คณะของชาวอเมริกัน ที่มาเยือนชมรมคนรักสุขภาพ ในครั้งนี้ ถูกชักนำมาโดยกรรมการท่านหนึ่งที่เป็นอดีตทหาร ระดับนายพลเอกของประเทศไทย
เมื่อสืบสาวย้อนหลังกลับไป อันจะเป็นที่มาว่าทำไมอดีตนายพลท่านนี้ จึงมีความเชื่อมั่นในแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน เป็นเรื่องที่เราว่า เป็นตัวอย่างสะท้อน หรือ ตัวแทน สมาชิกที่มาชมรมในวันนี้ได้เป็นอย่างดี
หลายปีก่อน อดีตนายพลท่านนี้ ก็เป็นเฉกเช่นคนทั่วไป ที่มีฐานะทางสังคม เรียกว่า อยู่ในสถานะอยู่ดีกินดี รักษาสุขภาพด้วยความใกล้ชิดกับหมอชั้นนำของประเทศ
จวบจนบั้นปลาย ผลก็เป็นเฉกเช่นคนทั่วไป นั่นคือ มีโรคประจำตัวมากหลาย และต้องทานยาเคมีทุกวัน จนร่างกายเริ่มไม่ไหว ก็แสวงหาหนทางที่จะหลุดพ้นวัฐจักรที่ตนเป็นอยู่
จากคำแนะนำของเพื่อนฝูงในแวดวงทหาร ที่ผ่านมาในชมรม ก็ชวนชักกันมาให้ลองทางเลือกสมุนไพรนี้
อดีตนายพล จึงพาตนมา เรียนรู้และรับรู้หนทางใหม่ ที่ไม่เคยได้ยิน ได้สัมผัสมาก่อน
ความที่ได้เห็นเพื่อนฝูงที่ใกล้ชิด รู้สภาพความเป็นอยู่ แล้วมีอาการดีขึ้น แข็งแรง ก็ทำให้เชื่อมั่นว่า หนทางที่ตนจะมาเลือกเดิน ก็น่าจะดีต่อตนเอง
เมื่อการทานสมุนไพรเริ่มต้น การตอบรับของสภาพร่างกายดีขึ้น ก็ยิ่งทำให้มั่นใจ และเกิดความมุ่งมั่นที่จะช่วยตนให้พ้นโรคภัยที่ตนเองเป็น
อดีตนายพล มุ่งมั่นทานและยืนระยะ เรียกว่าอย่างมีวินัย จนโรคภัยที่ตนเองเป็นค่อยๆลด จนหายในที่สุด
นั่นก็ใช้เวลาประมาณ ๓ ปี หากแต่วันหนึ่ง หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวกับอดีตนายพลว่า สมุนไพรน่ะแก้โรคได้ แต่แก้กรรม สะเดาะห์เคราะห์ไม่ได้ น่ะ
นั่นเป็นการบอกนัยๆ แก่อดีตนายพลว่า ควรที่จะทำตนเป็นพระเวสสันดร เพื่อแก้เคราะห์ตน นั่นเอง แต่อดีตนายพลฟังแล้วก็วางเฉย ฟังเพียงผ่านไปก็เท่านั้นเอง
วันหนึ่ง อดีตนายพลนั่งรถไป เกิดมีรถวิ่งจากฝั่งตรงข้าม ข้ามมาอัดกับรถของตัวเอง ผลที่ปรากฎ รถกลิ้งหลายตลบ จนสภาพรถไม่สามารถซ่อมได้
ตัวของอดีตนายพล กลิ้งอยู่ในรถ กระแทกเด้งไปเด้งมา เมื่อได้รับการช่วยเหลือ และนำตัวส่ง ร.พ. ก็ยังมีสติดี ช่วยตัวเองได้
ครั้นถึง ร.พ. คุณหมอตรวจแล้วจะฉีดยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ และจะทำแผลให้ หากแต่อดีตนายพลปฏิเสธ และสั่งห้ามทั้งหมด
จนหมอมีอารมณ์ ถามว่า เมื่อไม่ให้ทำอะไรแล้วมา ร.พ. ทำไม อดีตนายพลตอบว่า ตัวเขาเองอยากจะรู้ว่า สมองกระทบกระเทือน มีเลือดออกในสมองหรือไม่ กระดูกส่วนไหนหักร้าวบ้าง เท่านั้น หมอจึงกล่าวว่า ถ้างั้นก็กลับบ้านไป
อดีตนายพลให้คนพากลับบ้าน แล้วให้ภรรยานำสมุนไพรในบ้าน มีอะไร นำออกมาทานหมดทุกตัว แล้วให้โทรเรียนหลวงพ่อนิพนธ์
หลังการพักฟื้นไม่กี่สัปดาห์ และทานสมุนไพรเต็มที่ ร่างกายก็ฟื้นกลับมา จนเป็นปกติ
หลวงพ่อนิพนธ์ ถามเขาว่า ทำไมจึงไม่ให้หมอทำอะไร อดีตนายพลตอบว่า ผลอยากทดลองดูซิว่า สมุนไพรรักษาโรคได้ จะสามารถรักษาอาการที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือไม่ ซึ่งเขาก็ไม่ผิดหวัง
หลังจากประสพการณ์ครั้งนี้ พฤติกรรมของอดีตนายพลก็เปลี่ยนไป จากความคิดที่ว่า มาหาหมอ รับยา กลับไปทาน จบกันแค่นั้น หลวงพ่อนิพนธ์ก็แค่หมอที่มีฝีมือเท่านั้นเอง มาบัดนี้ อดีตนายพลยอมรับว่า หลวงพ่อนิพนธ์คือครูบาอาจารย์ และยอมทำตนเป็นลูกศิษย์ เริ่มด้วยการเปลี่ยนจากการไหว้เฉยๆ ทุกครั้งที่มา กลายเป็นการกราบแทน
และนับแต่นั้น อดีตนายพล ก็จะคอยฟังว่าหลวงพ่อนิพนธ์กำหนดสิ่งใดให้ทำ เพราะเขาเข้าใจแล้วว่า นั่นคือสิ่งที่ใช้สะเดาะห์เคราะห์ อันเป็นสิ่งที่สมุนไพรทำให้ไม่ได้
ชีวิตของอดีตนายพล จึงเหนียวแน่น มาจนทุกวันนี้ และกลายเป็นหัวหอกในการนำชาวอเมริกันคณะนี้มา
และการมาในครั้งนี้ของคณะชาวอเมริกัน ก็เรียกว่าจะบังเอิญก็ใช่ แต่เราว่าฟ้าเขาเตะมา เพราะช่างประจวบเหมาะกับที่ เจสัน ชาวอเมริกัน ที่ติดยาเสพติดอย่างรุนแรง และมีโรคประจำตัวที่ร้ายแรง มาพักฟื้น จนสภาพปัจจุบัน หายจากการติดยาอย่างเบ็ดเสร็จ และโรคที่เป็นก็เบาบางเกือบเป็นปกติ ที่จะเป็นตัวอย่าง ตามคณะชาวอเมริกันนี้ไป
ที่บังเอิญกว่านั้น เจสัน ก็ไม่ใช่คนไร้ชื่อ ไร้นาม เป็นลูกชายของโปรโมเตอร์มวยใหญ่ของสหรัฐ อันดับสอง รองจากดอนคิง ไม่ใช่เอาใครก็ไม่รู้มาแหกตา
กว่าหลวงพ่อนืพนธ์จะทำให้คนๆ หนึ่ง มาด้วยใจ เป็นเรื่องยาก แม้นว่าคนๆ นั้น จะได้รับผลก็ตาม
แต่นั่นก็เป็นเครื่องยืนยันว่า การจะประสพผลในแนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา อันคือความปลอดภัยของชีวิต หาใช่แต่เฉพาะการหายโรค ต้องอาศัยซึ่งการมาด้วยใจ ที่เชื่อมั่น และศรัทธา
คนที่มาแล้วหวังหายโรคเพียงอย่างเดียว จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ทุ่มเทเวลา ทุ่มเงิน แต่ผลที่ได้ไม่คุ้มเลย เพราะไปไม่ถึงฝั่ง ... หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอว่า ไม่ตายด้วยโรค ตายด้วยอุบัติเหตุ ก็ตายเหมือนกัน
ควรจะมาเพื่อทำความหมายให้แก่ชีวิต ให้ปลอดภัย นั่นคือ เป็นคนดีตามคำสอนของพระภูมี ส่วนการหายโรค พระภูมี ให้เป็นของแถม สำหรับคนดี
อ้ายประเภทมาแล้วไม่อยากฟัง นั่งเล่นเกม นั่งทำโน่นทำนี่ อยากพูดก็พูดไป ข้าไม่สน เรียกว่าเป็นแก้วที่มีน้ำเต็ม จนไม่ยอมให้น้ำใหม่แทรกเข้าไปได้เลย จะมาเอาแต่สมุนไพรเพียงอย่างเดียว .... หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เสียเวลาเปล่า
อยากจะเดินทางเส้นนี้ ต้องฟัง แล้วนำสิ่งที่ได้ยิน ไปพิจารณา แม้นได้สักคำสักประโยคในแต่ละครั้งก็ยังดี เพื่อเปลี่ยนตัวเอง ... จะมาโดยไม่ยอมเปลี่ยนอะไรเลย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ก็สิ่งที่ทำเดิมๆ มันก่อให้เกิดทุกข์ในวันนี้ แล้วจะมาทานสมุนไพรให้หาย กลับไปทำแบบเดิม อุปมา ช่วยโจรให้หายโรค เพื่อกลับไปเป็นโจรอีก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน เขาจะเกื้อหนุน เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557
ทานสมุนไพรตอนไหนดี
ทุกครั้งเมื่อมีสมาชิกใหม่ วิทยากรก็จะบรรยาย วิธีการทานสมุนไพรให้แก่สมาชิกใหม่ฟัง
ประเด็นปัญหาที่สมาชิกใหม่ บางท่านอาจจะไม่สะดวก ในการทาน ณ เวลาที่วิทยากรบรรยาย ประการหนึ่ง
ประเด็นถัดมา ก็คือ อาจจะฟังไม่ถนัด หรือฟังมากไปจนสับสน ประการหนึ่ง
อย่าไปกังวลมากนัก เพราะสมุนไพร คือวัตถุดิบ เฉกเช่นเดียวกับอาหารที่เราทาน แม้นจะทานผิดเวลาไปบ้าง ก็ไม่เสียหาย
หากแต่สำหรับสมาชิกใหม่ ประเด็นสำคัญ ที่วิทยากรบรรยาย ในการทานสมุนไพรแต่ละช่วงนั้น อยู่ที่ การให้สรรพคุณประการหนึง และการทานง่ายประการหนึ่ง เท่านั้นเอง นั่นหมายความว่า เมื่อทานสมุนไพรไประยะเวลาพอควร สักเดือนสองเดือน การจะทานเวลาไหน ก็ตามแต่สะดวก
แต่ที่เราเห็นว่า ควรจะสนใจ กลับเป็น คุณลักษณะของสมุนไพรนั้นๆ ต่างหาก เพราะนั่นจะมีผล โดยเฉพาะในยามฉุกเฉิน ที่ต้องการแก้ไขอาการเร่งด่วน
เริ่มจากสมุนไพรเขียว ที่ในอดีตหลวงพ่อนิพนธ์ให้ทานคนละแก้ว ต่อคิวกันมายาวเหยียด ทานเสร็จก็มีคนล้างแก้ว แล้วนำมารินให้คนทานต่อ
วันหนึ่งสาธารณสุขจังหวัด มาตรวจและบอกว่า การทำเช่นนั้น ไม่สะอาด สามารถทำให้เกิดโรคติดต่อได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า สมุนไพรหากจะช่วยรักษาคนได้ ก่อนอื่นต้องมีคุณสมบัติช่วยปกป้องตนเองได้ก่อน นั่นคือ หากแบคทีเรียหรือเชื้อ สามารถเข้าไปในสมุนไพรและคงอยู่ได้ สมุนไพรนั้นก็ไม่มีความสามารถที่จะช่วยรักษาอันใดได้นั่นเอง
จึงให้สาธารณสุขลองนำไปทดสอบ เทียบกับการล้างแก้วตามหลักการในโรงพยาบาล เช่น น้ำร้อน แล้วตรวจเชื้อ ซึ่งก็พบว่า แก้วที่ใส่ยาเขียว ปราศจากเชื้อ ในขณะที่ใช้น้ำร้อนก็ยังมีเชื้ออยู่
คุณสมบัติข้อนี้ จึงทำให้เราได้รู้ว่า สมุนไพรเขียวฆ่าเชื้อได้ และมีฤทธิ์เป็นด่าง เป็นยาเย็น ส่วนฤทธิ์โดยตรง ทำให้อยากอาหาร และคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของสมุนไพรเขียว คือ สมานแผลที่อยู่ในที่ชื้นได้
ด้วยเหตุนี้ ปฐมบทของยาสมุนไพร จึงเริ่มที่สมุนไพรเขียวนี้เอง เพราะประตูเป็นตายของมนุษย์ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ธรรมชาติกำหนดอยู่ที่การกิน นั่นเอง
จากคุณสมบัติของสมุนไพรเขียว จึงทำให้สามารถนำสมุนไพรเขียวไปทาแผลภายนอกได้ ทำให้สมุนไพรเขียว สามารถนำไปทาแก้คัน ลมพิษ หรืออาการสะเก็ดเงินได้
ปัญหาที่สำคัญคือ ผู้ที่ผ่านยาเคมีมานาน ที่ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้เกิดอาการแผลในระบบทางเดินอาหาร และถ้าหนักกว่าน้้น ก็จะกลายเป็นแผลทะลุ ทำให้คุณสมบัติของสมุนไพรเขียว ทำงานไม่ได้
สมุนไพรตำลึง มีคุณสมบัติเป็นเมือกเหนียว สามารถใช้อุดรูแผลเหล่านั้นได้ ทำให้ต้องทานสมุนไพรตำลึงก่อน เพื่อให้สมุนไพรตำลึงทำหน้าที่อุดรูแผลเหล่านั้น และเมื่อสมุนไพรเขียวเข้าไป ก็จะทำหน้าที่สมานแผลในระบบทางเดินอาหารนั้นได้
เพราะการที่ต้องการเวลาในการทำงาน ณ ตำแหน่งนั้นๆ การทานสมุนไพรตำลึง และสมุนไพรเขียว จึงไม่ควรดื่มน้ำตาม เพราะน้ำจะไปเป็นตัวชะล้าง พาสมุนไพรตำลึงและสมุนไพรเขียวไป ก่อนที่จะซ่อมแซมระบบทางเดินอาหาร
วิทยากรจึงมักแนะนำว่า ให้เว้นระยะห่างไว้ อย่างน้อย ๕ นาที ก็ด้วยเหตุนี้นั่นเอง
สำหรับสมุนไพรมะกรูด ลูกกลอนน้ำผึ้ง และสมุนไพรมะพร้าว เป็นสมุนไพรธาตุไฟ เมื่อทานแล้วจะมีอาการแสบร้อน ดังนั้น ในขณะที่ร่างกายยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ หรือ ระบบทางเดินอาหารยังไม่ดี การทานหลังอาหาร ก็จะช่วยให้การทานสมุนไพรเหล่านี้ง่ายขึ้น
ในทางกลับกัน หากเราอยากรู้ว่าระบบทางเดินอาหารของเราดีแล้วหรือยัง ก็สามารถใช้สมุนไพรเหล่านี้ทดสอบได้ นัั่นคือ ลองทานสมุนไพรเหล่านี้ในยามท้องว่าง หากไม่เกิดอาการแสบท้อง แสบลำไส้ นั่นก็หมายความว่า ระบบของเรากลับมาเป็นปกติแล้ว นั่นก็หมายความว่า สามารถทานสมุนไพรธาตุไฟเหล่านี้ตอนไหนก็ได้แล้ว
หากแต่ในยามนอน ร่างกายเราจะมีอุณหภูมิต่ำลง ความเย็นจะเข้าแทรกได้ง่าย โดยเฉพาะคนป่วยหนัก วิทยากรจึงแนะนำให้ทาน สมุนไพรธาตุไฟ ลูกกลอนน้ำผึ้งก่อนนอน เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายไว้ โดยเฉพาะคนที่นอนหลับยาก ก็จะทำให้ความเย็นไม่แทรก นอนหลับสบาย
สำหรับยาต้ม ที่จัดเป็นสมุนไพรที่ต้องอุ่นก่อนทาน ก็เช่นเดียวกัน ระยะแรก ก็ทานหลังอาหาร ตามวิทยากรบอก ก็จะทานได้ง่าย หรือจะใช้วิธีการอุ่นตอนเช้า และใส่กระบอกเก็บความร้อน แล้วจิบแทนน้ำตลอดทั้งวันก็ยังได้
ด้วยคุณสมบัติและการทำงานเหล่านี้ เราท่านต้องเรียนรู้ และพิจารณาอาการ ก็จะสามารถนำไปใช้ได้หลากหลายตามอาการที่เกิด อาทิ มีอาการอาเจียน หรือกรดไหลย้อน ก็สามารถใช้คุณสมบัติความเป็นเมือก ปิดช่องของกระเพาะ ของสมุนไพรตำลึง มาแก้ไขได้
มีอาการถ่ายบ่อย ก็หยุดทานน้ำ นอนนิ่งๆ หิวก็จิบสมุนไพรปอดนิดๆ แก้กระหาย ปล่อยให้ระบบลำไส้ได้พักฟื้นสัก ๔ ถึง ๖ ชั่วโมง ไม่ให้มีน้ำเข้าไปในระบบ ระบบก็จะกลับมาเป็นปกติ หรือในกรณีที่ถ่ายยาก ก็ต้องทานน้ำมากกว่าปกติ
และสมุนไพรลูกกลอนดำ หรือ น้ำผึ้ง มีส่วนผสมของพริกไทยและกระเทียมโทน นี่เรียกว่ารถด่วนธรรมชาติ ที่สามารถซึมเข้าระบบได้อย่างรวดเร็ว ในกรณีของคนที่เป็นลม หรือหัวใจวาย หรือเริ่มจะล้มเหลว หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า รีบชงกับน้ำอุ่น แล้วป้อนให้ทาน แล้วจับมือดู ทานไปจนตัวเริ่มอุ่น อาการหัวใจ หรือเป็นลมก็จะหายไป เรียกได้ว่า เป็นสมุนไพรประจำตัวคนสูงวัย เหมือนยาหม่อง ยาดม มีอาการปุ๊บทานปั๊บ ฟื้นเร็ว และที่สำคัญทำให้หัวใจไม่เป็นตะคริว ป้องกันหัวใจวายได้เป็นอย่างดี พูดง่ายๆ ร่างกายเย็นใช้สมุนไพรธาตุไฟเข้าช่วย น้ำเกิน ใช้สมุนไพรมะพร้าววิดออก ไฟเกินตัวร้อน ไข้สูง ใช้สมุนไพรเย็น เข้าแก้
การทานสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า มิใช่ยาตายเช่นยาเคมี แต่เป็นยาเป็น มีไว้เพื่อชิงสถานการณ์กับกรรม กับโรค นั่นจึงต้องอาศัยความละเอียด ในการฟื้นฟูตน เรียกว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสี ทัดเทียมกัน
โดยเฉพาะคนไข้วิกฤต เรียกว่าชิงเดิมพัน คือชีวิต นั่นเอง จะปล่อยไปตามนิสัยไม่ได้เลย
คำเตือนของหลวงพ่อนิพนธ์ที่มักกล่าวให้คนไข้วิกฤตฟังเสมอ นอกจากทานสมุนไพรถึง ได้ปริมาณและชนิด แล้วก็ตาม หากแต่สมุนไพรไม่ใช่แหล่งของกำลัง นันคือ คนป่วยต้องทานอาหารให้ได้ ที่สำคัญคือ ต้องทานให้ครบ ๕ หมู่
คนไข้หลายคนเป็นอิสลาม มีปัญหากระดูก โรคเก๊าต์ บอกจะไม่ทานสมุนไพรกระดูกหมู ทำเช่นนั้นก็ไม่ได้ เป็นคนถือศีลกินชี มัง เจ อย่างที่วิทยากรมักเรียก จะไม่ทานเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลัก ก็ไม่ได้ มิฉะนั้น ต่อให้มีเครื่องมือฟื้นฟู คือ สมุนไพร แต่ไม่มีวัตถุดิบ คือ อาหาร สมุนไพรก็ช่วยอะไรไม่ได้
