สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนมักจะเป็น คือ หากสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดี ที่ตนชอบ ก็มักจะคิดว่าสิ่งนั้นต้องอยู่กับเราตลอดไป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้เสมอว่า นั่นคือ ความประมาท
จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เราจึงเห็นคนมากมาย โดยเฉพาะคนที่มาเป็นพี่เลี้ยงคนป่วย ที่ยังมีสุขภาพดีอยู่ ทั้งๆที่เห็นคนป่วยมากมาย รวมทั้งคนป่วยของตน
และก็เห็นกิจกรรมที่คนป่วยใช้ช่วยตน แต่คนทั้งหลายทั้งปวง กลับคิดว่าตนไม่เป็นอะไร ซ้ำร้าย คือคิดว่าตนจะไม่ป่วยแบบคนทั้งหลายที่ตนเห็น
จึงไม่แปลกเลยว่า คนเหล่านั้น จะวางเฉย ไม่สนในกิจกรรมของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา
อาทิเช่นที่หลวงพ่อนิพนธ์ยกมาให้ฟังว่า ชายผู้หนึ่ง พาภรรยาที่เป็นมะเร็ง และลูกสาว ๒ คน ที่ยังเล็กมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ให้ช่วย
หลวงพ่อนิพนธ์เห็นว่าหากไม่ช่วยภรรยา ครอบครัวนี้ก็คงแตก เพราะในไม่ช้าภรรยาก็คงเสียชีวิต และพ่อก็คงมีภรรยาใหม่ ลูกสองคนก็คงลำบาก จึงรับไว้
ฝ่ายชาย ทำทุกสิ่งอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์บอก ด้วยความรักภรรยา แต่ไม่ใช่ด้วยศรัทธาที่ตนมี การกระทำจึงเป็นแต่เพียงกาย
จะมีก็แต่ภรรยาที่มี่ใจศรัทธา ขันติ อดทน และในที่สุด ภรรยาก็หายจากโรคมะเร็ง เลี้ยงลูกสาวทั้งสองจนจบปริญญา และได้อยู่เลี้ยงหลาน
แต่วันหนึ่ง ฝ่ายสามีเกิดอาการแน่นหน้าอกกระทันหัน และถูกนำส่งโรงพยาบาล แล้วก็ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลจุฬา ด้วยเคสกรณีฉุกเฉินทางด้านหัวใจ
จุฬาแจ้งอาการให้ทราบว่า เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ด้วยกล้ามเนื้อบางส่วนหยุดทำงาน หรือตาย ต้องเปลี่ยนหัวใจเพียงอย่างเดียว และเร่งด่วน ให้ลงชื่อขอบริจาคหัวใจไว้ แต่ไม่รู้จะได้หรือไม่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกมาและสอน ให้เปลี่ยนความคิด พฤติกรรม แล้วไปพิจารณา เชื่อก็ทำตาม แล้วจะไม่ต้องเปลี่ยนหัวใจ
ชายผู้นั้นตกลง ที่จะทำตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ไปดูแลสถานที่ และต้นยา ที่ศรีสวัสดิ์ให้หลวงพ่อนิพนธ์
ทั้งๆที่อาการของเขา หมอบอกออกแรงไม่ได้ แต่สภาพพื้นที่ที่ไปดูแล เป็นเนินเขา
ชายผู้นั้น ก็ค่อยๆทำงานรดน้ำ เหนื่อยก็พัก ดูแลตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สั่งอย่างดี แล้วเขาก็กลับมามีหัวใจที่แข็งแรง ทำงานได้ปกติ โดยไม่ต้องเปลี่ยนหัวใจ พร้อมกับไปยกเลิกคิวการขอรับบริจาค
บทสรุุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เราท่านทุกคน ล้วนมีกรรม แม้นวันนี้ยังไม่ปรากฎ ก็หาใช่จะไม่มี ช้าเร็วก็ต้องมา แต่ทำไมเล่า หลายคนจึงประมาท ทั้งๆที่เห็นสิ่งที่ทำ ทำแล้วแม้นแต่คนป่วยยังหาย ทำไมจึงไม่ทำไว้ช่วยตนก่อน
นี่แลจึงเสมือนคำสาป ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา เราที่เป็นคนป่วย ทำตามคำสอนแล้วดีวันดีคืน ทำไมจึงไม่ชักชวน ให้คนที่เป็นญาติ ที่พาเราท่านมา ทำให้แก่ตนไว้บ้าง เวลากรรมมา จะได้มีทุน ผ่อนหนักเป็นเบา หรือพ้นกรรมอันนั้นได้
แต่ใครหล่ะจะเชื่อว่าตนจะเป็นโรค ก็วันนี้ร่างกายตนยังดี นี่แลพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เราท่านมักตกอยู่ในความประมาท ตอนดีๆ ก็ไม่ทำบุญบารมีสะสมไว้ กว่าจะรู้ตัว อยากจะทำ โรคมันก็รุมเร้า กรรมมันก็ทำให้เราท่านทำอะไรไม่ได้แล้ว