การจากไปของหลวงพ่อนิพนธ์ และทิ้งอำนาจไว้ให้ท่านอาสิ ผู้ซึ่งเป็นลูกชาย ให้สืบต่อปณิธาน ในการเผยแผ่ศาสนาพุทธในแผ่นดินไทย
อ.อร่าม เรียกว่า เป็นยุคที่ ๓ ของคนไทย
ภาพที่เห็นที่หลวงพ่อนิพนธ์เคยอุปมา เมื่อเทียบกับครั้งถ้ำกระบอก คือ ทองคำที่อยู่บนพานทอง ด้วยธรรมคำสอน อยู่กับผู้ปฏิบัติที่เป็นพระ
ครั้นแม่ชีเมี้ยนมอบให้แก่ตัวท่าน หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า เสมือนทองคำอยู่ในส้วม ด้วยสภาพที่ตัวท่านก็นุ่งกางเกง มีการดำเนินชีวิตเสมือนคนทั่วไป ยากแก่การทำใจของหลายคน
แลมาวันนี้ ศาสน์ก็ให้ผู้ถืออำนาจ ถอยไปอีก ดุจดั่งจะลงโทษคนไทย ที่มีของดีแต่มองไม่เห็น มีของดีแต่ไม่เอามาทำ เพื่อช่วยตน ด้วยผู้ที่ถืออำนาจ มิเพียงนุ่งกางเกง หากแต่ยังมีวัยวุฒิที่ยังน้อยในสายตาคนทั่วไป
อ.อร่าม จึงกล่าวว่า ภาพนี้ยิ่งทำให้คนเข้าถึงยากขึ้น ต้องทำใจมากขึ้นหากอยากได้ สิ่งดีๆของศาสนา มาช่วยตน
นั่นหมายความว่า การได้มายิ่งยากขึ้น แลในทางกลับกัน ผู้ที่ทำได้ ผลที่ได้ย่อมมหาศาล เช่นกัน
หากจะให้กลับเป็นบุญอีกครั้ง ก็ต้องเข้าหาท่านอาสิ ให้รับรู้อนุญาต
ด้วยศาสนา เป็นศาสน์ที่มีเจ้าของ มีตัวแทนเป็นผู้ถืออำนาจ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวตนของเราท่าน เมื่อการณ์เปลี่ยน ทำใจได้ไหม
ผลก็จะเป็นเครื่องชี้เองว่า ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่ โดยเฉพาะ ผลแห่งการฟื้นฟูตน ย่อมทำให้ผู้ทำรู้ได้เองว่า เป็นจริงดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวหรือไม่ ที่ว่า สถานการณ์เปลี่ยน จักทำเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว
บทสรุป ที่ศาสน์ให้ภาพสวย คือ ไหว้ผู้ปฏิบัติแต่เป็นหญิงคนไทยไม่รับ กลายเป็นไหว้คนนุ่งกางเกง ก็ยังไม่ตื่นตัว วันนี้ ต้องมาไหว้ มิเพียงแต่นุ่งกางเกง แต่ยังด้อยวัยวุฒิ เสียอีก .. เราก็รอดูว่า คนที่ผ่านได้ ทำใจได้ ผลจักเป็นเช่นไร
เราจึงอยากชี้ช่อง การกระทำที่เคยเป็นบุญในอดีต ที่หลวงพ่อนิพนธ์เคยบอกให้ทำ ในการเป็นจิตอาสา แล้วทำใจไม่โกรธ แลสิ้นสภาพการทำแล้วเป็นบุญไป พร้อมกับการลาสังขารของหลวงพ่อนิพนธ์