ขอย้ำ ยิ่งคนป่วยหนัก ต้องทานอาหารให้มากกว่าปกติ หากแต่การทานแต่ละครั้งเมื่อทานมากไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนนิสัยให้กลายเป็นคนกินจุกกินจิก เป็นการชั่วคราวก่อน
วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557
วันวานกำลังจะกลับมา
วันพฤหัสนี้ จิตอาสากว่าสองร้อยคนลาหยุดไปทำกิจกรรมที่บ้าน ทำให้คุณอ้อ หัวหน้าจิตอาสาเรียนหลวงพ่อนิพนธ์ปรึกษาว่าควรจะหยุดกิจกรรมสักวันหนึ่งหรือไม่
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวตอบว่า โรคและกรรม มันมีวันหยุดให้เราหรือ เมื่อมันไม่มี กิจกรรมที่เราทำ มีผลต่อชีวิต ย่อมต้องดำเนินไป หยุดไม่ได้เช่นกัน เพราะคนบางคน เขาต้องอาศัยบุญเลี้ยง หากหยุด พวกเขาก็จะเสียโอกาสในการช่วยตนไป
ดังนั้น วันพฤหัสนี้ก็จึงเปิดให้บริการปกติ จะมีคนน้อยก็ไม่เป็นไร แล้วแต่คนจะให้ความสำคัญ
และในวันเดียวกันนี้เอง จะมีคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งมาขอพบหลวงพ่อนิพนธ์
คือคณะจากประเทศสหรัฐอเมริกา ๗ ท่าน ที่ติดต่อผ่านทางนายทหารระดับสูง เพื่อร้องขอให้นำมาพบ
เรื่องที่จะขอพบ เรื่องแรกก็คือ จากการที่มีคนไข้อเมริกา ที่เป็นโรคมะเร็งขั้นที่ ๔ ผู้ซึ่งหมอลงความเห็นแล้วว่าหมดทางรักษา แล้วเดินทางมารักษา ที่นี่จนประสพผล กลับไปตรวจหลายท่าน จึงอยากจะมาพบประการหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน สถานทูตสหรัฐได้ค้นประวัติหลวงพ่อนิพนธ์ที่เก็บไว้เดิมในปี ๒๕๐๘ กลับขึ้นมาอีกครั้ง และทำการตรวจสอบ สืบทราบ จนแน่ใจ ดังนั้น จึงส่งคนมาในคณะนี้ด้วย เพื่อเชิญหลวงพ่อนิพนธ์ไปเยี่ยมชมศูนย์บำบัดยาเสพติด ที่สร้างเมื่อครั้งปี ๒๕๐๘ ที่อเมริกา และเรียนเชิญให้ไปทำการรักษา แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ปฏิเสธไปในขณะนั้นว่า เป็นพระ มีวินัย ขึ้นรถ ลงเรือ ไม่ได้ มาบัดนี้ ไม่ได้เป็นพระแล้ว อยากให้ไปเยี่ยมชมสักครั้ง และปรึกษาแนวทางในการรักษายาเสพติดให้แก่สหรัฐ
และในการนี้ ภรรยาของผู้นำคณะก็ป่วยเป็นโรคมะเร็ง หมอหมดทางรักษาแล้วเช่นกัน จึงพาภรรยามาลองทางเลือกสมุนไพร ในการมาครั้งนี้ด้วย เรียกว่า เป็นการหาข้อมูลทั้งอย่างเป็นทางการและส่วนตัว
สัญญาณล่าสุดครั้งนี้ ทำให้เรามองเห็นว่า บางทีฟ้ากำลังเปิดโอกาส ที่จะทำให้ภาพอดีต เมื่อครั้งถ้ำกระบอกได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ กลับมาอีกครั้ง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หากผ่านวันที่ ๑๗ มีนาคม แล้วไซร้ โดยการได้รับอนุญาตจากแม่ชีเมี้ยน ให้ทำสมุนไพรในเมืองไทยต่อได้ นั่นหมายความว่า ฟ้าเขาเปิดให้ สมุนไพรที่สมาชิกจะได้รับ จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น และเต็มที่ โดยเฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติ
วันที่เราท่านจะได้เห็นคนหายโรค เกลื่อนกลาด ดังเช่นอดีตถ้ำกระบอก ให้เป็นที่เล่าขาน จะกลับมาอีกครั้ง แม้นจะมีเพียงจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับคนทั้งประเทศ ทั้งโลก แต่ก็ยิ่งใหญ่ เพราะคนเหล่านี้ ทำในสิ่งที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ นั่นคือ มาเดินตามพระภูมี ตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา จนชนะโรค ได้สัมผัส ลาภอันประเสริฐ ที่คนทั้งโลกไม่มี และแสดงให้เห็นว่า สิ่งนี้ มีจริง หากแต่ ใครทำ ใครได้
รอบบ้านเขาเริ่มตื่นตัว แต่คนในบ้านวางเฉย ... หลวงพ่อนิพนธ์บอก ก็ตามไปพม่าแล้วกัน
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวตอบว่า โรคและกรรม มันมีวันหยุดให้เราหรือ เมื่อมันไม่มี กิจกรรมที่เราทำ มีผลต่อชีวิต ย่อมต้องดำเนินไป หยุดไม่ได้เช่นกัน เพราะคนบางคน เขาต้องอาศัยบุญเลี้ยง หากหยุด พวกเขาก็จะเสียโอกาสในการช่วยตนไป
ดังนั้น วันพฤหัสนี้ก็จึงเปิดให้บริการปกติ จะมีคนน้อยก็ไม่เป็นไร แล้วแต่คนจะให้ความสำคัญ
และในวันเดียวกันนี้เอง จะมีคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งมาขอพบหลวงพ่อนิพนธ์
คือคณะจากประเทศสหรัฐอเมริกา ๗ ท่าน ที่ติดต่อผ่านทางนายทหารระดับสูง เพื่อร้องขอให้นำมาพบ
เรื่องที่จะขอพบ เรื่องแรกก็คือ จากการที่มีคนไข้อเมริกา ที่เป็นโรคมะเร็งขั้นที่ ๔ ผู้ซึ่งหมอลงความเห็นแล้วว่าหมดทางรักษา แล้วเดินทางมารักษา ที่นี่จนประสพผล กลับไปตรวจหลายท่าน จึงอยากจะมาพบประการหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน สถานทูตสหรัฐได้ค้นประวัติหลวงพ่อนิพนธ์ที่เก็บไว้เดิมในปี ๒๕๐๘ กลับขึ้นมาอีกครั้ง และทำการตรวจสอบ สืบทราบ จนแน่ใจ ดังนั้น จึงส่งคนมาในคณะนี้ด้วย เพื่อเชิญหลวงพ่อนิพนธ์ไปเยี่ยมชมศูนย์บำบัดยาเสพติด ที่สร้างเมื่อครั้งปี ๒๕๐๘ ที่อเมริกา และเรียนเชิญให้ไปทำการรักษา แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ปฏิเสธไปในขณะนั้นว่า เป็นพระ มีวินัย ขึ้นรถ ลงเรือ ไม่ได้ มาบัดนี้ ไม่ได้เป็นพระแล้ว อยากให้ไปเยี่ยมชมสักครั้ง และปรึกษาแนวทางในการรักษายาเสพติดให้แก่สหรัฐ
และในการนี้ ภรรยาของผู้นำคณะก็ป่วยเป็นโรคมะเร็ง หมอหมดทางรักษาแล้วเช่นกัน จึงพาภรรยามาลองทางเลือกสมุนไพร ในการมาครั้งนี้ด้วย เรียกว่า เป็นการหาข้อมูลทั้งอย่างเป็นทางการและส่วนตัว
สัญญาณล่าสุดครั้งนี้ ทำให้เรามองเห็นว่า บางทีฟ้ากำลังเปิดโอกาส ที่จะทำให้ภาพอดีต เมื่อครั้งถ้ำกระบอกได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ กลับมาอีกครั้ง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หากผ่านวันที่ ๑๗ มีนาคม แล้วไซร้ โดยการได้รับอนุญาตจากแม่ชีเมี้ยน ให้ทำสมุนไพรในเมืองไทยต่อได้ นั่นหมายความว่า ฟ้าเขาเปิดให้ สมุนไพรที่สมาชิกจะได้รับ จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น และเต็มที่ โดยเฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติ
วันที่เราท่านจะได้เห็นคนหายโรค เกลื่อนกลาด ดังเช่นอดีตถ้ำกระบอก ให้เป็นที่เล่าขาน จะกลับมาอีกครั้ง แม้นจะมีเพียงจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับคนทั้งประเทศ ทั้งโลก แต่ก็ยิ่งใหญ่ เพราะคนเหล่านี้ ทำในสิ่งที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ นั่นคือ มาเดินตามพระภูมี ตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา จนชนะโรค ได้สัมผัส ลาภอันประเสริฐ ที่คนทั้งโลกไม่มี และแสดงให้เห็นว่า สิ่งนี้ มีจริง หากแต่ ใครทำ ใครได้
รอบบ้านเขาเริ่มตื่นตัว แต่คนในบ้านวางเฉย ... หลวงพ่อนิพนธ์บอก ก็ตามไปพม่าแล้วกัน
วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557
ใจสู้เหมือนเขาหรือปล่าว
หลวงพ่อนิพนธ์ มักเน้นย้ำให้เราท่านตระหนักเสมอว่า ต้นเหตุแห่งโรค หรือ สิ่งที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง เป็นต้นอำนาจ ทำให้เกิดโรค แท้จริงแล้วคือ กรรม
หากแต่เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปในรายละเอียด ก็ต้องสาวว่าเป็นกรรมของใคร ของคนป่วยเพียงผู้เดียว ใช่หรือไม่
พิจารณาก็จะเห็นว่า ไม่ใช่เลย เพราะผู้ป่วยนั้นทุกข์ทางกายกับโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ แต่คนรอบข้าง ครอบครัว ต่างก็ต้องทุกข์ ทั้งการหาเงิน หายา หาหมอ ต้องปรนนิบัติผู้ป่วย นั่นจะเห็นได้ว่า เป็นทุกข์หรือเป็นกรรม ร่วมกันมานั่นเอง
เราเห็นคนไข้ ๒ ครอบครัว ที่มีลักษณะคล้ายกัน นั่นคือ คนเป็นโรค คือ ลูก แต่พ่อแม่ เป็นทุกข์ ดิ้นรนหาหนทาง เสียเงิน เสียทอง ทุ่มเทเวลา หาทางให้ลูกพ้นทุกข์
รายแรก หลายคนอาจจะเคยเห็น ชายหนุ่ม อายุกลางคน ที่แบกลูกมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมด้วยสายระโยงระยาง อันเนื่องจากการกลายสภาพเป็นดั่ง เจ้าชายนิทรา ผลจากการการจมน้ำนานถึง ๑๐ นาที กว่าจะมีคนพบเห็น ในยามที่อายุ ๒ ขวบ
แม้นจะยื้อชีวิตไว้ได้ แต่ร่างกายไม่ตอบสนอง ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ทานเองไม่ได้ อย่าว่าแต่พูดเลย แม้แต่ส่งเสียงร้องยังทำไม่ได้เลย
พ่อแม่ หอบหิ้ว หาที่รักษาไปทุกที่ที่คิดว่าจะให้ความหวัง จนกระทั่งมาถึงหลวงพ่อนิพนธ์
ผ่านไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ พ่อแม่ของเด็ก ก็ดีใจอยากมาก และเต็มไปด้วยความหวังที่ลูกของเขาจะกลับมาปกติอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงลูกร้อง หลังจากไม่เคยได้ยินอีกเลย จากอุบัติเหตุครั้งนั้น เมื่อพัฒนาการร้องกลับมา ตามมาด้วย การเริ่มบังคับปาก ลิ้น ทำให้ทานอาหารเองได้
วันนี้เราจึงไม่แปลกใจ ที่จะเห็นชายผู้นี้ มีความกระตือรือล้น มาช่วยกิจกรรมของชมรม ตั้งแต่เช้ามืด ที่แผนกรับคนไข้ และอยู่ช่วยจนกระทั่ง เก็บบัตรเรียบร้อยในตอนเย็น
เฉกเช่นเดียวกับ พ่อแม่ของเด็กหญิงฝาแฝด ผู้ซึ่งมีกรรมพันธ์ ทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนล้า ในวัยเพียงสิบขวบ ทั้งคู่
จากเด็กสาว ที่ควรจะเข้าสู่วัยสดใสของวัยรุ่น ช่างพูด ช่างคุย ร่าเริง กลายสภาพเป็นเด็กที่ต้องนั่งรถเข็น พูดไม่ได้ ทรงตัวไม่ได้ และมีน้ำลายไหลจากปากตลอดเวลา
พ่อแม่ของเด็ก หอบหิ้วลูกไปหาหมอทุกที่ ที่คิดว่าจะช่วยลูกทั้งสองได้ ผ่านการรักษาด้วยยาที่ว่าดีที่สุด แพงที่สุด จะอย่างไรก็สู้ ด้วยความรักลูก แต่ความหวังของทั้งสองก็ค่อยๆดับลงไป หลังจากครั้งสุดท้ายของการพบหมอ ที่บอกแก่พวกเขาว่า วิธีการรักษาที่ได้ผลอย่างแน่นอน ร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นคือ การใช้เสต็มเซลล์ หากแต่ค่ารักษาในการทำ คนละสี่แสนบาท พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะทำ
ผลที่ปรากฎหลังการทำเสต็มเซลล์ ไม่เหมือนที่หมอคุย ลูกสาวทั้งสองของเขา มีสภาพแย่ลงกว่าเดิม ในที่สุดหมอก็ทิ้ง ด้วยวาจาอมตะ
พรรคพวกในวงธุรกิจก็ชวนให้มาลองทางเลือกสมุนไพร เพราะทางอื่นมันถูกปิดแล้ว แต่เมื่อมีความหวัง ด้วยความรักลูก ก็ดั้นด้นมาลองเส้นทางนี้
พ่อแม่ ต้องพาลูกสาวทั้งสอง ที่นั่งรถเข็นทั้งคู่ ช่วยตัวเองไม่ได้ทั้งคู่ มาด้วยความมานะอดทน ดั่งที่เราเคยลงรูปให้ดูในอดีต
ความหวังของการกลับมาเป็นปกติ เริ่มฉายแสง นับตั้งแต่วันที่แม่ของเขาเห็นลูกสาว ยื้อยุดฉุดแย่งตุ๊กตากับพี่เลี้ยง เพราะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมานาน ด้วยลูกสาวท้ังสอง ไม่มีแรงนั่นเอง มาวันนี้ ลูกสาวเริ่มทรงตัวได้ เริ่มหัดเดิน และที่สร้างความดีใจมากแก่พวกเขา นั่นคือ ลูกสาวทั้งสอง กลับมาพูดคุยได้อีกครั้ง แม้นยังไม่เหมือนเดิมเต็มร้อยก็ตาม
ตัวอย่างทั้งสอง ทำให้เราเห็นว่า คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ มีค่ามหาศาล เพราะเมื่อกรรมเป็นของคนในครอบครัว การจะมาทำให้คนหายโรค โดยทิ้งให้เฉพาะคนที่เป็นโรค ฟื้นฟูตนเองเพียงฝ่ายเดียว จะสู้กับครอบครัว ที่ต่อสู้กันทั้งหมดได้อย่างไร
ภาพที่เราเห็น คนรุ่นหนุ่มสาว พาพ่อแม่ที่ป่วยมา เมื่อพาพ่อแม่เข้ามาสวดมนต์ ฟังหลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยสภาพของคนป่วยคงไม่มีสมาธิในการฟังสักเท่าไร หากแต่คนหนุ่มสาวที่มีสภาพดีๆ กลับทำตนไม่รู้ไม่ชี้ นั่งอ่านหนังสือที่ตนชอบ เล่นเกม เล่นแชท
ที่ทำให้เราไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก นั่นคือ เมื่อคนเหล่านี้พาพ่อแม่มาพึ่งที่นี่ หากแต่ตัวของพวกเขากลับวางเฉย ไม่สนอะไรในแผ่นดินนี้เลย พูดง่ายๆ หยาบๆ เรียกได้ว่าทำตนแบบ กูไม่เกี่ยว
หลวงพ่อนิพนธ์เคยชี้ให้เห็นว่า ศาสน์ของพระภูมี มีช่องทางที่คนหรือคู่คล้องกรรม สามารถกระทำตน สร้างบุญจนบุญสนองให้ตนไม่เป็นทุกข์ แต่ทุกข์ของตนที่มีนั่นคือ ห่วงพ่อแม่ คนที่รัก ที่เป็นโรค ด้วยเหตุนี้ บุญที่ผู้นั้นทำ จึงเผื้อแผ่มาให้คนที่เป็นโรคหายโรค เพื่อคนๆนั้นจะได้ไม่ทุกข์ อันเป็นที่มาของการเกาะชายผ้าเหลืองนั่นเอง
บทสรุปในเรื่องนี้ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นนั่นคือ ในเมื่อสิ่งที่เกิด เป็นความทุกข์ หาใช่เฉพาะคนป่วยไม่ ดังนั้น เมื่อคนที่มีส่วนในทุกข์อันนี้ มาร่วมด้วยช่วยกันสร้างบุญ ย่อมทำให้ผู้ป่วยหายวัน หายคืน ได้เร็วยิ่งขึ้น
ภาพที่เราเห็น คุณพ่อคุณแม่ ของเด็กเหล่านี้ ทุ่มเททุ่มใจ พยายามใช้สิ่งที่ตนมี ไม่ว่าจะเป็นแรงกาย แรงความคิด แรงใจ หรือแม้แต่ทุนทรัพย์ ในการช่วยกิจการของชมรม ผลที่พวกเขาได้ ย่อมดลให้พวกเขาหายทุกข์
ลูกของพวกเขาที่ยังทำอะไรไม่ได้ นอกจากทานสมุนไพร หากแต่กรรมรวมของพวกเขา ก็ได้ถูกใช้ด้วยสิ่งที่พวกเขาทำ นั่นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมลูกๆของพวกเขาจึงหายเร็ววัน ก็เพราะครอบครัวของพวกเขาช่วยกันพายนั่นเอง
ภาพจำลองที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น เมื่อพ่อแม่พวกเขาใช้กรรมของตน จนกลายเป็นคนมีบุญ แต่บุญมีสัญญลักษณ์คือความสุข นั่นจึงต้องไปเกื้อหนุนให้ลูกของเขาหาย เพราะนั่นคือทุกข์ของพ่อแม่ ...
