปสรรค คือความรู้เดิมที่ผิดนั่นเอง เราท่านคิดว่าตนรู้ทั้งที่ตนไม่รู้ สิ่งที่ทำจึงไม่เป็นผล เราท่านจะรู้ได้โดยไม่เรียน เป็นไปไม่ได้
ยกตัวอย่าง ที่ไหนก็รู้ว่า การไม่โกรธ เป็นเรื่องดี ทุกลัทธิ ทุกศาสนา ล้วนสอนให้ทำทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ผลแห่งการทำ ทำไมติดอยู่แค่กรรมดี ไม่เป็นบุญ ทำแล้วแก้ปวดท้องยังไม่ได้เลย
นี่แล ทำไมเราท่านอยากได้บุญ จึงต้องไปเรียน วิชาบุญจากพระของหลวงพ่อนิพนธ์ เรียนแล้วจะไปทำสร้างบุญที่ไหนก็ได้ในโลก ไม่จำเป็นต้องที่วัด
คนโลภ มันก็อ้าง อยากทำบุญต้องมาวัด เพื่อให้ตนหลอกเอาทรัพย์ เอาวัตถุ แลสอนให้ติดวัตถุ จนไม่เห็นธรรมคำสอน ภาพที่ปรากฏ คนไปวัด แทนที่จะสงบ กลับมาด่าลูก ด่าเมีย ด่าผัว ตีรันฟันแทง ด้วยมีของดี
บุญของพระพุทธเจ้าไม่ได้มาง่ายปานนั้นหรอก แลวันใดที่พระพุทธเจ้าปรากฎโฉม พวกเอาศาสนามาหากิน ห่มเหลืองนี่แหละ จะต้องถูกสังคายนาก่อน
วันนั้นเราท่านจะได้เห็น คนห่มเหลืองที่กล่าวเรียกให้เอาเงินมาทำบุญ ถูกฟ้าดินกระทืบ ถอดจีวรแทบไม่ทัน
บทสรุป เพื่อไม่ให้เราท่านหลงทางบุญ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกำหนดแผ่นดินลพบุรี คือสถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ให้เราท่านคนใดอยากเรียนรู้ อยากสร้างบุญ ได้ไปเรียน และทำ เมื่อรู้แล้ว ทีนี้อยู่ที่ใดก็สร้างบุญได้ อย่าว่าแต่ปวดท้องเลย ให้โคตรมะเร็งก็ไม่กลัว เพราะนั่นคือบุญจริงๆ มีอำนาจเหนือกรรมเหนือเวร นั่นเอง
วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
เต็มเสียแล้ว
เรื่องของศาสนาที่แท้จริง มีคนรู้น้อยกว่าน้อย มีคนทำยิ่งน้อยกว่า
เราท่านมีวาสนาได้เวียนมาพบศาสนา ถึงจะไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ก็เป็นสายตรง ที่ไม่ผิดเพี้ยน มีผลแห่งการกระทำเป็นบุญเป็นทาน ไว้ช่วยตนได้
ก็แล้วอะไรเล่า ถ้าไม่ใช่กรรมบังตา บังใจ มาถึงที่แล้ว หลายคนก็ไม่คิดจะเรียนหนทางช่วยตน จึงเห็นได้ทั่วไปว่า ไม่สนใจในเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังหนึ่ง ไม่เน้นในสิ่งที่ตนกระทำหนึ่ง
เราจึงแปลกใจว่าหรือทุกข์ที่เกิดแก่ตนนั้นของปลอม จึงมาทำเล่นเช่นนี้ได้
เราท่านประมาทคู่ต่อสู้จนเกินไป เห็นโรค แต่ไม่เห็นกรรม ที่ซึ่งมีอำนาจมหาศาล จึงทำตัวเป็นผู้รู้ ผู้ทำ ในเรื่องบุญ ว่าตนทำถูก ทำมาก บางคนแทบจะคุยทับเลยว่าตนนั้นทำมาตลอดชีวิต ทำมากมายบับไม่ไหว
เมื่อมายังสถานที่ของแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ จึงไม่สน เพราะคิดว่าความรู้ในศาสนาหรือบุญของตนนั้นมีแล้ว ไม่ต้องฟัง แต่ความเป็นจริงที่ปรากฏก็เห็นอยู่ ว่าสิ่งที่ตนรู้ตนทำแล้วคิดว่าเป็นบุญนั้น มันคิดเอาเองเออเอง ทำให้ตายก็หาช่วยตนได้ไม่ ทุกข์จึงมาหาตน ไม่มีลด มีแต่เพิ่ม เป็นพยานใหญ่
เราจึงสงสัยว่า เมื่อทำตนเต็มเสียแล้วเช่นนี้ จะมาให้เสียเวลาทำไมเล่า เพราะการกระทำที่จะทำ ก็ไม่ถูกตามร่องธรรม ไม่ควบคุมนิสัยตน แล้วจะเดินไปอย่างไรในทางศาสนา หากไม่เรียนธรรมแล้วมานำตน
ภาพความสงบอันเป็นหนทางธรรมที่ต่ำสุด ด้วยแค่บังคับกาย ก็ไม่สน อ้างว่าตนเสียสละแล้ว ช่วยเป็นจิตอาสาแล้ว เอาโน่นนี่มาเยอะแล้ว แต่นั่นมันกระพี้ แก่นของศาสนาคือนิสัย หากไม่ควบคุม จะรอผลแห่งกระพี้ คือการทำให้ เสียสละ หรือทำตนเป็นพระเวสสันดร นั้น อาจจะตกใจเมื่อพบความจริง ว่าผลอันนั้นถูกนิสัยตนทำลายสิ้น
ด้วยเหตุที่มือนั้นทำ แต่วาจานั้นทำลาย นั่นเอง
จึงน่าเสียดาย เสมือนทำเท่าไร หาเงินได้มาก แต่ก็ไม่มีเงินเก็บ เพราะเข้ากระเป๋าซ้าย ออกกระเป๋าขวาไปเสียหมด
สิ่งที่เราท่านกำลังทำ คนทั้งโลกทำไม่ได้ ไม่ต้องถึงมะเร็ง แค่โรคกระเพาะ หมอก็หมดปัญญาแล้ว นั่นคือเรื่องไม่ธรรมดา แค่สวดมนต์แล้วทานสมุนไพร หายได้อย่างไร แสดงว่ามนต์ที่สวดนี้ไม่ธรรมดา พฤติกรรมที่ทำนี้ดูพื้นๆ แต่ไม่ธรรมดา และต้องถูกตามร่องธรรมด้วย ผลถูกจึงเกิด
แต่เพราะความไม่เรียนรู้ จึงไม่ควบคุมตน ทำของสูงกลายเป็นของธรรมดา ที่ไหนก็มี จึงตกร่อง ทำเสียเหมือนไม่ได้ทำ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ที่นี้ทำสูงได้สูง ทำต่ำได้ต่ำ ทำอย่างไรได้อย่างนั้น
แลความเป็นจริง อย่าว่าแต่เรื่องบุญเลย แค่เรื่องทาน ยังไม่รู้เลย เรื่องของศาสนายิ่งไม่ต้องกล่าว ยิ่งทำตนรู้ ทำตนเต็มว่าข้ารู้หมด ที่นี้ก็ได้แต่นั่งมอง คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราท่านทำตนรู้ แลกำหนดทางของตนไว้แล้ว จะพูดสักฉันใดว่าเดินผิดทางแล้ว ก็ยืนยันจะเดิน รู้อีกทีตนของตนก็ใกล้จบ กลับตัวไม่ทัน ถึงตอนนั้นอาจจะมาโทษกันเสียอีก
บทสรุป หากอยากช่วยตนให้สำเร็จ ควรที่วางความเชื่อของตนลงเสียก่อน แล้วมาฟัง มาพิจารณา แล้วทำตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยนที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาส่งให้ และดูผล เมื่อผลถูกเกิด แล้วจึงเชื่อ หากไร้ผลก็วางไปหาหนทางใหม่ที่ตนชอบ
เราท่านมีวาสนาได้เวียนมาพบศาสนา ถึงจะไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ก็เป็นสายตรง ที่ไม่ผิดเพี้ยน มีผลแห่งการกระทำเป็นบุญเป็นทาน ไว้ช่วยตนได้
ก็แล้วอะไรเล่า ถ้าไม่ใช่กรรมบังตา บังใจ มาถึงที่แล้ว หลายคนก็ไม่คิดจะเรียนหนทางช่วยตน จึงเห็นได้ทั่วไปว่า ไม่สนใจในเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังหนึ่ง ไม่เน้นในสิ่งที่ตนกระทำหนึ่ง
เราจึงแปลกใจว่าหรือทุกข์ที่เกิดแก่ตนนั้นของปลอม จึงมาทำเล่นเช่นนี้ได้
เราท่านประมาทคู่ต่อสู้จนเกินไป เห็นโรค แต่ไม่เห็นกรรม ที่ซึ่งมีอำนาจมหาศาล จึงทำตัวเป็นผู้รู้ ผู้ทำ ในเรื่องบุญ ว่าตนทำถูก ทำมาก บางคนแทบจะคุยทับเลยว่าตนนั้นทำมาตลอดชีวิต ทำมากมายบับไม่ไหว
เมื่อมายังสถานที่ของแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ จึงไม่สน เพราะคิดว่าความรู้ในศาสนาหรือบุญของตนนั้นมีแล้ว ไม่ต้องฟัง แต่ความเป็นจริงที่ปรากฏก็เห็นอยู่ ว่าสิ่งที่ตนรู้ตนทำแล้วคิดว่าเป็นบุญนั้น มันคิดเอาเองเออเอง ทำให้ตายก็หาช่วยตนได้ไม่ ทุกข์จึงมาหาตน ไม่มีลด มีแต่เพิ่ม เป็นพยานใหญ่
เราจึงสงสัยว่า เมื่อทำตนเต็มเสียแล้วเช่นนี้ จะมาให้เสียเวลาทำไมเล่า เพราะการกระทำที่จะทำ ก็ไม่ถูกตามร่องธรรม ไม่ควบคุมนิสัยตน แล้วจะเดินไปอย่างไรในทางศาสนา หากไม่เรียนธรรมแล้วมานำตน
ภาพความสงบอันเป็นหนทางธรรมที่ต่ำสุด ด้วยแค่บังคับกาย ก็ไม่สน อ้างว่าตนเสียสละแล้ว ช่วยเป็นจิตอาสาแล้ว เอาโน่นนี่มาเยอะแล้ว แต่นั่นมันกระพี้ แก่นของศาสนาคือนิสัย หากไม่ควบคุม จะรอผลแห่งกระพี้ คือการทำให้ เสียสละ หรือทำตนเป็นพระเวสสันดร นั้น อาจจะตกใจเมื่อพบความจริง ว่าผลอันนั้นถูกนิสัยตนทำลายสิ้น
ด้วยเหตุที่มือนั้นทำ แต่วาจานั้นทำลาย นั่นเอง
จึงน่าเสียดาย เสมือนทำเท่าไร หาเงินได้มาก แต่ก็ไม่มีเงินเก็บ เพราะเข้ากระเป๋าซ้าย ออกกระเป๋าขวาไปเสียหมด
สิ่งที่เราท่านกำลังทำ คนทั้งโลกทำไม่ได้ ไม่ต้องถึงมะเร็ง แค่โรคกระเพาะ หมอก็หมดปัญญาแล้ว นั่นคือเรื่องไม่ธรรมดา แค่สวดมนต์แล้วทานสมุนไพร หายได้อย่างไร แสดงว่ามนต์ที่สวดนี้ไม่ธรรมดา พฤติกรรมที่ทำนี้ดูพื้นๆ แต่ไม่ธรรมดา และต้องถูกตามร่องธรรมด้วย ผลถูกจึงเกิด
แต่เพราะความไม่เรียนรู้ จึงไม่ควบคุมตน ทำของสูงกลายเป็นของธรรมดา ที่ไหนก็มี จึงตกร่อง ทำเสียเหมือนไม่ได้ทำ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ที่นี้ทำสูงได้สูง ทำต่ำได้ต่ำ ทำอย่างไรได้อย่างนั้น
แลความเป็นจริง อย่าว่าแต่เรื่องบุญเลย แค่เรื่องทาน ยังไม่รู้เลย เรื่องของศาสนายิ่งไม่ต้องกล่าว ยิ่งทำตนรู้ ทำตนเต็มว่าข้ารู้หมด ที่นี้ก็ได้แต่นั่งมอง คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราท่านทำตนรู้ แลกำหนดทางของตนไว้แล้ว จะพูดสักฉันใดว่าเดินผิดทางแล้ว ก็ยืนยันจะเดิน รู้อีกทีตนของตนก็ใกล้จบ กลับตัวไม่ทัน ถึงตอนนั้นอาจจะมาโทษกันเสียอีก
บทสรุป หากอยากช่วยตนให้สำเร็จ ควรที่วางความเชื่อของตนลงเสียก่อน แล้วมาฟัง มาพิจารณา แล้วทำตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยนที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาส่งให้ และดูผล เมื่อผลถูกเกิด แล้วจึงเชื่อ หากไร้ผลก็วางไปหาหนทางใหม่ที่ตนชอบ
วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
ทางบุญ
มีจิตอาสาหลายท่านสงสัย ในสิ่งที่วิทยากรกล่าวว่า ในเมื่อปัจจุบันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ได้กำหนดให้ แผ่นดินมูลนิธิไทยกรุณา เป็นแผ่นดินทาน ทำแล้วได้ทาน เป็นผลตอบแทน แลแผ่นดินที่สำนักสงฆ์แม่ชีเมี้ยนกรุณา เป็นแผ่นดินบุญ ทำแล้วได้บุญ เป็นผลตอบแทน
คำถาม จึงเกิดขึ้นว่า ก็อดีตที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า การทำในแผ่นดินของมูลนิธิไทยกรุณา นั้นเป็นบุญ เมื่อตอนนี้ทำแล้วไม่ได้บุญ จะทำทำไม สู้ไปนั่งเฉยๆ รอรับสมุนไพร ไม่ต้องตื่นแต่เช้า ตีสองตีสาม รีบมาไม่ดีกว่าหรือ
นี่แลคือปัญหา ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า ตัวท่านเองไม่มีเวลาในการอบรม ให้ความรู้ในทางบุญ ผู้ทำจึงขาดความเข้าใจ
เราจึงยกคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า ทำไมการทำตนในอดีตตามหลวงพ่อนิพนธ์บอก จึงเป็นบุญ
ก็ด้วยเหตุที่เราท่านทั้งหลาย ยังไม่รู้วิธีการสร้างบุญว่าต้องทำอย่างไร ดังนั้น เพื่อให้ได้บุญไปเกื้อหนุนเราท่านได้โดยเร็วไว โดยไม่ต้องรอเราท่านทำ จึงกำหนดหรือที่พระท่านเรียกว่า บุคคลิก งานใดๆ ให้แก่คนที่มาทำให้ แล้วเอาบุญส่วนกลางที่ท่านมี ไปตอบแทนคนเหล่านั้น เพื่อให้เป็นบุญเลี้ยงตน
แลก็หวังว่า เมื่อเราท่าน มีกำลัง มีความพร้อม และได้รับการเรียนรู้ในวันข้างหน้าแล้วไซร้ ก็จะสามารถสร้างบุญได้ด้วยตนเอง คืนกลับมาหาท่าน เรียกว่า ให้ยืมบุญไปใช้ก่อนนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง เราท่านทั้งหลายจึงไม่ยังไม่ต้องทำนิสัย เพื่อสร้างบุญ แต่ก็มีบุญมาเกื้อหนุน
มาวันนี้ เมื่อสิ้นหลวงพ่อนิพนธ์ ทางบุญอันนี้จึงถูกปิดลง เพราะไม่มีผู้ใดมีบุญส่วนกลางมาให้เราท่านได้หยิบยืมใช้อีกแล้วนั่นเอง ทางบุญที่เหลือ จึงต้องทำเอง
คำถามก็คือ แล้วเป็นจิตอาสาได้อะไร
เรื่องของศาสนา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า สมบัติเพียงอย่างเดียวที่จะนำมาใช้ในศาสนาได้ แลเป็นเครื่องมือในการหาบุญ นั่นคือ ตนของตน
