มีจิตอาสาหลายท่านสงสัย ในสิ่งที่วิทยากรกล่าวว่า ในเมื่อปัจจุบันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ได้กำหนดให้ แผ่นดินมูลนิธิไทยกรุณา เป็นแผ่นดินทาน ทำแล้วได้ทาน เป็นผลตอบแทน แลแผ่นดินที่สำนักสงฆ์แม่ชีเมี้ยนกรุณา เป็นแผ่นดินบุญ ทำแล้วได้บุญ เป็นผลตอบแทน
คำถาม จึงเกิดขึ้นว่า ก็อดีตที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า การทำในแผ่นดินของมูลนิธิไทยกรุณา นั้นเป็นบุญ เมื่อตอนนี้ทำแล้วไม่ได้บุญ จะทำทำไม สู้ไปนั่งเฉยๆ รอรับสมุนไพร ไม่ต้องตื่นแต่เช้า ตีสองตีสาม รีบมาไม่ดีกว่าหรือ
นี่แลคือปัญหา ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า ตัวท่านเองไม่มีเวลาในการอบรม ให้ความรู้ในทางบุญ ผู้ทำจึงขาดความเข้าใจ
เราจึงยกคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า ทำไมการทำตนในอดีตตามหลวงพ่อนิพนธ์บอก จึงเป็นบุญ
ก็ด้วยเหตุที่เราท่านทั้งหลาย ยังไม่รู้วิธีการสร้างบุญว่าต้องทำอย่างไร ดังนั้น เพื่อให้ได้บุญไปเกื้อหนุนเราท่านได้โดยเร็วไว โดยไม่ต้องรอเราท่านทำ จึงกำหนดหรือที่พระท่านเรียกว่า บุคคลิก งานใดๆ ให้แก่คนที่มาทำให้ แล้วเอาบุญส่วนกลางที่ท่านมี ไปตอบแทนคนเหล่านั้น เพื่อให้เป็นบุญเลี้ยงตน
แลก็หวังว่า เมื่อเราท่าน มีกำลัง มีความพร้อม และได้รับการเรียนรู้ในวันข้างหน้าแล้วไซร้ ก็จะสามารถสร้างบุญได้ด้วยตนเอง คืนกลับมาหาท่าน เรียกว่า ให้ยืมบุญไปใช้ก่อนนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง เราท่านทั้งหลายจึงไม่ยังไม่ต้องทำนิสัย เพื่อสร้างบุญ แต่ก็มีบุญมาเกื้อหนุน
มาวันนี้ เมื่อสิ้นหลวงพ่อนิพนธ์ ทางบุญอันนี้จึงถูกปิดลง เพราะไม่มีผู้ใดมีบุญส่วนกลางมาให้เราท่านได้หยิบยืมใช้อีกแล้วนั่นเอง ทางบุญที่เหลือ จึงต้องทำเอง
คำถามก็คือ แล้วเป็นจิตอาสาได้อะไร
เรื่องของศาสนา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า สมบัติเพียงอย่างเดียวที่จะนำมาใช้ในศาสนาได้ แลเป็นเครื่องมือในการหาบุญ นั่นคือ ตนของตน
แลศาสนา มีขั้นของการปฏิบัติ เพื่อสร้างคุณสมบัติ รองรับอำนาจบุญของศาสนา
การจะเติบใหญ่ ในแต่ละขั้นของศาสนา จนสำเร็จ ล้วนมีรากฐานมาจากความกตัญญู เป็นหัวใจ
และขั้นตอนพื้นฐาน ก็เริ่มจากการทำกาย ไปวาจา จนถึงขั้นใจ
เมื่อเราท่านมาทานสมุนไพร ได้ฟังคำสอน เชื่อ และมีใจกตัญญู อยากตอบแทนพระคุณ ของศาสนา แม่ชีเมี้ยน พระพุทธ รวมถึงหลวงพ่อนิพนธ์ ก็จึงเริ่มด้วยการเป็นผู้ให้ นั่นเอง
ด้วยแผ่นดินศาสนา เป็นที่รวมแห่งคนทุกข์ ผู้ใดที่จะพัฒนาตน ก็พึงเริ่มจากการเป็นผู้ให้ จึงมีคำว่า "สละแรงกายเป็นทาน ทำงานเพื่อศาสนา"
ซึ่งเป็นการแสดงที่เป็นรูปธรรม ในการแสดงกตัญญู
แลจิตอาสานี้ไซร้ หากกล่าวรายละเอียด ก็ต้องพึงหมายถึง เสมือนหนึ่ง เป็นตัวแทนของหลวงพ่อนิพนธ์นั่นเอง