กรรมที่เราท่านต้องคอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ต้องดิ้นรนหาเงิน จะหายไปด้วยคนป่วยช่วยตนเองเพียงอย่างเดียวนก็อุปมาไม้ซีกงัดไม้ซุง ... ทำไมไม่ช่วยกันงัด
กว่าจะถึงวันที่ฝัน ต้องใช้เวลานานสักเท่าใด ... เราท่านมีเหมือนเขาไหม จึงไม่มีข้อสงสัยในคำตรัสของพระภูมีเลยว่า หลักของท่าน "ใครทำ ใครได้" และทำยาก จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ และใจสู้ เหมือนสองครอบครัวนี้
คำอุธรณ์ที่เรามักได้ยิน จากคนที่วางเฉย เมื่อคนป่วยของเขาไม่ประสพผล มักเปรยให้ได้ยิน และเห็นได้ในเวป นั่นคือ ไหนว่าสมุนไพรดี กินแล้วไม่เห็นหายเลย เราเลยไม่แปลกใจว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะคนพวกนี้ ไม่ยอมที่จะทำเพื่อช่วยตน คอยแต่จะร้องขอ เมื่อไม่ได้ ก็โทษผู้อื่นนั่นเอง ... หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกคนเหล่านี้ว่า "พวกรำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง" มีเยอะ ต้องทำใจ และก็เป็นคนส่วนใหญ่เสียด้วย
การจะมาทานสมุนไพรแล้วหาย จึงต้องมีรายละเอียด ไม่ใช่มาถึงจะเอาแต่หาย .... ศาสน์เขาไม่ตอบสนองความต้องการของคนเหล่านี้หรอก
หากแต่เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปในรายละเอียด ก็ต้องสาวว่าเป็นกรรมของใคร ของคนป่วยเพียงผู้เดียว ใช่หรือไม่
พิจารณาก็จะเห็นว่า ไม่ใช่เลย เพราะผู้ป่วยนั้นทุกข์ทางกายกับโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ แต่คนรอบข้าง ครอบครัว ต่างก็ต้องทุกข์ ทั้งการหาเงิน หายา หาหมอ ต้องปรนนิบัติผู้ป่วย นั่นจะเห็นได้ว่า เป็นทุกข์หรือเป็นกรรม ร่วมกันมานั่นเอง
เราเห็นคนไข้ ๒ ครอบครัว ที่มีลักษณะคล้ายกัน นั่นคือ คนเป็นโรค คือ ลูก แต่พ่อแม่ เป็นทุกข์ ดิ้นรนหาหนทาง เสียเงิน เสียทอง ทุ่มเทเวลา หาทางให้ลูกพ้นทุกข์
รายแรก หลายคนอาจจะเคยเห็น ชายหนุ่ม อายุกลางคน ที่แบกลูกมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมด้วยสายระโยงระยาง อันเนื่องจากการกลายสภาพเป็นดั่ง เจ้าชายนิทรา ผลจากการการจมน้ำนานถึง ๑๐ นาที กว่าจะมีคนพบเห็น ในยามที่อายุ ๒ ขวบ
แม้นจะยื้อชีวิตไว้ได้ แต่ร่างกายไม่ตอบสนอง ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ทานเองไม่ได้ อย่าว่าแต่พูดเลย แม้แต่ส่งเสียงร้องยังทำไม่ได้เลย
พ่อแม่ หอบหิ้ว หาที่รักษาไปทุกที่ที่คิดว่าจะให้ความหวัง จนกระทั่งมาถึงหลวงพ่อนิพนธ์
ผ่านไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ พ่อแม่ของเด็ก ก็ดีใจอยากมาก และเต็มไปด้วยความหวังที่ลูกของเขาจะกลับมาปกติอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงลูกร้อง หลังจากไม่เคยได้ยินอีกเลย จากอุบัติเหตุครั้งนั้น เมื่อพัฒนาการร้องกลับมา ตามมาด้วย การเริ่มบังคับปาก ลิ้น ทำให้ทานอาหารเองได้
วันนี้เราจึงไม่แปลกใจ ที่จะเห็นชายผู้นี้ มีความกระตือรือล้น มาช่วยกิจกรรมของชมรม ตั้งแต่เช้ามืด ที่แผนกรับคนไข้ และอยู่ช่วยจนกระทั่ง เก็บบัตรเรียบร้อยในตอนเย็น
เฉกเช่นเดียวกับ พ่อแม่ของเด็กหญิงฝาแฝด ผู้ซึ่งมีกรรมพันธ์ ทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนล้า ในวัยเพียงสิบขวบ ทั้งคู่
จากเด็กสาว ที่ควรจะเข้าสู่วัยสดใสของวัยรุ่น ช่างพูด ช่างคุย ร่าเริง กลายสภาพเป็นเด็กที่ต้องนั่งรถเข็น พูดไม่ได้ ทรงตัวไม่ได้ และมีน้ำลายไหลจากปากตลอดเวลา
พ่อแม่ของเด็ก หอบหิ้วลูกไปหาหมอทุกที่ ที่คิดว่าจะช่วยลูกทั้งสองได้ ผ่านการรักษาด้วยยาที่ว่าดีที่สุด แพงที่สุด จะอย่างไรก็สู้ ด้วยความรักลูก แต่ความหวังของทั้งสองก็ค่อยๆดับลงไป หลังจากครั้งสุดท้ายของการพบหมอ ที่บอกแก่พวกเขาว่า วิธีการรักษาที่ได้ผลอย่างแน่นอน ร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นคือ การใช้เสต็มเซลล์ หากแต่ค่ารักษาในการทำ คนละสี่แสนบาท พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะทำ
ผลที่ปรากฎหลังการทำเสต็มเซลล์ ไม่เหมือนที่หมอคุย ลูกสาวทั้งสองของเขา มีสภาพแย่ลงกว่าเดิม ในที่สุดหมอก็ทิ้ง ด้วยวาจาอมตะ
พรรคพวกในวงธุรกิจก็ชวนให้มาลองทางเลือกสมุนไพร เพราะทางอื่นมันถูกปิดแล้ว แต่เมื่อมีความหวัง ด้วยความรักลูก ก็ดั้นด้นมาลองเส้นทางนี้
พ่อแม่ ต้องพาลูกสาวทั้งสอง ที่นั่งรถเข็นทั้งคู่ ช่วยตัวเองไม่ได้ทั้งคู่ มาด้วยความมานะอดทน ดั่งที่เราเคยลงรูปให้ดูในอดีต
ความหวังของการกลับมาเป็นปกติ เริ่มฉายแสง นับตั้งแต่วันที่แม่ของเขาเห็นลูกสาว ยื้อยุดฉุดแย่งตุ๊กตากับพี่เลี้ยง เพราะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมานาน ด้วยลูกสาวท้ังสอง ไม่มีแรงนั่นเอง มาวันนี้ ลูกสาวเริ่มทรงตัวได้ เริ่มหัดเดิน และที่สร้างความดีใจมากแก่พวกเขา นั่นคือ ลูกสาวทั้งสอง กลับมาพูดคุยได้อีกครั้ง แม้นยังไม่เหมือนเดิมเต็มร้อยก็ตาม
ตัวอย่างทั้งสอง ทำให้เราเห็นว่า คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ มีค่ามหาศาล เพราะเมื่อกรรมเป็นของคนในครอบครัว การจะมาทำให้คนหายโรค โดยทิ้งให้เฉพาะคนที่เป็นโรค ฟื้นฟูตนเองเพียงฝ่ายเดียว จะสู้กับครอบครัว ที่ต่อสู้กันทั้งหมดได้อย่างไร
ภาพที่เราเห็น คนรุ่นหนุ่มสาว พาพ่อแม่ที่ป่วยมา เมื่อพาพ่อแม่เข้ามาสวดมนต์ ฟังหลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยสภาพของคนป่วยคงไม่มีสมาธิในการฟังสักเท่าไร หากแต่คนหนุ่มสาวที่มีสภาพดีๆ กลับทำตนไม่รู้ไม่ชี้ นั่งอ่านหนังสือที่ตนชอบ เล่นเกม เล่นแชท
ที่ทำให้เราไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก นั่นคือ เมื่อคนเหล่านี้พาพ่อแม่มาพึ่งที่นี่ หากแต่ตัวของพวกเขากลับวางเฉย ไม่สนอะไรในแผ่นดินนี้เลย พูดง่ายๆ หยาบๆ เรียกได้ว่าทำตนแบบ กูไม่เกี่ยว
หลวงพ่อนิพนธ์เคยชี้ให้เห็นว่า ศาสน์ของพระภูมี มีช่องทางที่คนหรือคู่คล้องกรรม สามารถกระทำตน สร้างบุญจนบุญสนองให้ตนไม่เป็นทุกข์ แต่ทุกข์ของตนที่มีนั่นคือ ห่วงพ่อแม่ คนที่รัก ที่เป็นโรค ด้วยเหตุนี้ บุญที่ผู้นั้นทำ จึงเผื้อแผ่มาให้คนที่เป็นโรคหายโรค เพื่อคนๆนั้นจะได้ไม่ทุกข์ อันเป็นที่มาของการเกาะชายผ้าเหลืองนั่นเอง
บทสรุปในเรื่องนี้ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นนั่นคือ ในเมื่อสิ่งที่เกิด เป็นความทุกข์ หาใช่เฉพาะคนป่วยไม่ ดังนั้น เมื่อคนที่มีส่วนในทุกข์อันนี้ มาร่วมด้วยช่วยกันสร้างบุญ ย่อมทำให้ผู้ป่วยหายวัน หายคืน ได้เร็วยิ่งขึ้น
ภาพที่เราเห็น คุณพ่อคุณแม่ ของเด็กเหล่านี้ ทุ่มเททุ่มใจ พยายามใช้สิ่งที่ตนมี ไม่ว่าจะเป็นแรงกาย แรงความคิด แรงใจ หรือแม้แต่ทุนทรัพย์ ในการช่วยกิจการของชมรม ผลที่พวกเขาได้ ย่อมดลให้พวกเขาหายทุกข์
ลูกของพวกเขาที่ยังทำอะไรไม่ได้ นอกจากทานสมุนไพร หากแต่กรรมรวมของพวกเขา ก็ได้ถูกใช้ด้วยสิ่งที่พวกเขาทำ นั่นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมลูกๆของพวกเขาจึงหายเร็ววัน ก็เพราะครอบครัวของพวกเขาช่วยกันพายนั่นเอง
ภาพจำลองที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น เมื่อพ่อแม่พวกเขาใช้กรรมของตน จนกลายเป็นคนมีบุญ แต่บุญมีสัญญลักษณ์คือความสุข นั่นจึงต้องไปเกื้อหนุนให้ลูกของเขาหาย เพราะนั่นคือทุกข์ของพ่อแม่ ...
กรรมที่เราท่านต้องคอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ต้องดิ้นรนหาเงิน จะหายไปด้วยคนป่วยช่วยตนเองเพียงอย่างเดียวนก็อุปมาไม้ซีกงัดไม้ซุง ... ทำไมไม่ช่วยกันงัด
กว่าจะถึงวันที่ฝัน ต้องใช้เวลานานสักเท่าใด ... เราท่านมีเหมือนเขาไหม จึงไม่มีข้อสงสัยในคำตรัสของพระภูมีเลยว่า หลักของท่าน "ใครทำ ใครได้" และทำยาก จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ และใจสู้ เหมือนสองครอบครัวนี้
คำอุธรณ์ที่เรามักได้ยิน จากคนที่วางเฉย เมื่อคนป่วยของเขาไม่ประสพผล มักเปรยให้ได้ยิน และเห็นได้ในเวป นั่นคือ ไหนว่าสมุนไพรดี กินแล้วไม่เห็นหายเลย เราเลยไม่แปลกใจว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะคนพวกนี้ ไม่ยอมที่จะทำเพื่อช่วยตน คอยแต่จะร้องขอ เมื่อไม่ได้ ก็โทษผู้อื่นนั่นเอง ... หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกคนเหล่านี้ว่า "พวกรำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง" มีเยอะ ต้องทำใจ และก็เป็นคนส่วนใหญ่เสียด้วย
การจะมาทานสมุนไพรแล้วหาย จึงต้องมีรายละเอียด ไม่ใช่มาถึงจะเอาแต่หาย .... ศาสน์เขาไม่ตอบสนองความต้องการของคนเหล่านี้หรอก
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557
สัญญาณดี
ในขณะที่ความเลวร้ายกำลังจะบังเกิด โดยเฉพาะโรคภัยไข้เจ็บ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เห็นได้จากความแปรปรวน ของ ดิน ฟ้า อากาศ
และช่วงเดียวกันนี้ สัญญาณดีๆ ของสมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็เริ่มฉายแววให้เห็นเช่นกัน
สัญญาณที่ดีอย่างแรก นั่นคือ แหล่งใบพญามูลเหล็ก หรือ พญามือเหล็ก ที่นำมาใช้เป็นตัวหลักเพื่อทำสมุนไพรเขียว ที่ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อเริ่มเข้าฤดูหนาว ก็จะเริ่มหาได้ยากขึ้น และยิ่งเป็นช่วงฤดูร้อน ใบก็จะร่วงจนหมดต้น
ช่วงปีใหม่ ภาพนี้ก็เริ่มปรากฎให้เห็น นั่นหมายความว่า สภาวะที่จะต้องแบ่งบันกันสำหรับสมุนไพรชนิดนี้ ก็จะเกิดให้เห็นเช่นดังปีก่อนๆ
หากในขณะที่แหล่งเก่ากำลังจะหมดลงนั้นเอง เหมือนฟ้าบันดาล อยู่ๆ ก็มีชายเลี้ยงวัว เดินผ่านมาในหมู่ของคนเก็บใบยา และเอ่ยปากถามว่า ทำอะไรกัน คนเก็บยาก็เล่าให้ฟัง ส่วนคนเลี้ยงวัว เมื่อฟังแล้วก็ขอดูตัวอย่างใบยา
เมื่อดูเสร็จ คนเลี้ยงวัวก็กล่าวว่า อ้ายใบอย่างนี้มีเยอะแยะ ว่าแล้วก็ชี้ไปยังพื้นที่ภูเขาที่กว้างใหญ่ โน่นเขาลูกโน้น มีเต็มเขาเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นี่แหละเขาเรียก ฟ้าบันดาล ส่งเสริมคนดี ดังนั้น สัญญาณที่ดีเรื่องแรก ที่เราท่านจะได้รับ นั่นคือ การมีสมุนไพรเขียวทานอย่างไม่ขาด
หลวงพ่อนิพนธ์ ยังชี้ให้เห็นอีกว่า เมื่อพิจารณาพื้นที่แล้ว แหล่งที่มีใบยาสมุนไพรนี้มากมาย ก็เป็นพื้นที่ใกล้กับบ้านเกิดของแม่ชีเมี้ยน นั่นคือ พื้นที่ จ.ลพบุรี นั่นเอง เรียกว่าต้นยาบนภูเขา ล้อมบ้านของท่านไว้ก็ว่าได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมท่านจึงมาบังเกิดที่แถวนี้
สัญญาณที่ดีประการต่อมา สืบเนื่องจากการเลิกรบกันระหว่างทหารพม่าและกะเหรี่ยง ผลก็คือ ทหารเหล่านี้ตกงาน ขณะเดียวกัน ทั้งฝ่ายพม่าและกะเหรี่ยง ก็ขาดงบประมาณในการดูแลทหารเหล่านี้
ข้อตกลงในการให้ความร่วมมือในการตั้งศูนย์ ที่บ้าน มิต้า รัฐทวาย จึงเป็นคำตอบที่ใช้แก้ปัญหาอันนี้ให้แก่ทหารทั้งสองฝ่ายได้ ดังนั้น หน่วยเหนือของทั้งสองฝ่าย จึงให้ทหารของตน เข้าป่า เพื่อหาน้ำผึ้ง โดยทางฝ่ายไทย จะรับซื้อทั้งหมด
นั่นคือ ในปีนี้ ตั้งแต่ประมาณเดือนห้าเป็นต้นไป ก็จะมีน้ำผึ้งที่บริสุทธิ์ แท้ร้อยเปอร์เซ้นต์ มาทำสมุนไพรน้ำผึ้ง ให้เราท่านได้ทาน นั่นหมายถึงคุณค่าของสมุนไพรที่ดีมากยิ่งขึ้น ตามคุณภาพของน้ำผึ้งนั่นเอง หลังจากต้องทนใช้น้ำผึ้งผสม จากพ่อค้ามานาน
สัญญาณที่ดี ประการที่สาม นั่นคือ ผลการสำรวจสมุนไพรพื้นฐานที่จำเป็นและใช้จำนวนมาก อาทิ ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ ชาวบ้านพม่าและกะเหรี่ยง ได้นำตัวอย่างไปให้ลูกบ้านดู และช่วยกันค้นหา ปรากฎว่า มีเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นับแต่นี้ ให้ชาวบ้านเลิกยิงสัตว์ แล้วหันมาเก็บสมุนไพรเหล่านี้ส่งให้ชมรมแทน
ข้อดีคือ สมุนไพรที่ได้เป็นสมุนไพรสด ในขณะที่ปัจจุบัน ร้านขายยาในกรุงเทพ รีดเลือดกับชมรมมานาน ด้วยราคา ห้าหกสิบบาทต่อกิโลกรัม ชาวบ้านบอกว่า พวกเขายินดีขายให้ในสภาพของสด กิโลกรัม เพียงห้าบาท ซึ่งเมื่อตากแห้ง ก็เหลือประมาณครึ่งหนึ่ง นั่นหมายความว่า ด้วยจำนวนเงินเท่าเดิม สามารถซื้อสมุนไพรได้มากกว่าเดิม ถึงห้าเท่า และสมุนไพรที่ได้ยังมีคุณภาพที่ดีกว่าอีกด้วย
ได้ช่วยสัตว์ป่าหนึ่งหล่ะ แถมยังมีสมุนไพรที่ได้ปริมาณให้คนกินอย่างเต็มที่อีกหนึ่ง และก็ทำให้ชาวบ้านที่ยากจน ไม่ว่าพม่าและกะเหรี่ยง มีรายได้เลี้ยงครอบครัวอีกหนึ่ง นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
ชาวบ้านยังแถมบริการดูแลต้นสมุนไพร อาทิ มะกรูด มะนาว ดีปลี พริกไทย มะพร้าว ให้อีกต่างหาก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ให้ทำฟรีอย่างนั้นคงไม่ได้ จึงเสนอว่า ผลผลิตของชาวบ้าน ทางการเกษตร ที่ปกติถูกพ่อค้ากดราคาจนไมุ่คุ้มค่าในการดำเนินงานนั้น ต่อไปก็ให้ส่งมาขายที่ชมรม
ด้วยหลักน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ดังนั้น หน้าที่ของสมาชิก ก็อาจจะต้องช่วยกันในส่วนนี้ด้วยในอนาคต แต่ก็เป็นของที่สด และไม่มีสารเคมีใดๆ .... ทานได้สบายใจ
สัญญาณที่ดีอีกประการ และเราคิดว่าน่าจะมีส่วนในการดำเนินกิจกรรมในอนาคตเป็นอย่างมาก นั่นคือ ผู้ที่ดำเนินการส่งโครงการของชมรมเข้าประกวดระดับนานาชาติ ได้แจ้งว่า คณะกรรมการการประกวด ได้รับเรื่องเรียบร้อยแล้ว และจะมีการตัดสินในอีกไม่ช้า
หากการประกวดครั้งนี้ประสพผล นั่นหมายความว่า เงินรางวัล ๑ ล้านเหรียญสหรัฐ ก็จะกลายมาเป็นเครื่องจักรที่ใช้ในการแปรรูปสมุนไพร
อันหมายความว่า ชมรมสามารถกักตุนสมุนไพร ในยามที่มีราคาถูก แล้วทำการแปรรูปเก็บไว้ แล้วแจกจ่ายให้สมาชิกทานได้ตลอดทั้งปี อย่างเต็มที่และไม่มีขาด
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อภัยแรง บุญก็ต้องแรงตาม จึงจะสู้ไหว ก็ขอให้เราท่าน ช่วยกันส่งกำลังใจ ร่วมกันให้โครงการสามารถบรรลุ ในการประกวด
และเมื่อทุกสรรพสิ่งพร้อม หากคนไทยยังพอมีโชค หลังวันงาน ก็คงได้ยินข่าวดี ในการอนุญาตทำสมุนไพร ที่มีผลชะงัด รวดเร็ว นั่นคือ "ยาตัด" หรือ "ยาอ๊วก" และ สามารถดำเนินการต่อไปในประเทศไทยได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงร้องขอว่า หากสิ่งนี้ยังเป็นที่ต้องการของคนไทย นั่นก็ต้องแสดงความอยากมี อยากได้ สิ่งนี้ ให้แม่ชีเมี้ยนเห็นในวันงานของท่าน ที่ซึ่งเป็นวันที่ท่านจะเสด็จมาดูงาน และตัดสินผลสอบ และให้คำอวยพร เป็นประจำทุกปี พร้อมกับการประทานการอนุญาติ ในการทำสมุนไพรใดๆ เพิ่ม
ดังนั้น วันงานจึงเป็นวันสำคัญ เพราะนั่นหมายถึง การเกิดและการดับ ของตำราสมุนไพร เฉกเช่นดังถ้ำกระบอก เมื่อแม่ชีเมี้ยน ริบตำรากลับจากท่านจรูญ ก็เห็นได้ชัดเลยว่า แม้นตำรายังเล่มเดิม คนทำยังคนเดิม แต่สมุนไพรก็หาได้มีผลแก่ผู้ใด ดั่งเช่นอดีตไม่
ดังนั้น ใครจะคิดอย่างไรก็ไม่ว่า แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า สมุนไพร เป็นเครื่องลางธรรมชาติ ต้องได้คนที่มีคุณสมบัติ มาปรุงแต่ง และต้องมีอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ค้ำชู จึงจะมีฤทธิ์ ช่วยคนได้ ... จึงไม่แปลก ที่คำสาป จึงกล่าวว่า "ใครทำขาย ฉิบหายแน่"
