ท่านอาจารย์หมอ มาพร้อมกับคุณแม่ ที่ท่านได้ทำการรักษาเอง ตั้งแต่เริ่มเป็นโรคเพียงโรคเดียว หากแต่ในปัจจุบัน คุณแม่มีโรคทั้งหมด ๖ โรคแล้ว ในขณะที่ตัวท่าน ก็เริ่มจาก ๑ โรคเช่นกัน จนปัจจุบัน โรคที่ ๓ กำลังคืบคลานเข้ามา
ก่อนจะมา ณ ที่นี้ อาจารย์หมอท่านนี้ ได้ทำการปรึกษาในอาการที่เป็น กับอาจารย์ของอาจารย์หมอ ที่เป็นหมอที่มีชื่อเสียง ของประเทศสหรัฐอเมริกา สถาบันที่อาจารย์หมอจบมานั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวกับอาจารย์หมอว่า ขอถามคำถามหนึ่ง คือ ทุกวันนี้วงการแพทย์มีข้อสรุปในเรื่องโรคหรือยัง
คำตอบที่อาจารย์หมอให้ก็คือ ทุกวันนี้วงการแพทย์ยอมรับแล้วว่า ความสามารถในทางวิชาการแพทย์นั้น มีบทสรุปว่า สามารถทำได้แค่เพียงการระงับโรคเท่านั้น
หากแต่การจะกล่าวเช่นนั้น ก็จะทำให้ราคาของยาตกต่ำ จึงต้องใช้คำว่า "รักษา" เพื่อที่จะให้ยามีราคา
คำถามที่สองที่หลวงพ่อนิพนธ์ถามแก่อาจารย์หมอ ว่าอาจารย์หมอเชื่อได้อย่างไรว่า แนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จะช่วยรักษาโรคที่เป็นได้
อาจารย์หมอตอบว่า ประการแรก ก็คือ การยอมรับว่า ไม่มียาเคมีใดๆ ในโลก ที่เข้าถึงเหตุแห่งอาการโรคได้ นั่นคือ ไม่มียารักษาโรค
เมื่อได้ฟังกระบวนการทำงานของสมุนไพร ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ต้องใช้กระบวนการย่อยของกระเพาะ เพื่อนำวัตถุดิบคือสมุนไพร พาไปยังจุดต้นเหตุของโรค จึงจะรักษาได้ นั่นคือ ธรรมชาติของมนุษย์ ที่เป็นอยู่ จึงมีความเป็นไปได้
ขณะเดียวกัน เมื่อทดลองกระบวนการของสมุนไพรแล้วดูผล ที่เกิดกับตน ว่า หลังจากหยุดยาเคมีทั้งหมด แล้วเป็นเช่นไร ผ่านวัน ผ่านสัปดาห์ สภาพอาการที่ปรากฎ ทั้งของตน และของแม่ เป็นเช่นไร
นั่นจึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมอาจารย์หมอและแม่ จึงได้หยุดยาเคมีเด็ดขาด และทานสมุนไพรอย่างจริงจัง ด้วยผลที่สะท้อนกลับมายังตนนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ให้คนไข้เห็นเพื่อพิจารณาว่า ในขณะที่คนทั่วไป เป็นอะไร วิ่งไปหาหมอ หากแต่คนที่เป็นหมอ เมื่อเป็น กลับวิ่งมาหาท่าน ... นี่แหละ มนุษย์เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เมื่อวิ่งเข้าไปแล้ว ผลก็คือ นิ้วขาด ไตขาด มดลูกขาด ขาขาด ... ในขณะที่สมุนไพรสูตรพระภูมี กลับกลัว รังเกียจ ทั้งที่เป็นดอกบัว สัมผัสแล้ว ปอดก็แข็งแรง อวัยวะทุกส่วนก็กลับมาแข็งแรง อยู่ครบ ดันมองเห็นเป็นกงจักร... ไม่เรียกกรรม จะให้เรียกอะไร