แลศาสนา มีขั้นของการปฏิบัติ เพื่อสร้างคุณสมบัติ รองรับอำนาจบุญของศาสนา
การจะเติบใหญ่ ในแต่ละขั้นของศาสนา จนสำเร็จ ล้วนมีรากฐานมาจากความกตัญญู เป็นหัวใจ
และขั้นตอนพื้นฐาน ก็เริ่มจากการทำกาย ไปวาจา จนถึงขั้นใจ
เมื่อเราท่านมาทานสมุนไพร ได้ฟังคำสอน เชื่อ และมีใจกตัญญู อยากตอบแทนพระคุณ ของศาสนา แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ รวมถึงหลวงพ่อนิพนธ์ ก็จึงเริ่มด้วยการเป็นผู้ให้ นั่นเอง
ด้วยแผ่นดินศาสนา เป็นที่รวมแห่งคนทุกข์ ผู้ใดที่จะพัฒนาตน ก็พึงเริ่มจากการเป็นผู้ให้ จึงมีคำว่า "สละแรงกายเป็นทาน ทำงานเพื่อศาสนา"
ซึ่งเป็นการแสดงที่เป็นรูปธรรม ในการแสดงกตัญญู
แลจิตอาสานี้ไซร้ หากกล่าวรายละเอียด ก็ต้องพึงหมายถึง เสมือนหนึ่ง เป็นตัวแทนของหลวงพ่อนิพนธ์นั่นเอง
สิ่งที่ได้กลับมา อย่างแน่นอน คือ ทานบารมี ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทานอันนี้ จะช่วยเกื้อหนุนในยามที่เราตกในปล้องกรรมชั่ว หรือพูดภาษาชาวบ้าน คือ ดวงตก ก็จะทำให้มีผู้เกื้อหนุน ไม่ลำบากสาหัสจนเกินไป
แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่า นั่นคือ ได้คุณสมบัติติดตน นั่นคือ ความกตัญญู ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเสมอว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รู้คนทำ รู้คนทาน แสดงฤทธิ์ตามคุณสมบัติของคนผู้นั้น
นี่คือผลพวงที่แถมให้ อันหมายความว่า ด้วยคุณสมบัติอันนี้ ทำให้การทานสมุนไพร ได้ผลมากขึ้นนั่นเอง
แต่หากอยากจะให้ในขณะที่ตนเป็นจิตอาสา ทำแล้วได้บุญด้วย เฉกเช่นแต่กาลก่อน อันนี้ต้องไปรับข้อปฏิบัติที่ลพบุรี
เมื่อรับมาปฏิบัติแล้ว ไปทำที่ไหนในโลกก็เป็นบุญ ไม่จำเป็นต้องทำที่ลพบุรี ที่มูลนิธิ ที่ไหนก็ได้
ยุคของการปฏิบัติตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน โดยไม่เฉพาะเจาะจงบุคคล นั้นหมดสิ้นแล้ว ทางบุญในยามนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ต้องไปในแผ่นดินศาสนา แล้วรับข้อปฏิบัติมาทำ แต่เพียงทางเดียวเท่านั้น จักทำเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว
เราจึงเชิญชวน ไปเรียนรู้ วิธีการของทางบุญ ว่าต้องทำอย่างไร จึงเป็นบุญ
ใครจะบอกว่า ไม่จำเป็น ไม่ต้องไป รู้แล้ว .... ได้เหมือนกัน ก็ไม่ว่า
แต่สิ่งหนึ่งที่พึงระลึก นั่นคือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ อำนาจธรรม นั้นมีเจ้าของ ถ้าเจ้าของเขาไม่อนุญาติ ใครจะลักเอาไปทำสักฉันใด ก็ไร้ผลแห่งบุญ
ก็เสมือนสมุนไพร คนรู้สูตรมีมากมาย หากแต่คนที่ทำให้สมุนไพรมีฤทธิ์ ก็คือคนที่ถืออำนาจ ได้รับอนุญาตเท่านั้นแล คนอื่น ทำเหมือนกัน สูตรเดียวกัน แต่ผลที่ได้ไม่เหมือนกัน เฉกเช่นถ้ำกระบอก กับมูลนิธิ ฉันใดก็ฉันนั้น
แลผลแห่งการเป็นจิตอาสา ก็ย่อมง่าย ที่จะทำให้การปฏิบัติ เพราะจิตกตัญญูอันนั้นแล พึงทำให้จิตอาสา ย่อมประคองตัวกระทำ ในวัตรปฏิบัติที่รับมา เป็นอย่างดี เพื่อตอบแทนผู้มีคุณ และช่วยตน
เมื่อมาทำรวมกัน ก็จะได้ทั้งบุญทั้งทาน แถมยังไปสร้างบุญที่ไหนก็ได้ในโลก ไม่จำเป็นต้องเป็นวัด ขอให้ทำให้ถูก
เราจึงมีคำถามกลับไปยังจิตอาสาว่า เมื่อท่านกล่าวอ้างว่า ท่านทำข้อปฏิบัติ อาทิ ทำใจไม่โกรธ ... ท่านรู้วิธีการทำหรือไม่ ว่าทำอย่างไร แลบุญที่จะพึงได้ มาโดยวิธีใด หนทางในการประคองวัตรปฏิบัติไม่ให้เสีย หรือเสียน้อย ต้องทำเช่นไร ... นี่แลทำไมจึงต้องไปลพบุรี ... ไปเรียนรู้ เพื่อจะได้ทำให้ถูก ไม่ใช่ทำแบบคิดไปเอง เออเอง ฉันทำได้ กว่าจะรู้อีกที อ้าวไปคนละทาง หาผลบุญกลับมายังตนไม่ได้เลย กรรมก็เล่นจนงอมเสียแล้ว เพราะสิ่งที่คิด แล้วทำ คิดถูกแต่ทำผิด นั่นเอง
ทางบุญวันนี้ จึงมีสภาพ คนให้คนรับ รู้กัน ประกาศแก่กันและกัน มีดินฟ้า อากาศ เป็นพยานใหญ่
เรียกว่า เป็นเรื่องเฉพาะตนแล้วนั่นเอง ใครอยากได้ ก็ไปขอ แล้วทำ ไม่หว่านกลาดเกลื่อน ดังในอดีตแล้ว
คำถาม จึงเกิดขึ้นว่า ก็อดีตที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า การทำในแผ่นดินของมูลนิธิไทยกรุณา นั้นเป็นบุญ เมื่อตอนนี้ทำแล้วไม่ได้บุญ จะทำทำไม สู้ไปนั่งเฉยๆ รอรับสมุนไพร ไม่ต้องตื่นแต่เช้า ตีสองตีสาม รีบมาไม่ดีกว่าหรือ
นี่แลคือปัญหา ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า ตัวท่านเองไม่มีเวลาในการอบรม ให้ความรู้ในทางบุญ ผู้ทำจึงขาดความเข้าใจ
เราจึงยกคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า ทำไมการทำตนในอดีตตามหลวงพ่อนิพนธ์บอก จึงเป็นบุญ
ก็ด้วยเหตุที่เราท่านทั้งหลาย ยังไม่รู้วิธีการสร้างบุญว่าต้องทำอย่างไร ดังนั้น เพื่อให้ได้บุญไปเกื้อหนุนเราท่านได้โดยเร็วไว โดยไม่ต้องรอเราท่านทำ จึงกำหนดหรือที่พระท่านเรียกว่า บุคคลิก งานใดๆ ให้แก่คนที่มาทำให้ แล้วเอาบุญส่วนกลางที่ท่านมี ไปตอบแทนคนเหล่านั้น เพื่อให้เป็นบุญเลี้ยงตน
แลก็หวังว่า เมื่อเราท่าน มีกำลัง มีความพร้อม และได้รับการเรียนรู้ในวันข้างหน้าแล้วไซร้ ก็จะสามารถสร้างบุญได้ด้วยตนเอง คืนกลับมาหาท่าน เรียกว่า ให้ยืมบุญไปใช้ก่อนนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง เราท่านทั้งหลายจึงไม่ยังไม่ต้องทำนิสัย เพื่อสร้างบุญ แต่ก็มีบุญมาเกื้อหนุน
มาวันนี้ เมื่อสิ้นหลวงพ่อนิพนธ์ ทางบุญอันนี้จึงถูกปิดลง เพราะไม่มีผู้ใดมีบุญส่วนกลางมาให้เราท่านได้หยิบยืมใช้อีกแล้วนั่นเอง ทางบุญที่เหลือ จึงต้องทำเอง
คำถามก็คือ แล้วเป็นจิตอาสาได้อะไร
เรื่องของศาสนา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า สมบัติเพียงอย่างเดียวที่จะนำมาใช้ในศาสนาได้ แลเป็นเครื่องมือในการหาบุญ นั่นคือ ตนของตน
แลศาสนา มีขั้นของการปฏิบัติ เพื่อสร้างคุณสมบัติ รองรับอำนาจบุญของศาสนา
การจะเติบใหญ่ ในแต่ละขั้นของศาสนา จนสำเร็จ ล้วนมีรากฐานมาจากความกตัญญู เป็นหัวใจ
และขั้นตอนพื้นฐาน ก็เริ่มจากการทำกาย ไปวาจา จนถึงขั้นใจ
เมื่อเราท่านมาทานสมุนไพร ได้ฟังคำสอน เชื่อ และมีใจกตัญญู อยากตอบแทนพระคุณ ของศาสนา แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ รวมถึงหลวงพ่อนิพนธ์ ก็จึงเริ่มด้วยการเป็นผู้ให้ นั่นเอง
ด้วยแผ่นดินศาสนา เป็นที่รวมแห่งคนทุกข์ ผู้ใดที่จะพัฒนาตน ก็พึงเริ่มจากการเป็นผู้ให้ จึงมีคำว่า "สละแรงกายเป็นทาน ทำงานเพื่อศาสนา"
ซึ่งเป็นการแสดงที่เป็นรูปธรรม ในการแสดงกตัญญู
แลจิตอาสานี้ไซร้ หากกล่าวรายละเอียด ก็ต้องพึงหมายถึง เสมือนหนึ่ง เป็นตัวแทนของหลวงพ่อนิพนธ์นั่นเอง
สิ่งที่ได้กลับมา อย่างแน่นอน คือ ทานบารมี ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทานอันนี้ จะช่วยเกื้อหนุนในยามที่เราตกในปล้องกรรมชั่ว หรือพูดภาษาชาวบ้าน คือ ดวงตก ก็จะทำให้มีผู้เกื้อหนุน ไม่ลำบากสาหัสจนเกินไป
แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่า นั่นคือ ได้คุณสมบัติติดตน นั่นคือ ความกตัญญู ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเสมอว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รู้คนทำ รู้คนทาน แสดงฤทธิ์ตามคุณสมบัติของคนผู้นั้น
นี่คือผลพวงที่แถมให้ อันหมายความว่า ด้วยคุณสมบัติอันนี้ ทำให้การทานสมุนไพร ได้ผลมากขึ้นนั่นเอง
แต่หากอยากจะให้ในขณะที่ตนเป็นจิตอาสา ทำแล้วได้บุญด้วย เฉกเช่นแต่กาลก่อน อันนี้ต้องไปรับข้อปฏิบัติที่ลพบุรี
เมื่อรับมาปฏิบัติแล้ว ไปทำที่ไหนในโลกก็เป็นบุญ ไม่จำเป็นต้องทำที่ลพบุรี ที่มูลนิธิ ที่ไหนก็ได้
ยุคของการปฏิบัติตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน โดยไม่เฉพาะเจาะจงบุคคล นั้นหมดสิ้นแล้ว ทางบุญในยามนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ต้องไปในแผ่นดินศาสนา แล้วรับข้อปฏิบัติมาทำ แต่เพียงทางเดียวเท่านั้น จักทำเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว
เราจึงเชิญชวน ไปเรียนรู้ วิธีการของทางบุญ ว่าต้องทำอย่างไร จึงเป็นบุญ
ใครจะบอกว่า ไม่จำเป็น ไม่ต้องไป รู้แล้ว .... ได้เหมือนกัน ก็ไม่ว่า
แต่สิ่งหนึ่งที่พึงระลึก นั่นคือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ อำนาจธรรม นั้นมีเจ้าของ ถ้าเจ้าของเขาไม่อนุญาติ ใครจะลักเอาไปทำสักฉันใด ก็ไร้ผลแห่งบุญ
ก็เสมือนสมุนไพร คนรู้สูตรมีมากมาย หากแต่คนที่ทำให้สมุนไพรมีฤทธิ์ ก็คือคนที่ถืออำนาจ ได้รับอนุญาตเท่านั้นแล คนอื่น ทำเหมือนกัน สูตรเดียวกัน แต่ผลที่ได้ไม่เหมือนกัน เฉกเช่นถ้ำกระบอก กับมูลนิธิ ฉันใดก็ฉันนั้น
แลผลแห่งการเป็นจิตอาสา ก็ย่อมง่าย ที่จะทำให้การปฏิบัติ เพราะจิตกตัญญูอันนั้นแล พึงทำให้จิตอาสา ย่อมประคองตัวกระทำ ในวัตรปฏิบัติที่รับมา เป็นอย่างดี เพื่อตอบแทนผู้มีคุณ และช่วยตน
เมื่อมาทำรวมกัน ก็จะได้ทั้งบุญทั้งทาน แถมยังไปสร้างบุญที่ไหนก็ได้ในโลก ไม่จำเป็นต้องเป็นวัด ขอให้ทำให้ถูก
เราจึงมีคำถามกลับไปยังจิตอาสาว่า เมื่อท่านกล่าวอ้างว่า ท่านทำข้อปฏิบัติ อาทิ ทำใจไม่โกรธ ... ท่านรู้วิธีการทำหรือไม่ ว่าทำอย่างไร แลบุญที่จะพึงได้ มาโดยวิธีใด หนทางในการประคองวัตรปฏิบัติไม่ให้เสีย หรือเสียน้อย ต้องทำเช่นไร ... นี่แลทำไมจึงต้องไปลพบุรี ... ไปเรียนรู้ เพื่อจะได้ทำให้ถูก ไม่ใช่ทำแบบคิดไปเอง เออเอง ฉันทำได้ กว่าจะรู้อีกที อ้าวไปคนละทาง หาผลบุญกลับมายังตนไม่ได้เลย กรรมก็เล่นจนงอมเสียแล้ว เพราะสิ่งที่คิด แล้วทำ คิดถูกแต่ทำผิด นั่นเอง
ทางบุญวันนี้ จึงมีสภาพ คนให้คนรับ รู้กัน ประกาศแก่กันและกัน มีดินฟ้า อากาศ เป็นพยานใหญ่
เรียกว่า เป็นเรื่องเฉพาะตนแล้วนั่นเอง ใครอยากได้ ก็ไปขอ แล้วทำ ไม่หว่านกลาดเกลื่อน ดังในอดีตแล้ว
วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559
สู้
หลี่เหลียนเจี๋ย นักแสดงชาวจีนชื่อดัง กล่าวปาฐกถาให้คนทั่วไปว่า ฟู่เปียว มีเงินมากกว่าคุณ เปลี่ยนไต ๒ ครั้งก็ลาจากโลกไป เหม่ยเยี่ยนฟ้ง มีเงินมากกว่าคุณ จ้างหมอเฉพาะทาง จากในและนอกประเทศ สุดท้ายมะเร็งปากมดลูก ก็ทำให้เธอจากโลกนี้ไป
หวังจวินเหยา มีเงิน ๓๕๐๐ ล้าน ซื้อชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่ได้ สุดท้ายก็จากไป
จางเชิงอวี้ ประธานกรรมการ บริษัท ถงเหรินถัง แห่งนครปักกิ่ง มีความเชียวชาญในการรักษาโรคหาตัวจับยาก อยู่ๆก็หัวใจวายเฉียบพลัน ตายไปแค่วัย ๓๙ ปี
และอีกหลายคน ที่ยกตัวอย่างมาในครั้งนั้น