ใครจะกล่าวว่า ของไม่มีราคา ไม่ดี ก็ช่างเขา แต่เรื่องของชีวิต สัญญาณที่ดี คือ มาจากการให้ เมื่อใดที่มีราคา นั่นแลสัญญาณของความฉิบหายมาเยือน เสียทั้งเงิน เสียทั้งชีวิต
และช่วงเดียวกันนี้ สัญญาณดีๆ ของสมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็เริ่มฉายแววให้เห็นเช่นกัน
สัญญาณที่ดีอย่างแรก นั่นคือ แหล่งใบพญามูลเหล็ก หรือ พญามือเหล็ก ที่นำมาใช้เป็นตัวหลักเพื่อทำสมุนไพรเขียว ที่ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อเริ่มเข้าฤดูหนาว ก็จะเริ่มหาได้ยากขึ้น และยิ่งเป็นช่วงฤดูร้อน ใบก็จะร่วงจนหมดต้น
ช่วงปีใหม่ ภาพนี้ก็เริ่มปรากฎให้เห็น นั่นหมายความว่า สภาวะที่จะต้องแบ่งบันกันสำหรับสมุนไพรชนิดนี้ ก็จะเกิดให้เห็นเช่นดังปีก่อนๆ
หากในขณะที่แหล่งเก่ากำลังจะหมดลงนั้นเอง เหมือนฟ้าบันดาล อยู่ๆ ก็มีชายเลี้ยงวัว เดินผ่านมาในหมู่ของคนเก็บใบยา และเอ่ยปากถามว่า ทำอะไรกัน คนเก็บยาก็เล่าให้ฟัง ส่วนคนเลี้ยงวัว เมื่อฟังแล้วก็ขอดูตัวอย่างใบยา
เมื่อดูเสร็จ คนเลี้ยงวัวก็กล่าวว่า อ้ายใบอย่างนี้มีเยอะแยะ ว่าแล้วก็ชี้ไปยังพื้นที่ภูเขาที่กว้างใหญ่ โน่นเขาลูกโน้น มีเต็มเขาเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นี่แหละเขาเรียก ฟ้าบันดาล ส่งเสริมคนดี ดังนั้น สัญญาณที่ดีเรื่องแรก ที่เราท่านจะได้รับ นั่นคือ การมีสมุนไพรเขียวทานอย่างไม่ขาด
หลวงพ่อนิพนธ์ ยังชี้ให้เห็นอีกว่า เมื่อพิจารณาพื้นที่แล้ว แหล่งที่มีใบยาสมุนไพรนี้มากมาย ก็เป็นพื้นที่ใกล้กับบ้านเกิดของแม่ชีเมี้ยน นั่นคือ พื้นที่ จ.ลพบุรี นั่นเอง เรียกว่าต้นยาบนภูเขา ล้อมบ้านของท่านไว้ก็ว่าได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมท่านจึงมาบังเกิดที่แถวนี้
สัญญาณที่ดีประการต่อมา สืบเนื่องจากการเลิกรบกันระหว่างทหารพม่าและกะเหรี่ยง ผลก็คือ ทหารเหล่านี้ตกงาน ขณะเดียวกัน ทั้งฝ่ายพม่าและกะเหรี่ยง ก็ขาดงบประมาณในการดูแลทหารเหล่านี้
ข้อตกลงในการให้ความร่วมมือในการตั้งศูนย์ ที่บ้าน มิต้า รัฐทวาย จึงเป็นคำตอบที่ใช้แก้ปัญหาอันนี้ให้แก่ทหารทั้งสองฝ่ายได้ ดังนั้น หน่วยเหนือของทั้งสองฝ่าย จึงให้ทหารของตน เข้าป่า เพื่อหาน้ำผึ้ง โดยทางฝ่ายไทย จะรับซื้อทั้งหมด
นั่นคือ ในปีนี้ ตั้งแต่ประมาณเดือนห้าเป็นต้นไป ก็จะมีน้ำผึ้งที่บริสุทธิ์ แท้ร้อยเปอร์เซ้นต์ มาทำสมุนไพรน้ำผึ้ง ให้เราท่านได้ทาน นั่นหมายถึงคุณค่าของสมุนไพรที่ดีมากยิ่งขึ้น ตามคุณภาพของน้ำผึ้งนั่นเอง หลังจากต้องทนใช้น้ำผึ้งผสม จากพ่อค้ามานาน
สัญญาณที่ดี ประการที่สาม นั่นคือ ผลการสำรวจสมุนไพรพื้นฐานที่จำเป็นและใช้จำนวนมาก อาทิ ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ ชาวบ้านพม่าและกะเหรี่ยง ได้นำตัวอย่างไปให้ลูกบ้านดู และช่วยกันค้นหา ปรากฎว่า มีเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นับแต่นี้ ให้ชาวบ้านเลิกยิงสัตว์ แล้วหันมาเก็บสมุนไพรเหล่านี้ส่งให้ชมรมแทน
ข้อดีคือ สมุนไพรที่ได้เป็นสมุนไพรสด ในขณะที่ปัจจุบัน ร้านขายยาในกรุงเทพ รีดเลือดกับชมรมมานาน ด้วยราคา ห้าหกสิบบาทต่อกิโลกรัม ชาวบ้านบอกว่า พวกเขายินดีขายให้ในสภาพของสด กิโลกรัม เพียงห้าบาท ซึ่งเมื่อตากแห้ง ก็เหลือประมาณครึ่งหนึ่ง นั่นหมายความว่า ด้วยจำนวนเงินเท่าเดิม สามารถซื้อสมุนไพรได้มากกว่าเดิม ถึงห้าเท่า และสมุนไพรที่ได้ยังมีคุณภาพที่ดีกว่าอีกด้วย
ได้ช่วยสัตว์ป่าหนึ่งหล่ะ แถมยังมีสมุนไพรที่ได้ปริมาณให้คนกินอย่างเต็มที่อีกหนึ่ง และก็ทำให้ชาวบ้านที่ยากจน ไม่ว่าพม่าและกะเหรี่ยง มีรายได้เลี้ยงครอบครัวอีกหนึ่ง นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
ชาวบ้านยังแถมบริการดูแลต้นสมุนไพร อาทิ มะกรูด มะนาว ดีปลี พริกไทย มะพร้าว ให้อีกต่างหาก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ให้ทำฟรีอย่างนั้นคงไม่ได้ จึงเสนอว่า ผลผลิตของชาวบ้าน ทางการเกษตร ที่ปกติถูกพ่อค้ากดราคาจนไมุ่คุ้มค่าในการดำเนินงานนั้น ต่อไปก็ให้ส่งมาขายที่ชมรม
ด้วยหลักน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ดังนั้น หน้าที่ของสมาชิก ก็อาจจะต้องช่วยกันในส่วนนี้ด้วยในอนาคต แต่ก็เป็นของที่สด และไม่มีสารเคมีใดๆ .... ทานได้สบายใจ
สัญญาณที่ดีอีกประการ และเราคิดว่าน่าจะมีส่วนในการดำเนินกิจกรรมในอนาคตเป็นอย่างมาก นั่นคือ ผู้ที่ดำเนินการส่งโครงการของชมรมเข้าประกวดระดับนานาชาติ ได้แจ้งว่า คณะกรรมการการประกวด ได้รับเรื่องเรียบร้อยแล้ว และจะมีการตัดสินในอีกไม่ช้า
หากการประกวดครั้งนี้ประสพผล นั่นหมายความว่า เงินรางวัล ๑ ล้านเหรียญสหรัฐ ก็จะกลายมาเป็นเครื่องจักรที่ใช้ในการแปรรูปสมุนไพร
อันหมายความว่า ชมรมสามารถกักตุนสมุนไพร ในยามที่มีราคาถูก แล้วทำการแปรรูปเก็บไว้ แล้วแจกจ่ายให้สมาชิกทานได้ตลอดทั้งปี อย่างเต็มที่และไม่มีขาด
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อภัยแรง บุญก็ต้องแรงตาม จึงจะสู้ไหว ก็ขอให้เราท่าน ช่วยกันส่งกำลังใจ ร่วมกันให้โครงการสามารถบรรลุ ในการประกวด
และเมื่อทุกสรรพสิ่งพร้อม หากคนไทยยังพอมีโชค หลังวันงาน ก็คงได้ยินข่าวดี ในการอนุญาตทำสมุนไพร ที่มีผลชะงัด รวดเร็ว นั่นคือ "ยาตัด" หรือ "ยาอ๊วก" และ สามารถดำเนินการต่อไปในประเทศไทยได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงร้องขอว่า หากสิ่งนี้ยังเป็นที่ต้องการของคนไทย นั่นก็ต้องแสดงความอยากมี อยากได้ สิ่งนี้ ให้แม่ชีเมี้ยนเห็นในวันงานของท่าน ที่ซึ่งเป็นวันที่ท่านจะเสด็จมาดูงาน และตัดสินผลสอบ และให้คำอวยพร เป็นประจำทุกปี พร้อมกับการประทานการอนุญาติ ในการทำสมุนไพรใดๆ เพิ่ม
ดังนั้น วันงานจึงเป็นวันสำคัญ เพราะนั่นหมายถึง การเกิดและการดับ ของตำราสมุนไพร เฉกเช่นดังถ้ำกระบอก เมื่อแม่ชีเมี้ยน ริบตำรากลับจากท่านจรูญ ก็เห็นได้ชัดเลยว่า แม้นตำรายังเล่มเดิม คนทำยังคนเดิม แต่สมุนไพรก็หาได้มีผลแก่ผู้ใด ดั่งเช่นอดีตไม่
ดังนั้น ใครจะคิดอย่างไรก็ไม่ว่า แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า สมุนไพร เป็นเครื่องลางธรรมชาติ ต้องได้คนที่มีคุณสมบัติ มาปรุงแต่ง และต้องมีอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ค้ำชู จึงจะมีฤทธิ์ ช่วยคนได้ ... จึงไม่แปลก ที่คำสาป จึงกล่าวว่า "ใครทำขาย ฉิบหายแน่"
ใครจะกล่าวว่า ของไม่มีราคา ไม่ดี ก็ช่างเขา แต่เรื่องของชีวิต สัญญาณที่ดี คือ มาจากการให้ เมื่อใดที่มีราคา นั่นแลสัญญาณของความฉิบหายมาเยือน เสียทั้งเงิน เสียทั้งชีวิต
คำบอกสั้นๆ ... ที่ล้ำค่า
ในห้องสวดมนต์ หลวงพ่อนิพนธ์เดินผ่านเด็กเล็ก ที่มาพร้อมแม่ แล้วกล่าวว่ากับแม่ของเด็กว่า พยายามป้อน ยาเขียว ยามะกรูด และยาปอด ให้เด็กทานเป็นประจำ จะทำให้ภูมิของเด็กแข็งแกร่ง หากทำได้ รับรองไม่มีวันต้องไปหาหมอเด็ดขาด
คำแนะนำเพิ่มเติมจากเรา ก็คือ หากเด็กยังเล็กมาก ต้องป้อน การป้อนยาเขียว ให้ใช้เข็มฉีดยา ขนาดประมาณ ๑๐ ซีซี ฉีดป้อนเด็ก โดยการฉีดเข้ากระพุ้งแก้ม อย่าฉีดเข้าคอเป็นอันขาด เพราะเด็กจะอาเจียน และไม่ยอมทานอีก
และถ้าเด็กทานยายาก ให้ป้อนตอนเป็นไข้ หรือมีอาการ เพราะเมื่อทานแล้วเด็กจะสบายตัว หายทรมานจากไข้ แล้วจะชอบทานสมุนไพรเอง
วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557
ประกาศวันงานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน
วันงาน ถือเป็นวันทานอันยิ่งใหญ่ ดังนั้น จึงไม่มีการจำหน่ายสิ่งใดๆ ในวันนี้
สมาชิกท่านใด หรือกลุ่มใด สนใจร่วมกิจกรรม ในการออกบุ๊ท ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ให้แจ้งแก่คุณดา เพื่อจัดเตรียมสถานที่ให้ และไม่ให้ชนิดของอาหารซ้ำซ้อนกันมากเกินไป
และเช่นทุกปี นั่นคือ จะมีการแจกสมุนไพรให้ในวันที่ ๑๘ มีนาคม รวมทั้ง ยาตา แก่สมาชิกทุกท่าน คนละ ๑ ขวด โดยในปีนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ได้ทำยาตาเตรียมไว้ จำนวน ๑๐๐๐๐ ขวด เพื่อแจกในวันนี้
สมาชิกหลายท่านถามคณะกรรมการว่า ปีนี้จะมีสมุนไพรพิเศษแจกให้หรือไม่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า กำลังพิจารณาอยู่ว่า จะจัดทำสมุนไพรพิเศษตัวใดแจก
ส่วนการดำเนินกิจกรรมของมูลนิธิ หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะแจ้งให้ทราบผลการร้องขอ ในวันที่ ๑๘ และฝากบอกมาว่า หากแม่ชีเมี้ยนไม่ทรงอนุญาต นั่นหมายความว่า ศูนย์จะเปิดทำการในที่เดียว คือ บ้านมิต้า รัฐทวาย ของพม่า
สมาชิกท่านใด หรือกลุ่มใด สนใจร่วมกิจกรรม ในการออกบุ๊ท ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ให้แจ้งแก่คุณดา เพื่อจัดเตรียมสถานที่ให้ และไม่ให้ชนิดของอาหารซ้ำซ้อนกันมากเกินไป
และเช่นทุกปี นั่นคือ จะมีการแจกสมุนไพรให้ในวันที่ ๑๘ มีนาคม รวมทั้ง ยาตา แก่สมาชิกทุกท่าน คนละ ๑ ขวด โดยในปีนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ได้ทำยาตาเตรียมไว้ จำนวน ๑๐๐๐๐ ขวด เพื่อแจกในวันนี้
สมาชิกหลายท่านถามคณะกรรมการว่า ปีนี้จะมีสมุนไพรพิเศษแจกให้หรือไม่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า กำลังพิจารณาอยู่ว่า จะจัดทำสมุนไพรพิเศษตัวใดแจก
ส่วนการดำเนินกิจกรรมของมูลนิธิ หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะแจ้งให้ทราบผลการร้องขอ ในวันที่ ๑๘ และฝากบอกมาว่า หากแม่ชีเมี้ยนไม่ทรงอนุญาต นั่นหมายความว่า ศูนย์จะเปิดทำการในที่เดียว คือ บ้านมิต้า รัฐทวาย ของพม่า
เกาไม่ถูกที่ แก้ไม่ถูกจุด
หลวงพ่อนิพนธ์มักอุปมาการเสียหายของรถยนต์ ที่เกิดจากเหตุเล็กน้อย หากแต่เจ้าของรถ นำไปให้ช่างที่ไม่รู้จริงแก้ไข ผลที่ปรากฎนั่นคือ ความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่ตามมา ฉันใดก็ฉันนั้น
เรื่องของชีวิต จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน พฤติกรรมความชุ่ยของเจ้าของชีวิต นั่นหมายถึง ความเลวร้ายที่จะพึงบังเกิด โดยเฉพาะ ความคิดที่จะพึ่งผู้อื่น โดยหมายว่าสิ่งที่เกิด เอาเงินทองที่มีโยนไปก็แก้ไขได้ ... กว่าจะรู้ว่าคิดผิด ความเลวร้ายก็เกิดมหาศาล
ตัวอย่างที่หยิบยกมาให้พิจารณา คือ อาการที่มักเกิดกันทั่วไป นั่นคือ ท้องผูก หรือ ไม่ถ่าย เป็นเวลาหลายวัน หลายคนก็แก้ไขด้วยการไปซื้อยาระบาย แรกๆ ก็อาจจะช่วยได้ นานๆเข้า แม้นจักทานสักเท่าไร ก็เหมือนเดิม ทานมาทานไป กลายเป็นแผลในลำไส้ ลงท้ายไปโน่นเลย มะเร็งลำไส้ ต้องตัด ต้องคีโม เสียทั้งชีวิต และทรัพย์สิน
หากแต่กระบวนการธรรมชาติของร่างกาย การจะถ่าย ย่อมต้องอาศัยน้ำที่หลั่งจากต่อมไร้ท่อ ออกมา แล้วร่างกายก็จะขับถ่ายอุจจาระออกไป
การเกิดการท้องผูก หรือไม่ถ่าย นั่นหมายความว่า กระบวนการนี้ผิดปกติ ซึ่่งอาจเกิดจากเหตุที่ผิดปกติ อาทิเช่น ความเครียด นั่นก็เป็นอาการชั่วคราว หากแต่การเกิดเป็นประจำ นั่นหมายความ ประสาทสั่งการของต่อมไร้ท่อ มีปัญหาแล้ว
การแก้อาการ ท้องผูก ในประเด็นแรก ก็ด้วยการทำจิตใจให้เบิกบาน ลดกิจกรรมที่สร้างความเครียด หากแต่ในประเด็นหลัง นั่นก็ต้องทำการแก้ที่ต้นเหตุ คือ ระบบประสาทสั่งการ
ปัญหาเล็กน้อย ที่ทำให้กลายเป็นมะเร็ง หากมาใชัแนวทางสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะแบ่งการแก้ปัญหาเป็นสองช่วง นั่นคือ ในช่วงแรก ก็อาศัยสมุนไพรที่เป็นยาระบาย ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ในขณะเดียวกัน ก็ทานสมุนไพร ที่มีฤทธิ์ในการฟื้นฟูประสาท อาทิ ยาลูกกลอนดำ เพื่อให้ร่างกายใช้เป็นวัตถุดิบ ในการฟื้นฟู เมื่อสามารถฟื้นฟูประสาทที่สังการได้ ระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อ ก็กลับมาทำงาน การขับถ่ายก็กลับเป็นปกติ
ศาสน์ของสมุนไพรพระภูมี จึงผูกโยงไว้หลายประการที่วิทยาศาสตร์ไม่มี นั่นคือ นอกจากสมุนไพร ยังผูกโยงกับความคิด จิตใจ และท้ายสุดคือพฤติกรรม
ด้วยความเชื่ออันเป็นรากฐานต้นเหตุที่แท้จริงของอาการ นั่นคือ กรรม ที่เป็นอำนาจ ทำให้เกิด
คำถาม ที่หลายคนอาจจะสงสัย เฉกเช่นเดียวกับอาจารย์หมอ ที่ถามหลวงพ่อนิพนธ์ ว่า คำกล่าวที่บอกว่า บุญล้างกรรม นั่นหมายความว่า ผู้ที่ปฏิบัติ ย่อมต้องได้รับอานิสงฆ์ นั่นคือ ความไม่มีโรคเป็นอันดับแรก หากแต่ความจริงที่ปรากฎ ก็เห็นสงฆ์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่อาพาธ ต้องมีโรงพยาบาลสงฆ์ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงอรรถาธิบายว่า ก็เพราะธรรมที่สงฆ์เหล่านั้นปฏิบัติ ไม่ใช่ธรรมของพระภูมี จึงไม่มีบุญมาเลี้ยงตน ด้วยเหตุที่ธรรม่ของพระภูมี มีไว้เพื่อสร้างปูชนียบุคคล แต่ธรรมของสงฆ์เหล่านั้น มีไว้สร้างปูชนียวัตถุ
นั่นคือ มันเลยคำสอนของพระภูมี ที่ตรัสว่า "บุญอยู่ที่มนุษย์และสัตว์"
อาจารย์หมอจึงถามต่อว่า ก็แล้วการปฏิบัติของสงฆ์ที่ทำ ให้ผลอย่างไร หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การปฏิบัติ ที่ทำ ก็จัดว่าเป็นความดี แลด้วยความดีที่ทำนี้เอง ผลที่ได้จึงทำให้ได้อายุขัย นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมพระสงฆ์เหล่านั้น จึงมีอายุขัยที่ยืนยาว หากแต่เรื่องของสุขภาพ ก็เป็นไปดั่งกรรมที่ทำมา เพราะธรรมที่ปฏิบัติ มันไม่ถูก ผลถูกจึงไม่เกิด
บทสรุปของการสนทนา นั่นจึงเป็นคำอรรถธิบายว่า ทำไมยาเคมี มันจึงทำได้แค่ระงับ เพราะมุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ที่คนเป็นกังวล และให้ความพึงพอใจ ในความเร็ว ทันอกทันใจ แม้นจะไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ ก็ได้รับความนิยม ... รอจนวันที่ยาเคมีเหล่านี้เอาไม่อยู่ ก็แทบจะสายเกินแก้ ร่างกายเกิดความเสียหาย ยากแก้การกู้แล้ว ที่สำคัญและเด่นชัด ยิ่งแก้ โรคยิ่งเพิ่ม
บัญญัติของพระภูมี จึงมีชื่อที่แม่ชีเมี้ยนทรงเรียกให้กระชับสั้นได้ใจความว่า "หลักลด" ลดกรรม ลดนิสัย ลดโรค เมื่อทำแล้วมีแต่น้อยลง และหมดไปในที่สุด แต่บัญญัติของโลก เรียก "หลักเพิ่ม" เมื่อทำก็มีแต่เพิ่มนิสัย ความโลภ ความต้องการ และก็เพิ่มโรค ...
คำชวนเชื่อ ในปฐมบทแห่งการสอน เพื่อให้สามเณรนิพนธ์เลิกความคิดที่จะสึก เพื่อไปเรียกแพทย์ตามเพื่อนๆ จึงเริ่มจากการให้พิจารณา เห็นความจริงว่า โลกนี้มีกรรมเป็นอำนาจ หากอยากจะช่วยคนให้หายโรค การเป็นหมอทำไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะคำตรัสของพระภูมีเป็นเครื่องยืนยัน ความคิดของมนุษย์อยู่ใต้กรรม จะมีปัญญามาแก้โรค ที่มีอำนาจเหนือไม่ได้ มิฉะนั้นแล้ว ก็จักกลายว่า มนุษย์มีอำนาจเหนือกรรมนั่นเอง
หากอยากช่วยมนุษย์ให้พ้นโรค ก็ต้องใช้วิชาของพระพุทธเจ้า นั่นคือ สมุนไพร ที่เป็นธรรมหมวดหนึ่งของพระภูมี ที่ให้ไว้ แก่มนุษย์ ที่เป็นสาวก ที่เชื่อ ในท่าน แต่ยังไม่ปรารถนาถึงนิพพาน เมื่อปฏิบัติ แล้ว ก็จะได้มนุษย์สมบัติ คือ ความไม่มีโรค ...
และเมื่อเป็นธรรมหมวดหนึ่ง นั่นก็คือต้องยอมรับความจริง นั่นคือ มันจะมีคนนิยมเพียงกลุ่มหนึ่ง ที่พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม และคนทำได้ ก็คือ คนรอด คนที่ได้สัมผัส มนุษย์สมบัติของพระภูมี ...