สิ่งที่ได้กลับมา อย่างแน่นอน คือ ทานบารมี ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทานอันนี้ จะช่วยเกื้อหนุนในยามที่เราตกในปล้องกรรมชั่ว หรือพูดภาษาชาวบ้าน คือ ดวงตก ก็จะทำให้มีผู้เกื้อหนุน ไม่ลำบากสาหัสจนเกินไป
แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่า นั่นคือ ได้คุณสมบัติติดตน นั่นคือ ความกตัญญู ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเสมอว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รู้คนทำ รู้คนทาน แสดงฤทธิ์ตามคุณสมบัติของคนผู้นั้น
นี่คือผลพวงที่แถมให้ อันหมายความว่า ด้วยคุณสมบัติอันนี้ ทำให้การทานสมุนไพร ได้ผลมากขึ้นนั่นเอง
แต่หากอยากจะให้ในขณะที่ตนเป็นจิตอาสา ทำแล้วได้บุญด้วย เฉกเช่นแต่กาลก่อน อันนี้ต้องไปรับข้อปฏิบัติที่ลพบุรี
เมื่อรับมาปฏิบัติแล้ว ไปทำที่ไหนในโลกก็เป็นบุญ ไม่จำเป็นต้องทำที่ลพบุรี ที่มูลนิธิ ที่ไหนก็ได้
ยุคของการปฏิบัติตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน โดยไม่เฉพาะเจาะจงบุคคล นั้นหมดสิ้นแล้ว ทางบุญในยามนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ต้องไปในแผ่นดินศาสนา แล้วรับข้อปฏิบัติมาทำ แต่เพียงทางเดียวเท่านั้น จักทำเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว
เราจึงเชิญชวน ไปเรียนรู้ วิธีการของทางบุญ ว่าต้องทำอย่างไร จึงเป็นบุญ
ใครจะบอกว่า ไม่จำเป็น ไม่ต้องไป รู้แล้ว .... ได้เหมือนกัน ก็ไม่ว่า
แต่สิ่งหนึ่งที่พึงระลึก นั่นคือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ อำนาจธรรม นั้นมีเจ้าของ ถ้าเจ้าของเขาไม่อนุญาติ ใครจะลักเอาไปทำสักฉันใด ก็ไร้ผลแห่งบุญ
ก็เสมือนสมุนไพร คนรู้สูตรมีมากมาย หากแต่คนที่ทำให้สมุนไพรมีฤทธิ์ ก็คือคนที่ถืออำนาจ ได้รับอนุญาตเท่านั้นแล คนอื่น ทำเหมือนกัน สูตรเดียวกัน แต่ผลที่ได้ไม่เหมือนกัน เฉกเช่นถ้ำกระบอก กับมูลนิธิ ฉันใดก็ฉันนั้น
แลผลแห่งการเป็นจิตอาสา ก็ย่อมง่าย ที่จะทำให้การปฏิบัติ เพราะจิตกตัญญูอันนั้นแล พึงทำให้จิตอาสา ย่อมประคองตัวกระทำ ในวัตรปฏิบัติที่รับมา เป็นอย่างดี เพื่อตอบแทนผู้มีคุณ และช่วยตน
เมื่อมาทำรวมกัน ก็จะได้ทั้งบุญทั้งทาน แถมยังไปสร้างบุญที่ไหนก็ได้ในโลก ไม่จำเป็นต้องเป็นวัด ขอให้ทำให้ถูก
เราจึงมีคำถามกลับไปยังจิตอาสาว่า เมื่อท่านกล่าวอ้างว่า ท่านทำข้อปฏิบัติ อาทิ ทำใจไม่โกรธ ... ท่านรู้วิธีการทำหรือไม่ ว่าทำอย่างไร แลบุญที่จะพึงได้ มาโดยวิธีใด หนทางในการประคองวัตรปฏิบัติไม่ให้เสีย หรือเสียน้อย ต้องทำเช่นไร ... นี่แลทำไมจึงต้องไปลพบุรี ... ไปเรียนรู้ เพื่อจะได้ทำให้ถูก ไม่ใช่ทำแบบคิดไปเอง เออเอง ฉันทำได้ กว่าจะรู้อีกที อ้าวไปคนละทาง หาผลบุญกลับมายังตนไม่ได้เลย กรรมก็เล่นจนงอมเสียแล้ว เพราะสิ่งที่คิด แล้วทำ คิดถูกแต่ทำผิด นั่นเอง
ทางบุญวันนี้ จึงมีสภาพ คนให้คนรับ รู้กัน ประกาศแก่กันและกัน มีดินฟ้า อากาศ เป็นพยานใหญ่
เรียกว่า เป็นเรื่องเฉพาะตนแล้วนั่นเอง ใครอยากได้ ก็ไปขอ แล้วทำ ไม่หว่านกลาดเกลื่อน ดังในอดีตแล้ว