พระไตรปิฏก เขียนโดยพราหมณ์ ทำให้ภาพความจริงถูกบิดเบือน จนเกิดความเข้าใจที่ไขว้เขว
ประเด็นหนึ่ง ที่จะชี้ให้เห็น นั่นคือ ภาพของชูชก
ท่านลองหลับตา นึกถึงคำสอน แล้วบรรยายภาพชูชกออกมา เรียกได้ ว่าล้วนแต่ออกมาเป็นคนยากจน ที่ไม่เคยมี และเมื่อมีทางได้ ก็ละโมบ หยุดความอยากของตนไม่ได้ เพราะไม่เคยมี จนสร้างความหายนะแก่ตน
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ในอดีต ท่านก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น
หากแต่เมื่อนำธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมีมาใช้ ภาพชูชกที่เห็น ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
เพราะชูชกที่หลวงพ่อนิพนธ์เห็น กลับกลายเป็นเศรษฐีใหญ่ นั่นเอง
ตัวอย่างชูชก ท่ายยกมาให้เห็น นั่นคือ เศรษฐีใหญ่ ที่เป็นมะเร็งตับ คุยใหญ่ คุยโต ว่าตนเป็น เจ้าของเรือตังเกใหญ่กว่าสิบลำ มีคลังน้ำมันกลางทะเล มีกิจการมากมาย ใส่โรเล็กซ์ สร้อยคอทองพร้อมพระเลี่ยมเพชร ขับเบนซ์
เศรษฐีผู้นี้ มาทานสมุนไพร เริ่มจากหมอกำหนดวัน ตับโต ท้องโต จนมีสภาพการดีขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป เป็นปี
แต่เศรษฐี ไม่เคยหิ้วมะพร้าว ไม่เคยถือถุงมะกรูดและใดๆ มาร่วมในกิจกรรมเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวสอนว่า ทำไมจึงทำตนเช่นนั้น ด้วยฐานะของท่าน ควรทำตนเป็นพระเวสสันดร
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเปิดช่องว่า เหงือกปลาหมอ ซึ่งมีมากแถวแถบน้ำกร่อย ให้จัดหามา
เศรษฐีก็กลับไป ใช้ลูกน้องไปเก็บ และใช้คนงานพม่าสับ มาให้ โดยไม่ต้องเสียเงินเลย
พร้อมกับการคุยใหญ่คุยโต ในสิ่งของที่นำมา อวดด้วยความภูมิใจ
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ท่านจะเป็นพระเวสสันดร ได้โดยวิธีใด เพราะของที่นำมา ไม่มีน้ำเหงื่อน้ำแรงของท่านปนอยู่เลย เหงือกปลาหมอที่นำมา ก็เป็นของฟรี
ในขณะที่ เศรษฐียอมเสียเงินมากมายไปกับสิ่งที่ไม่ได้ให้ชีวิตตน แต่กลับสิ่งที่ช่วยชีวิตตน เศรษฐีไม่ยอมเสียแม้แต่เก๊เดียว
การกระทำเยี่ยงนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า นี่แหละพฤติกรรมของชูชก มาเพื่อรับเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีความคิดที่จะเป็นผู้ให้ แม้นจักได้รับผลจากสมุนไพร ทานของผู้อื่น จนเกิดผลก็ตาม
บทสรุป คำสอนสุดท้ายที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวแก่เพื่อนของเศรษฐี เพื่อสอนทางอ้อมว่า กรรมมันไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะฉายามะเร็งจึงดับชีวิตเราได้ พฤติกรรมแบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้เกิดภาษิต หนีเสือ ปะจรเข้
ก็เพราะชูชก มันเอาแต่หายโรค แต่มันไม่ยอมทำให้หายกรรม ... ผลสุดท้าย มันจึงท้องแตกตาย นั่นคือ อย่างไรก็ตาย นั่นเอง แค่ไม่ใช่ฉายามะเร็ง