หากแต่การทานสมุนไพร มิใช่มุ่งหวังที่การหายโรคในปัจจุบัน แต่เป็นการทานเพื่ออนาคต ที่จะไม่มีโรคใดๆ พึงเกิดอีกด้วย ส่วนโรคปัจจุบัน เรียกว่าเป็นของแถม
นั่นจึงเป็นที่มาของ "หมอผี" ที่แม่ชีเมี้ยนทรงสอน เพื่อให้มาเป็นทางเลือก สู้กับยาเคมี จนทุกวันนี้
นั่นคือ คนที่ทานสมุนไพร แม้นจะมาด้วยเบาหวาน ความดัน หัวใจ ... หากแต่ผลในอนาคต คนเหล่านี้ ก็จักไม่เป็นอัมพฤกต์ อัมพาต มะเร็ง .... การทานสมุนไพร จึงมีค่ามหาศาล
ส่วนคนที่เหลือ ที่เป็นจำนวนมากกว่ามาก เมื่อเทียบกับคนที่มาทานสมุนไพร ก็ต้องทำใจ ปล่อยให้เขาอยู่กับทางเลือกของเขา ... วันใดที่เกิดโรคระบาด วันนั้นแหละความจริงจะปรากฎ ว่า ทางเลือกใดปลอดภัย เพราะสิ่งที่จะคุ้มกันได้ มีแต่ภูมิของตนเท่านั้นเอง
เรื่องของชีวิต จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน พฤติกรรมความชุ่ยของเจ้าของชีวิต นั่นหมายถึง ความเลวร้ายที่จะพึงบังเกิด โดยเฉพาะ ความคิดที่จะพึ่งผู้อื่น โดยหมายว่าสิ่งที่เกิด เอาเงินทองที่มีโยนไปก็แก้ไขได้ ... กว่าจะรู้ว่าคิดผิด ความเลวร้ายก็เกิดมหาศาล
ตัวอย่างที่หยิบยกมาให้พิจารณา คือ อาการที่มักเกิดกันทั่วไป นั่นคือ ท้องผูก หรือ ไม่ถ่าย เป็นเวลาหลายวัน หลายคนก็แก้ไขด้วยการไปซื้อยาระบาย แรกๆ ก็อาจจะช่วยได้ นานๆเข้า แม้นจักทานสักเท่าไร ก็เหมือนเดิม ทานมาทานไป กลายเป็นแผลในลำไส้ ลงท้ายไปโน่นเลย มะเร็งลำไส้ ต้องตัด ต้องคีโม เสียทั้งชีวิต และทรัพย์สิน
หากแต่กระบวนการธรรมชาติของร่างกาย การจะถ่าย ย่อมต้องอาศัยน้ำที่หลั่งจากต่อมไร้ท่อ ออกมา แล้วร่างกายก็จะขับถ่ายอุจจาระออกไป
การเกิดการท้องผูก หรือไม่ถ่าย นั่นหมายความว่า กระบวนการนี้ผิดปกติ ซึ่่งอาจเกิดจากเหตุที่ผิดปกติ อาทิเช่น ความเครียด นั่นก็เป็นอาการชั่วคราว หากแต่การเกิดเป็นประจำ นั่นหมายความ ประสาทสั่งการของต่อมไร้ท่อ มีปัญหาแล้ว
การแก้อาการ ท้องผูก ในประเด็นแรก ก็ด้วยการทำจิตใจให้เบิกบาน ลดกิจกรรมที่สร้างความเครียด หากแต่ในประเด็นหลัง นั่นก็ต้องทำการแก้ที่ต้นเหตุ คือ ระบบประสาทสั่งการ
ปัญหาเล็กน้อย ที่ทำให้กลายเป็นมะเร็ง หากมาใชัแนวทางสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะแบ่งการแก้ปัญหาเป็นสองช่วง นั่นคือ ในช่วงแรก ก็อาศัยสมุนไพรที่เป็นยาระบาย ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ในขณะเดียวกัน ก็ทานสมุนไพร ที่มีฤทธิ์ในการฟื้นฟูประสาท อาทิ ยาลูกกลอนดำ เพื่อให้ร่างกายใช้เป็นวัตถุดิบ ในการฟื้นฟู เมื่อสามารถฟื้นฟูประสาทที่สังการได้ ระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อ ก็กลับมาทำงาน การขับถ่ายก็กลับเป็นปกติ
ศาสน์ของสมุนไพรพระภูมี จึงผูกโยงไว้หลายประการที่วิทยาศาสตร์ไม่มี นั่นคือ นอกจากสมุนไพร ยังผูกโยงกับความคิด จิตใจ และท้ายสุดคือพฤติกรรม
ด้วยความเชื่ออันเป็นรากฐานต้นเหตุที่แท้จริงของอาการ นั่นคือ กรรม ที่เป็นอำนาจ ทำให้เกิด
คำถาม ที่หลายคนอาจจะสงสัย เฉกเช่นเดียวกับอาจารย์หมอ ที่ถามหลวงพ่อนิพนธ์ ว่า คำกล่าวที่บอกว่า บุญล้างกรรม นั่นหมายความว่า ผู้ที่ปฏิบัติ ย่อมต้องได้รับอานิสงฆ์ นั่นคือ ความไม่มีโรคเป็นอันดับแรก หากแต่ความจริงที่ปรากฎ ก็เห็นสงฆ์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่อาพาธ ต้องมีโรงพยาบาลสงฆ์ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงอรรถาธิบายว่า ก็เพราะธรรมที่สงฆ์เหล่านั้นปฏิบัติ ไม่ใช่ธรรมของพระภูมี จึงไม่มีบุญมาเลี้ยงตน ด้วยเหตุที่ธรรม่ของพระภูมี มีไว้เพื่อสร้างปูชนียบุคคล แต่ธรรมของสงฆ์เหล่านั้น มีไว้สร้างปูชนียวัตถุ
นั่นคือ มันเลยคำสอนของพระภูมี ที่ตรัสว่า "บุญอยู่ที่มนุษย์และสัตว์"
อาจารย์หมอจึงถามต่อว่า ก็แล้วการปฏิบัติของสงฆ์ที่ทำ ให้ผลอย่างไร หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การปฏิบัติ ที่ทำ ก็จัดว่าเป็นความดี แลด้วยความดีที่ทำนี้เอง ผลที่ได้จึงทำให้ได้อายุขัย นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมพระสงฆ์เหล่านั้น จึงมีอายุขัยที่ยืนยาว หากแต่เรื่องของสุขภาพ ก็เป็นไปดั่งกรรมที่ทำมา เพราะธรรมที่ปฏิบัติ มันไม่ถูก ผลถูกจึงไม่เกิด
บทสรุปของการสนทนา นั่นจึงเป็นคำอรรถธิบายว่า ทำไมยาเคมี มันจึงทำได้แค่ระงับ เพราะมุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ที่คนเป็นกังวล และให้ความพึงพอใจ ในความเร็ว ทันอกทันใจ แม้นจะไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ ก็ได้รับความนิยม ... รอจนวันที่ยาเคมีเหล่านี้เอาไม่อยู่ ก็แทบจะสายเกินแก้ ร่างกายเกิดความเสียหาย ยากแก้การกู้แล้ว ที่สำคัญและเด่นชัด ยิ่งแก้ โรคยิ่งเพิ่ม
บัญญัติของพระภูมี จึงมีชื่อที่แม่ชีเมี้ยนทรงเรียกให้กระชับสั้นได้ใจความว่า "หลักลด" ลดกรรม ลดนิสัย ลดโรค เมื่อทำแล้วมีแต่น้อยลง และหมดไปในที่สุด แต่บัญญัติของโลก เรียก "หลักเพิ่ม" เมื่อทำก็มีแต่เพิ่มนิสัย ความโลภ ความต้องการ และก็เพิ่มโรค ...
คำชวนเชื่อ ในปฐมบทแห่งการสอน เพื่อให้สามเณรนิพนธ์เลิกความคิดที่จะสึก เพื่อไปเรียกแพทย์ตามเพื่อนๆ จึงเริ่มจากการให้พิจารณา เห็นความจริงว่า โลกนี้มีกรรมเป็นอำนาจ หากอยากจะช่วยคนให้หายโรค การเป็นหมอทำไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะคำตรัสของพระภูมีเป็นเครื่องยืนยัน ความคิดของมนุษย์อยู่ใต้กรรม จะมีปัญญามาแก้โรค ที่มีอำนาจเหนือไม่ได้ มิฉะนั้นแล้ว ก็จักกลายว่า มนุษย์มีอำนาจเหนือกรรมนั่นเอง
หากอยากช่วยมนุษย์ให้พ้นโรค ก็ต้องใช้วิชาของพระพุทธเจ้า นั่นคือ สมุนไพร ที่เป็นธรรมหมวดหนึ่งของพระภูมี ที่ให้ไว้ แก่มนุษย์ ที่เป็นสาวก ที่เชื่อ ในท่าน แต่ยังไม่ปรารถนาถึงนิพพาน เมื่อปฏิบัติ แล้ว ก็จะได้มนุษย์สมบัติ คือ ความไม่มีโรค ...
และเมื่อเป็นธรรมหมวดหนึ่ง นั่นก็คือต้องยอมรับความจริง นั่นคือ มันจะมีคนนิยมเพียงกลุ่มหนึ่ง ที่พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม และคนทำได้ ก็คือ คนรอด คนที่ได้สัมผัส มนุษย์สมบัติของพระภูมี ...
หากแต่การทานสมุนไพร มิใช่มุ่งหวังที่การหายโรคในปัจจุบัน แต่เป็นการทานเพื่ออนาคต ที่จะไม่มีโรคใดๆ พึงเกิดอีกด้วย ส่วนโรคปัจจุบัน เรียกว่าเป็นของแถม
นั่นจึงเป็นที่มาของ "หมอผี" ที่แม่ชีเมี้ยนทรงสอน เพื่อให้มาเป็นทางเลือก สู้กับยาเคมี จนทุกวันนี้
นั่นคือ คนที่ทานสมุนไพร แม้นจะมาด้วยเบาหวาน ความดัน หัวใจ ... หากแต่ผลในอนาคต คนเหล่านี้ ก็จักไม่เป็นอัมพฤกต์ อัมพาต มะเร็ง .... การทานสมุนไพร จึงมีค่ามหาศาล
ส่วนคนที่เหลือ ที่เป็นจำนวนมากกว่ามาก เมื่อเทียบกับคนที่มาทานสมุนไพร ก็ต้องทำใจ ปล่อยให้เขาอยู่กับทางเลือกของเขา ... วันใดที่เกิดโรคระบาด วันนั้นแหละความจริงจะปรากฎ ว่า ทางเลือกใดปลอดภัย เพราะสิ่งที่จะคุ้มกันได้ มีแต่ภูมิของตนเท่านั้นเอง
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557
บทสนทนาบทหนึ่ง
อาจารย์หมอของมหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ที่ผ่านเข้ามาในสถานที่นี้ ด้วยจนกับปัญหาที่เผชิญ
ท่านอาจารย์หมอ มาพร้อมกับคุณแม่ ที่ท่านได้ทำการรักษาเอง ตั้งแต่เริ่มเป็นโรคเพียงโรคเดียว หากแต่ในปัจจุบัน คุณแม่มีโรคทั้งหมด ๖ โรคแล้ว ในขณะที่ตัวท่าน ก็เริ่มจาก ๑ โรคเช่นกัน จนปัจจุบัน โรคที่ ๓ กำลังคืบคลานเข้ามา
ก่อนจะมา ณ ที่นี้ อาจารย์หมอท่านนี้ ได้ทำการปรึกษาในอาการที่เป็น กับอาจารย์ของอาจารย์หมอ ที่เป็นหมอที่มีชื่อเสียง ของประเทศสหรัฐอเมริกา สถาบันที่อาจารย์หมอจบมานั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวกับอาจารย์หมอว่า ขอถามคำถามหนึ่ง คือ ทุกวันนี้วงการแพทย์มีข้อสรุปในเรื่องโรคหรือยัง
คำตอบที่อาจารย์หมอให้ก็คือ ทุกวันนี้วงการแพทย์ยอมรับแล้วว่า ความสามารถในทางวิชาการแพทย์นั้น มีบทสรุปว่า สามารถทำได้แค่เพียงการระงับโรคเท่านั้น
หากแต่การจะกล่าวเช่นนั้น ก็จะทำให้ราคาของยาตกต่ำ จึงต้องใช้คำว่า "รักษา" เพื่อที่จะให้ยามีราคา
คำถามที่สองที่หลวงพ่อนิพนธ์ถามแก่อาจารย์หมอ ว่าอาจารย์หมอเชื่อได้อย่างไรว่า แนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จะช่วยรักษาโรคที่เป็นได้
อาจารย์หมอตอบว่า ประการแรก ก็คือ การยอมรับว่า ไม่มียาเคมีใดๆ ในโลก ที่เข้าถึงเหตุแห่งอาการโรคได้ นั่นคือ ไม่มียารักษาโรค
เมื่อได้ฟังกระบวนการทำงานของสมุนไพร ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ต้องใช้กระบวนการย่อยของกระเพาะ เพื่อนำวัตถุดิบคือสมุนไพร พาไปยังจุดต้นเหตุของโรค จึงจะรักษาได้ นั่นคือ ธรรมชาติของมนุษย์ ที่เป็นอยู่ จึงมีความเป็นไปได้
ขณะเดียวกัน เมื่อทดลองกระบวนการของสมุนไพรแล้วดูผล ที่เกิดกับตน ว่า หลังจากหยุดยาเคมีทั้งหมด แล้วเป็นเช่นไร ผ่านวัน ผ่านสัปดาห์ สภาพอาการที่ปรากฎ ทั้งของตน และของแม่ เป็นเช่นไร
นั่นจึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมอาจารย์หมอและแม่ จึงได้หยุดยาเคมีเด็ดขาด และทานสมุนไพรอย่างจริงจัง ด้วยผลที่สะท้อนกลับมายังตนนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ให้คนไข้เห็นเพื่อพิจารณาว่า ในขณะที่คนทั่วไป เป็นอะไร วิ่งไปหาหมอ หากแต่คนที่เป็นหมอ เมื่อเป็น กลับวิ่งมาหาท่าน ... นี่แหละ มนุษย์เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เมื่อวิ่งเข้าไปแล้ว ผลก็คือ นิ้วขาด ไตขาด มดลูกขาด ขาขาด ... ในขณะที่สมุนไพรสูตรพระภูมี กลับกลัว รังเกียจ ทั้งที่เป็นดอกบัว สัมผัสแล้ว ปอดก็แข็งแรง อวัยวะทุกส่วนก็กลับมาแข็งแรง อยู่ครบ ดันมองเห็นเป็นกงจักร... ไม่เรียกกรรม จะให้เรียกอะไร
ท่านอาจารย์หมอ มาพร้อมกับคุณแม่ ที่ท่านได้ทำการรักษาเอง ตั้งแต่เริ่มเป็นโรคเพียงโรคเดียว หากแต่ในปัจจุบัน คุณแม่มีโรคทั้งหมด ๖ โรคแล้ว ในขณะที่ตัวท่าน ก็เริ่มจาก ๑ โรคเช่นกัน จนปัจจุบัน โรคที่ ๓ กำลังคืบคลานเข้ามา
ก่อนจะมา ณ ที่นี้ อาจารย์หมอท่านนี้ ได้ทำการปรึกษาในอาการที่เป็น กับอาจารย์ของอาจารย์หมอ ที่เป็นหมอที่มีชื่อเสียง ของประเทศสหรัฐอเมริกา สถาบันที่อาจารย์หมอจบมานั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวกับอาจารย์หมอว่า ขอถามคำถามหนึ่ง คือ ทุกวันนี้วงการแพทย์มีข้อสรุปในเรื่องโรคหรือยัง
คำตอบที่อาจารย์หมอให้ก็คือ ทุกวันนี้วงการแพทย์ยอมรับแล้วว่า ความสามารถในทางวิชาการแพทย์นั้น มีบทสรุปว่า สามารถทำได้แค่เพียงการระงับโรคเท่านั้น
หากแต่การจะกล่าวเช่นนั้น ก็จะทำให้ราคาของยาตกต่ำ จึงต้องใช้คำว่า "รักษา" เพื่อที่จะให้ยามีราคา
คำถามที่สองที่หลวงพ่อนิพนธ์ถามแก่อาจารย์หมอ ว่าอาจารย์หมอเชื่อได้อย่างไรว่า แนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จะช่วยรักษาโรคที่เป็นได้
อาจารย์หมอตอบว่า ประการแรก ก็คือ การยอมรับว่า ไม่มียาเคมีใดๆ ในโลก ที่เข้าถึงเหตุแห่งอาการโรคได้ นั่นคือ ไม่มียารักษาโรค
เมื่อได้ฟังกระบวนการทำงานของสมุนไพร ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ต้องใช้กระบวนการย่อยของกระเพาะ เพื่อนำวัตถุดิบคือสมุนไพร พาไปยังจุดต้นเหตุของโรค จึงจะรักษาได้ นั่นคือ ธรรมชาติของมนุษย์ ที่เป็นอยู่ จึงมีความเป็นไปได้
ขณะเดียวกัน เมื่อทดลองกระบวนการของสมุนไพรแล้วดูผล ที่เกิดกับตน ว่า หลังจากหยุดยาเคมีทั้งหมด แล้วเป็นเช่นไร ผ่านวัน ผ่านสัปดาห์ สภาพอาการที่ปรากฎ ทั้งของตน และของแม่ เป็นเช่นไร
นั่นจึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมอาจารย์หมอและแม่ จึงได้หยุดยาเคมีเด็ดขาด และทานสมุนไพรอย่างจริงจัง ด้วยผลที่สะท้อนกลับมายังตนนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ให้คนไข้เห็นเพื่อพิจารณาว่า ในขณะที่คนทั่วไป เป็นอะไร วิ่งไปหาหมอ หากแต่คนที่เป็นหมอ เมื่อเป็น กลับวิ่งมาหาท่าน ... นี่แหละ มนุษย์เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เมื่อวิ่งเข้าไปแล้ว ผลก็คือ นิ้วขาด ไตขาด มดลูกขาด ขาขาด ... ในขณะที่สมุนไพรสูตรพระภูมี กลับกลัว รังเกียจ ทั้งที่เป็นดอกบัว สัมผัสแล้ว ปอดก็แข็งแรง อวัยวะทุกส่วนก็กลับมาแข็งแรง อยู่ครบ ดันมองเห็นเป็นกงจักร... ไม่เรียกกรรม จะให้เรียกอะไร
วันชี้ชะตา
คืนวันที่ ๑๗ จวบจนเช้ามืด ของวันที่ ๑๘ มีนาคม แม่ชีเมี้ยนก็ได้ละสังขารของตน
คำอ้อนวอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ชวนให้แม่ชีเมี้ยนออกจากถ้ำกระบอก เพื่อไปตั้งสำนักกันเองแม่ลูก ถูกปฏิเสธ
คำอธิบายที่แม่ชีเมี้ยนมีให้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ สัญญาที่ท่านแม่ชีเมี้ยน มีกับท่านจรูญ นั่นเอง คือ มูลเหตุที่เป็นคำตอบว่าทำไมแม่ชีเมี้ยนจึงต้องละสังขาร ทั้งที่อายุยังไม่ครบตน
ด้วยแนวทางสมุนไพรของพระภูมี นอกจากสมุนไพรแล้ว ยังต้องมีอำนาจที่ใช้ในการบรรจุวิญญาณสมุนไพร อีกประการหนึ่ง ที่จักทำให้สมุนไพรมีฤทธิ์ เมื่อมอบอำนาจนี้ให้แก่ท่านจรูญไปแล้ว การจะกระทำให้สิ้นสุด ก็ด้วยการทำให้สัญญาสิ้นสุด ซึ่งก็หมายถึงชีวิตของท่านนั่นเอง
หากแต่ความหมายของการละสังขารของแม่ชีเมี้ยน ยังมีความหมายที่สำคัญ ที่บอกกล่าวแก่หลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ เมื่อถอนอำนาจจากท่านจรูญมาแล้ว ก็จะบรรจุลงในตำรา ที่มอบให้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวได้ว่า วันลาสังขารของแม่ชีเมี้ยน ก็คือวันเกิดของหลวงพ่อนิพนธ์ ในโลกของสมุนไพรนั่นเอง
ด้วยการทำสมุนไพรสูตรพระภูมี ต้องอาศัยซึ่งอำนาจนี้เอง คำถามที่คาใจหลวงพ่อนิพนธ์ที่มีมา ว่าผู้อื่นจะนำไปทำ จึงหมดไป แม้นจะรู้สูตร สมุนไพรก็ไม่มีฤทธิ์ทำให้หายโรคได้
