หลักของศาสน์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ความรู้เดิม ที่เราท่านเห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออกนั้น และยึดมั่นกันมาทำตามกันตั้งแต่เล็กจนแก่เฒ่า กลายเป็นหนทางที่ทำให้ตนของตนเดินห่างศาสนาไปทุกที
แลเมื่อวันใดที่ความจริงปรากฎ ทุกข์มาเยือนตน แลมองกลับไปในความเชื่อของตน ที่กระทำมาอย่างมุ่งมั่น ก็มักเกิดคำถาม ทำไมทำดี จึงไม่ได้ดี คำสอนของพระภูมีนั้นเป็นจริงหรือ จนไปถึงท้ายที่สุด ก็รำพึงว่า เมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดี จะทำไปทำไม
เราจึงไม่แปลกใจเลย ในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ที่สอนพระใหม่ที่เพิ่งบวชเข้ามา แล้วกล่าวว่า ความรู้ทางโลกของท่านนั้น คงเถียงไม่ได้ว่าอยู่ในขั้นดี ด้วยการจบปริญญาของท่านเป็นเครื่องชี้ แต่ความรู้ในเรื่องของศาสนานั้น สิ่งที่ท่านมี ไม่ต่างกับควาย ฉันใดก็ฉันนั้น คือ ไม่รู้เรื่องอันใดเลย ซ้ำร้ายยิ่งกว่า ยังมีความรู้ผิดๆ จากลัทธิความเชื่อ ที่แฝงเข้ามาอาศัยศาสนาพุทธ หากิน เพื่อความสุขแห่งตนของคนโลภทั้งหลายอีก
พระรูปนั้นถามว่า ทำไมศาสน์ของแม่ชีเมี้ยนจึงไม่ให้ถือศีล แต่ให้ทำสัจจะแทน
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า ศีลไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า หากแต่เป็นของลัทธิพราหมณ์ และเป็นของคู่กันมากับศาสนาพุทธทุกยุคทุกสมัย
เมื่อศาสนาพุทธอ่อนแอลง ด้วยผู้ที่เป็นอรหันต์นั้น ไปนิพพานหมดสิ้นแล้ว วันเวลาก็ห่างไกล ไม่มีผู้รู้จริง พราหมณ์ก็อาศัยจังหวะเวลานี้ สังคายนา เปลี่ยนแปลง ดัดแปลงคำสอน จนท้ายที่สุด ก็ยากที่จะทราบเค้าโครงเดิม จุดประสงค์ก็เพื่ออาศัยศรัทธาในศาสนาพุทธ มาปรนเปรอพวกตนนั่นเอง
หากจะพิสูจน์ความจริง ก็ย่อมดูความย้อนแย้งกันเองในพระไตรปิฎกนั่นแล จะเห็นความจริง
ในบทแรก ก็จะเขียนว่า บิดามารดาของเจ้าชาย อยากมีบุตร เพื่อสืบวงศ์ จึงไปปรึกษาผู้รู้ หรือ ปราชญ์ แลได้คำสอนว่า ให้ไปถือศีล จึงจะสมหวัง ... นั่นก็แสดงว่า ศีลมันมีมาก่อน เจ้าชายเสียอีก ไม่ต้องว่าไปถึง ก่อนมีพระโคดม
แลพระไตรปิฏกในประเทศไทย หากใครสืบค้นจากประวัติศาสตร์ ก็ย่อมรู้ดีว่า ผู้เขียนคือ พราหมณ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ในยุคนั้นนั่นเอง อยากทราบว่าชื่อเรียงเสียงไร ก็หาได้ไม่ยาก
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พระรูปนั้นเห็นว่า ทำไมจึงใช้ศีลไม่ได้ ก็ด้วยเหตุที่ว่าศีลนั้นหนักเกินไป ไม่มีใครทำได้ แค่ไม่ฆ่าสัตว์ ก็ทำไม่ได้แล้ว ก็ขนาดพระพุทธเจ้า เดินไปในสถานที่ใด ระวังระไว ในการเดินทุกฝีก้าว มีสติสมบูรณ์ ยังพลาดเหยียบสัตว์ ที่อยู่ใต้ใบไม้บ้าง มองไม่เห็นบ้าง
