วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ทำแล้วจึงมี

สมัยก่อน เมื่อเราเรียนรู้ถึงสิ่งที่มีผลต่อการฟื้นฟูหรือพัฒนาตน จากหลวงพ่อนิพนธ์ สิ่งหนึ่งที่บังเกิดกับตน อาจจะเป็นสิ่งที่่มาจากความอยากของตน นั่นคือ อยากเห็นคนอื่นทำได้นั่นเอง หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้ยกอดีตเมื่อครั้งพุทธกาลให้ฟัง นั่นคือ พระอานนท์ ผู้ซึ่งถือได้ว่าเป็นสาวกที่มีความจำเป็นเลิศ สามารถจดจำคำสอนของพระพุทธองค์ได้อย่างแม่นยำ จนหลายครั้ง ก็ได้รับหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดให้แก่สาวกองค์อื่น เป็นครั้งคราวในขณะที่พระภูมีทรงติดภารกิจอื่น กระนั้นก็ตาม แม้นจะมีความรู้ธรรมจากพระภูมีมากมาย แต่พระอานนท์ กลับกลายเป็นสาวกที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ช้ากว่าผู้อื่นมากมาย ด้วยความรู้ที่มีมาก และความอยากที่ให้เพื่อนสาวกปฏิบัติได้ตามคำสอน ผลก็คือ ตัวของตัวเอง กลายเป็นผู้เห็นผู้อื่นผิดอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นอุปสรรคในการสำเร็จของตน

เราจึงได้รับคำชี้แนะจากหลวงพ่อนิพนธ์ว่า คนทั้งหลายที่มา ล้วนแล้วแต่เป็นโรค ย่อมไม่มีกระจิตกระใจในการควบคุมตนสักเท่าไหร่ แม้นแต่ตัวของเราเองผู้ปฏิบัติ ก็ย่อมรู้ตัวเราเองดีว่า หลังจากผ่านการฟื้นฟูร่างกายมาระดับหนึ่ง และเริ่มที่จะปฏิบัติสัจจะ ก็จักเห็นว่า การละทิ้งนิสัยเดิม แล้วมาทำนิสัยของพระภูมีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา ฉันใดก็ฉันนั้น คนที่มาต้องต่อสู้กับปัญหาเฉพาะหน้า นั่นคือ ความทุกข์ความเจ็บ อันเกิดแต่โรค เหมือนเช่นเราท่านที่ผ่านมาก่อน สติปัญญา จึงยังไม่สามารถรวบรวมให้เกิดสมาธิขึ้นมาได้เป็นธรรมดา การจะให้ทำตนเข้ามาตราฐานของศาสนา จึงจะเอาเป็นเกณฑ์ไม่ได้ เมื่อเราผู้ที่ผ่านจุดนั้นมาแล้ว เริ่มมีสติปัญญาของศาสนา เริ่มทำนิสัย ก็ย่อมเห็นเหตุอันนี้ และควรทำตัวเฉกเช่นพระพุทธเจ้าสอนสาวก ด้วยขันติ อดทน เพราะรู้ในสัจจธรรมความเป็นจริงอันนี้ จิตเมตตาธรรม ก็จักบังเกิด และให้อภัย

หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนอยู่หลายครั้งว่า การเป็นจิตอาสา ย่อมเป็นตัวแทนของท่าน และของศาสนา กว่าที่เราท่านทั้งหลายจะพึงมายืน หรือมาทำตนเป็นจิตอาสา ก็ย่อมผ่านความยากลำบาก หรือ สถานะนั้นๆ มาก่อน และเมื่อมาทำนิสัยของพระพุทธเจ้า ด้วยการเป็นผู้ให้ เป็นเบื้องต้น หรือก้าวล่วงไปทำสัจจะใจ ก็ยิ่งเห็นความยากลำบาก หรือ ความยากในการทำมากยิ่งขึ้น ก็ควรยิ่งเห็นใจผู้ที่มาใหม่ หรือผู้ไม่รู้ มากยิ่งขึ้น เพราะเขาเหล่านั้น ยังตกเป็นเชลยกรรมอย่างเต็มตัว ยิ่งพิจารณา ก็ยิ่งเกิดเมตตาธรรม แก่คนเหล่านั้น การจะไปว่ากล่าว หรือ พูดจาให้กระทบใจ ก็ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะเราท่านก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ ผู้ทำ แล้วนั่นเอง