พร้อมกับคำสอนสุดท้่าย ในการรักษาอำนาจนี้ไว้ ย้ำให้ขึ้นใจ นั่นคือ ถ้าทำขาย ยิ่งทำยิ่งฉิบหาย ดูตัวอย่างพี่ชายเอ็ง หากแต่ทำถ้าทำให้ ยิ่งทำให้ ยิ่งเจริญ
หากแม้นหลวงพ่อนิพนธ์ควบคุมความโลภไว้ได้ การทำก็จะยิ่งมีฤทธิ์มากขึ้น เหมือนต้นไม้ ยิ่งอายุมาก ยิ่งใหญ่ สมุนไพรผ่านปีวัน ฤทธิ์ของปีนี้ ก็จะมากกว่าปีก่อน ตามอายุของการกระทำนั่นเอง
และอำนาจนี้จะคงอยู่ตลอดก็หาไม่ ทุกปี เมื่อถึงวันสำคัญนี้ สำหรับคนอื่น อาจมองแค่เป็นวันละสังขาร แต่สำหรับหลวงพ่อนิพนธ์ วันนี้คือวันประกาศผล ว่าการกระทำในปีที่ผ่านมา ผลสอบผ่านหรือไม่
ความข้อนี้เอง บรรดาลูกศิษย์และคนไข้ จึงมารวมตัวกันในวันนี้กันอย่างพร้อมหน้า แม้นจะหายจากโรคไปแล้ว และทั้งปีอาจไม่เคยแวะเวียนมาก็ตาม ถึงวันนี้ ก็กลายเป็นการคืนสู่เหย้าของผู้ที่ประสพผลในอดีต รวมกับคนในปัจจุบัน เพื่อแสดงให้แม่ชีเมี้ยนได้เห็นว่า สิ่งที่ท่านทิ้งเอาไว้ มีคุณค่า และยังเป็นที่ต้องการ
หากแม้นสอบผ่าน นั่นก็หมายความ หลวงพ่อนิพนธ์จะได้รับสิทธิ์ในการใช้อำนาจในการทำสมุนไพร ต่อไปอีกปีหนึ่ง
และในวันนี้เอง หากเป็นคนใกล้ชิด มักจะได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอนั่นคือ วันที่ใช้ในการขออนุญาต เพื่อจัดทำสมุนไพรบางตัวเพิ่ม
แม้นตำราที่มอบให้จักมีสูตรมากมาย หากแต่ก็ต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงทำได้ และก็ไม่เสมอไปที่จะได้รับอนุญาต
ดังเช่นปีที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์ก็มีดำริที่จะขอทำสมุนไพร ที่เรียกว่า เป็นไม้เด็ด ในการพิชิตโรค นั่นคือ "ยาตัด" หรือ ที่คนในยุคถ้ำกระบอกเรียก "ยาอ๊วก" หรือ "ช้างสะบัดงวง" ที่เป็นที่ร่ำลือ และเป็นตัวยาสมุนไพรที่ทำให้อเมริกา อังกฤษ และอีกหลายประเทศ อนุมัติทุนสนับสนุนถ้ำกระบอกนั่นเอง
หากแต่การร้องขอในปีที่ผ่านมา ก็ไม่ได้รับการอนุญาต ปีนี้หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะร้องขออีกครั้ง เพราะเห็นว่า สมุนไพรตัวนี้ จะทำให้คนไข้มีโอกาสรอดสูงขึ้น และเป็นการลดภาระ ทั้งค่าใช้จ่ายและวันเวลา ในการฟื้นฟูตน
นั่นหมายความว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการฟื้นฟูตน และปรับระบบของร่างกาย มาระยะหนึ่งแล้วอย่างต่อเนื่อง เมื่อมาทานสมุนไพรตัวนี้ ก็สามารถจบปัญหาของโรคที่ตนมี ได้ภายในหนึ่งเดือนทุกตัวคน เฉกเช่นเดียวกับสมัยถ้ำกระบอกนั่นเอง
เราท่านจึงมักได้ยินคำร้องขอจากหลวงพ่อนิพนธ์ว่า วันนี้อยากให้ทุกคนมาเพื่อท่าน ในการร้องขอสิทธิ์อันนี้
วันนี้จึงหาใช่วันรำลึกคุณอย่างเดียว หากแต่เป็นวันที่ทุกคนที่ผ่านมา และรับผลจากแนวทางสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จักแสดงตน ในการเป็นผู้มีกตัญญูรู้คุณ และแสดงความอยากในการดำรงอยู่ของสิ่งนี้ เพื่อเป็นทางเลือก เป็นที่พึ่งแห่งตน
คำอ้อนวอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ชวนให้แม่ชีเมี้ยนออกจากถ้ำกระบอก เพื่อไปตั้งสำนักกันเองแม่ลูก ถูกปฏิเสธ
คำอธิบายที่แม่ชีเมี้ยนมีให้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ สัญญาที่ท่านแม่ชีเมี้ยน มีกับท่านจรูญ นั่นเอง คือ มูลเหตุที่เป็นคำตอบว่าทำไมแม่ชีเมี้ยนจึงต้องละสังขาร ทั้งที่อายุยังไม่ครบตน
ด้วยแนวทางสมุนไพรของพระภูมี นอกจากสมุนไพรแล้ว ยังต้องมีอำนาจที่ใช้ในการบรรจุวิญญาณสมุนไพร อีกประการหนึ่ง ที่จักทำให้สมุนไพรมีฤทธิ์ เมื่อมอบอำนาจนี้ให้แก่ท่านจรูญไปแล้ว การจะกระทำให้สิ้นสุด ก็ด้วยการทำให้สัญญาสิ้นสุด ซึ่งก็หมายถึงชีวิตของท่านนั่นเอง
หากแต่ความหมายของการละสังขารของแม่ชีเมี้ยน ยังมีความหมายที่สำคัญ ที่บอกกล่าวแก่หลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ เมื่อถอนอำนาจจากท่านจรูญมาแล้ว ก็จะบรรจุลงในตำรา ที่มอบให้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวได้ว่า วันลาสังขารของแม่ชีเมี้ยน ก็คือวันเกิดของหลวงพ่อนิพนธ์ ในโลกของสมุนไพรนั่นเอง
ด้วยการทำสมุนไพรสูตรพระภูมี ต้องอาศัยซึ่งอำนาจนี้เอง คำถามที่คาใจหลวงพ่อนิพนธ์ที่มีมา ว่าผู้อื่นจะนำไปทำ จึงหมดไป แม้นจะรู้สูตร สมุนไพรก็ไม่มีฤทธิ์ทำให้หายโรคได้
พร้อมกับคำสอนสุดท้่าย ในการรักษาอำนาจนี้ไว้ ย้ำให้ขึ้นใจ นั่นคือ ถ้าทำขาย ยิ่งทำยิ่งฉิบหาย ดูตัวอย่างพี่ชายเอ็ง หากแต่ทำถ้าทำให้ ยิ่งทำให้ ยิ่งเจริญ
หากแม้นหลวงพ่อนิพนธ์ควบคุมความโลภไว้ได้ การทำก็จะยิ่งมีฤทธิ์มากขึ้น เหมือนต้นไม้ ยิ่งอายุมาก ยิ่งใหญ่ สมุนไพรผ่านปีวัน ฤทธิ์ของปีนี้ ก็จะมากกว่าปีก่อน ตามอายุของการกระทำนั่นเอง
และอำนาจนี้จะคงอยู่ตลอดก็หาไม่ ทุกปี เมื่อถึงวันสำคัญนี้ สำหรับคนอื่น อาจมองแค่เป็นวันละสังขาร แต่สำหรับหลวงพ่อนิพนธ์ วันนี้คือวันประกาศผล ว่าการกระทำในปีที่ผ่านมา ผลสอบผ่านหรือไม่
ความข้อนี้เอง บรรดาลูกศิษย์และคนไข้ จึงมารวมตัวกันในวันนี้กันอย่างพร้อมหน้า แม้นจะหายจากโรคไปแล้ว และทั้งปีอาจไม่เคยแวะเวียนมาก็ตาม ถึงวันนี้ ก็กลายเป็นการคืนสู่เหย้าของผู้ที่ประสพผลในอดีต รวมกับคนในปัจจุบัน เพื่อแสดงให้แม่ชีเมี้ยนได้เห็นว่า สิ่งที่ท่านทิ้งเอาไว้ มีคุณค่า และยังเป็นที่ต้องการ
หากแม้นสอบผ่าน นั่นก็หมายความ หลวงพ่อนิพนธ์จะได้รับสิทธิ์ในการใช้อำนาจในการทำสมุนไพร ต่อไปอีกปีหนึ่ง
และในวันนี้เอง หากเป็นคนใกล้ชิด มักจะได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอนั่นคือ วันที่ใช้ในการขออนุญาต เพื่อจัดทำสมุนไพรบางตัวเพิ่ม
แม้นตำราที่มอบให้จักมีสูตรมากมาย หากแต่ก็ต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงทำได้ และก็ไม่เสมอไปที่จะได้รับอนุญาต
ดังเช่นปีที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์ก็มีดำริที่จะขอทำสมุนไพร ที่เรียกว่า เป็นไม้เด็ด ในการพิชิตโรค นั่นคือ "ยาตัด" หรือ ที่คนในยุคถ้ำกระบอกเรียก "ยาอ๊วก" หรือ "ช้างสะบัดงวง" ที่เป็นที่ร่ำลือ และเป็นตัวยาสมุนไพรที่ทำให้อเมริกา อังกฤษ และอีกหลายประเทศ อนุมัติทุนสนับสนุนถ้ำกระบอกนั่นเอง
หากแต่การร้องขอในปีที่ผ่านมา ก็ไม่ได้รับการอนุญาต ปีนี้หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะร้องขออีกครั้ง เพราะเห็นว่า สมุนไพรตัวนี้ จะทำให้คนไข้มีโอกาสรอดสูงขึ้น และเป็นการลดภาระ ทั้งค่าใช้จ่ายและวันเวลา ในการฟื้นฟูตน
นั่นหมายความว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการฟื้นฟูตน และปรับระบบของร่างกาย มาระยะหนึ่งแล้วอย่างต่อเนื่อง เมื่อมาทานสมุนไพรตัวนี้ ก็สามารถจบปัญหาของโรคที่ตนมี ได้ภายในหนึ่งเดือนทุกตัวคน เฉกเช่นเดียวกับสมัยถ้ำกระบอกนั่นเอง
เราท่านจึงมักได้ยินคำร้องขอจากหลวงพ่อนิพนธ์ว่า วันนี้อยากให้ทุกคนมาเพื่อท่าน ในการร้องขอสิทธิ์อันนี้
วันนี้จึงหาใช่วันรำลึกคุณอย่างเดียว หากแต่เป็นวันที่ทุกคนที่ผ่านมา และรับผลจากแนวทางสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จักแสดงตน ในการเป็นผู้มีกตัญญูรู้คุณ และแสดงความอยากในการดำรงอยู่ของสิ่งนี้ เพื่อเป็นทางเลือก เป็นที่พึ่งแห่งตน
รูปแบบที่ควรจะเป็น
เมื่อแหล่งวัตถุดิบเริ่มมีความสามารถในการป้อนวัตถุดิบให้อย่างพอเพียง ที่สำคัญ วัตถุดิบที่ได้มามีคุณภาพสูง นั่นคือไม่เจือปนสารเคมีใดๆเลย นั่นก็เป็นสัญญาณของความเปลี่ยนแปลง ที่จะทำให้เข้ารูปรอยตามพุทธบัญญัติ
กระบวนคัดสรรบุคคลที่มีความต้องการ และพร้อมเดินทางในสายสมุนไพรก็จะเริ่มขึ้น นับตั้งแต่กระบวนการแรก คือ การจำกัดจำนวนผู้ที่เข้ามาใช้บริการ
ตามมาด้วย การจัดสมุนไพร เพื่อปรับสภาพร่างกายพื้นฐาน อวัยวะต่างๆ ด้วยสมุนไพรอย่างเต็มที่ และการให้ความรู้ เพื่อที่จะปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสมุนไพร
กระบวนการนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า น่าจะใช้เวลาประมาณ ๖ เดือน ผู้ที่เป็นโรคที่ไม่สาหัสนัก พอที่สมุนไพรพื้นฐานกู้ได้ ก็จะเห็นผลได้ใน ๖ เดือนนี้
สำหรับผู้ที่อาการสาหัส เรียกว่า การใช้สมุนไพรพื้นฐาน คงต้องใช้เวลานานกว่าจะกู้ขึ้นมาได้ เมื่อปูพื้นฐานร่างกายได้ ๖ เดือน และมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ ที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด ก็จัดให้ทานสมุนไพร ที่แม่ชีเมี้ยนเรียกว่า ไม้ตายของสมุนไพร เรียกชื่อว่า "ยาตัด" หรือ "ยาช้างสะบัดงวง" ซึ่งก็คงจบได้ภายใน ๑ เดือน
เมื่อคนเก่าไป ก็รับคนใหม่ เข้ามาแทน
ดังนั้น คุณสมบัติพื้นฐาน คือ ความจริงจัง ไม่กินเล่น ก็คงเริ่มจากการมาทุกสัปดาห์ ห้ามขาด เป็นปฐมบท
เมื่อเข้าวงจรนี้แล้ว เราท่าน จะเห็นคนหายโรค ด้วยสมุนไพร อย่างเป็นจริงเป็นจัง
รอวัดชะตา กันในวันที่ ๑๗ มีนาคมนี้ ว่า การที่หลวงพ่อนิพนธ์ดำริ แม่ชีเมี้ยนจะทรงอนุญาตหรือไม่ ... ถ้าได้ รอดูฤทธิ์สมุนไพร แต่ถ้าไม่ได้ นั่นก็หมายความถึงเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ที่ไม่ได้สิทธิ์
อยากได้สิทธิ์ ก็ต้องไปดิ้นรนกันเองในพม่า ....
กระบวนคัดสรรบุคคลที่มีความต้องการ และพร้อมเดินทางในสายสมุนไพรก็จะเริ่มขึ้น นับตั้งแต่กระบวนการแรก คือ การจำกัดจำนวนผู้ที่เข้ามาใช้บริการ
ตามมาด้วย การจัดสมุนไพร เพื่อปรับสภาพร่างกายพื้นฐาน อวัยวะต่างๆ ด้วยสมุนไพรอย่างเต็มที่ และการให้ความรู้ เพื่อที่จะปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสมุนไพร
กระบวนการนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า น่าจะใช้เวลาประมาณ ๖ เดือน ผู้ที่เป็นโรคที่ไม่สาหัสนัก พอที่สมุนไพรพื้นฐานกู้ได้ ก็จะเห็นผลได้ใน ๖ เดือนนี้
สำหรับผู้ที่อาการสาหัส เรียกว่า การใช้สมุนไพรพื้นฐาน คงต้องใช้เวลานานกว่าจะกู้ขึ้นมาได้ เมื่อปูพื้นฐานร่างกายได้ ๖ เดือน และมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ ที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด ก็จัดให้ทานสมุนไพร ที่แม่ชีเมี้ยนเรียกว่า ไม้ตายของสมุนไพร เรียกชื่อว่า "ยาตัด" หรือ "ยาช้างสะบัดงวง" ซึ่งก็คงจบได้ภายใน ๑ เดือน
เมื่อคนเก่าไป ก็รับคนใหม่ เข้ามาแทน
ดังนั้น คุณสมบัติพื้นฐาน คือ ความจริงจัง ไม่กินเล่น ก็คงเริ่มจากการมาทุกสัปดาห์ ห้ามขาด เป็นปฐมบท
เมื่อเข้าวงจรนี้แล้ว เราท่าน จะเห็นคนหายโรค ด้วยสมุนไพร อย่างเป็นจริงเป็นจัง
รอวัดชะตา กันในวันที่ ๑๗ มีนาคมนี้ ว่า การที่หลวงพ่อนิพนธ์ดำริ แม่ชีเมี้ยนจะทรงอนุญาตหรือไม่ ... ถ้าได้ รอดูฤทธิ์สมุนไพร แต่ถ้าไม่ได้ นั่นก็หมายความถึงเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ที่ไม่ได้สิทธิ์
อยากได้สิทธิ์ ก็ต้องไปดิ้นรนกันเองในพม่า ....
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557
คิดได้ทำไม่ได้
ดังนั้น เมื่อสิบกว่าปีก่อน เมื่อจำนวนปริมาณคน เริ่มเพิ่มขึ้น เป็นหลักร้อย ดำริหนึ่งเมื่อมีคนไข้ที่มีความรู้ในด้านเครื่องมือแพทย์เข้ามารับรักษา จึงปรึกษาเกี่ยวกับการแปรรูปสมุนไพร
หลวงพ่อนิพนธ์ทราบดีว่า สมุนไพร ไม่สามารถใช้การสกัดได้ หากแต่การแปรรูป สามารถทำได้ จึงได้ทดลองแปรรูปสมุนไพรที่มี เช่น สมุนไพรเขียว ยาปอด ....
ผลการทดสอบคุณค่าสมุนไพร พบว่ายังคงเดิม
การที่จะทำให้คนไข้ได้ทานในปริมาณที่เพียงพอ นั่นคือ ต้องทำสมุนไพรเก็บไว้ได้
หากแต่เครื่องมีราคามหาศาล เมื่อขาดการสนับสนุนจึงทำไม่ได้
ความฝันในการตั้งศูนย์ กระจายไปทั่วประเทศ ทุกวันนี้ จึงทำไม่ได้
คนไทย ก็เลยต้องขับรถ มานับหลายร้อยกิโล เพื่อมารับสมุนไพร
รออีกนิด เมื่อข้ามไปพม่า และมีเครื่องจักรแปรรูปนี้เมื่อไหร่ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า จะทำให้ระเบิดเถิดเทิง
อีกหน่อย ยาเขียว ก็กลายเป็นเหมือนชาลิปตัน ยาปอด ก็เหมือน ยาแก้ไอ เป็นน้ำข้นๆ ทานทีละช้อน ยาไพร ก็กลายเป็นแคปซูล ยามะพร้าว ... ก็เช่นกัน ... รออีกนิด แล้วมาทานสมุนไพรกันให้เต็มที่ แข่งกับยาฝรั่ง
วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557
ตอกย้ำ
สัปดาห์ที่แล้ว คณะของพม่า ได้พาหัวหน้าหมู่บ้าน อีก ๓ แห่ง มาพบหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อแสดงความพร้อมในการปลูกสมุนไพร ป้อนให้แก่มูลนิธิ
แล้วแจ้งให้ทราบว่า อาคารทั้ง ๕ หลัง ที่จัดเป็นที่ทำการ จะแล้วเสร็จในอีกประมาณไม่เกิน ๒ เดือน
อีกทั้งเพิ่มเติมรายละเอียด ที่ทางการพม่า อนุญาติให้รถที่ทางมูลนิธิไทยกรุณา ได้รับรอง สามารถเข้าฝั่งพม่า โดยจะติดแผ่นทะเบียนให้ เมื่อข้ามฝั่ง
โดยรถดังกล่าวจะสามารถวิ่งเข้าไปยัง บ้านมิต้า อันเป็นที่ตั้งของ มูลนิธิเมตตาของพม่าได้ อย่างสะดวก
ด้วยความมั่นใจในบ้านใหม่ ขณะนี้หลวงพ่อนิพนธ์จึงได้รับผู้ป่วยหนัก มาพักรักษาเพิ่มมากขึ้้น โดยเฉพาะ มะเร็ง อัมพฤกต์ที่เพิ่งเริ่มเป็น และตามมาด้วยโรคเอดส์ ทีรับมา ๓ คนก่อนหน้า ก็ดีวันดีคืน และมาเพิ่มอีก ในสัปดาห์นี้ ๒ คน
เราจึงอยากย้ำโอกาสทองนี้ เพราะไม่รู้ว่า กิจกรรมในประเทศไทย จะสามารถดำเนินไปได้อีกกี่วัน ผู้ป่วยเหล่านี้ ควรที่จะคว้าโอกาสไว้ เพราะที่แน่ๆ หลังจากวันงานแม่ชีเมี้ยน กิจกรรมในพม่า ก็จะเริ่มเปิดตัว ส่วนกิจกรรมในประเทศไทย ยังลูกผีลูกคน อาจต้องปิดตัวลงก็เป็นไปได้
แล้วแจ้งให้ทราบว่า อาคารทั้ง ๕ หลัง ที่จัดเป็นที่ทำการ จะแล้วเสร็จในอีกประมาณไม่เกิน ๒ เดือน
อีกทั้งเพิ่มเติมรายละเอียด ที่ทางการพม่า อนุญาติให้รถที่ทางมูลนิธิไทยกรุณา ได้รับรอง สามารถเข้าฝั่งพม่า โดยจะติดแผ่นทะเบียนให้ เมื่อข้ามฝั่ง
โดยรถดังกล่าวจะสามารถวิ่งเข้าไปยัง บ้านมิต้า อันเป็นที่ตั้งของ มูลนิธิเมตตาของพม่าได้ อย่างสะดวก
ด้วยความมั่นใจในบ้านใหม่ ขณะนี้หลวงพ่อนิพนธ์จึงได้รับผู้ป่วยหนัก มาพักรักษาเพิ่มมากขึ้้น โดยเฉพาะ มะเร็ง อัมพฤกต์ที่เพิ่งเริ่มเป็น และตามมาด้วยโรคเอดส์ ทีรับมา ๓ คนก่อนหน้า ก็ดีวันดีคืน และมาเพิ่มอีก ในสัปดาห์นี้ ๒ คน