สัตว์บางตัว อโหสิกรรมให้พระพุทธเจ้า ท่านก็เอาบุญของท่านส่งให้ ส่วนสัตว์บางตัวไม่ยอม นั่นจึงเป็นเหตุให้ แม้นเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องปวดเมื่อย ขา เมื่อยเข่า และเมื่อถึงท้ายที่สุด ท่านก็ต้องใช้กรรมแก่สัตว์เหล่านี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้านิพพาน เรียกว่า สรุปกรรม ด้วยการอาเจียนพระโลหิต
คนทั้งหลายเห็นแต่ไม่รู้เหตุ พราหมณ์มันก็เอาไปแต่งยกพวกตนให้สูงกว่าพระพุทธเจ้า กลายเป็นหมอชีวกพราหณ์ เป็นผู้รักษาพระพุุทธเจ้า ดังในพระไตรปิฏกนั่นแล
ทีนี้ แล้ว สัจจะ หล่ะ รู้ได้ไงเป็นของพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อนิพนธ์จึงอรรถาธิบายว่า สัจจะ จึงเป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้า ให้เปลี่ยนจากการใช้นิสัยกรรมเดิมนำตน มาใช้สัจจะ คือ นิสัยพระพุทะธเจ้านำตน นั่นเอง
แล้วมันต่างกับการสอนให้ทำความดีอย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สัจจะ จะสอนให้กลายเป็นคนเที่ยง ไม่ขี้ฉ้อ เมื่อกล่าวแล้ว ก็ยึดถือปฏิบัติ นำตน ไม่ว่ามีสิ่งใดมากระทบ ก็พยายามจะรักษาซึ่งสัจจะนั้นไว้
เมื่อทำสัจจะ ก็เสมือนทำนิสัยใหม่ ค่อยๆเปลี่ยนนิสัยเดิมของตน และกลายเป็นคนดี โดยปริยายนั่นเอง
การทำความดี นั้นเป็นการตั้งใจ ไม่มีใครรับรู้ ใจจึงเอนเอียง ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ไม่มีใครรับรู แต่การทำสัจจะ ใช้การประกาศตน คนทั่วไปรับรู้ นั่นทำให้ผู้ทำ ต้องบังคับตน
เรียกว่า มีเส้นขีดให้เดินแล้ว จะเดินตามนิสัยไม่ได้เลย หากใครเดินออกนอกเส้น นั่นก็เท่ากับว่า เสียคุณสมบัติแล้วนั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยก อาทิ เมื่อท่านมาบวชในศาสนา พระภูมี สอนให้มักน้อย สันโดษ ลดการเบียดเบียน จึงบัญญัติ การฉันมื้อเดียว และไม่ทานน้ำปานะ นอกเวลาฉัน นั่นก็ทำให้พระไม่เบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป เบียดเบียนเฉพาะหน้า คือ เพื่อประทังสังขาร ไว้ทำความดีในพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง
ดังนั้น การจะประสพความสำเร็จในการเป็นคนดี ตามแนวศาสนา ก็อุปมาเสมือนย้อนเกล็ดกรรมนั่นเอง เมื่อกรรมให้สร้างกรรม ด้วย กาย วาจา ใจ ศาสนาก็สอนให้ว่ายทวนกระแสกรรม เวลาสอนให้ทำสัจจะ จึงเริ่มที่ กายก่อนเช่นกัน ไม่ใช่มาถึงก็เริ่มที่ให้ทำใจก่อน .... เหมือนศีล ข้อเดียวก็ยากแล้ว แบกทีเป็นสิบข้อ ร้อยข้อ มันจึงทำไม่ได้ เมื่อทุกคนทำไม่ได้ จึงไม่มีใครพูดถึง เพราะทำไม่ได้เหมือนกันนั่นเอง