คำสรุปบางตอนกล่าวให้ได้คิดว่า อย่าคิดว่าหมอจะช่วยชีวิตคุณได้ หมอที่ดีคือตัวคุณ ดูแลชีวิตดีกว่าให้ใครมาช่วยชีวิต
และอย่าลืมว่า สุขภาพดี คือ ต้นทุน ร่างกายไม่แข็งแรง จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร
เราจึงนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่กล่าวให้สติว่า ต้นเหตุแห่งโรคคือ กรรม จะเอาปัญญาโลกที่มีไปแก้ไข ไม่มีทาง และยิ่งคิดจะเอาเงินเข้าสู้ แพ้ตั้งแต่เริ่ม
และถึงแม้ว่าวันนี้โชคดี ได้มาพบเจอทางเลือกสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็ทำให้มีโอกาสหายโรค
แต่กระนั้น ชีวิตก็ยังไม่ปลอดภัย วันหนึ่งก็ต้องเดินถึงทางตันเช่นกัน เพราะต้นเหตุยังอยู่ นั่นคือ "นิสัยกรรม" ของตนนั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวย้ำก่อนลาสังขารว่า "โรคไม่น่ากลัว นิสัยของเราท่านต่างหากที่น่ากลัว" ณ.วันนี้ ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า โรคนั้นกระจอก พิชิตได้ไม่ยาก ให้มองข้ามไป มาพูดกันถึงต้นตอแห่งโรค คือ "นิสัย" ดีกว่า
หากคิดจะสู้ให้ชนะ จึงต้องใช้สมบัติที่ตนมี นั่นคือ "นิสัย" ตามหนทางที่แม่ชีเมี้ยนชี้ให้ "ลดนิสัยเดิมของตน มาใช้นิสัยของพระพุทธเจ้า" นั่นแลหนทางที่ชนะตั้งแต่เริ่ม ใครทำได้ ชีวิตรอดปลอดภัยแน่นอน
วันใดที่ถึงทางตัน เราก็เชิญชวนให้ไปหาพระของหลวงพ่อนิพนธ์ เรียนรู้วิชาบุญของพระพุทธเจ้าที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เรียนรู้วิธีการลดนิสัยทำอย่างไร .... ฟัง พิจารณา หากเชื่อ แล้วทำตาม ก็ลองดูซิว่าผลจะเป็นอย่างไร หากดี ก็ทำต่อไป หากไม่ดี ก็ทิ้งเสีย
หวังจวินเหยา มีเงิน ๓๕๐๐ ล้าน ซื้อชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่ได้ สุดท้ายก็จากไป
จางเชิงอวี้ ประธานกรรมการ บริษัท ถงเหรินถัง แห่งนครปักกิ่ง มีความเชียวชาญในการรักษาโรคหาตัวจับยาก อยู่ๆก็หัวใจวายเฉียบพลัน ตายไปแค่วัย ๓๙ ปี
และอีกหลายคน ที่ยกตัวอย่างมาในครั้งนั้น
คำสรุปบางตอนกล่าวให้ได้คิดว่า อย่าคิดว่าหมอจะช่วยชีวิตคุณได้ หมอที่ดีคือตัวคุณ ดูแลชีวิตดีกว่าให้ใครมาช่วยชีวิต
และอย่าลืมว่า สุขภาพดี คือ ต้นทุน ร่างกายไม่แข็งแรง จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร
เราจึงนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่กล่าวให้สติว่า ต้นเหตุแห่งโรคคือ กรรม จะเอาปัญญาโลกที่มีไปแก้ไข ไม่มีทาง และยิ่งคิดจะเอาเงินเข้าสู้ แพ้ตั้งแต่เริ่ม
และถึงแม้ว่าวันนี้โชคดี ได้มาพบเจอทางเลือกสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็ทำให้มีโอกาสหายโรค
แต่กระนั้น ชีวิตก็ยังไม่ปลอดภัย วันหนึ่งก็ต้องเดินถึงทางตันเช่นกัน เพราะต้นเหตุยังอยู่ นั่นคือ "นิสัยกรรม" ของตนนั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวย้ำก่อนลาสังขารว่า "โรคไม่น่ากลัว นิสัยของเราท่านต่างหากที่น่ากลัว" ณ.วันนี้ ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า โรคนั้นกระจอก พิชิตได้ไม่ยาก ให้มองข้ามไป มาพูดกันถึงต้นตอแห่งโรค คือ "นิสัย" ดีกว่า
หากคิดจะสู้ให้ชนะ จึงต้องใช้สมบัติที่ตนมี นั่นคือ "นิสัย" ตามหนทางที่แม่ชีเมี้ยนชี้ให้ "ลดนิสัยเดิมของตน มาใช้นิสัยของพระพุทธเจ้า" นั่นแลหนทางที่ชนะตั้งแต่เริ่ม ใครทำได้ ชีวิตรอดปลอดภัยแน่นอน
วันใดที่ถึงทางตัน เราก็เชิญชวนให้ไปหาพระของหลวงพ่อนิพนธ์ เรียนรู้วิชาบุญของพระพุทธเจ้าที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เรียนรู้วิธีการลดนิสัยทำอย่างไร .... ฟัง พิจารณา หากเชื่อ แล้วทำตาม ก็ลองดูซิว่าผลจะเป็นอย่างไร หากดี ก็ทำต่อไป หากไม่ดี ก็ทิ้งเสีย
วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ปาฏิหาริย์
ความผิดเพี้ยน จากตำรา จากการคาดหวัง ทำให้ภาพของปาฏิหารย์ บิดเบือนไปจนไม่เหลือเค้า
ปาฏิหาริย์ในใจของมนุษย์สมัยนี้ จึงอยากเห็นเทวดาเหาะลงมาจากสวรรค์ หรือ หายตัวไปมาให้เห็น ไปจนกระทั่งทำอภิญญาจนตนเองตะลึง ก็ปานนั้น
นั่นมันปาหี่แล้วไม่ใช่ปาฏิหารย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือศาสนาแต่อย่างใด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีวันทำอย่างนั้นเป็นแน่ เพราะหากทำเช่นนั้น มนุษย์ที่ได้เข้ามาเป็นบริวาร ก็ล้วนแล้วแต่จำพวกโง่งม ไร้ซึ่งปัญญา ขาดพิจารณา ให้เห็นความจริง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีจริง และปาฏิหารย์ที่ศาสนาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แสดง ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์บนโลกนี้ทำไม่ได้ อย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องใช้ปัญญามองจึงเห็น กระนั้นก็มักจะถูกกรรมบังตา เห็นแต่ไม่รู้ ไม่คิด ก็มากมาย
สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำให้ดู ให้เห็นอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั้นคือ การนำคนป่วยมารวมกันเป็นจำนวนมาก ทำกิจกรรม โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นอะไร ไม่ต้องมีทีมแพทย์คอยวิ่งวุ่น ดูคนโน้นเป็นอันนี้ คนนั้นเป็นอย่างโน้น นั่นเอง
ทหารที่แข็งแรง ผ่านการฝึกมา เมื่อนำมารวมกัน ยังต้องมีเสนารักษ์ เผื่อไว้
ใครหน้าไหน ที่บอกว่าแน่ ลองมาทำแบบนี้ดูสิ เอาคนป่วยที่ไม่รู้จนน็อคตอนไหน มารวมกัน แล้วการันตีว่าไม่เป็นอะไร ... เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เกจิใดที่ว่าแน่ หมอที่ว่าแน่ ลองเสนอตัวมา
นี่แลปาฏิหารย์ของศาสนา แค่ทำให้คนที่มาเปลี่ยนนิสัยนิดหน่อย สร้างความสงบ ลดกิริยา แล้วมาสวดมนต์ ก็มีอำนาจเพียงพอปกป้องคนทั้งหมดทั้งปวง ไม่ให้กรรมเข้ามาทำลายได้
หากแต่ใครเล่าจะเห็น เพราะไม่เคยพิจารณา มัวแต่รอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหาะลงมาจากฟ้า จึงเชื่อ การสัมผัสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พบ จึงไร้ค่า หาไม่เจอ
แลก็ยิ่งน่าเสียดาย เมื่อมองไม่เห็น ก็ยากที่จะพิจารณาให้เกิดปัญญาแก่ตนได้ว่า นี่ขนาดเปลี่ยนนิสัยชั่วครู่ชั่วยาม ยังทำให้รอดปลอดภัย ทำกิจกรรมจนลุล่วงได้ ... ถ้ามีโอกาสได้ทำนิสัยของพระพุทธเจ้าแล้วไซร้ ผลที่จะเกิดจะมหาศาลเพียงใด
แผ่นดินของศาสนาทุกยุคทุกสมัย จึงแสดงบุญญาธิการ ด้วยการรวมคนทุกข์มาไว้ด้วยกัน ่จึงเรียกแผ่นดินของศาสนา ว่าที่ดับทุกข์ ทุกคนที่มีทุกข์ จึงเวียนว่ายเข้ามา ฟัง พิจารณา สร้างความเชื่อ แล้วทำตาม
ใครจะเชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีกระจัดกระจายทั่วไป ที่นั่นก็มี ที่โน่นก็มี ... ดิ้นรนไปกราบไหว้ ขอพร ... ท้ายที่สุด เมื่อกรรมมาถึง ทุกข์กลายเป็นโรค หันไปมองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเชื่อ ไม่มีเลยที่จะลดทุกข์ของตนได้สักกะผีก จึงรู้ว่า นั่นมันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นึกเอาเอง ก็สายไปเสียแล้ว
อำนาจธรรมของพระภูมี นั่นจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้ และก็มีที่เดียวด้วย .... หากตนของตนมีทุกข์ เชื่อถูก ทำถูก ผลถูกก็ย่อมเกิด หากสิ่งที่ตนเชื่อ ไม่มีจริง เชื่อผิด ทำผิด จะให้ความเชื่อดีสักฉันใด แค่ปวดท้องก็แก้ไม่ได้แล้ว เพราะสิ่งที่ตนเชื่อมันเป็นลม
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า หาให้เจอ ไม่ใช่ด้วยตา แต่ด้วยปัญญา สิ่งที่สร้างทุกข์นั้นเป็นอำนาจ คือ "กรรม" โลกนี้มีอะไรชนะกรรมเล่า หมอผี ลัทธิความเชื่อ เกจิคณาจารย์ หรือ ยาหมอ ... ไม่มีทาง ดังนั้น ยารักษาโรค ไม่มีหรอกในโลกนี้
ปาฏิหาริย์ในใจของมนุษย์สมัยนี้ จึงอยากเห็นเทวดาเหาะลงมาจากสวรรค์ หรือ หายตัวไปมาให้เห็น ไปจนกระทั่งทำอภิญญาจนตนเองตะลึง ก็ปานนั้น
นั่นมันปาหี่แล้วไม่ใช่ปาฏิหารย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือศาสนาแต่อย่างใด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีวันทำอย่างนั้นเป็นแน่ เพราะหากทำเช่นนั้น มนุษย์ที่ได้เข้ามาเป็นบริวาร ก็ล้วนแล้วแต่จำพวกโง่งม ไร้ซึ่งปัญญา ขาดพิจารณา ให้เห็นความจริง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีจริง และปาฏิหารย์ที่ศาสนาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แสดง ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์บนโลกนี้ทำไม่ได้ อย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องใช้ปัญญามองจึงเห็น กระนั้นก็มักจะถูกกรรมบังตา เห็นแต่ไม่รู้ ไม่คิด ก็มากมาย
สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำให้ดู ให้เห็นอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั้นคือ การนำคนป่วยมารวมกันเป็นจำนวนมาก ทำกิจกรรม โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นอะไร ไม่ต้องมีทีมแพทย์คอยวิ่งวุ่น ดูคนโน้นเป็นอันนี้ คนนั้นเป็นอย่างโน้น นั่นเอง
ทหารที่แข็งแรง ผ่านการฝึกมา เมื่อนำมารวมกัน ยังต้องมีเสนารักษ์ เผื่อไว้
ใครหน้าไหน ที่บอกว่าแน่ ลองมาทำแบบนี้ดูสิ เอาคนป่วยที่ไม่รู้จนน็อคตอนไหน มารวมกัน แล้วการันตีว่าไม่เป็นอะไร ... เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เกจิใดที่ว่าแน่ หมอที่ว่าแน่ ลองเสนอตัวมา
นี่แลปาฏิหารย์ของศาสนา แค่ทำให้คนที่มาเปลี่ยนนิสัยนิดหน่อย สร้างความสงบ ลดกิริยา แล้วมาสวดมนต์ ก็มีอำนาจเพียงพอปกป้องคนทั้งหมดทั้งปวง ไม่ให้กรรมเข้ามาทำลายได้
หากแต่ใครเล่าจะเห็น เพราะไม่เคยพิจารณา มัวแต่รอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหาะลงมาจากฟ้า จึงเชื่อ การสัมผัสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พบ จึงไร้ค่า หาไม่เจอ
แลก็ยิ่งน่าเสียดาย เมื่อมองไม่เห็น ก็ยากที่จะพิจารณาให้เกิดปัญญาแก่ตนได้ว่า นี่ขนาดเปลี่ยนนิสัยชั่วครู่ชั่วยาม ยังทำให้รอดปลอดภัย ทำกิจกรรมจนลุล่วงได้ ... ถ้ามีโอกาสได้ทำนิสัยของพระพุทธเจ้าแล้วไซร้ ผลที่จะเกิดจะมหาศาลเพียงใด
แผ่นดินของศาสนาทุกยุคทุกสมัย จึงแสดงบุญญาธิการ ด้วยการรวมคนทุกข์มาไว้ด้วยกัน ่จึงเรียกแผ่นดินของศาสนา ว่าที่ดับทุกข์ ทุกคนที่มีทุกข์ จึงเวียนว่ายเข้ามา ฟัง พิจารณา สร้างความเชื่อ แล้วทำตาม
ใครจะเชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีกระจัดกระจายทั่วไป ที่นั่นก็มี ที่โน่นก็มี ... ดิ้นรนไปกราบไหว้ ขอพร ... ท้ายที่สุด เมื่อกรรมมาถึง ทุกข์กลายเป็นโรค หันไปมองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเชื่อ ไม่มีเลยที่จะลดทุกข์ของตนได้สักกะผีก จึงรู้ว่า นั่นมันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นึกเอาเอง ก็สายไปเสียแล้ว
อำนาจธรรมของพระภูมี นั่นจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้ และก็มีที่เดียวด้วย .... หากตนของตนมีทุกข์ เชื่อถูก ทำถูก ผลถูกก็ย่อมเกิด หากสิ่งที่ตนเชื่อ ไม่มีจริง เชื่อผิด ทำผิด จะให้ความเชื่อดีสักฉันใด แค่ปวดท้องก็แก้ไม่ได้แล้ว เพราะสิ่งที่ตนเชื่อมันเป็นลม
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า หาให้เจอ ไม่ใช่ด้วยตา แต่ด้วยปัญญา สิ่งที่สร้างทุกข์นั้นเป็นอำนาจ คือ "กรรม" โลกนี้มีอะไรชนะกรรมเล่า หมอผี ลัทธิความเชื่อ เกจิคณาจารย์ หรือ ยาหมอ ... ไม่มีทาง ดังนั้น ยารักษาโรค ไม่มีหรอกในโลกนี้
วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559
เชื่อ
คำพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยนเมื่อครั้งก่อนจะละสังขาร และทิ้งตำราศาสตร์ของพระภูมีให้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ ตรัสไว้ว่า "ก็เชื่อว่าศาสตร์อันนี้ คนไทยต้องทำได้"
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็เริ่มมีแววให้เห็น ด้วยมีหลายวันที่คนได้ไปเยือนแผ่นดินลพบุรี ที่สถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา
แลวันอาทิตย์ ก็มีผู้อยากได้อาสาตน เข้ามาเรียนรู้ และบวชในหลักธรรมโลกุตตระ
เราจึงรู้สึกได้ว่า ศาสนา จะแสดงภาพให้ผู้คนประจักษ์ว่า ศาสน์สมุนไพรนั้น เป็นเพียงบันได ที่เปิดโอกาสให้คนได้สัมผัสศาสนาเท่านั้น เมื่อเลือกเดินเฉพาะทางเส้นนั้น วันหนึ่งก็ต้องถึงทางตัน
ด้วยนิสัยที่สร้างกรรมของแต่ละบุคคลยังอยู่ครบ ต้นกำเนิดยังอยู่ สิ่งที่แก้ไขคือ โรค นั้นก็เพียงแต่บริวาร วันหนึ่งก็ต้องหวนคืน
หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาให้เห็นชัด โรคเสมือนทรายปากแม่น้ำ การใช้ศาสน์สมุนไพรเพียงอย่างเดียว ก็อุปมาเสมือนตักทรายที่ปากแม่น้ำนั้นออกเสีย ก็หมดได้
หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อต้นน้ำยังอยู่ นิสัยก็จะสร้างทรายทยอยไหลมายังปากแม่น้ำ สะสม ก็กลายเป็นโรคอีก ไม่รู้จักจบจักสิ้น
ศาสนาจึงบัญญัติสิ่งที่ดีกว่า นั่นคือทางบุญ และก็ในไม่ช้า คนสองจำพวก พวกหนึ่งใช้แต่สมุนไพร กับอีกพวกหนึ่ง ใช้บุญนำและสมุนไพรตาม ผลก็จะเห็นความต่างอย่างเด่นชัด
ไม่ว่าในการหายโรค หรือ ความปลอดภัยของชีวิต
ทั้งนี้ ก็สุดแล้วแต่บุคคล จะเลือกหนทางเช่นไร ชอบความสะดวก ไม่อยากละทิ้งนิสัยเดิม ก็ไม่ว่ากัน หากแต่วันใดพิจารณาแล้ว อยากได้สุขของศาสนา หนทางบุญที่สำนักปฏิบัติธรรม ก็เปิดให้ ไปลองศึกษา พิจารณา แล้วทำ
หากใครทำได้ จะได้รู้ว่า เมื่อครั้งพระโคดม สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า และทรงอุทาน "สุขจริงหนอ" นั้นเป็นอย่างไร และเพราะเหตุใด
แลเราก็เชื่อว่า เมื่อมีหนึ่ง ก็ต้องมีสองสาม ... ตามมาอย่างแน่นอน
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็เริ่มมีแววให้เห็น ด้วยมีหลายวันที่คนได้ไปเยือนแผ่นดินลพบุรี ที่สถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา
แลวันอาทิตย์ ก็มีผู้อยากได้อาสาตน เข้ามาเรียนรู้ และบวชในหลักธรรมโลกุตตระ
เราจึงรู้สึกได้ว่า ศาสนา จะแสดงภาพให้ผู้คนประจักษ์ว่า ศาสน์สมุนไพรนั้น เป็นเพียงบันได ที่เปิดโอกาสให้คนได้สัมผัสศาสนาเท่านั้น เมื่อเลือกเดินเฉพาะทางเส้นนั้น วันหนึ่งก็ต้องถึงทางตัน
ด้วยนิสัยที่สร้างกรรมของแต่ละบุคคลยังอยู่ครบ ต้นกำเนิดยังอยู่ สิ่งที่แก้ไขคือ โรค นั้นก็เพียงแต่บริวาร วันหนึ่งก็ต้องหวนคืน
หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาให้เห็นชัด โรคเสมือนทรายปากแม่น้ำ การใช้ศาสน์สมุนไพรเพียงอย่างเดียว ก็อุปมาเสมือนตักทรายที่ปากแม่น้ำนั้นออกเสีย ก็หมดได้
หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อต้นน้ำยังอยู่ นิสัยก็จะสร้างทรายทยอยไหลมายังปากแม่น้ำ สะสม ก็กลายเป็นโรคอีก ไม่รู้จักจบจักสิ้น
ศาสนาจึงบัญญัติสิ่งที่ดีกว่า นั่นคือทางบุญ และก็ในไม่ช้า คนสองจำพวก พวกหนึ่งใช้แต่สมุนไพร กับอีกพวกหนึ่ง ใช้บุญนำและสมุนไพรตาม ผลก็จะเห็นความต่างอย่างเด่นชัด
ไม่ว่าในการหายโรค หรือ ความปลอดภัยของชีวิต
ทั้งนี้ ก็สุดแล้วแต่บุคคล จะเลือกหนทางเช่นไร ชอบความสะดวก ไม่อยากละทิ้งนิสัยเดิม ก็ไม่ว่ากัน หากแต่วันใดพิจารณาแล้ว อยากได้สุขของศาสนา หนทางบุญที่สำนักปฏิบัติธรรม ก็เปิดให้ ไปลองศึกษา พิจารณา แล้วทำ
หากใครทำได้ จะได้รู้ว่า เมื่อครั้งพระโคดม สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า และทรงอุทาน "สุขจริงหนอ" นั้นเป็นอย่างไร และเพราะเหตุใด
แลเราก็เชื่อว่า เมื่อมีหนึ่ง ก็ต้องมีสองสาม ... ตามมาอย่างแน่นอน
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559
อยากรู้
คนที่ยึดติดรูปแบบเดิมๆ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ธรรมเขาเปลี่ยนไปแล้ว แต่ยังกระทำเหมือนเดิม ในที่สุดก็จะพบว่า ผลแห่งการกระทำไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว
นี่แลจึงเป็นเหตุว่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เขียนหรือบัญญัติเป็นพระวินัยให้สงฆ์รุ่นหลังปฏิบัติ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อคนผู้หนึ่งอยู่ในช่วงต่อยุค เช่นถ้ำกระบอก กับยุคของท่าน การกระทำเดิมที่เคยทำเมื่อครั้งถ้ำกระบอก แล้วเป็นบุญ มายุคของท่านก็ไม่ใช่แล้ว
แลคำสั่งเสียก่อนลาสังขาร ก็บ่งบอกชัดเจนว่า เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ละสังขาร การกระทำที่เป็นบุญ ก็เปลี่ยนรูปแบบไปอีกเช่นกัน เหลือเพียงช่องทางเดียว คือการไปยังแผ่นดินลพบุรี เพื่อการลดนิสัย
เราจึงอยากเตือนว่า หลายคนอาจจะยังยึดติด เพราะสิ่งที่กระทำในมูลนิธิ อดีตนั้นหลวงพ่อนิพนธ์ท่านเป็นผู้กำหนด นั่นจึงมีผลบุญมายังผู้ทำ มาบัดนี้ หากทำเช่นเดิม มันไม่เป็นบุญแล้ว จะมีก็แต่ทาน หรือ กรรมดี เท่านั้นเอง
อยากได้บุญ อยากเรียนรู้หนทางบุญ จึงต้องถ่อสังขารไปลพบุรี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มูลนิธิไทยกรุณา ก็จะเหลือเพียงอำนาจแห่งสมุนไพร เท่านั้นเอง
ความอยากรู้ของเราจึงประดังขึ้นมาว่า เมื่อผลแห่งบุญเปลี่ยนไปดังนี้แล้วไซร้ จะมีกี่คนที่อยากได้บุญ แล้วพาตนไปยังลพบุรี เพื่อเรียนรู้ แล้วปฏิบัติ เพื่อลดนิสัย ให้เป็นบุญ
นี่ จึงเป็นความท้าทาย ที่่ผู้ปฏิบัติ จะต้องแสดงให้คนประจักษ์ แต่จะมีใคร ที่แสดงตนอยากได้ แต่ก็เชื่อว่า ผู้ทำได้ ย่อมได้ผลอันมหาศาล เรื่องหายโรคนั้น เลยไปเลย ไม่ต้องพูด เพราะเป็นของแถมที่ศาสนาเขาให้ หากคนผู้นั้น ปฏิบัติตน ลดนิสัย และเป็นคนดีในแบบของศาสนาได้
แล้วคนเหล่านั้นจะรู้ว่า หนทางนี้ แม้นจะลำบากกว่า แต่การหายโรคนั้น เร็วดังปาฏิหาริย์
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เชื่อว่า ต้องมีคนอยากได้ อยากทำ อย่างแน่นอน
วันหนึ่ง หากผู้ใดที่ใช้แนวทางสมุนไพรอย่างเดียวแล้วมาถึงทางตัน หนทางนี้ ก็เป็นทางที่ศาสนาทิ้งไว้ให้ เป็นทางเลือก
นี่แลจึงเป็นเหตุว่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เขียนหรือบัญญัติเป็นพระวินัยให้สงฆ์รุ่นหลังปฏิบัติ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อคนผู้หนึ่งอยู่ในช่วงต่อยุค เช่นถ้ำกระบอก กับยุคของท่าน การกระทำเดิมที่เคยทำเมื่อครั้งถ้ำกระบอก แล้วเป็นบุญ มายุคของท่านก็ไม่ใช่แล้ว
แลคำสั่งเสียก่อนลาสังขาร ก็บ่งบอกชัดเจนว่า เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ละสังขาร การกระทำที่เป็นบุญ ก็เปลี่ยนรูปแบบไปอีกเช่นกัน เหลือเพียงช่องทางเดียว คือการไปยังแผ่นดินลพบุรี เพื่อการลดนิสัย
เราจึงอยากเตือนว่า หลายคนอาจจะยังยึดติด เพราะสิ่งที่กระทำในมูลนิธิ อดีตนั้นหลวงพ่อนิพนธ์ท่านเป็นผู้กำหนด นั่นจึงมีผลบุญมายังผู้ทำ มาบัดนี้ หากทำเช่นเดิม มันไม่เป็นบุญแล้ว จะมีก็แต่ทาน หรือ กรรมดี เท่านั้นเอง
อยากได้บุญ อยากเรียนรู้หนทางบุญ จึงต้องถ่อสังขารไปลพบุรี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มูลนิธิไทยกรุณา ก็จะเหลือเพียงอำนาจแห่งสมุนไพร เท่านั้นเอง
ความอยากรู้ของเราจึงประดังขึ้นมาว่า เมื่อผลแห่งบุญเปลี่ยนไปดังนี้แล้วไซร้ จะมีกี่คนที่อยากได้บุญ แล้วพาตนไปยังลพบุรี เพื่อเรียนรู้ แล้วปฏิบัติ เพื่อลดนิสัย ให้เป็นบุญ
นี่ จึงเป็นความท้าทาย ที่่ผู้ปฏิบัติ จะต้องแสดงให้คนประจักษ์ แต่จะมีใคร ที่แสดงตนอยากได้ แต่ก็เชื่อว่า ผู้ทำได้ ย่อมได้ผลอันมหาศาล เรื่องหายโรคนั้น เลยไปเลย ไม่ต้องพูด เพราะเป็นของแถมที่ศาสนาเขาให้ หากคนผู้นั้น ปฏิบัติตน ลดนิสัย และเป็นคนดีในแบบของศาสนาได้
แล้วคนเหล่านั้นจะรู้ว่า หนทางนี้ แม้นจะลำบากกว่า แต่การหายโรคนั้น เร็วดังปาฏิหาริย์
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เชื่อว่า ต้องมีคนอยากได้ อยากทำ อย่างแน่นอน
วันหนึ่ง หากผู้ใดที่ใช้แนวทางสมุนไพรอย่างเดียวแล้วมาถึงทางตัน หนทางนี้ ก็เป็นทางที่ศาสนาทิ้งไว้ให้ เป็นทางเลือก
วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559
หลวงพ่อใหญ่
หากลองนึกจินตนาการดู การที่แม่ชีรูปหนึ่ง จะทำให้คนทั้งหลายทั้งปวง ยอมรับ จนเรียกขานว่า "หลวงพ่อใหญ่" นั้น คงเป็นไปได้ยาก หรือไม่ได้เลย
แต่แม่ชีเมี้ยนทำได้
ก็แล้วอะไรเล่าที่คนทั้งหลายทั้งปวง เห็น พิจารณา แล้วเชื่อ จนต้องยอมรับทั้งกาย ทั้งใจ
หากจะมองไปทางฤทธิ์ ก็เห็นได้จากการที่ต้องจำใจมาบวชของสิบตรีจำรูญ นั่นเอง ที่เรียกว่า เป็นลูกน้องคนสนิท ของ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ในยุคนั้น ด้วยเหตุที่ว่า สามารถจับกุม หรือ ทำคดีใหญ่ๆได้สำเร็จมากมาย
หากแต่เบื้องหลังที่เปิดเผยภาคหลัง ก็เนื่องด้วยทุกครั้งที่มีคดี สิบตรีจำรูญต้องวิ่งมาหาพระน้องชาย คือ ท่านเจริญ ให้ไปบอกแม่ชีเมี้ยนให้ช่วยดูให้ทีว่า เป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนนั่นเอง
หากย้อนไปก่อนการทิ้งครอบครัวไปบวชชี หากใครมีอายุเข้าวัยชรา คือ ประมาณ เกือบแปดสิบปี ที่มีรกรากอยู่ในบริเวณคลองเตย ในยุคของการทิ้งระเบิดกรุงเทพ ก็คงจำภาพได้ดีว่า พ่อแม่ของตน ต้องพาวิ่งหลบลูกระเบิดเมื่อมีเสียงหวูดดังเตือน