เราจึงอยากย้ำโอกาสทองนี้ เพราะไม่รู้ว่า กิจกรรมในประเทศไทย จะสามารถดำเนินไปได้อีกกี่วัน ผู้ป่วยเหล่านี้ ควรที่จะคว้าโอกาสไว้ เพราะที่แน่ๆ หลังจากวันงานแม่ชีเมี้ยน กิจกรรมในพม่า ก็จะเริ่มเปิดตัว ส่วนกิจกรรมในประเทศไทย ยังลูกผีลูกคน อาจต้องปิดตัวลงก็เป็นไปได้
ทำไมต้องมีหมอ
กระบวนการสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ใช้ความสามารถของร่างกาย และวัตถุดิบที่เป็นธรรมชาติ อันหมายความว่าร่างกายคุ้นเคย และต้องการ
ผลที่สำคัญ อันเกิดจากธรรมชาติ คือ ปริมาณที่ทาน หากเกินกว่าร่างกายใช้ ก็สามารถกักเก็บไว้ในร่างกาย เพื่อใช้ยามคลาดแคลนได้ เหมือนอาหาร
ผลที่สำคัญที่สุด นั่นคือ การเข้าถึงเป้าหมายที่มีปัญหา
ด้วยความสามารถของร่างกาย ที่คุ้นเคย และเข้ากับธรรมชาติ การใช้แนวทางเลือกนี้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีหมอ เพราะหมอที่ดีที่สุด นั่นคือร่างกายของตัวเราท่านนั่นเอง ที่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
ในทางกลับกัน การใช้วิธีการอื่น ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรที่โฆษณากันในทีวีดาวเทียม หรือ ยาเคมี ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ก็ตาม ล้วนแล้วแต่ไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ในตัว
ผลก็คือ ทางเลือกเหล่านั้น ไม่มีความสามารถในการรักษา จึงต้องใช้ทางอ้อม และเป็นที่คนชื่นชอบ นั่นคือ การระงับ และใช้สารนำร่อง ในการเข้าถึง
การเข้าถึงในลักษณะบังคับแบบนี้ โดยปกติจะถูกต่อต้านด้วยภูมิของร่างกาย ดังนั้น แนวทางเลือกนี้จึงต้องอาศัยความเป็นกรด เพื่อทำลายด่านเหล่านี้ โดยอาศัย สารหนัก อาทิ ปรอท ไซยาไนด์
และเมื่อเข้าถึงที่เกิดเหตุไม่ได้ ก็อาศัยการบอมบ์ประสาท ให้ชาด้านหรือหมดความรู้สึก จึงเรียกว่าเป็นการระงับ เมื่อหมดฤทธิ์ จึงต้องทานใหม่ และเมื่อเกิดอาการดื้อยา จึงต้องทานปริมาณที่มากขึ้น
ด่้วยการทำงานลักษณะนี้ จึงมีความจำเป็นต้องมีหมอ เพราะต้องการผู้ที่รู้ว่า ยาประเภทใด จึงจะวิ่งไปในส่วนที่ต้องการ และในอวัยวะนั้นๆ สามารถทนต่อขนาดปริมาณสารเคมีได้สักเท่าไร
แต่ที่จำเป็นมากกว่า นั่นคือ สารหนักที่ใช้ในการนำร่อง เพื่อให้เข้าถึงอวัยวะนั้นๆ ที่เป็นส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการ สารนี้จะไปอยู่ที่ใด และกลายเป็นผลข้างเคียงกับอวัยวะใด
การใช้สารเคมี หรือสมุนไพรและทางเลือกอื่นๆ จึงต้องพึงระวัง และตรวจร่างกายก่อนใช้ เพื่อเช็คผลจากการอาการข้างเคียงเหล่านี้
หากจะหมอที่มีความสามารถรักษา คงไม่มีวันหาเจอ ด้วยพิจารณาตรรกะง่ายๆ ว่า คนตรวจไม่ได้ทำยา คนทำยาไม่ได้ตรวจ นั่นเอง
คนที่จะแก้ปัญหา ย่อมต้องเป็นผู้วินิจฉัย และเป็นผู้สั่งแก้ ดุจดังช่างซ่อมรถยนต์นั่นเอง หากช่างซ่อม ไม่สามารถวินิจฉัยอาการรถที่เกิดได้ การซ่อมนั้นผลจะเป็นเช่นไร หรือ ผู้วินิจฉัย ไม่ได้เป็นผู้กำหนดแนวทางการซ่อม
การใช้ยาเคมี จึงจำเป็นต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ ผู้ที่เลือกใช้แนวทางนี้ จึงไม่ควรที่จะซ์้อยาทานเอง เพราะจะเพิ่มความเสี่ยง ไม่เพียงแต่ใช้ยาผิด แต่ยังผลจากการใช้ยาเกินความจำเป็นอีกด้วย
ไม่จำเป็นต้องเลือกแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน หากแต่ควรศึกษาแนวทางที่ตนเองเลือกใช้ เพื่อให้เกิดความเสียหายโดยไม่ควร ยิ่งประเทศไทย จัดเป็นประเทศในอันดับต้นๆ ของโลก ที่มีการใช้ยาเกินความจำเป็น
การใช้สมุนไพรทั่วไป ก็ย่อมประสพปัญหาเช่นเดียวกัน บางท่านอาจระวังเฉพาะเสตียรอยด์ เพราะเป็นที่ทราบกันทั่ว หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ส่วนผสมที่สำคัญที่น่ากลัวในสมุนไพรเหล่านั้นอีกตัวหนึ่ง ที่คนทั่วไปไม่ค่อยทราบ แต่มีผลที่ร้ายแรงเช่นเดียวกัน นั่นคือ เกสรฝิ่น
จะเลือกใช้แนวทางใด ก็ตามแต่ ควรที่จะทำการศึกษา ให้รู้เขา รู้เรา อย่าเชื่อโดยง่าย เพราะเกี่ยวพันกับชีวิต ทำชุ่ยๆ ชีวิตก็จักเปื่อยยุ่ย จะกลับมาบอกก็ไม่ได้
ผลที่สำคัญ อันเกิดจากธรรมชาติ คือ ปริมาณที่ทาน หากเกินกว่าร่างกายใช้ ก็สามารถกักเก็บไว้ในร่างกาย เพื่อใช้ยามคลาดแคลนได้ เหมือนอาหาร
ผลที่สำคัญที่สุด นั่นคือ การเข้าถึงเป้าหมายที่มีปัญหา
ด้วยความสามารถของร่างกาย ที่คุ้นเคย และเข้ากับธรรมชาติ การใช้แนวทางเลือกนี้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีหมอ เพราะหมอที่ดีที่สุด นั่นคือร่างกายของตัวเราท่านนั่นเอง ที่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
ในทางกลับกัน การใช้วิธีการอื่น ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรที่โฆษณากันในทีวีดาวเทียม หรือ ยาเคมี ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ก็ตาม ล้วนแล้วแต่ไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ในตัว
ผลก็คือ ทางเลือกเหล่านั้น ไม่มีความสามารถในการรักษา จึงต้องใช้ทางอ้อม และเป็นที่คนชื่นชอบ นั่นคือ การระงับ และใช้สารนำร่อง ในการเข้าถึง
การเข้าถึงในลักษณะบังคับแบบนี้ โดยปกติจะถูกต่อต้านด้วยภูมิของร่างกาย ดังนั้น แนวทางเลือกนี้จึงต้องอาศัยความเป็นกรด เพื่อทำลายด่านเหล่านี้ โดยอาศัย สารหนัก อาทิ ปรอท ไซยาไนด์
และเมื่อเข้าถึงที่เกิดเหตุไม่ได้ ก็อาศัยการบอมบ์ประสาท ให้ชาด้านหรือหมดความรู้สึก จึงเรียกว่าเป็นการระงับ เมื่อหมดฤทธิ์ จึงต้องทานใหม่ และเมื่อเกิดอาการดื้อยา จึงต้องทานปริมาณที่มากขึ้น
ด่้วยการทำงานลักษณะนี้ จึงมีความจำเป็นต้องมีหมอ เพราะต้องการผู้ที่รู้ว่า ยาประเภทใด จึงจะวิ่งไปในส่วนที่ต้องการ และในอวัยวะนั้นๆ สามารถทนต่อขนาดปริมาณสารเคมีได้สักเท่าไร
แต่ที่จำเป็นมากกว่า นั่นคือ สารหนักที่ใช้ในการนำร่อง เพื่อให้เข้าถึงอวัยวะนั้นๆ ที่เป็นส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการ สารนี้จะไปอยู่ที่ใด และกลายเป็นผลข้างเคียงกับอวัยวะใด
การใช้สารเคมี หรือสมุนไพรและทางเลือกอื่นๆ จึงต้องพึงระวัง และตรวจร่างกายก่อนใช้ เพื่อเช็คผลจากการอาการข้างเคียงเหล่านี้
หากจะหมอที่มีความสามารถรักษา คงไม่มีวันหาเจอ ด้วยพิจารณาตรรกะง่ายๆ ว่า คนตรวจไม่ได้ทำยา คนทำยาไม่ได้ตรวจ นั่นเอง
คนที่จะแก้ปัญหา ย่อมต้องเป็นผู้วินิจฉัย และเป็นผู้สั่งแก้ ดุจดังช่างซ่อมรถยนต์นั่นเอง หากช่างซ่อม ไม่สามารถวินิจฉัยอาการรถที่เกิดได้ การซ่อมนั้นผลจะเป็นเช่นไร หรือ ผู้วินิจฉัย ไม่ได้เป็นผู้กำหนดแนวทางการซ่อม
การใช้ยาเคมี จึงจำเป็นต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ ผู้ที่เลือกใช้แนวทางนี้ จึงไม่ควรที่จะซ์้อยาทานเอง เพราะจะเพิ่มความเสี่ยง ไม่เพียงแต่ใช้ยาผิด แต่ยังผลจากการใช้ยาเกินความจำเป็นอีกด้วย
ไม่จำเป็นต้องเลือกแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน หากแต่ควรศึกษาแนวทางที่ตนเองเลือกใช้ เพื่อให้เกิดความเสียหายโดยไม่ควร ยิ่งประเทศไทย จัดเป็นประเทศในอันดับต้นๆ ของโลก ที่มีการใช้ยาเกินความจำเป็น
การใช้สมุนไพรทั่วไป ก็ย่อมประสพปัญหาเช่นเดียวกัน บางท่านอาจระวังเฉพาะเสตียรอยด์ เพราะเป็นที่ทราบกันทั่ว หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ส่วนผสมที่สำคัญที่น่ากลัวในสมุนไพรเหล่านั้นอีกตัวหนึ่ง ที่คนทั่วไปไม่ค่อยทราบ แต่มีผลที่ร้ายแรงเช่นเดียวกัน นั่นคือ เกสรฝิ่น
จะเลือกใช้แนวทางใด ก็ตามแต่ ควรที่จะทำการศึกษา ให้รู้เขา รู้เรา อย่าเชื่อโดยง่าย เพราะเกี่ยวพันกับชีวิต ทำชุ่ยๆ ชีวิตก็จักเปื่อยยุ่ย จะกลับมาบอกก็ไม่ได้
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557
หน้าตา ลักษณะของชูชก
พระไตรปิฏก เขียนโดยพราหมณ์ ทำให้ภาพความจริงถูกบิดเบือน จนเกิดความเข้าใจที่ไขว้เขว
ประเด็นหนึ่ง ที่จะชี้ให้เห็น นั่นคือ ภาพของชูชก
ท่านลองหลับตา นึกถึงคำสอน แล้วบรรยายภาพชูชกออกมา เรียกได้ ว่าล้วนแต่ออกมาเป็นคนยากจน ที่ไม่เคยมี และเมื่อมีทางได้ ก็ละโมบ หยุดความอยากของตนไม่ได้ เพราะไม่เคยมี จนสร้างความหายนะแก่ตน
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ในอดีต ท่านก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น
หากแต่เมื่อนำธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมีมาใช้ ภาพชูชกที่เห็น ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
เพราะชูชกที่หลวงพ่อนิพนธ์เห็น กลับกลายเป็นเศรษฐีใหญ่ นั่นเอง
ตัวอย่างชูชก ท่ายยกมาให้เห็น นั่นคือ เศรษฐีใหญ่ ที่เป็นมะเร็งตับ คุยใหญ่ คุยโต ว่าตนเป็น เจ้าของเรือตังเกใหญ่กว่าสิบลำ มีคลังน้ำมันกลางทะเล มีกิจการมากมาย ใส่โรเล็กซ์ สร้อยคอทองพร้อมพระเลี่ยมเพชร ขับเบนซ์
เศรษฐีผู้นี้ มาทานสมุนไพร เริ่มจากหมอกำหนดวัน ตับโต ท้องโต จนมีสภาพการดีขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป เป็นปี
แต่เศรษฐี ไม่เคยหิ้วมะพร้าว ไม่เคยถือถุงมะกรูดและใดๆ มาร่วมในกิจกรรมเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวสอนว่า ทำไมจึงทำตนเช่นนั้น ด้วยฐานะของท่าน ควรทำตนเป็นพระเวสสันดร
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเปิดช่องว่า เหงือกปลาหมอ ซึ่งมีมากแถวแถบน้ำกร่อย ให้จัดหามา
เศรษฐีก็กลับไป ใช้ลูกน้องไปเก็บ และใช้คนงานพม่าสับ มาให้ โดยไม่ต้องเสียเงินเลย
พร้อมกับการคุยใหญ่คุยโต ในสิ่งของที่นำมา อวดด้วยความภูมิใจ
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ท่านจะเป็นพระเวสสันดร ได้โดยวิธีใด เพราะของที่นำมา ไม่มีน้ำเหงื่อน้ำแรงของท่านปนอยู่เลย เหงือกปลาหมอที่นำมา ก็เป็นของฟรี
ในขณะที่ เศรษฐียอมเสียเงินมากมายไปกับสิ่งที่ไม่ได้ให้ชีวิตตน แต่กลับสิ่งที่ช่วยชีวิตตน เศรษฐีไม่ยอมเสียแม้แต่เก๊เดียว
การกระทำเยี่ยงนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า นี่แหละพฤติกรรมของชูชก มาเพื่อรับเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีความคิดที่จะเป็นผู้ให้ แม้นจักได้รับผลจากสมุนไพร ทานของผู้อื่น จนเกิดผลก็ตาม
บทสรุป คำสอนสุดท้ายที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวแก่เพื่อนของเศรษฐี เพื่อสอนทางอ้อมว่า กรรมมันไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะฉายามะเร็งจึงดับชีวิตเราได้ พฤติกรรมแบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้เกิดภาษิต หนีเสือ ปะจรเข้
ก็เพราะชูชก มันเอาแต่หายโรค แต่มันไม่ยอมทำให้หายกรรม ... ผลสุดท้าย มันจึงท้องแตกตาย นั่นคือ อย่างไรก็ตาย นั่นเอง แค่ไม่ใช่ฉายามะเร็ง
ประเด็นหนึ่ง ที่จะชี้ให้เห็น นั่นคือ ภาพของชูชก
ท่านลองหลับตา นึกถึงคำสอน แล้วบรรยายภาพชูชกออกมา เรียกได้ ว่าล้วนแต่ออกมาเป็นคนยากจน ที่ไม่เคยมี และเมื่อมีทางได้ ก็ละโมบ หยุดความอยากของตนไม่ได้ เพราะไม่เคยมี จนสร้างความหายนะแก่ตน
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ในอดีต ท่านก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น
หากแต่เมื่อนำธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมีมาใช้ ภาพชูชกที่เห็น ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
เพราะชูชกที่หลวงพ่อนิพนธ์เห็น กลับกลายเป็นเศรษฐีใหญ่ นั่นเอง
ตัวอย่างชูชก ท่ายยกมาให้เห็น นั่นคือ เศรษฐีใหญ่ ที่เป็นมะเร็งตับ คุยใหญ่ คุยโต ว่าตนเป็น เจ้าของเรือตังเกใหญ่กว่าสิบลำ มีคลังน้ำมันกลางทะเล มีกิจการมากมาย ใส่โรเล็กซ์ สร้อยคอทองพร้อมพระเลี่ยมเพชร ขับเบนซ์
เศรษฐีผู้นี้ มาทานสมุนไพร เริ่มจากหมอกำหนดวัน ตับโต ท้องโต จนมีสภาพการดีขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป เป็นปี
แต่เศรษฐี ไม่เคยหิ้วมะพร้าว ไม่เคยถือถุงมะกรูดและใดๆ มาร่วมในกิจกรรมเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวสอนว่า ทำไมจึงทำตนเช่นนั้น ด้วยฐานะของท่าน ควรทำตนเป็นพระเวสสันดร
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเปิดช่องว่า เหงือกปลาหมอ ซึ่งมีมากแถวแถบน้ำกร่อย ให้จัดหามา
เศรษฐีก็กลับไป ใช้ลูกน้องไปเก็บ และใช้คนงานพม่าสับ มาให้ โดยไม่ต้องเสียเงินเลย
พร้อมกับการคุยใหญ่คุยโต ในสิ่งของที่นำมา อวดด้วยความภูมิใจ
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ท่านจะเป็นพระเวสสันดร ได้โดยวิธีใด เพราะของที่นำมา ไม่มีน้ำเหงื่อน้ำแรงของท่านปนอยู่เลย เหงือกปลาหมอที่นำมา ก็เป็นของฟรี
ในขณะที่ เศรษฐียอมเสียเงินมากมายไปกับสิ่งที่ไม่ได้ให้ชีวิตตน แต่กลับสิ่งที่ช่วยชีวิตตน เศรษฐีไม่ยอมเสียแม้แต่เก๊เดียว
การกระทำเยี่ยงนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า นี่แหละพฤติกรรมของชูชก มาเพื่อรับเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีความคิดที่จะเป็นผู้ให้ แม้นจักได้รับผลจากสมุนไพร ทานของผู้อื่น จนเกิดผลก็ตาม
บทสรุป คำสอนสุดท้ายที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวแก่เพื่อนของเศรษฐี เพื่อสอนทางอ้อมว่า กรรมมันไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะฉายามะเร็งจึงดับชีวิตเราได้ พฤติกรรมแบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้เกิดภาษิต หนีเสือ ปะจรเข้
ก็เพราะชูชก มันเอาแต่หายโรค แต่มันไม่ยอมทำให้หายกรรม ... ผลสุดท้าย มันจึงท้องแตกตาย นั่นคือ อย่างไรก็ตาย นั่นเอง แค่ไม่ใช่ฉายามะเร็ง
สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
ใครในโลก ทำยาขาย ทำสมุนไพรขาย ทำอะไรขาย ก็มักจะกล่าวอ้างเสมอว่า สูตรที่นำมาตนเองคิด หรือคนนั้นคิด เพื่อสร้างความเชื่อถือ ...