นี่แลจึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้เราท่าน เริ่มที่สร้างนิสัยให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วพัฒนากลายเป็นคนมีจิตที่ให้สุข ด้วยการเป็นจิตอาสาก่อน
แล้วอะไรเล่า เป็นบทพิสูจน์ว่าคำสอนของหลวงพ่อเป็นจริง พระถาม
หลวงพ่อนิพนธ์ตอบว่า ก็ผลแห่งการกระทำนั่นแลเป็นเครื่องพิสูจน์ ทำถูกผลถูกย่อมเกิด ทำผิด ผลผิดย่อมเกิด
พระของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครเป็นโรคหรอก นั่นจึงเป็นความมั่นใจ ที่ว่า ทำไมพระทั่วไป จึงต้องมีโรงพยาบาลสงฆ์ ทั้งที่บวชเป็นพระ ทำไมเป็นโรค แต่พระของแม่ชีเมี้ยน มีแต่คนเป็นโรค มาบวช แล้วหายโรค
กาลเวลาก็ได้ทำให้พระรูปนั้นเห็นความจริงข้อนี้ เพราะพระที่บวชพร้อมท่าน นับแต่เจ้าอาวาส ท่านชลอ ที่ยังคงเป็นเจ้าอาวาสในสำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ในปัจจุบันนี้ ก็ป่วยด้วยมาเลเรียขึ้นสมอง
ภาพที่เห็น ยามกลางวันก็ทำกิจปกติ พอตกเย็น ก็ต้องนำโซ๋เส้นใหญ่ๆ มาล่ามขาท่านตัวท่านไว้กับเสา เพราะกลางคืนจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ความร้อนจะขึ้นสมอง ไข้ขึ้น เพ้อ หลวงพ่อนิพนธ์ต้องประคบประหงม ให้สติ เพื่อให้ขันติ และอดทน ยอมรับ นั่นเป็นกรรมแต่อดีต
แล้วท่านก็รอดมาจนยังเป็นเจ้าอาวาสทุกวันนี้ แลเมื่อมองลงมาอันดับรองๆ โปลีโอขาลีบบ้าง เอดส์ก็หลายองค์ ท่านตองก็มะเร็งสมอง บางองค์ก็ยังวัยรุ่นแต่น้ำเหลืองเป็นพิษ เละทั้งตัว บางองค์ก็ชักวันละห้าเวลา ... นี่เองจึงทำให้พระรูปนั้นเชื่อว่า ศาสนามีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง หากแต่ได้พบ ได้ทำในสิ่งที่ถูก ตามครรลองของศาสนานั้นจริงหรือไม่
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนเคล็ดของศาสนา จึงเริ่มที่ฟัง พิจารณา แล้วจึงเชื่อ เมื่อเชื่อก็ทำตาม และเมื่อเชื่อแล้ว ทำแล้วผลเกิด ก็ควรละทิ้งความเชื่อผิดๆ ทิ้งไป ให้เหลือความเชื่อที่ถูกเพียงอย่างเดียว
คำสุดท้ายในวันแรกที่สอนพระรูปนั้น จึงจบลงด้วย หากท่านคิดจะรอด อย่าเหยียบเรือสองแคม อันโน้นก็ดี อันนั้นก็อยากได้ ความเชื่อของท่าน เมื่อพิสูจน์แล้วว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดดี ก็ยึดไว้เป็นหนึ่งเดียว มิฉะนั้น วันใดที่เรือของท่านออกจากท่า เผชิญคลื่นลมแรง เรือทั้งสองที่ท่านเหยียบมันจะแยกออกจากกัน แล้วตัวท่านจะตกน้ำ