แลก็คงประหลาดใจว่า ทำไมพ่อแม่ไม่พาไปยังหลุมหลบภัยที่ทางการสร้างให้ แต่พากันไปหลบใต้ถุนบ้านยายเมี้ยนแทน
แลคำเล่าขานต่อมาจนยุคปัจจุบัน ก็คือ ภาพที่คนเหล่านั้น เห็นลูกระเบิดหล่นมา แต่มีมือใหญ่มหึมาปัดออกไปพ้นบ้านนั่นเอง จึงทำให้ทุกคนเชื่อมั่น และพาลูกหลานมาหลบและก็ปลอดภัยทุกครั้ง
หากย้อนกลับมา ครั้งหลวงพ่อนิพนธ์ที่ถูกจับมาบวชเณร ก็ตั้งใจว่า เมื่อครบเดือนตามที่ตนให้สัญญา ก็จะลาสิกขา ด้วยอยากจะไปเรียนหมอตามพรรคพวก ด้วยความที่ตนเองและผองเพื่อนเป็นนักเรียนหัวดีนั่นเอง
แม่ชีเมี้ยนจึงต้องแสดงอภิญญาให้หลวงพ่อนิพนธ์เห็น จนต้องเชื่อว่า แม่ของตนไม่ใช่คนธรรมดา พร้อมกับคำบอกที่ว่า หากลูกอยากช่วยคน การไปเรียนหมอนั้น ไม่สามารถสำเร็จตามความตั้งใจแน่ หากมาเรียนตำราสมุนไพรของแม่ นั่นแลจึงจะช่วยคนได้
หากแต่ที่คนทั้งหลายและพระต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง ด้วยความที่แม่ชีเมี้ยนนั้น เขียนหนังสือไม่ได้ อ่านไม่ออก ไม่เคยเข้าโรงเรียน แต่สามารถบอกบทสวด ให้พระจด แล้วใช้สวด เป็นร้อยๆบท เรียกว่า พระจดไม่ทันก็แล้วกัน
แลยิ่งไปกว่านั้น พระถ้ำกระบอก จะมีบทสวดเฉพาะตน ที่เรียก บทสำรวม แต่ละองค์ไม่เหมือนกัน ใช้เฉพาะตัว ยิ่งน่าฉงนยิ่ง เพราะแม่ชีเมี้ยนสามารถให้ตามแต่ละบุคคล แต่ละเชื้อชาติ เรียกว่ามีให้ทุกภาษาเลยทีเดียว
การทำให้คนทั้งหลายทั้งปวงยอมรับนั้นยากยิ่ง โดยเฉพาะวัตรปฏิบัติของพระที่นำมาสอน แตกต่างจากพระทั่วไปอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อคนทั้งปวงไม่ว่า ชนชั้นใด เมื่อทำแล้ว ก็รู้ได้ว่า เป็นไปตามวิถีของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง จึงปฏิบัติตามกันอย่างสนิทใจ
ครั้นเมื่อโดนข้อหาสารพัดในยุคของสฤษด์ ธนะรัชต์ แลสั่งให้เสธทวี มาทำการตรวจสอบ ก็พบว่า พระที่บวช มีทั้งโจรดัง ที่เรียกว่า คนแถววิเศษชัยชาญ อ่างทอง แค่ได้ยินชื่อก็ผวา มีคนเสพยาเลิกได้ก็มาบวช มีข้าราชการระดับสูงก็มากมี รวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ก็ยังมี แลทุกคนก็พูดกันเป็นเสียงเดียว ว่าคำสอนนี้ดีนักหนา ทำให้คนกลายเป็นคนดี เป็นพระดี
แลที่คนทั้งโลกต้องยอมรับ นั่นคือ ตำราสมุนไพร ที่เมื่อพระถาม บอกเล่าอาการของโยมให้ฟัง แม่ชีเมี้ยน ก็สามารถพูดให้จดได้ทันทีทันใด แล้วให้พระนำไปทำ เพื่อช่วยคนเหล่านั้น โดยเฉพาะคนป่วยยาเสพติด ที่แม้นแต่สหรัฐ อังกฤษ แลอื่นๆ ส่งรถแลป มาทำการตรวจสอบถึงถ้ำกระบอกเลย และให้การรับรอง จนกระทั่งกลายเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการบำบัดอย่างเป็นทางการ
คำว่า "หลวงพ่อใหญ๋" จึงผ่านการพิสูจน์มาแล้ว จากหลายภาคส่วน แลผลงานก็เป็นที่ประจักษ์ จึงวางใจได้ สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เราท่านจึงไม่ใช่หนูทดลอง ไม่เคยมีปรากฎการณ์ที่ทานสมุนไพรนี้แล้ว ให้โทษแก่ผู้ทาน
แลยิ่งไปกว่านั้น คำสอนที่นำมาให้ปฏิบัติ ก็ทำให้ผู้ทำ สามารถช่วยตน ตามสิ่งที่หวัง ได้มาแล้วมากมาย
จนมีคำเปรียบเทียบว่า คำสอนนี้ เมื่อทำได้ เหมือนแก้วสารพัดนึก อยากได้อะไร ก็ได้สมปรารถนา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่าง นายพลทหารท่านหนึ่ง ที่เรียนจบด้านบัญชี จากธรรมศาสตร์ แล้วมารับราชการ จนใกล้เกษียณ ตำแหน่งก็มาถึงพลตรี หากแต่มีความหวังที่อยากให้ตนเป็นพลเอก แต่ก็ทราบดีว่า ด้วยระบบและสายที่ตนเรียนจบ คงเป็นไปไม่ได้
ความปรารถนาอันนี้ จึงมาเอ่ยกับหลวงพ่อนิพนธ์ในขณะนั้น แลไปถึงแม่ชีเมี้ยน ทรงตรัสว่า คนเราหากอยากได้สิ่งใด ก็สร้างวาสนาไว้สิ หากวาสนาถึง สิ่งที่ปรารถนาก็จักได้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกลับไปกล่าวกับนายพลท่านนั้น ให้มาถ้ำกระบอกทุกสัปดาห์ มาช่วยเทกระโถน อาบน้ำ ดูแลคนป่วยยาเสพติด เพื่อเป็นวาสนา หากทำถึงมันก็จะได้เอง แม้นไม่รู้ว่าจะได้โดยวิธีใด
แลในสุดท้ายของวัยเกษียณ นายพลท่านนั้น ก็ได้เลื่อนยศจนเป็นพลเอกสมใจ แลเป็นพลเอกคนเดียวของประเทศ ที่มาจากสายบัญชี จนทุกวันนี้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนนำมาส่งให้ เป็นของจริง มีผลงานให้เห็นประจักษ์อย่างมากมาย หากแต่ ต้องทำเอง ใครทำ ใครได้ ...
แลหลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า หลักของพระภูมี ใครก็ช่วยใครไม่ได้ ท่านได้เพียงแต่พูดให้พิจารณา เชื่อ แล้วก็ทำตาม ยิ่งมายุคนี้ด้วยแล้ว ผู้ทำคือลูกของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงมีหน้าที่ชี้ แลก็ทำสมุนไพรให้ ส่วนธรรมคำสอน ก็ต้องไปเรียนกับพระของหลวงพ่อนิพนธ์ ในแผ่นดินบุญที่ลพบุรี ส่วนจะทำไม่ทำ ก็ต้องตัดสินใจเอง ไม่มีใครบังคับ ชอบแบบไหน ทำแบบนั้น
คำ "หลวงพ่อใหญ่" น่าจะเป็นเครื่องการันตีได้ว่า ธรรมของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ไม่ธรรมดา ทุกข์ของมนุษย์ที่หนทางทางโลกแก้ไม่ได้ แก้ไม่ตก ทำไมไม่ไปลองทำ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แล้วจะพบว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ปาฏิหารย์มีจริง ใครทำตามได้ ก็สัมผัสได้
แต่แม่ชีเมี้ยนทำได้
ก็แล้วอะไรเล่าที่คนทั้งหลายทั้งปวง เห็น พิจารณา แล้วเชื่อ จนต้องยอมรับทั้งกาย ทั้งใจ
หากจะมองไปทางฤทธิ์ ก็เห็นได้จากการที่ต้องจำใจมาบวชของสิบตรีจำรูญ นั่นเอง ที่เรียกว่า เป็นลูกน้องคนสนิท ของ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ในยุคนั้น ด้วยเหตุที่ว่า สามารถจับกุม หรือ ทำคดีใหญ่ๆได้สำเร็จมากมาย
หากแต่เบื้องหลังที่เปิดเผยภาคหลัง ก็เนื่องด้วยทุกครั้งที่มีคดี สิบตรีจำรูญต้องวิ่งมาหาพระน้องชาย คือ ท่านเจริญ ให้ไปบอกแม่ชีเมี้ยนให้ช่วยดูให้ทีว่า เป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนนั่นเอง
หากย้อนไปก่อนการทิ้งครอบครัวไปบวชชี หากใครมีอายุเข้าวัยชรา คือ ประมาณ เกือบแปดสิบปี ที่มีรกรากอยู่ในบริเวณคลองเตย ในยุคของการทิ้งระเบิดกรุงเทพ ก็คงจำภาพได้ดีว่า พ่อแม่ของตน ต้องพาวิ่งหลบลูกระเบิดเมื่อมีเสียงหวูดดังเตือน
แลก็คงประหลาดใจว่า ทำไมพ่อแม่ไม่พาไปยังหลุมหลบภัยที่ทางการสร้างให้ แต่พากันไปหลบใต้ถุนบ้านยายเมี้ยนแทน
แลคำเล่าขานต่อมาจนยุคปัจจุบัน ก็คือ ภาพที่คนเหล่านั้น เห็นลูกระเบิดหล่นมา แต่มีมือใหญ่มหึมาปัดออกไปพ้นบ้านนั่นเอง จึงทำให้ทุกคนเชื่อมั่น และพาลูกหลานมาหลบและก็ปลอดภัยทุกครั้ง
หากย้อนกลับมา ครั้งหลวงพ่อนิพนธ์ที่ถูกจับมาบวชเณร ก็ตั้งใจว่า เมื่อครบเดือนตามที่ตนให้สัญญา ก็จะลาสิกขา ด้วยอยากจะไปเรียนหมอตามพรรคพวก ด้วยความที่ตนเองและผองเพื่อนเป็นนักเรียนหัวดีนั่นเอง
แม่ชีเมี้ยนจึงต้องแสดงอภิญญาให้หลวงพ่อนิพนธ์เห็น จนต้องเชื่อว่า แม่ของตนไม่ใช่คนธรรมดา พร้อมกับคำบอกที่ว่า หากลูกอยากช่วยคน การไปเรียนหมอนั้น ไม่สามารถสำเร็จตามความตั้งใจแน่ หากมาเรียนตำราสมุนไพรของแม่ นั่นแลจึงจะช่วยคนได้
หากแต่ที่คนทั้งหลายและพระต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง ด้วยความที่แม่ชีเมี้ยนนั้น เขียนหนังสือไม่ได้ อ่านไม่ออก ไม่เคยเข้าโรงเรียน แต่สามารถบอกบทสวด ให้พระจด แล้วใช้สวด เป็นร้อยๆบท เรียกว่า พระจดไม่ทันก็แล้วกัน
แลยิ่งไปกว่านั้น พระถ้ำกระบอก จะมีบทสวดเฉพาะตน ที่เรียก บทสำรวม แต่ละองค์ไม่เหมือนกัน ใช้เฉพาะตัว ยิ่งน่าฉงนยิ่ง เพราะแม่ชีเมี้ยนสามารถให้ตามแต่ละบุคคล แต่ละเชื้อชาติ เรียกว่ามีให้ทุกภาษาเลยทีเดียว
การทำให้คนทั้งหลายทั้งปวงยอมรับนั้นยากยิ่ง โดยเฉพาะวัตรปฏิบัติของพระที่นำมาสอน แตกต่างจากพระทั่วไปอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อคนทั้งปวงไม่ว่า ชนชั้นใด เมื่อทำแล้ว ก็รู้ได้ว่า เป็นไปตามวิถีของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง จึงปฏิบัติตามกันอย่างสนิทใจ
ครั้นเมื่อโดนข้อหาสารพัดในยุคของสฤษด์ ธนะรัชต์ แลสั่งให้เสธทวี มาทำการตรวจสอบ ก็พบว่า พระที่บวช มีทั้งโจรดัง ที่เรียกว่า คนแถววิเศษชัยชาญ อ่างทอง แค่ได้ยินชื่อก็ผวา มีคนเสพยาเลิกได้ก็มาบวช มีข้าราชการระดับสูงก็มากมี รวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ก็ยังมี แลทุกคนก็พูดกันเป็นเสียงเดียว ว่าคำสอนนี้ดีนักหนา ทำให้คนกลายเป็นคนดี เป็นพระดี
แลที่คนทั้งโลกต้องยอมรับ นั่นคือ ตำราสมุนไพร ที่เมื่อพระถาม บอกเล่าอาการของโยมให้ฟัง แม่ชีเมี้ยน ก็สามารถพูดให้จดได้ทันทีทันใด แล้วให้พระนำไปทำ เพื่อช่วยคนเหล่านั้น โดยเฉพาะคนป่วยยาเสพติด ที่แม้นแต่สหรัฐ อังกฤษ แลอื่นๆ ส่งรถแลป มาทำการตรวจสอบถึงถ้ำกระบอกเลย และให้การรับรอง จนกระทั่งกลายเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการบำบัดอย่างเป็นทางการ
คำว่า "หลวงพ่อใหญ๋" จึงผ่านการพิสูจน์มาแล้ว จากหลายภาคส่วน แลผลงานก็เป็นที่ประจักษ์ จึงวางใจได้ สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เราท่านจึงไม่ใช่หนูทดลอง ไม่เคยมีปรากฎการณ์ที่ทานสมุนไพรนี้แล้ว ให้โทษแก่ผู้ทาน
แลยิ่งไปกว่านั้น คำสอนที่นำมาให้ปฏิบัติ ก็ทำให้ผู้ทำ สามารถช่วยตน ตามสิ่งที่หวัง ได้มาแล้วมากมาย
จนมีคำเปรียบเทียบว่า คำสอนนี้ เมื่อทำได้ เหมือนแก้วสารพัดนึก อยากได้อะไร ก็ได้สมปรารถนา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่าง นายพลทหารท่านหนึ่ง ที่เรียนจบด้านบัญชี จากธรรมศาสตร์ แล้วมารับราชการ จนใกล้เกษียณ ตำแหน่งก็มาถึงพลตรี หากแต่มีความหวังที่อยากให้ตนเป็นพลเอก แต่ก็ทราบดีว่า ด้วยระบบและสายที่ตนเรียนจบ คงเป็นไปไม่ได้
ความปรารถนาอันนี้ จึงมาเอ่ยกับหลวงพ่อนิพนธ์ในขณะนั้น แลไปถึงแม่ชีเมี้ยน ทรงตรัสว่า คนเราหากอยากได้สิ่งใด ก็สร้างวาสนาไว้สิ หากวาสนาถึง สิ่งที่ปรารถนาก็จักได้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกลับไปกล่าวกับนายพลท่านนั้น ให้มาถ้ำกระบอกทุกสัปดาห์ มาช่วยเทกระโถน อาบน้ำ ดูแลคนป่วยยาเสพติด เพื่อเป็นวาสนา หากทำถึงมันก็จะได้เอง แม้นไม่รู้ว่าจะได้โดยวิธีใด
แลในสุดท้ายของวัยเกษียณ นายพลท่านนั้น ก็ได้เลื่อนยศจนเป็นพลเอกสมใจ แลเป็นพลเอกคนเดียวของประเทศ ที่มาจากสายบัญชี จนทุกวันนี้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนนำมาส่งให้ เป็นของจริง มีผลงานให้เห็นประจักษ์อย่างมากมาย หากแต่ ต้องทำเอง ใครทำ ใครได้ ...
แลหลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า หลักของพระภูมี ใครก็ช่วยใครไม่ได้ ท่านได้เพียงแต่พูดให้พิจารณา เชื่อ แล้วก็ทำตาม ยิ่งมายุคนี้ด้วยแล้ว ผู้ทำคือลูกของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงมีหน้าที่ชี้ แลก็ทำสมุนไพรให้ ส่วนธรรมคำสอน ก็ต้องไปเรียนกับพระของหลวงพ่อนิพนธ์ ในแผ่นดินบุญที่ลพบุรี ส่วนจะทำไม่ทำ ก็ต้องตัดสินใจเอง ไม่มีใครบังคับ ชอบแบบไหน ทำแบบนั้น
คำ "หลวงพ่อใหญ่" น่าจะเป็นเครื่องการันตีได้ว่า ธรรมของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ไม่ธรรมดา ทุกข์ของมนุษย์ที่หนทางทางโลกแก้ไม่ได้ แก้ไม่ตก ทำไมไม่ไปลองทำ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แล้วจะพบว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ปาฏิหารย์มีจริง ใครทำตามได้ ก็สัมผัสได้
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ฤาจะเลือกที่จะเชื่อ
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า ด้วยตัวกระทำของเราท่าน ที่มีมาแต่ในอดีตยุคพระโคดม ตัวกระทำอันนี้ ก็ใช้ทุกข์ที่เรามีเป็นเหตุให้เวียนว่ายมาหา
แลชี้ให้เห็นว่า ตัวกระทำของเรานั้น ไม่ตาย เมื่อทำแล้วรอเราอยู่ในวันข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นกระทำดี หรือ กระทำชั่วก็ตามที
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อมาพานพบศาสนา จึงต้องเรียนรู้ พิจารณาแล้วทำ หากแต่จะเป็นเช่นนั้นได้ ย่อมต้องมีความเชื่อเสียก่อน
หากแต่ถ้าเราท่านทั้งหลาย ไม่เชื่อว่าทุกคนตายแล้วเกิด กรรมมีจริง ตัวกระทำมีจริง เมื่อคิดเช่นนั้น การกระทำในวันนี้ ทำแล้วย่อมจบสิ้น ศาสนาก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ
ความเป็นจริง ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจตน ว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่ก็พยายามจะหลอกตน จึงคิดที่จะพึ่งผู้อืน เป็นนิสัย
การหลอกตัวเอง จึงสะสมมาแต่เด็ก ตอนล้มเจ็บ พ่อแม่ก็เป่าพ่วง แล้วก็หายเจ็บ ก็คิดว่าการเจ็บนั้นหายด้วยการเป่านั้น แท้จริงแล้ว ความเจ็บมีเพียงเล็กน้อย แต่ร้องเพื่อให้พ่อแม่เอาใจต่างหาก จักเห็นได้ว่า เมื่อร้องก็จะมองหา มีใครสนใจไหม ร้องไปนานๆ ยังไม่มีคนสนใจ ก็เลิกร้องไปเอง ไม่ได้ร้องเพราะความเจ็บนั้นเลย เพราะถ้ายังเจ็บก็คงร้องไม่มีหยุด ถึงพ่อแม่จะมาก็ตามที
พอโตมา ก็เริ่มซึมซับ เป็นอะไร ก็ทานยา กินปุ๊บหายปั๊บ ก็เชื่อว่า หมอดี ยาดี หรือจะไปเข้าทรงองค์เจ้า หาพระ สารพันยา หรือไปทำพิธี ก็ด้วยพรหมลิขิตยังมีอยู่ ทำอะไรมันก็หาย ก็ยิ่งผูกพันธ์ ว่าสิ่งนั้นแลพึ่งได้
วันเวลาผ่านไปนานเข้า ยิ่งเดินเลย ตนของตน ไปจนกู่ไม่กลับ
ท้ายที่สุด ก็กลายเป็นความเชื่อมั่นที่ผิด ว่าไม่ต้องกลัว เป็นอะไร ไปทำอย่างโน้นสิ ช่วยได้ เป็นโรค หมอนั่นช่วยได้ .... จวบจนความจริงปรากฎ เมื่อหนทางความเชื่อที่มีค่อยๆถูกปิดไปทีละบาน
เมื่อมาถึงหลวงพ่อนิพนธ์ ก็ชี้ให้เห็นว่า ต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย พระภูมีทรงตรัสว่า "มีมาแต่กรรมที่ทำมานั่นเอง"
ด้วยกรรมในอดีตส่งผลมาปัจจุบัน แลนั่นก็หมายความว่า เราท่านจะต้องตายแล้วเกิด เป็นวัฐจักรก็เพื่อไปเสวยกรรมที่ทำในชาตินี้นั่นเอง
หากเราท่านไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิด ศาสนาก็บ่มีไก๊ ไม่มีค่าอันใดแก่เราท่านเลย เมื่อทุกข์มาถึง คนบางคน ก็พาลหนี บอกว่า ฉันจะฆ่าตัวตาย จะได้จบๆ ....
ถ้ามันจบก็ดี โลกนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีคำสอนใดๆ ทุกคนทำตามนิสัยตน แสวงหาเงินทอง เพื่อเสวยสุข ไม่ต้องสนว่าโดยวิธีใด
นิสัยมนุษย์ จึงชอบอ้างเวลากรรมดีมาถึง ก็บอกว่านั่นของฉัน และยิ้มรับเต็มใจ แต่เวลากรรมชั่วมาถึง ก็ปฏิเสธ แต่จะปฏิเสธสักฉันใด ทุกข์อันนั้นก็หาไปจากเราไม่
มา ณ วันนี้ จึงเป็นบทพิสูจน์ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ แต่กรรมก็มีจริง มีอำนาจจริง และที่สำคัญ ใครก็ช่วยตนของเราไม่ได้ คำอวดอ้างว่า ช่วยได้ รักษาได้ ก็เป็นเพียงคำโกหก เพื่อล้วงเงินออกจากกระเป๋าเท่านั้นเอง
หากคิดจะช่วยตน สิ่งแรกที่ต้องยอมรับ ก็คือเรื่องกรรม แลธรรมนั้นก็มีจริง หาให้เจอ เมื่อเจอแล้ว จะพบว่า หนทางที่ใช้ดับทุกข์ มีเพียงวิธีเดียว นั่นคือ "พึ่งตนเอง"
หลวงพ่อนิพนธ์ท่านก็ได้แค่สอน และชี้ทาง ประกอบกับมีสมุนไพรเป็นพี่เลี้ยงคอยประคองได้ช่วงหนึ่ง เท่านั้นเอง
สถานที่นี้ จึงไม่มีหมอ ไม่มีใครช่วยใครได้ หากจะถามว่า เมื่อไหรหายโรค ก็ต้องย้อนกลับไปถามตนเองว่า เมื่อไหรจะทำตามศาสนาชี้ได้ นั่นเอง
หากเลือกจะเชื่อเฉพาะว่าสมุนไพรดี ต้องช่วยตนได้ เลือกเชื่อว่าตนทำบุญเก่ามาดี เลือกเชื่อว่าสิ่งที่เป็นหาใช่กรรมของตนไม่ การหายโรคก็คงอาจเป็นเพียงได้แค่ความฝัน ที่ไม่อาจเป็นจริงได้ เท่านั้นเอง
หากวันนี้ เริ่มจะเชื่อว่า กรรมมีจริง แลกรรมอันนั้นส่งผลให้เราแล้ว ณ วันนี้ ก็ยังไม่สาย ที่จะมาเรียนหนทางบุญ แล้วเริ่มทำนิสัยธรรม ทิ้งความเชื่อว่าผู้อื่นจะช่วยตนของเราได้ แล้วหันมาช่วยตนด้วยตนเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การหายโรคนั้นกระจอก ไม่จำเป็นต้องใส่ใจโรคมากนัก เพราะมันแค่ลิ่วล้อ บริวารกรรม เล่นตัวแม่ โค่นตัวแม่กันดีกว่า แม่ตายบริวารมันก็ต้องอยู่ไม่ได้ นั่นคือ มาพูดเรื่องนิสัยกันดีกว่า ....
แลชี้ให้เห็นว่า ตัวกระทำของเรานั้น ไม่ตาย เมื่อทำแล้วรอเราอยู่ในวันข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นกระทำดี หรือ กระทำชั่วก็ตามที
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อมาพานพบศาสนา จึงต้องเรียนรู้ พิจารณาแล้วทำ หากแต่จะเป็นเช่นนั้นได้ ย่อมต้องมีความเชื่อเสียก่อน
หากแต่ถ้าเราท่านทั้งหลาย ไม่เชื่อว่าทุกคนตายแล้วเกิด กรรมมีจริง ตัวกระทำมีจริง เมื่อคิดเช่นนั้น การกระทำในวันนี้ ทำแล้วย่อมจบสิ้น ศาสนาก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ
ความเป็นจริง ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจตน ว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่ก็พยายามจะหลอกตน จึงคิดที่จะพึ่งผู้อืน เป็นนิสัย
การหลอกตัวเอง จึงสะสมมาแต่เด็ก ตอนล้มเจ็บ พ่อแม่ก็เป่าพ่วง แล้วก็หายเจ็บ ก็คิดว่าการเจ็บนั้นหายด้วยการเป่านั้น แท้จริงแล้ว ความเจ็บมีเพียงเล็กน้อย แต่ร้องเพื่อให้พ่อแม่เอาใจต่างหาก จักเห็นได้ว่า เมื่อร้องก็จะมองหา มีใครสนใจไหม ร้องไปนานๆ ยังไม่มีคนสนใจ ก็เลิกร้องไปเอง ไม่ได้ร้องเพราะความเจ็บนั้นเลย เพราะถ้ายังเจ็บก็คงร้องไม่มีหยุด ถึงพ่อแม่จะมาก็ตามที
พอโตมา ก็เริ่มซึมซับ เป็นอะไร ก็ทานยา กินปุ๊บหายปั๊บ ก็เชื่อว่า หมอดี ยาดี หรือจะไปเข้าทรงองค์เจ้า หาพระ สารพันยา หรือไปทำพิธี ก็ด้วยพรหมลิขิตยังมีอยู่ ทำอะไรมันก็หาย ก็ยิ่งผูกพันธ์ ว่าสิ่งนั้นแลพึ่งได้
วันเวลาผ่านไปนานเข้า ยิ่งเดินเลย ตนของตน ไปจนกู่ไม่กลับ
ท้ายที่สุด ก็กลายเป็นความเชื่อมั่นที่ผิด ว่าไม่ต้องกลัว เป็นอะไร ไปทำอย่างโน้นสิ ช่วยได้ เป็นโรค หมอนั่นช่วยได้ .... จวบจนความจริงปรากฎ เมื่อหนทางความเชื่อที่มีค่อยๆถูกปิดไปทีละบาน
เมื่อมาถึงหลวงพ่อนิพนธ์ ก็ชี้ให้เห็นว่า ต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย พระภูมีทรงตรัสว่า "มีมาแต่กรรมที่ทำมานั่นเอง"
ด้วยกรรมในอดีตส่งผลมาปัจจุบัน แลนั่นก็หมายความว่า เราท่านจะต้องตายแล้วเกิด เป็นวัฐจักรก็เพื่อไปเสวยกรรมที่ทำในชาตินี้นั่นเอง
หากเราท่านไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิด ศาสนาก็บ่มีไก๊ ไม่มีค่าอันใดแก่เราท่านเลย เมื่อทุกข์มาถึง คนบางคน ก็พาลหนี บอกว่า ฉันจะฆ่าตัวตาย จะได้จบๆ ....
ถ้ามันจบก็ดี โลกนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีคำสอนใดๆ ทุกคนทำตามนิสัยตน แสวงหาเงินทอง เพื่อเสวยสุข ไม่ต้องสนว่าโดยวิธีใด
นิสัยมนุษย์ จึงชอบอ้างเวลากรรมดีมาถึง ก็บอกว่านั่นของฉัน และยิ้มรับเต็มใจ แต่เวลากรรมชั่วมาถึง ก็ปฏิเสธ แต่จะปฏิเสธสักฉันใด ทุกข์อันนั้นก็หาไปจากเราไม่
มา ณ วันนี้ จึงเป็นบทพิสูจน์ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ แต่กรรมก็มีจริง มีอำนาจจริง และที่สำคัญ ใครก็ช่วยตนของเราไม่ได้ คำอวดอ้างว่า ช่วยได้ รักษาได้ ก็เป็นเพียงคำโกหก เพื่อล้วงเงินออกจากกระเป๋าเท่านั้นเอง
หากคิดจะช่วยตน สิ่งแรกที่ต้องยอมรับ ก็คือเรื่องกรรม แลธรรมนั้นก็มีจริง หาให้เจอ เมื่อเจอแล้ว จะพบว่า หนทางที่ใช้ดับทุกข์ มีเพียงวิธีเดียว นั่นคือ "พึ่งตนเอง"
หลวงพ่อนิพนธ์ท่านก็ได้แค่สอน และชี้ทาง ประกอบกับมีสมุนไพรเป็นพี่เลี้ยงคอยประคองได้ช่วงหนึ่ง เท่านั้นเอง
สถานที่นี้ จึงไม่มีหมอ ไม่มีใครช่วยใครได้ หากจะถามว่า เมื่อไหรหายโรค ก็ต้องย้อนกลับไปถามตนเองว่า เมื่อไหรจะทำตามศาสนาชี้ได้ นั่นเอง
หากเลือกจะเชื่อเฉพาะว่าสมุนไพรดี ต้องช่วยตนได้ เลือกเชื่อว่าตนทำบุญเก่ามาดี เลือกเชื่อว่าสิ่งที่เป็นหาใช่กรรมของตนไม่ การหายโรคก็คงอาจเป็นเพียงได้แค่ความฝัน ที่ไม่อาจเป็นจริงได้ เท่านั้นเอง
หากวันนี้ เริ่มจะเชื่อว่า กรรมมีจริง แลกรรมอันนั้นส่งผลให้เราแล้ว ณ วันนี้ ก็ยังไม่สาย ที่จะมาเรียนหนทางบุญ แล้วเริ่มทำนิสัยธรรม ทิ้งความเชื่อว่าผู้อื่นจะช่วยตนของเราได้ แล้วหันมาช่วยตนด้วยตนเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การหายโรคนั้นกระจอก ไม่จำเป็นต้องใส่ใจโรคมากนัก เพราะมันแค่ลิ่วล้อ บริวารกรรม เล่นตัวแม่ โค่นตัวแม่กันดีกว่า แม่ตายบริวารมันก็ต้องอยู่ไม่ได้ นั่นคือ มาพูดเรื่องนิสัยกันดีกว่า ....