อาทิเช่น เรารู้ว่า ความสงบเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา การจะช่วยตน ก็พึงเริ่มด้วยการบังคับกาย บังคับวาจา ในสถานที่ของพระพุทธศาสนา ที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด เราก็รู้ว่า การกระทำใดๆ ในเขตพัทธสีมา ก็ย่อมมีผลทั้งแก่ตนและผู้อื่น คนพูดคุยในห้องสวดมนต์ มิเพียงทำลายตน แต่ก็ทำลายชีวิตผู้อื่นในเวลาเดียวกัน หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เพราะทำให้ผู้อื่น ไม่ได้ยินได้ฟัง ในสิ่งที่สามารถช่วยตนได้ เท่ากับการพูดของผู้นั้น กำลังฆ่าผู้อื่นนั่นเอง เรารู้เราก็อยากให้คนทั้งหลาย ได้อานิสงฆ์ทั้ง การสร้างเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ไม่ทำบาป ด้วยการฆ่าคน ... แต่ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า นั่นเป็นความอยากของเรา คนไข้ย่อมมีปัญหาสิ่งหนึ่งพ่วงตามมา คือ โรคจิต ด้วยความเจ็บ ความปวด มันรุมเร้า จะให้เขาทำอะไร ก็คงหวังผลไม่ได้ เพราะจิตไม่อยู่กับตัว จึงต้องให้เวลา ให้ความเมตตา

จึงไม่แปลกเลยว่า พระพุทธศาสนา จึงสอนให้เหล่าจิตอาสา ทั้งหลาย ช่วยคนเหล่านั้น ไม่ใช่ด้วยการติเตียน ด่าทอ แต่ด้วยการพูดสอน ให้เกิดสติปัญญา แล้วนำไปควบคุมตน ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การใช้เวลาในการสอนของท่าน จึงต้องใช้เวลาที่นาน พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อรอเวลาให้คนเหล่านั้น มีช่วงเวลาที่คลายความเจ็บปวด และมีสติ จะได้ได้ยิน ได้ฟัง ได้พิจารณา อันหมายความว่า ขอเพียงจับใจความที่พูด แค่เพียงคำเดียว ประโยคเดียว แล้วนำไปพิจารณา แล้วใช้ช่วยตน นั่นเอง ก็เพียงพอแล้ว

การเข้าสวดมนต์ แล้วฟังคำสอน จึงแฝงไปด้วยความเมตตาธรรม ของคนที่รู้แล้ว ทำแล้ว อยู่ในที เพราะคนเหล่านั้น ด้วยความที่สภาพของตนพร้อม ฟังไม่กี่คำ ก็เข้าใจ แต่ก็ให้โอกาสคนที่ด้อยกว่า ได้มีเวลา ได้มีโอกาส เสมือนเด็ก กว่าจะลุกเดิน ก็ใช้เวลา นานกว่าผู้ที่โตใหญ่แล้วเป็นธรรมดา หรือ คนที่ชรา ด้วยวัยและโรคภัย ก็ลุกช้า ฉันใดก็ฉันนั้น การมีเพือนฟังมาก ก็ทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่ฟัง นั้นเป็นคุณ ยิ่งเห็นผู้ที่ทำได้ ก็ย่อมมีความหวังและอยากฟัง ดังนั้น มิเป็นแต่เพียงเมตตาธรรม แก่ผู้ด้อย ที่สภาพไม่พร้อม การฟังซ้ำๆ ก็ยังเป็นการเตือนสติ หรือทบทวน ว่าสิ่งที่เราท่านเข้าใจ มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง มีเรื่องราวตรงไหนที่ยังติดขัด ไม่เข้าใจ เพราะวันหนึ่ง ความรู้ที่ช่วยตนได้นี้ ก็ย่อมสามารถไปช่วยผู้อื่นได้เช่นกัน นั่นก็เป็นการพัฒนาตนไปอีกขั้น จากผู้ให้ธรรมดา หรือ พระเวสสันดร กลายไปเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์

บทสรุป ก็อยากแปลกใจเลย หากเราท่านเจอผู้ที่ยังด่าทอ ในหมู่จิตอาสา เพราะนั่นแสดงว่า คนเหล่านัน ยังไม่เคยปฏิบัติตามธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแน่แท้ ก็เป็นได้แต่มีความรู้ธรรมไว้คุยข่มเท่านั้นเอง หากเราท่าน เจอ หรือ ทำ ตามธรรมคำสอนของแม่ชีเมี้ยนที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาแล้วไซร้ ย่อมเกิดอาการ เฉกเช่นพระพุทธเจ้าเคยมี นั่นคือ กลัวกรรม และเมื่อพิจารณา ตน ก็จักเห็นผู้อื่น ที่เคยตกเป็นเชลยกรรม อยู่ในอำนาจกรรม ทั้งตัวและจิตใจ เห็นแล้ว ย่อมให้อภัยคนเหล่านัันได้เป็นนิสัย ไม่สนในวาจาและพฤติกรรม นำมาวิพากษ์วิจารณ์ เพราะนั่นมันนิสัยกรรม นิสัยของคนที่ยังไม่มีธรรม ไม่รู้ธรรม แล้วเราท่านจะไปต่อวงล้อกรรมกับเขาทำไม เพราะเราท่านเรียนรู้จากหลวงพ่อนิพนธ์แล้ว และที่สำคัญ ไม่อยากสร้างกรรม หรือ ทุกข์รออยู่วันข้างหน้าอีกมิใช่หรือ

