สิ่งที่ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมศาสนาพุทธ จึงเป็นศาสนาที่อัลเบิร์ต ไอไสตน์ กล่าวว่่า จะเป็นศาสนาเอกของโลก ก็ด้วยหลัก เหตุ และผล อันสอนให้ทุกผู้คนอย่าพึงเชื่อ จงไตร่ตรองด้วย สติ และปัญญา พิจารณาก่อน แล้วจึงทำ
ประเทศไทย ได้ชื่อว่า มีคนนับถือพุทธศาสนามาก หากแต่พฤติกรรม กลับสวนทางกับคำสอนอย่างสิ้นเชิง
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า กลยุทธ์การโฆษณา หรือสร้างความน่าเชื่อถือ จึงถูกนำมาใช้ และได้ผลอย่างยิ่งกับคนไทย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอน ให้เราท่านฝึกสติ ยิ่งเป็นสติของพระพุทธศาสนา ยิ่งมีความสำคัญ มีความหมายยิ่ง เพื่อที่มาพิจารณาเหตุและผล ให้เกิดเป็นตัวปัญญา
ท่านจึงชี้ให้ดูว่า กระบวนการใดๆ ที่จะมาใช้ในเรื่องของชีวิต และสุขภาพ หากดูตามกระแสของคนไทย ย่อมผิดพลาดได้ง่าย หากแต่ดูจากประเทศที่ถูกกล่าวว่าเจริญแล้ว ก็จะเห็นเด่นชัด
หากหนทางนั้นๆ ใช้ได้ผล ประเทศที่เจริญ คือประเทศที่กังวลในสุขภาพของประชาชน ย่อมนำไปใช้แก่หมู่ชนของเขา และส่งเสริมให้กว้างขวาง
ดังนั้น เราท่าน อาจจะได้ยินสูตรยา สารพัด อ้างเป็นสมุนไพร อ้างเป็นวิทยาการชั้นเลิศ ก็ถ้ามันดีจริง มีหรือประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านั้น จักไม่นำไปใช้ในคนของเขา
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกตัวอย่างเช่น การใช้คีโม ฉายแสง ในผู้ป่วยมะเร็ง หากมันดีจริง ประเทศต้นคิด ทำไมยังมีผู้ป่วยมะเร็งตายกันมากมายอวดตัวเลขกันอยู่
ย้อนกลับมาประเทศไทย มีตำราโน่นนี่นั่น มีผู้คนไปลองทำ แล้วก็บอกว่า ดี กินแล้ว ดี ทำแล้วดี เผยแพร่กันใหญ่ ก็ถ้ามันดีจริง ต่างประเทศเขากอบโกยไปหมดแล้ว เพราะคนของเขามีค่า
ยกตัวอย่างเช่น ใบกระท่อม ประเทศไทย ยังจัดว่าเป็นยาเสพติดอยู่เลย หากแต่ประเทศญี่ปุ่น กลับไปจดสิทธิบัตร เป็นยาแล้ว ทั้งๆที่คนในหลายพื้นที่ของไทย ปลูกไว้ทาน ใช้แก้ปวด แก้สารพัด แต่ถูกจับ อนาคต ต้องซื้อยาญี่ปุ่นทาน นี่สิน่าขำ
หากแต่ สารพัดสูตร ที่อ้างกัน มีหรือต่างชาติเขาจะไม่ลอง ไม่พิสูจน์ แต่ผลมันไม่มี เขาจึงไม่สน ยิ่งเรื่องของสมุนไพรแล้ว คนไทยบอกว่าเป็นเมืองสมุนไพร แต่วงการวิทยาศาสตร์เขารู้กันว่า ไม่มีพืชสมุนไพรตัวใด ตัวหนึ่ง ที่สามารถให้ฤทธิ์ทางการรักษา โดยลำพังของตัวมันเอง
จึงไม่แปลก เมื่อต่างชาติเห็นคนไทย แห่ซื้อสมุนไพร ต้นโน้น ต้นนี้ แล้วไปทาน จะหัวเราะ ก็ขนาดขิงที่นักวิทยาศาสตร์ หรือ แม้นแต่ชาวบ้าน รู้ดีว่า มีสารไล่ลม รักษาโรคลมได้ ยังทำได้แค่ต้มน้ำขิง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้สารในขิง จะแสดงฤทธิ์เพื่อขจัดโรคลมได้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า อย่าไปเสียเวลาเลย ที่สำคัญ ยิ่งไปบอกสิ่งผิดๆกับผู้อื่น ผู้อื่นทำตาม แล้วเกิดผลเสีย กรรมอันนั้นจะเลี่ยงได้อย่างไร เมื่อโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม มีหรือ กรรมเขาจะให้ปัญญา มาเพื่อพิชิตตัวของกรรมเอง เป็นไปไม่ได้
ศาสตร์สมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงไม่ใช่ด้วยคิดเอง หากแต่มีอำนาจ แลเห็น ก็นำมาบอก เราท่านจึงไม่ต้องลองผิดลองถูก มิหนำซ้ำ ยังผ่านร้อน ผ่านหนาว มากว่าครึ่งศตวรรษ มีผู้คนหายให้เห็นกันมากมาย
สุดท้าย จึงอยากทิ้งคำของหลวงพ่อนิพนธ์ให้เราท่านพิจารณา ลำพังกรรมของเรา ก็มากโข ยังไปสร้างกรรมเพิ่ม ด้วยให้ความรู้ที่ผิด ที่ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นถึงชีวิต เท่ากับเจตนาฆ่าคนตาย ทำไปทำไม ถ้าไม่มีเจตนาจะหลอกเขากิน ก็ไม่มีเหตุที่จะทำให้เป็นเวรเป็นกรรม
ป้ายโฆษณา จึงเห็นคำว่า หายแน่ รักษาได้ .... เพื่อชวนเชิญ แต่กลับกัน พระพุทธเจ้ามีบุญญาธิการมหาศาล ยังไม่กล้าพูดเลย อย่างดีก็แค่ มีหนทาง มีธรรมคำสอน และสมุนไพร แต่จะหายได้ ต้องอาศัยตนของตน ใครทำ ใครได้ แล้วเราท่านแน่มาจากไหน ไปบอกผู้อื่นว่า ทานนี่สิ ทำแบบนี้สิ เขาบอกมา ว่าดี หายจริงๆ ... แล้วจะหนีผลแห่งการพูดพ้นหรือ เพราะเราท่านทำเข้าทำนอง ไม้สูงกว่าแม่ ก็ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่กล้าพูดเลย แต่เราท่านกลับพูดแถมยืนยันหนักแน่น ให้ผู้อื่นทำตาม .... ดูแล้วน่ากลัวยิ่ง
ไม่เห็นหรือ คนที่โฆษณา ว่าสร้างวัด สร้างโบสถ์ แล้วเป็นบุญ เขาห่มผ้าเหลือง พูดไปพูดมา พูดจนโรคงอม .... มันบอกอะไร ทำถูกผลถูกก็เกิด ทำผิด ผลผิดจะไปไหน ใครพูด ใครชวน
หรือมองข้ามฝั่งไปดูประเทศที่ส่งออกยาเคมีมากที่สุด แต่กลับออกกฎหมาย ห้ามประชาชนซื้อยาเคมี โดยพลการ หากจำเป็นต้องใช้ ให้ใช้ร่วมกับสมุนไพร โดยสัดส่วนยาเคมีต้องไม่เกินครึ่ง มีนัยยะอะไร