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559
สถานภาพกับเหตุ
ในการฟื้นฟูตนด้วยศาสตร์ของพระภูมีนั้น หากจะมองหนทางแห่งความสำเร็จ จะมองจากสภาพที่เราท่านเป็นนั้นไม่ได้เลย
ด้วยมูลเหตุที่มา เกิดจากกรรมในอดีต แลอาจจะรวมมาถึงปัจจุบันที่ส่งผล
หากมองในทางกลับกัน หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า ผลบุญในอดีตที่เราท่านทำมา มันก็มีเช่นกัน
ดังนั้น เหตุหรือความหนักเบาที่มองเห็น จะดูว่ายากหรือง่ายต่อการฟื้นฟู จึงไม่สามารถทำได้ ด้วยสิ่งที่มีมาแต่เดิมต่างกันนี้เอง
คนบางคนดูอาการแล้ว ทุกคนต้องฟันธงแบบร้อยทั้งร้อยว่า ไม่รอด อาทิ นายพลท่านหนึ่งที่หมอบอกญาติให้ทำใจ แลนอนรอเวลาในห้องไอซียู ของโรงพยาบาลพระมงกุฎ หากแต่เมื่อลูกชายมาร้องขอหลวงพ่อนิพนธ์ ก็ให้สมุนไพรเขียวไปลองหยอดตามสายให้พ่อ แล้วดูผล
ใครจะเชื่อว่า หลังจากนั้นสองวัน นายพลท่านนั้น จะเดินออกจากห้องไอซียู แล้วมาพบหลวงพ่อนิพนธ์ได้
หากแต่ในทางตรงข้าม วัยรุ่นชายวัย สิบแปดปี มีอาการป่วยไม่มากนัก แม่พามาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ทุกคนก็ฟันธงว่ายังอยู่ได้อีกยาว สภาพร่างกายก็ยังดี อายุก็น้อย ฟื้นฟูก็คงไม่นาน
สภาพซูบซีด ขาดอาหาร อิดโรย หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้พระป้อนสมุนไพร ตกเย็นก็มีอาการอยากอาหาร กินเป็นพายุ
ใครก็จะเชื่อเล่าว่า เมื่อคนไข้ตื่นมาตอนเช้า ทำกิจธุระ พระอาบน้ำให้เสร็จ แล้วก็กินข้าวอีกเป็นพายุบุแคม หลังจากนั้นไม่นาน ก็ปวดอุจจาระ อยากถ่าย ครั้นพอไปถ่าย ทวารกับไม่ยอมปิด ธาตุลมแตก เสียชีวิตไปซะงั้น พร้อมกับภาพติดตาเรา คือรูทวารเปิดขนาดข้อมือเด็ก แลเป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า ธาตุลมแตกเป็นอย่างนี้นี่เอง
เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า กระบวนการฟื้นฟูของศาสนา จึงมีลำดับขั้นตอน จากความเข้มข้นน้อย ไปมาก
นั่นหมายความว่า หากของเดิมเราท่านทำมาดี สภาพการฟื้นฟูตอบรับก็รวดเร็ว ดั่งปาฏิหาริย์ หากแต่ทำมาน้อย สภาพที่ดีในตอนแรก นานไปเข้าก็จะเริ่มทรง ไม่ยอมหายสักที เหมือนติดหล่ม อยู่อย่างนั้น จะร้ายก็ไม่เชิง จะหายก็ไม่ใช่
นี่คือสิ่งบอกเหตุว่า ของเดิมนั้นมีน้อย แลการกระทำในปัจจุบัน ความเข้มข้นมันไม่เพียงพอ อันหมายความว่า ต้องปรับพฤติกรรมตน ขยับขั้นขึ้นไปอีกนั่นเอง
บทสรุป อนาคตอันใกล้ แนวทางของมูลนิธิ จึงไม่อยู่ในสถานะที่จะเป็นผู้ช่วย ดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำให้ได้ เป็นได้เพียงแต่ผู้ชี้ ชี้ว่ากระบวนการที่เข้มข้น จากน้อยไปมาก เป็นเช่นไร แล้วเราท่านก็เลือกไปปฏิบัติตามที่ตนชอบ หากแต่เมื่อทำแล้ว การฟื้นฟูตนยังไม่สำเร็จ นั่นก็หมายความว่า ข้อปฏิบัติที่ตนเลือกแล้วทำ นั้นไม่เพียงพอ หากอยากจะประสพผลในการฟื้นฟูตน ก็ต้องทำให้ขั้นที่ยากขึ้นไปอีกนั่นเอง ... นี่แลจึงกล่าวได้ว่า ศาสตร์ของพระภูมี รู้ได้เฉพาะตน
เรียกได้ว่า โรคหรือทุกข์ที่มีเป็นเช่นไร สาหัสแค่ไหน สิ่งที่ทำก็ต้องสมน้ำสมเนื้อกันนั่นเอง จึงจะโค่นลงได้
ด้วยมูลเหตุที่มา เกิดจากกรรมในอดีต แลอาจจะรวมมาถึงปัจจุบันที่ส่งผล
หากมองในทางกลับกัน หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า ผลบุญในอดีตที่เราท่านทำมา มันก็มีเช่นกัน
ดังนั้น เหตุหรือความหนักเบาที่มองเห็น จะดูว่ายากหรือง่ายต่อการฟื้นฟู จึงไม่สามารถทำได้ ด้วยสิ่งที่มีมาแต่เดิมต่างกันนี้เอง
คนบางคนดูอาการแล้ว ทุกคนต้องฟันธงแบบร้อยทั้งร้อยว่า ไม่รอด อาทิ นายพลท่านหนึ่งที่หมอบอกญาติให้ทำใจ แลนอนรอเวลาในห้องไอซียู ของโรงพยาบาลพระมงกุฎ หากแต่เมื่อลูกชายมาร้องขอหลวงพ่อนิพนธ์ ก็ให้สมุนไพรเขียวไปลองหยอดตามสายให้พ่อ แล้วดูผล
ใครจะเชื่อว่า หลังจากนั้นสองวัน นายพลท่านนั้น จะเดินออกจากห้องไอซียู แล้วมาพบหลวงพ่อนิพนธ์ได้
หากแต่ในทางตรงข้าม วัยรุ่นชายวัย สิบแปดปี มีอาการป่วยไม่มากนัก แม่พามาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ทุกคนก็ฟันธงว่ายังอยู่ได้อีกยาว สภาพร่างกายก็ยังดี อายุก็น้อย ฟื้นฟูก็คงไม่นาน
สภาพซูบซีด ขาดอาหาร อิดโรย หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้พระป้อนสมุนไพร ตกเย็นก็มีอาการอยากอาหาร กินเป็นพายุ
ใครก็จะเชื่อเล่าว่า เมื่อคนไข้ตื่นมาตอนเช้า ทำกิจธุระ พระอาบน้ำให้เสร็จ แล้วก็กินข้าวอีกเป็นพายุบุแคม หลังจากนั้นไม่นาน ก็ปวดอุจจาระ อยากถ่าย ครั้นพอไปถ่าย ทวารกับไม่ยอมปิด ธาตุลมแตก เสียชีวิตไปซะงั้น พร้อมกับภาพติดตาเรา คือรูทวารเปิดขนาดข้อมือเด็ก แลเป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า ธาตุลมแตกเป็นอย่างนี้นี่เอง
เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า กระบวนการฟื้นฟูของศาสนา จึงมีลำดับขั้นตอน จากความเข้มข้นน้อย ไปมาก
นั่นหมายความว่า หากของเดิมเราท่านทำมาดี สภาพการฟื้นฟูตอบรับก็รวดเร็ว ดั่งปาฏิหาริย์ หากแต่ทำมาน้อย สภาพที่ดีในตอนแรก นานไปเข้าก็จะเริ่มทรง ไม่ยอมหายสักที เหมือนติดหล่ม อยู่อย่างนั้น จะร้ายก็ไม่เชิง จะหายก็ไม่ใช่
นี่คือสิ่งบอกเหตุว่า ของเดิมนั้นมีน้อย แลการกระทำในปัจจุบัน ความเข้มข้นมันไม่เพียงพอ อันหมายความว่า ต้องปรับพฤติกรรมตน ขยับขั้นขึ้นไปอีกนั่นเอง
บทสรุป อนาคตอันใกล้ แนวทางของมูลนิธิ จึงไม่อยู่ในสถานะที่จะเป็นผู้ช่วย ดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำให้ได้ เป็นได้เพียงแต่ผู้ชี้ ชี้ว่ากระบวนการที่เข้มข้น จากน้อยไปมาก เป็นเช่นไร แล้วเราท่านก็เลือกไปปฏิบัติตามที่ตนชอบ หากแต่เมื่อทำแล้ว การฟื้นฟูตนยังไม่สำเร็จ นั่นก็หมายความว่า ข้อปฏิบัติที่ตนเลือกแล้วทำ นั้นไม่เพียงพอ หากอยากจะประสพผลในการฟื้นฟูตน ก็ต้องทำให้ขั้นที่ยากขึ้นไปอีกนั่นเอง ... นี่แลจึงกล่าวได้ว่า ศาสตร์ของพระภูมี รู้ได้เฉพาะตน
เรียกได้ว่า โรคหรือทุกข์ที่มีเป็นเช่นไร สาหัสแค่ไหน สิ่งที่ทำก็ต้องสมน้ำสมเนื้อกันนั่นเอง จึงจะโค่นลงได้
วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ความคิดกับความจริง
หลักของศาสน์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ความรู้เดิม ที่เราท่านเห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออกนั้น และยึดมั่นกันมาทำตามกันตั้งแต่เล็กจนแก่เฒ่า กลายเป็นหนทางที่ทำให้ตนของตนเดินห่างศาสนาไปทุกที
แลเมื่อวันใดที่ความจริงปรากฎ ทุกข์มาเยือนตน แลมองกลับไปในความเชื่อของตน ที่กระทำมาอย่างมุ่งมั่น ก็มักเกิดคำถาม ทำไมทำดี จึงไม่ได้ดี คำสอนของพระภูมีนั้นเป็นจริงหรือ จนไปถึงท้ายที่สุด ก็รำพึงว่า เมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดี จะทำไปทำไม
เราจึงไม่แปลกใจเลย ในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ที่สอนพระใหม่ที่เพิ่งบวชเข้ามา แล้วกล่าวว่า ความรู้ทางโลกของท่านนั้น คงเถียงไม่ได้ว่าอยู่ในขั้นดี ด้วยการจบปริญญาของท่านเป็นเครื่องชี้ แต่ความรู้ในเรื่องของศาสนานั้น สิ่งที่ท่านมี ไม่ต่างกับควาย ฉันใดก็ฉันนั้น คือ ไม่รู้เรื่องอันใดเลย ซ้ำร้ายยิ่งกว่า ยังมีความรู้ผิดๆ จากลัทธิความเชื่อ ที่แฝงเข้ามาอาศัยศาสนาพุทธ หากิน เพื่อความสุขแห่งตนของคนโลภทั้งหลายอีก
พระรูปนั้นถามว่า ทำไมศาสน์ของแม่ชีเมี้ยนจึงไม่ให้ถือศีล แต่ให้ทำสัจจะแทน
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า ศีลไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า หากแต่เป็นของลัทธิพราหมณ์ และเป็นของคู่กันมากับศาสนาพุทธทุกยุคทุกสมัย
เมื่อศาสนาพุทธอ่อนแอลง ด้วยผู้ที่เป็นอรหันต์นั้น ไปนิพพานหมดสิ้นแล้ว วันเวลาก็ห่างไกล ไม่มีผู้รู้จริง พราหมณ์ก็อาศัยจังหวะเวลานี้ สังคายนา เปลี่ยนแปลง ดัดแปลงคำสอน จนท้ายที่สุด ก็ยากที่จะทราบเค้าโครงเดิม จุดประสงค์ก็เพื่ออาศัยศรัทธาในศาสนาพุทธ มาปรนเปรอพวกตนนั่นเอง
หากจะพิสูจน์ความจริง ก็ย่อมดูความย้อนแย้งกันเองในพระไตรปิฎกนั่นแล จะเห็นความจริง
ในบทแรก ก็จะเขียนว่า บิดามารดาของเจ้าชาย อยากมีบุตร เพื่อสืบวงศ์ จึงไปปรึกษาผู้รู้ หรือ ปราชญ์ แลได้คำสอนว่า ให้ไปถือศีล จึงจะสมหวัง ... นั่นก็แสดงว่า ศีลมันมีมาก่อน เจ้าชายเสียอีก ไม่ต้องว่าไปถึง ก่อนมีพระโคดม
แลพระไตรปิฏกในประเทศไทย หากใครสืบค้นจากประวัติศาสตร์ ก็ย่อมรู้ดีว่า ผู้เขียนคือ พราหมณ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ในยุคนั้นนั่นเอง อยากทราบว่าชื่อเรียงเสียงไร ก็หาได้ไม่ยาก
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พระรูปนั้นเห็นว่า ทำไมจึงใช้ศีลไม่ได้ ก็ด้วยเหตุที่ว่าศีลนั้นหนักเกินไป ไม่มีใครทำได้ แค่ไม่ฆ่าสัตว์ ก็ทำไม่ได้แล้ว ก็ขนาดพระพุทธเจ้า เดินไปในสถานที่ใด ระวังระไว ในการเดินทุกฝีก้าว มีสติสมบูรณ์ ยังพลาดเหยียบสัตว์ ที่อยู่ใต้ใบไม้บ้าง มองไม่เห็นบ้าง
สัตว์บางตัว อโหสิกรรมให้พระพุทธเจ้า ท่านก็เอาบุญของท่านส่งให้ ส่วนสัตว์บางตัวไม่ยอม นั่นจึงเป็นเหตุให้ แม้นเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องปวดเมื่อย ขา เมื่อยเข่า และเมื่อถึงท้ายที่สุด ท่านก็ต้องใช้กรรมแก่สัตว์เหล่านี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้านิพพาน เรียกว่า สรุปกรรม ด้วยการอาเจียนพระโลหิต
คนทั้งหลายเห็นแต่ไม่รู้เหตุ พราหมณ์มันก็เอาไปแต่งยกพวกตนให้สูงกว่าพระพุทธเจ้า กลายเป็นหมอชีวกพราหณ์ เป็นผู้รักษาพระพุุทธเจ้า ดังในพระไตรปิฏกนั่นแล
ทีนี้ แล้ว สัจจะ หล่ะ รู้ได้ไงเป็นของพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อนิพนธ์จึงอรรถาธิบายว่า สัจจะ จึงเป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้า ให้เปลี่ยนจากการใช้นิสัยกรรมเดิมนำตน มาใช้สัจจะ คือ นิสัยพระพุทะธเจ้านำตน นั่นเอง
แล้วมันต่างกับการสอนให้ทำความดีอย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สัจจะ จะสอนให้กลายเป็นคนเที่ยง ไม่ขี้ฉ้อ เมื่อกล่าวแล้ว ก็ยึดถือปฏิบัติ นำตน ไม่ว่ามีสิ่งใดมากระทบ ก็พยายามจะรักษาซึ่งสัจจะนั้นไว้
เมื่อทำสัจจะ ก็เสมือนทำนิสัยใหม่ ค่อยๆเปลี่ยนนิสัยเดิมของตน และกลายเป็นคนดี โดยปริยายนั่นเอง
การทำความดี นั้นเป็นการตั้งใจ ไม่มีใครรับรู้ ใจจึงเอนเอียง ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ไม่มีใครรับรู แต่การทำสัจจะ ใช้การประกาศตน คนทั่วไปรับรู้ นั่นทำให้ผู้ทำ ต้องบังคับตน
เรียกว่า มีเส้นขีดให้เดินแล้ว จะเดินตามนิสัยไม่ได้เลย หากใครเดินออกนอกเส้น นั่นก็เท่ากับว่า เสียคุณสมบัติแล้วนั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยก อาทิ เมื่อท่านมาบวชในศาสนา พระภูมี สอนให้มักน้อย สันโดษ ลดการเบียดเบียน จึงบัญญัติ การฉันมื้อเดียว และไม่ทานน้ำปานะ นอกเวลาฉัน นั่นก็ทำให้พระไม่เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป เบียดเบียนเฉพาะหน้า คือ เพื่อประทังสังขาร ไว้ทำความดีในพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง
ดังนั้น การจะประสพความสำเร็จในการเป็นคนดี ตามแนวศาสนา ก็อุปมาเสมือนย้อนเกล็ดกรรมนั่นเอง เมื่อกรรมให้สร้างกรรม ด้วย กาย วาจา ใจ ศาสนาก็สอนให้ว่ายทวนกระแสกรรม เวลาสอนให้ทำสัจจะ จึงเริ่มที่ กายก่อนเช่นกัน ไม่ใช่มาถึงก็เริ่มที่ให้ทำใจก่อน .... เหมือนศีล ข้อเดียวก็ยากแล้ว แบกทีเป็นสิบข้อ ร้อยข้อ มันจึงทำไม่ได้ เมื่อทุกคนทำไม่ได้ จึงไม่มีใครพูดถึง เพราะทำไม่ได้เหมือนกันนั่นเอง
นี่แลจึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้เราท่าน เริ่มที่สร้างนิสัยให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วพัฒนากลายเป็นคนมีจิตที่ให้สุข ด้วยการเป็นจิตอาสาก่อน
แล้วอะไรเล่า เป็นบทพิสูจน์ว่าคำสอนของหลวงพ่อเป็นจริง พระถาม
หลวงพ่อนิพนธ์ตอบว่า ก็ผลแห่งการกระทำนั่นแลเป็นเครื่องพิสูจน์ ทำถูกผลถูกย่อมเกิด ทำผิด ผลผิดย่อมเกิด
พระของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครเป็นโรคหรอก นั่นจึงเป็นความมั่นใจ ที่ว่า ทำไมพระทั่วไป จึงต้องมีโรงพยาบาลสงฆ์ ทั้งที่บวชเป็นพระ ทำไมเป็นโรค แต่พระของแม่ชีเมี้ยน มีแต่คนเป็นโรค มาบวช แล้วหายโรค
กาลเวลาก็ได้ทำให้พระรูปนั้นเห็นความจริงข้อนี้ เพราะพระที่บวชพร้อมท่าน นับแต่เจ้าอาวาส ท่านชลอ ที่ยังคงเป็นเจ้าอาวาสในสำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ในปัจจุบันนี้ ก็ป่วยด้วยมาเลเรียขึ้นสมอง
ภาพที่เห็น ยามกลางวันก็ทำกิจปกติ พอตกเย็น ก็ต้องนำโซ๋เส้นใหญ่ๆ มาล่ามขาท่านตัวท่านไว้กับเสา เพราะกลางคืนจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ความร้อนจะขึ้นสมอง ไข้ขึ้น เพ้อ หลวงพ่อนิพนธ์ต้องประคบประหงม ให้สติ เพื่อให้ขันติ และอดทน ยอมรับ นั่นเป็นกรรมแต่อดีต
แล้วท่านก็รอดมาจนยังเป็นเจ้าอาวาสทุกวันนี้ แลเมื่อมองลงมาอันดับรองๆ โปลีโอขาลีบบ้าง เอดส์ก็หลายองค์ ท่านตองก็มะเร็งสมอง บางองค์ก็ยังวัยรุ่นแต่น้ำเหลืองเป็นพิษ เละทั้งตัว บางองค์ก็ชักวันละห้าเวลา ... นี่เองจึงทำให้พระรูปนั้นเชื่อว่า ศาสนามีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง หากแต่ได้พบ ได้ทำในสิ่งที่ถูก ตามครรลองของศาสนานั้นจริงหรือไม่
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนเคล็ดของศาสนา จึงเริ่มที่ฟัง พิจารณา แล้วจึงเชื่อ เมื่อเชื่อก็ทำตาม และเมื่อเชื่อแล้ว ทำแล้วผลเกิด ก็ควรละทิ้งความเชื่อผิดๆ ทิ้งไป ให้เหลือความเชื่อที่ถูกเพียงอย่างเดียว
คำสุดท้ายในวันแรกที่สอนพระรูปนั้น จึงจบลงด้วย หากท่านคิดจะรอด อย่าเหยียบเรือสองแคม อันโน้นก็ดี อันนั้นก็อยากได้ ความเชื่อของท่าน เมื่อพิสูจน์แล้วว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดดี ก็ยึดไว้เป็นหนึ่งเดียว มิฉะนั้น วันใดที่เรือของท่านออกจากท่า เผชิญคลื่นลมแรง เรือทั้งสองที่ท่านเหยียบมันจะแยกออกจากกัน แล้วตัวท่านจะตกน้ำ
แลเมื่อวันใดที่ความจริงปรากฎ ทุกข์มาเยือนตน แลมองกลับไปในความเชื่อของตน ที่กระทำมาอย่างมุ่งมั่น ก็มักเกิดคำถาม ทำไมทำดี จึงไม่ได้ดี คำสอนของพระภูมีนั้นเป็นจริงหรือ จนไปถึงท้ายที่สุด ก็รำพึงว่า เมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดี จะทำไปทำไม
เราจึงไม่แปลกใจเลย ในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ที่สอนพระใหม่ที่เพิ่งบวชเข้ามา แล้วกล่าวว่า ความรู้ทางโลกของท่านนั้น คงเถียงไม่ได้ว่าอยู่ในขั้นดี ด้วยการจบปริญญาของท่านเป็นเครื่องชี้ แต่ความรู้ในเรื่องของศาสนานั้น สิ่งที่ท่านมี ไม่ต่างกับควาย ฉันใดก็ฉันนั้น คือ ไม่รู้เรื่องอันใดเลย ซ้ำร้ายยิ่งกว่า ยังมีความรู้ผิดๆ จากลัทธิความเชื่อ ที่แฝงเข้ามาอาศัยศาสนาพุทธ หากิน เพื่อความสุขแห่งตนของคนโลภทั้งหลายอีก
พระรูปนั้นถามว่า ทำไมศาสน์ของแม่ชีเมี้ยนจึงไม่ให้ถือศีล แต่ให้ทำสัจจะแทน
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า ศีลไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า หากแต่เป็นของลัทธิพราหมณ์ และเป็นของคู่กันมากับศาสนาพุทธทุกยุคทุกสมัย
เมื่อศาสนาพุทธอ่อนแอลง ด้วยผู้ที่เป็นอรหันต์นั้น ไปนิพพานหมดสิ้นแล้ว วันเวลาก็ห่างไกล ไม่มีผู้รู้จริง พราหมณ์ก็อาศัยจังหวะเวลานี้ สังคายนา เปลี่ยนแปลง ดัดแปลงคำสอน จนท้ายที่สุด ก็ยากที่จะทราบเค้าโครงเดิม จุดประสงค์ก็เพื่ออาศัยศรัทธาในศาสนาพุทธ มาปรนเปรอพวกตนนั่นเอง
หากจะพิสูจน์ความจริง ก็ย่อมดูความย้อนแย้งกันเองในพระไตรปิฎกนั่นแล จะเห็นความจริง
ในบทแรก ก็จะเขียนว่า บิดามารดาของเจ้าชาย อยากมีบุตร เพื่อสืบวงศ์ จึงไปปรึกษาผู้รู้ หรือ ปราชญ์ แลได้คำสอนว่า ให้ไปถือศีล จึงจะสมหวัง ... นั่นก็แสดงว่า ศีลมันมีมาก่อน เจ้าชายเสียอีก ไม่ต้องว่าไปถึง ก่อนมีพระโคดม
แลพระไตรปิฏกในประเทศไทย หากใครสืบค้นจากประวัติศาสตร์ ก็ย่อมรู้ดีว่า ผู้เขียนคือ พราหมณ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ในยุคนั้นนั่นเอง อยากทราบว่าชื่อเรียงเสียงไร ก็หาได้ไม่ยาก
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พระรูปนั้นเห็นว่า ทำไมจึงใช้ศีลไม่ได้ ก็ด้วยเหตุที่ว่าศีลนั้นหนักเกินไป ไม่มีใครทำได้ แค่ไม่ฆ่าสัตว์ ก็ทำไม่ได้แล้ว ก็ขนาดพระพุทธเจ้า เดินไปในสถานที่ใด ระวังระไว ในการเดินทุกฝีก้าว มีสติสมบูรณ์ ยังพลาดเหยียบสัตว์ ที่อยู่ใต้ใบไม้บ้าง มองไม่เห็นบ้าง
สัตว์บางตัว อโหสิกรรมให้พระพุทธเจ้า ท่านก็เอาบุญของท่านส่งให้ ส่วนสัตว์บางตัวไม่ยอม นั่นจึงเป็นเหตุให้ แม้นเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องปวดเมื่อย ขา เมื่อยเข่า และเมื่อถึงท้ายที่สุด ท่านก็ต้องใช้กรรมแก่สัตว์เหล่านี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้านิพพาน เรียกว่า สรุปกรรม ด้วยการอาเจียนพระโลหิต
คนทั้งหลายเห็นแต่ไม่รู้เหตุ พราหมณ์มันก็เอาไปแต่งยกพวกตนให้สูงกว่าพระพุทธเจ้า กลายเป็นหมอชีวกพราหณ์ เป็นผู้รักษาพระพุุทธเจ้า ดังในพระไตรปิฏกนั่นแล
ทีนี้ แล้ว สัจจะ หล่ะ รู้ได้ไงเป็นของพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อนิพนธ์จึงอรรถาธิบายว่า สัจจะ จึงเป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้า ให้เปลี่ยนจากการใช้นิสัยกรรมเดิมนำตน มาใช้สัจจะ คือ นิสัยพระพุทะธเจ้านำตน นั่นเอง
แล้วมันต่างกับการสอนให้ทำความดีอย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สัจจะ จะสอนให้กลายเป็นคนเที่ยง ไม่ขี้ฉ้อ เมื่อกล่าวแล้ว ก็ยึดถือปฏิบัติ นำตน ไม่ว่ามีสิ่งใดมากระทบ ก็พยายามจะรักษาซึ่งสัจจะนั้นไว้
เมื่อทำสัจจะ ก็เสมือนทำนิสัยใหม่ ค่อยๆเปลี่ยนนิสัยเดิมของตน และกลายเป็นคนดี โดยปริยายนั่นเอง
การทำความดี นั้นเป็นการตั้งใจ ไม่มีใครรับรู้ ใจจึงเอนเอียง ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ไม่มีใครรับรู แต่การทำสัจจะ ใช้การประกาศตน คนทั่วไปรับรู้ นั่นทำให้ผู้ทำ ต้องบังคับตน
เรียกว่า มีเส้นขีดให้เดินแล้ว จะเดินตามนิสัยไม่ได้เลย หากใครเดินออกนอกเส้น นั่นก็เท่ากับว่า เสียคุณสมบัติแล้วนั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยก อาทิ เมื่อท่านมาบวชในศาสนา พระภูมี สอนให้มักน้อย สันโดษ ลดการเบียดเบียน จึงบัญญัติ การฉันมื้อเดียว และไม่ทานน้ำปานะ นอกเวลาฉัน นั่นก็ทำให้พระไม่เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป เบียดเบียนเฉพาะหน้า คือ เพื่อประทังสังขาร ไว้ทำความดีในพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง
ดังนั้น การจะประสพความสำเร็จในการเป็นคนดี ตามแนวศาสนา ก็อุปมาเสมือนย้อนเกล็ดกรรมนั่นเอง เมื่อกรรมให้สร้างกรรม ด้วย กาย วาจา ใจ ศาสนาก็สอนให้ว่ายทวนกระแสกรรม เวลาสอนให้ทำสัจจะ จึงเริ่มที่ กายก่อนเช่นกัน ไม่ใช่มาถึงก็เริ่มที่ให้ทำใจก่อน .... เหมือนศีล ข้อเดียวก็ยากแล้ว แบกทีเป็นสิบข้อ ร้อยข้อ มันจึงทำไม่ได้ เมื่อทุกคนทำไม่ได้ จึงไม่มีใครพูดถึง เพราะทำไม่ได้เหมือนกันนั่นเอง
นี่แลจึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้เราท่าน เริ่มที่สร้างนิสัยให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วพัฒนากลายเป็นคนมีจิตที่ให้สุข ด้วยการเป็นจิตอาสาก่อน
แล้วอะไรเล่า เป็นบทพิสูจน์ว่าคำสอนของหลวงพ่อเป็นจริง พระถาม
หลวงพ่อนิพนธ์ตอบว่า ก็ผลแห่งการกระทำนั่นแลเป็นเครื่องพิสูจน์ ทำถูกผลถูกย่อมเกิด ทำผิด ผลผิดย่อมเกิด
พระของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครเป็นโรคหรอก นั่นจึงเป็นความมั่นใจ ที่ว่า ทำไมพระทั่วไป จึงต้องมีโรงพยาบาลสงฆ์ ทั้งที่บวชเป็นพระ ทำไมเป็นโรค แต่พระของแม่ชีเมี้ยน มีแต่คนเป็นโรค มาบวช แล้วหายโรค
กาลเวลาก็ได้ทำให้พระรูปนั้นเห็นความจริงข้อนี้ เพราะพระที่บวชพร้อมท่าน นับแต่เจ้าอาวาส ท่านชลอ ที่ยังคงเป็นเจ้าอาวาสในสำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ในปัจจุบันนี้ ก็ป่วยด้วยมาเลเรียขึ้นสมอง
ภาพที่เห็น ยามกลางวันก็ทำกิจปกติ พอตกเย็น ก็ต้องนำโซ๋เส้นใหญ่ๆ มาล่ามขาท่านตัวท่านไว้กับเสา เพราะกลางคืนจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ความร้อนจะขึ้นสมอง ไข้ขึ้น เพ้อ หลวงพ่อนิพนธ์ต้องประคบประหงม ให้สติ เพื่อให้ขันติ และอดทน ยอมรับ นั่นเป็นกรรมแต่อดีต
แล้วท่านก็รอดมาจนยังเป็นเจ้าอาวาสทุกวันนี้ แลเมื่อมองลงมาอันดับรองๆ โปลีโอขาลีบบ้าง เอดส์ก็หลายองค์ ท่านตองก็มะเร็งสมอง บางองค์ก็ยังวัยรุ่นแต่น้ำเหลืองเป็นพิษ เละทั้งตัว บางองค์ก็ชักวันละห้าเวลา ... นี่เองจึงทำให้พระรูปนั้นเชื่อว่า ศาสนามีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง หากแต่ได้พบ ได้ทำในสิ่งที่ถูก ตามครรลองของศาสนานั้นจริงหรือไม่
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนเคล็ดของศาสนา จึงเริ่มที่ฟัง พิจารณา แล้วจึงเชื่อ เมื่อเชื่อก็ทำตาม และเมื่อเชื่อแล้ว ทำแล้วผลเกิด ก็ควรละทิ้งความเชื่อผิดๆ ทิ้งไป ให้เหลือความเชื่อที่ถูกเพียงอย่างเดียว
คำสุดท้ายในวันแรกที่สอนพระรูปนั้น จึงจบลงด้วย หากท่านคิดจะรอด อย่าเหยียบเรือสองแคม อันโน้นก็ดี อันนั้นก็อยากได้ ความเชื่อของท่าน เมื่อพิสูจน์แล้วว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดดี ก็ยึดไว้เป็นหนึ่งเดียว มิฉะนั้น วันใดที่เรือของท่านออกจากท่า เผชิญคลื่นลมแรง เรือทั้งสองที่ท่านเหยียบมันจะแยกออกจากกัน แล้วตัวท่านจะตกน้ำ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)