ท้ายที่สุด ใครจะบอกว่ามียาดี รักษาโรคนั้นโรคนี้ได้ หรือมีพิธีกรรม เสกเป่า คาถา ก็ว่าไป แต่ถ้าเชื่อแม่ชีเมี้ยน เชื่อธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อหลวงพ่อนิพนธ์ เราท่านก็จักเชื่อว่า กรรมมีจริง มีอำนาจจริง วิธีเหล่านั้น เอาชนะกรรมไม่ได้แน่นอน เพราะอยากหนีกรรม ก็ต้องทำนิสัย และวันใดที่เราท่านเริ่มทำนิสัย และมีนิสัยของพระพทธเจ้าอยู่ในตนแล้วไซร้ เราท่านก็จักมองย้อนไปเห็นอำนาจกรรม และรู้ว่า การจะหนีกรรมไม่ใช่ง่ายเลย คนทั้งหลายที่ยังไม่รู้ ยังเป็นเชลยกรรม ยังใช้นิสัยกรรมอยู่ ย่อมมีกรรมหรือทุกข์รออยู่ในวันข้างหน้า คนเหล่านั้นน่าสงสาร คนมีธรรมย่อมเกิดเมตตาสงสาร และก็ไม่มีวันที่จะใช้นิสัยกรรมไปตอบโต้อย่างแน่นอน จิตอาสาท่านใด ที่เชื่อในธรรมของแม่ชีเมี้ยน ผู้นั้น ก็ย่อมไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้นแน่นอน ส่วนคนที่มีพฤติกรรม ท่านก็อภัยเขาเถิด เพราะทุกคนกำลังทำตน หากแต่วันเวลาผ่านไป ก็ไม่เปลี่ยน อันนั้นหลวงพ่อนิพนธ์ เรียกว่า คนดิบ ซึ่งก็ต้องมี เจอเมื่อไหร่ก็ทำใจ เพราะสถานที่ของพระพุทธศาสนา เป็นที่รวมของคนทุกหมู่เหล่า นี่จึงมีธรรมหมวด อุเบกขา นั่นเอง

กระนั้นก็ตาม สิ่งที่เราท่านมาหา คือ แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ พระธรรม และหลวงพ่อนิพนธ์ หาใช่ผู้อื่นไม่ ... ไม่ว่าเห็นอะไรอื่น พิจารณา แล้วก็วางลง นั่นคือ คำสอนที่แม่ชีเมี้ยนให้ไว้ เลือกเอาสิ่งที่ดี .... จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ศาสนาของพระภูมี เป็นศาสนาแห่งปัญญา มีทุกสรรพสิ่งในที่เดียวกัน แล้วแต่ใครจะมีปัญญาเลือกสิ่งที่ดีให้แก่ตน จะคาดหวังมาสถานที่นี้ แล้วจะเจอแต่คนดีๆ นั่นคิดเอง เออเอง แม้นแต่ในหมู่ผู้ปฏิบัติ ของพระพุทธเจ้า ยังมีเทวทัตและพวกเลย ....

เจอเหล่าคนพาล ก็ให้อุเบกขา ให้เมตตาธรรม ให้อภัย แล้วหลีกหนี เจอบัณฑิต ผู้มีนิสัยพระภูมี ก็เข้าใกล้ชิด สนิทสนม เพื่อพัฒนาตน แลเมื่อแม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ตัวกระทำไม่ตาย สิ่งที่เราท่านทำวันนี้ ย่อมรอเราอยู่ในวันข้างหน้า ตามที่ท่านอาสิ ย้ำทุกครั้ง ชาติหน้าฉันใด เราท่านก็จะได้มิเพียงแต่มีนิสัยพระภูมีติดตน แต่หมู่ชนที่ได้อยู่ร่วมกัน ก็ย่อมเป็นคนมีธรรม อย่างแน่นอน

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44