จะมีก็แต่ที่นี่ ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอว่า สูตรสมุนไพรและกรรมวิธีที่นำมาสอน บอกกล่าวนั้น ไม่ใช่ของท่าน และก็ไม่ใช่ของแม่ชีเมี้ยน
หากแต่เป็นสูตรของพระภูมี เพียงแต่แม่ชีเมี้ยนรู้ แล้วนำมาให้ทำ
ดังนั้น เมื่อมาสถานที่นี้ จึงไม่เหมือนที่อื่นในหลายประการ ใครที่มองหาหมอ ที่นี่ไม่มี ใครที่มองหาคนช่วย ที่นี่ไม่มี ใครที่มองหาคนคิดสูตร ที่นี่ก็ไม่มี
เพราะแม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า สูตรของพระภูมีที่นำมานั้น มันเป็นพหูสูตรที่พระภูมีทรงบัญญัติ นั่นคือ มีอยู่แล้ว ท่านรู้ก็นำมาให้ พร้อมกันนั้น ยังบอกเคล็ดในการทำ ในการใช้ให้เกิดผล ที่พระภูมี ทรงสาปไว้อันมหาศาล
ดังนั้นการจะทานเอาผล ก็ต้องสาวไปให้ถึงว่า สิ่งที่พระภูมีต้องการ ในการบัญญัติสูตรสมุนไพร คืออะไร คำตอบ ก็ง่ายนิดเดียว คือ คนดี ของศาสนานั่นเอง
ดังนั้น สมุนไพรผู้ทำใช้คุณธรรม ความเมตตา คือ ทำให้ จนกลายเป็นกิ่งทอง ก็ต้องรอ คนทาน ใช้ความกตัญญู ทำตน เพื่อช่วยตน จนการกระทำของตนเป็นใบหยก มารวมกันเมื่อไหร่ นั่นคือ ผลหรือปาฏิหารย์ จึงบังเกิด
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงยืนยันเสมอว่า สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน เป็นธรรมหมวดหนึ่งของพระภูมี ทีให้แก่คนที่ไม่ได้หวังมรรคผลนิพพาน หากแต่การกระทำตาม ศรัทธา ความเชื่อที่มี ก็เพียงพอให้ได้ มนุษย์สมบัติ นั่นคือ ความไม่มีโรค
เมื่อเป็นธรรมหมวดหนึ่ง จึงกล่าวได้ว่า เส้นทางในการประสพผล ย่อมเดินตามรอยหลัก "ตนพึ่งตน" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การมาสถานที่นี้ จึงมาเพื่อเรียนรู้ และรับสมุนไพร ไปช่วยตนเอง ผลสำเร็จ จึงกล่าวได้ว่า "ใครทำ ใครได้" ผลการหายโรค ไม่ใช่ผลสุทธิ หรือวัตถุประสงค์ หากแต่ ผลสุทธิ ที่พระภูมีต้องการ คือ คนดี คนที่ไม่ให้ทุกข์แก่ผู้อื่น หรือพูดง่ายๆว่า คนที่กลัวกรรม นั่นเอง ส่วนการหายโรค แม่ชีเมี้ยนกล่าวว่า นั่นเป็นของแถม ตอบแทน คนที่ทำตนเป็นคนดีของพระภูมี
ปีนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงเกริ่นๆ ว่า ผู้ที่หวังจะประสพผล จะพึ่งพิงแต่สมุนไพรอย่างเดียวไม่ได้ การปฏิบัติตามธรรมคำสอน เป็นบางสิ่งบางอย่าง เพื่อพัฒนาตน ให้มีความขันติ อดทน และมีจิตใจ ที่จะให้สุขแก่ผู้อื่น ประกอบกัน จึงจะหวังผลได้
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องแยกคนออก คัดเฉพาะคนที่หวังผล นั่นคือ เชื่อ ศรัทธา และทำตาม เพื่อจะให้ไม่ให้เสียเวลา เสียเงินเสียทอง ทั้งผู้ที่มา และผู้ที่ทำให้
เอกลักษณ์ ที่เด่นชัด ที่ใช้พิจารณา หลักของภูมี นั่นคือ ความสงบ
เราจึงอยากเตือน หากวันนี้ไม่ฝึกควบคุมตนให้สงบลงได้ ในห้องสวดมนต์ ในห้องกระโจม ในการทานสมุนไพรมะพร้าว ในการรับสมุนไพร วันหนึ่งเมื่อกติกาการคัดตัวนี้ถูกใช้ ก็ยากที่จะทำได้ นั่นหมายความว่า ท่านอาจจะเป็นคนที่คณะกรรมการพิจารณาว่า ยังไม่พร้อม หรือมีคุณสมบัติในการทานสมุนไพร จนต้องถูกคัดออกก็เป็นได้
จะมีก็แต่ที่นี่ ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอว่า สูตรสมุนไพรและกรรมวิธีที่นำมาสอน บอกกล่าวนั้น ไม่ใช่ของท่าน และก็ไม่ใช่ของแม่ชีเมี้ยน
หากแต่เป็นสูตรของพระภูมี เพียงแต่แม่ชีเมี้ยนรู้ แล้วนำมาให้ทำ
ดังนั้น เมื่อมาสถานที่นี้ จึงไม่เหมือนที่อื่นในหลายประการ ใครที่มองหาหมอ ที่นี่ไม่มี ใครที่มองหาคนช่วย ที่นี่ไม่มี ใครที่มองหาคนคิดสูตร ที่นี่ก็ไม่มี
เพราะแม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า สูตรของพระภูมีที่นำมานั้น มันเป็นพหูสูตรที่พระภูมีทรงบัญญัติ นั่นคือ มีอยู่แล้ว ท่านรู้ก็นำมาให้ พร้อมกันนั้น ยังบอกเคล็ดในการทำ ในการใช้ให้เกิดผล ที่พระภูมี ทรงสาปไว้อันมหาศาล
ดังนั้นการจะทานเอาผล ก็ต้องสาวไปให้ถึงว่า สิ่งที่พระภูมีต้องการ ในการบัญญัติสูตรสมุนไพร คืออะไร คำตอบ ก็ง่ายนิดเดียว คือ คนดี ของศาสนานั่นเอง
ดังนั้น สมุนไพรผู้ทำใช้คุณธรรม ความเมตตา คือ ทำให้ จนกลายเป็นกิ่งทอง ก็ต้องรอ คนทาน ใช้ความกตัญญู ทำตน เพื่อช่วยตน จนการกระทำของตนเป็นใบหยก มารวมกันเมื่อไหร่ นั่นคือ ผลหรือปาฏิหารย์ จึงบังเกิด
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงยืนยันเสมอว่า สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน เป็นธรรมหมวดหนึ่งของพระภูมี ทีให้แก่คนที่ไม่ได้หวังมรรคผลนิพพาน หากแต่การกระทำตาม ศรัทธา ความเชื่อที่มี ก็เพียงพอให้ได้ มนุษย์สมบัติ นั่นคือ ความไม่มีโรค
เมื่อเป็นธรรมหมวดหนึ่ง จึงกล่าวได้ว่า เส้นทางในการประสพผล ย่อมเดินตามรอยหลัก "ตนพึ่งตน" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การมาสถานที่นี้ จึงมาเพื่อเรียนรู้ และรับสมุนไพร ไปช่วยตนเอง ผลสำเร็จ จึงกล่าวได้ว่า "ใครทำ ใครได้" ผลการหายโรค ไม่ใช่ผลสุทธิ หรือวัตถุประสงค์ หากแต่ ผลสุทธิ ที่พระภูมีต้องการ คือ คนดี คนที่ไม่ให้ทุกข์แก่ผู้อื่น หรือพูดง่ายๆว่า คนที่กลัวกรรม นั่นเอง ส่วนการหายโรค แม่ชีเมี้ยนกล่าวว่า นั่นเป็นของแถม ตอบแทน คนที่ทำตนเป็นคนดีของพระภูมี
ปีนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงเกริ่นๆ ว่า ผู้ที่หวังจะประสพผล จะพึ่งพิงแต่สมุนไพรอย่างเดียวไม่ได้ การปฏิบัติตามธรรมคำสอน เป็นบางสิ่งบางอย่าง เพื่อพัฒนาตน ให้มีความขันติ อดทน และมีจิตใจ ที่จะให้สุขแก่ผู้อื่น ประกอบกัน จึงจะหวังผลได้
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องแยกคนออก คัดเฉพาะคนที่หวังผล นั่นคือ เชื่อ ศรัทธา และทำตาม เพื่อจะให้ไม่ให้เสียเวลา เสียเงินเสียทอง ทั้งผู้ที่มา และผู้ที่ทำให้
เอกลักษณ์ ที่เด่นชัด ที่ใช้พิจารณา หลักของภูมี นั่นคือ ความสงบ
เราจึงอยากเตือน หากวันนี้ไม่ฝึกควบคุมตนให้สงบลงได้ ในห้องสวดมนต์ ในห้องกระโจม ในการทานสมุนไพรมะพร้าว ในการรับสมุนไพร วันหนึ่งเมื่อกติกาการคัดตัวนี้ถูกใช้ ก็ยากที่จะทำได้ นั่นหมายความว่า ท่านอาจจะเป็นคนที่คณะกรรมการพิจารณาว่า ยังไม่พร้อม หรือมีคุณสมบัติในการทานสมุนไพร จนต้องถูกคัดออกก็เป็นได้
วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557
ตรรกะง่ายๆ ที่ใช้ช่วยตน
องค์ประกอบในการสร้างกรรม และบุญ มีในทุกคน เท่าเทียมกัน
อันจะเห็นว่า ไม่ว่ายาจก หรือเศรษฐี ก็สร้างกรรมได้
ดังนั้น พระภูมี จึงแสดงให้เห็นว่า หากจะสร้างบุญ อย่ามองไกล ให้มองที่ตน จนมีคำสอนว่า "จับตน ค้นตน แล้วจะพ้นทุกข์"
ดังนั้น อุปกรณ์การสร้างกรรม และบุญ จึงไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาวัตถุ หากแต่เกิดจากสิ่งเดียวกัน นั่นคือ "นิสัย"
แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่ายาจก หรือ เศรษฐี จึงมีสถานะเท่าเทียมกัน ในการสร้างบุญ เพราะไม่ได้ขึ้นกับวัตถุสิ่งของที่มีนั่นเอง มีสิทธิ์หายโรคได้เท่าเทียมกัน
เมื่อแม่ชีเมี้ยนนำสูตรสมุนไพรมา จึงได้นำธรรมคำสอนมาให้สร้างบุญด้วย ในอดีตถ้ำกระบอก ผู้ที่มาพึ่งแนวทางนี้ จึงถูกสอน ให้เปลี่ยนนิสัยกรรม มาใช้นิสัยธรรมนำตน บ้าง ชั่วครู่ชั่วยาม เพื่อสร้างบุญไว้เลี้ยงตน และเพื่อแก้กรรมที่ทำมา
จึงเป็นที่มาของคำขวัญ "สมุนไพรล้างโรค บุญล้างบาป"
มาวันนี้ เพื่อผลแห่งการช่วยตนให้รอด แนวทางทั้งคุ่จึงถูกเน้นให้มากยิ่งขึ้น เริ่มจากสมุนไพรที่ได้ปริมาณมากขึ้น ประกอบกับ การให้ลองทำนิสัยธรรม บางสิ่งบางอย่าง ชั่วครู่ชั่วยาม
อยากหายโรค จึงไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่ทำไม่ได้ หากแต่ผลสำเร็จ มันขึ้นกับ ใครทำ ใครได้
หากแต่สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ บอกเล่าให้เราท่านทราบ นั่นคือ สิทธิ์ในการทำ เป็นเอกสิทธิ์ ไม่ได้มีทั่วไป
อันหมายความว่า สิทธิที่ได้รับจากแม่ชีเมี้ยน ที่ดึงกลับมาจากท่านจรูญ อยู่บนแผ่นดินนี้ การกระทำอย่างเดียวกัน ที่นี้ กับที่อื่น จึงให้ผลแตกต่างกัน ทำผิด ก็ผิดหนักกว่า ทำถูก ก็ให้ผลมหาศาล
การมาจึงมีความสำคัญ เพราะสถานที่นี้ คือเขตที่กำหนด เหมือนเขตพัทสีมา จะไปทำแบบเดียวกันที่อื่น หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ท่านไม่รับผิดชอบ ผู้ที่ไม่มา จึงแสดงตนว่าไม่ให้ความสำคัญ ในกิจกรรมช่วยตน
บทสรุปหลวงพ่อนิพนธ์ จึงยืนยัน และกล่าวว่า ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ หากเชื่อก็ทำตาม แล้วดูผล ข้อยืนยันในเอกสิทธิ์ ก็คือ การล่มสลายของถ้ำกระบอก และพระที่แตกสำนักออกไป ทั้ง ๗ นั่นเอง
วันนี้ คนทานสมุนไพร ต้องทำตนเหมือนหลบๆซ่อนๆ เพราะคนส่วนใหญ่ เขาทานยาเคมี แต่วันหนึ่ง คนที่หลบซ่อน คือคนทานยาเคมี ผู้ซึ่งจะออกจากบ้านไม่ได้ เพราะมีโรค คนทานสมุนไพรและทำตามพระภูมี ต่างหาก ที่จะเดินไปในที่ใดก็ได้ เพราะไม่มีโรค นั่นเป็นที่มาของคำ "ผู้ดีเดินตรอก ขี้คลอกเดินถนน"
ฝรั่งมังค่า ไม่มีการสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ก็หาบุญได้ เพราะไม่ว่าชาติไหน เผ่าไหน มีเหมือนกัน คือ นิสัย เมื่อทำตามพระภูมีได้ ย่อมช่วยตนได้ ทั้งหมด ทั้งปวง
เจดีย์ของพุทธศาสนา จึงแสดงสัญญลักษณ์ ว่าทุกคนต้องมีส่วนของตน ทำตนเป็นเม็ดทราย แล้วมารวมกัน ก่อเป็นเจดีย์ วัตถุไม่ต้องทำมาก หากแต่นิสัย ยิ่งทำมาก ยิ่งดี
ผลในการช่วยตน คำตอบจึงอยู่ที่ตัวของเราท่านนั่นเอง ... ที่จะช่วยหรือไม่ อาศัยเครื่องมือหนึ่งเดียว คือ "นิสัย"
พุทธประวัติ ในการหลุดพ้น ยุคพระโคดม หน้าที่ของพระอัครสาวก ทั้งเบื้องซ้าย และเบื้องขวา คือ พระโมคคัลลา และสารีบุตร นั่นคือ ชี้ให้เห็นว่า หนทางหลุดพ้น ... ล้วนมีรากฐานมาจาก "ใจ" จึงมีหน้าที่ชี้แนะให้แก่ผู้ที่จะมาพบพระพุทธเจ้า ว่า หากปราศจากสิ่งนี้แล้ว การกระทำก็ไร้ผล ไม่มีทางประสพผลได้ ให้กลับไป เมื่อพร้อมก็มา ... หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสรุปให้ฟังว่า ด้วยเหตุและผล เมื่อฟังแล้วพิจารณา การมา จึงต้องเริ่มต้นที่ "ใจ" เช่นเดียวกัน มิฉะนั้นก็จะขาดเสียซึ่งศรัทธา ตามมาด้วย การปฏิบัติ การมาทานสมุนไพรเพื่อช่วยตน ก็ไร้ผล เสียเวลาเปล่า
เมื่อมนุษย์มีกรรมเป็นอำนาจ ดลบันดาลให้ทุกข์ให้สุข ก็แล้ว สิ่งที่ทำ หรือยาเคมี พิธีกรรมต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น มีอำนาจอะไรที่จะมาแก้ ... นี่คือ คำตอบที่ว่า โลกนี้ไม่มียารักษาโรค และไม่มีเส้นทางอื่น หรือพิธีกรรมอื่นใด ที่จะมาช่วยให้หายโรคได้ นอกจากธรรมของพระภูมี
ใครไม่มีใจกับที่นี่ อย่ามาเลย เสียเวลาเปล่า ...
สิ่งที่จะช่วยมนุษย์ ต้องมีมาตรฐาน ใช้ได้กับชนทุกชาติ ทุกภาษา ... มนุษย์ผู้ใดทำได้ ผู้นั้นก็ย่อมได้รับผล
ไม่แปลกที่จะเห็น หมอเป็น หมอก็ตาย พระเป็นพระก็ตาย เจ้าพ่อเจ้าแม่ เจ้าลัทธิเป็น ก็ตาย ... คนผลิตยายังตายเลย
หลักปราชญ์ของพระภูมี จึงสอนให้พึ่งตน อยากช่วยตน อย่าไปพึ่งคนอื่น (เฉพาะเรื่องของชีวิต)
คำแนะนำสุดท้ายของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเป็นตรรกะง่ายๆว่า อยากหายโรค อย่ามองที่ตัวของตน ให้มองที่คนอื่น แล้วบังคับนิสัยตน ไปสร้างสุขให้ผู้อื่น ... โรคอะไรก็ไม่เหลือ
อันจะเห็นว่า ไม่ว่ายาจก หรือเศรษฐี ก็สร้างกรรมได้
ดังนั้น พระภูมี จึงแสดงให้เห็นว่า หากจะสร้างบุญ อย่ามองไกล ให้มองที่ตน จนมีคำสอนว่า "จับตน ค้นตน แล้วจะพ้นทุกข์"
ดังนั้น อุปกรณ์การสร้างกรรม และบุญ จึงไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาวัตถุ หากแต่เกิดจากสิ่งเดียวกัน นั่นคือ "นิสัย"
แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่ายาจก หรือ เศรษฐี จึงมีสถานะเท่าเทียมกัน ในการสร้างบุญ เพราะไม่ได้ขึ้นกับวัตถุสิ่งของที่มีนั่นเอง มีสิทธิ์หายโรคได้เท่าเทียมกัน
เมื่อแม่ชีเมี้ยนนำสูตรสมุนไพรมา จึงได้นำธรรมคำสอนมาให้สร้างบุญด้วย ในอดีตถ้ำกระบอก ผู้ที่มาพึ่งแนวทางนี้ จึงถูกสอน ให้เปลี่ยนนิสัยกรรม มาใช้นิสัยธรรมนำตน บ้าง ชั่วครู่ชั่วยาม เพื่อสร้างบุญไว้เลี้ยงตน และเพื่อแก้กรรมที่ทำมา
จึงเป็นที่มาของคำขวัญ "สมุนไพรล้างโรค บุญล้างบาป"
มาวันนี้ เพื่อผลแห่งการช่วยตนให้รอด แนวทางทั้งคุ่จึงถูกเน้นให้มากยิ่งขึ้น เริ่มจากสมุนไพรที่ได้ปริมาณมากขึ้น ประกอบกับ การให้ลองทำนิสัยธรรม บางสิ่งบางอย่าง ชั่วครู่ชั่วยาม
อยากหายโรค จึงไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่ทำไม่ได้ หากแต่ผลสำเร็จ มันขึ้นกับ ใครทำ ใครได้
หากแต่สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ บอกเล่าให้เราท่านทราบ นั่นคือ สิทธิ์ในการทำ เป็นเอกสิทธิ์ ไม่ได้มีทั่วไป
อันหมายความว่า สิทธิที่ได้รับจากแม่ชีเมี้ยน ที่ดึงกลับมาจากท่านจรูญ อยู่บนแผ่นดินนี้ การกระทำอย่างเดียวกัน ที่นี้ กับที่อื่น จึงให้ผลแตกต่างกัน ทำผิด ก็ผิดหนักกว่า ทำถูก ก็ให้ผลมหาศาล
การมาจึงมีความสำคัญ เพราะสถานที่นี้ คือเขตที่กำหนด เหมือนเขตพัทสีมา จะไปทำแบบเดียวกันที่อื่น หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ท่านไม่รับผิดชอบ ผู้ที่ไม่มา จึงแสดงตนว่าไม่ให้ความสำคัญ ในกิจกรรมช่วยตน
บทสรุปหลวงพ่อนิพนธ์ จึงยืนยัน และกล่าวว่า ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ หากเชื่อก็ทำตาม แล้วดูผล ข้อยืนยันในเอกสิทธิ์ ก็คือ การล่มสลายของถ้ำกระบอก และพระที่แตกสำนักออกไป ทั้ง ๗ นั่นเอง
วันนี้ คนทานสมุนไพร ต้องทำตนเหมือนหลบๆซ่อนๆ เพราะคนส่วนใหญ่ เขาทานยาเคมี แต่วันหนึ่ง คนที่หลบซ่อน คือคนทานยาเคมี ผู้ซึ่งจะออกจากบ้านไม่ได้ เพราะมีโรค คนทานสมุนไพรและทำตามพระภูมี ต่างหาก ที่จะเดินไปในที่ใดก็ได้ เพราะไม่มีโรค นั่นเป็นที่มาของคำ "ผู้ดีเดินตรอก ขี้คลอกเดินถนน"
ฝรั่งมังค่า ไม่มีการสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ก็หาบุญได้ เพราะไม่ว่าชาติไหน เผ่าไหน มีเหมือนกัน คือ นิสัย เมื่อทำตามพระภูมีได้ ย่อมช่วยตนได้ ทั้งหมด ทั้งปวง
เจดีย์ของพุทธศาสนา จึงแสดงสัญญลักษณ์ ว่าทุกคนต้องมีส่วนของตน ทำตนเป็นเม็ดทราย แล้วมารวมกัน ก่อเป็นเจดีย์ วัตถุไม่ต้องทำมาก หากแต่นิสัย ยิ่งทำมาก ยิ่งดี
ผลในการช่วยตน คำตอบจึงอยู่ที่ตัวของเราท่านนั่นเอง ... ที่จะช่วยหรือไม่ อาศัยเครื่องมือหนึ่งเดียว คือ "นิสัย"
พุทธประวัติ ในการหลุดพ้น ยุคพระโคดม หน้าที่ของพระอัครสาวก ทั้งเบื้องซ้าย และเบื้องขวา คือ พระโมคคัลลา และสารีบุตร นั่นคือ ชี้ให้เห็นว่า หนทางหลุดพ้น ... ล้วนมีรากฐานมาจาก "ใจ" จึงมีหน้าที่ชี้แนะให้แก่ผู้ที่จะมาพบพระพุทธเจ้า ว่า หากปราศจากสิ่งนี้แล้ว การกระทำก็ไร้ผล ไม่มีทางประสพผลได้ ให้กลับไป เมื่อพร้อมก็มา ... หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสรุปให้ฟังว่า ด้วยเหตุและผล เมื่อฟังแล้วพิจารณา การมา จึงต้องเริ่มต้นที่ "ใจ" เช่นเดียวกัน มิฉะนั้นก็จะขาดเสียซึ่งศรัทธา ตามมาด้วย การปฏิบัติ การมาทานสมุนไพรเพื่อช่วยตน ก็ไร้ผล เสียเวลาเปล่า
เมื่อมนุษย์มีกรรมเป็นอำนาจ ดลบันดาลให้ทุกข์ให้สุข ก็แล้ว สิ่งที่ทำ หรือยาเคมี พิธีกรรมต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น มีอำนาจอะไรที่จะมาแก้ ... นี่คือ คำตอบที่ว่า โลกนี้ไม่มียารักษาโรค และไม่มีเส้นทางอื่น หรือพิธีกรรมอื่นใด ที่จะมาช่วยให้หายโรคได้ นอกจากธรรมของพระภูมี
ใครไม่มีใจกับที่นี่ อย่ามาเลย เสียเวลาเปล่า ...
สิ่งที่จะช่วยมนุษย์ ต้องมีมาตรฐาน ใช้ได้กับชนทุกชาติ ทุกภาษา ... มนุษย์ผู้ใดทำได้ ผู้นั้นก็ย่อมได้รับผล
ไม่แปลกที่จะเห็น หมอเป็น หมอก็ตาย พระเป็นพระก็ตาย เจ้าพ่อเจ้าแม่ เจ้าลัทธิเป็น ก็ตาย ... คนผลิตยายังตายเลย
หลักปราชญ์ของพระภูมี จึงสอนให้พึ่งตน อยากช่วยตน อย่าไปพึ่งคนอื่น (เฉพาะเรื่องของชีวิต)
คำแนะนำสุดท้ายของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเป็นตรรกะง่ายๆว่า อยากหายโรค อย่ามองที่ตัวของตน ให้มองที่คนอื่น แล้วบังคับนิสัยตน ไปสร้างสุขให้ผู้อื่น ... โรคอะไรก็ไม่เหลือ
กว่าจะมาเป็นถ้ำกระบอก
หลังจากคลอดลูกคนเล็ก ทุกคนในบ้านจะเห็นแม่เมี้ยน พูดถึงพระตลอดเวลา และรำพึงเสมอว่าอยู่ไม่ได้แล้ว ถึงเวลาต้องไปแล้ว จนทำให้คนที่บ้านต้องล่ามโซ่เส้นใหญ่ท่านไว้กับ เสากลางบ้าน
หากแต่เมื่อถึงเวลา แม่เมี้ยนก็สามารถบิดโซ่ออกอย่างง่ายดาย แล้วกระโดดกระโจนออกทางหน้าต่าง ทำให้คนในบ้านงงงวยว่าทำได้อย่างไร เพราะเป็นบ้านทรงไทยใต้ถุนสูง เพื่อหนีน้ำนั่นเอง
มารู้สึกอีกที ก็ให้ลูกสองคน วิ่งตามไปที่แม่เมี้ยนวิ่ง ซึ่งต้องผ่าน พื้นที่ที่ชาวตรอกไผ่ คลองเตย เรียกว่า โคกยายม่อม ซึ่งลือกันว่าผีดุ เพื่อทะลุออกไปยัง สุขุมวิท บริเวณมหาวิทยาลัยศรีนครีินทรวิโรต ปัจจุบัน
เมื่อลูกสองคน วิ่งมาถึงบริเวณนี้ ก็เห็นหมาตัวโตขนาดเท่าม้า ยืนขวางอยู่ ทำให้ทั้งสองต้องกลับบ้านไปบอกพ่อ ว่าตามแม่เมี้ยนไปไม่ได้
แม่เมี้ยน จึงได้ไปบวชเป็นชี ที่วัดคลองเม่า และได้รับท่าน จรูญ และท่านเจริญ มาไว้ในอุปการะ
หากแต่ในวันนั้น ยังหาที่พักเป็นหลักแหล่งให้พระทั้งสองไม่ได้ แม่ชีเมี้ยน จึงไปขอเจ้าอาวาสวัดคลองเม่า เพื่อให้พระทั้งสองมาพำนักไว้ก่อน
คำตอบคือ จะอนุญาติก็ต่อเมื่อ แม่ชีเมี้ยน สามารถหาทุนมาสร้างโบสถ์และพระประทาน ให้วัดได้
เพราะการนี้เอง ทำให้แม่ชีเมี้ยน ต้องแสดงบางอย่างให้คนศรัทธา โดยมุ่งไปที่บริเวณ ซอยสวนพลู ที่มีตระกูลดัง ... ณ.อยุธยา จากการไปที่บ้านนี้ แล้วบอกกับคนที่บ้านนั้นว่า มีแมวเกิดใหม่ใช่ไหม และมีแมวสามสีตัวหนึ่ง ให้ดูแลให้ดี เพราะนั้นคือ คนในบ้านที่เพิ่งเสียไปมาเกิด
พร้อมกับทิ้งท้ายว่า พรุ่งนี้จะมาใหม่
วันรุ่งขึ้น คนในบ้านทั้งหมด มารอใส่บาตรให้แม่ชีเมี้ยน และสอบถามเรื่องที่อยากรู้ จนเล่าลือไปทั้งซอยสวนพลู คนใหญ่โตแถวนั้น มีปัญหาก็มาสอบถาม แม่ชีเมี้ยนก็ตอบไป ทำให้เกิดกลุ่มผู้ศรัทธากลุ่มแรก
เพียงเดือนเดียว แม่ชีเมี้ยน ก็สามารถระดมทองเหลือง ได้กว่าหนึ่งตัน และทุนทรัพย์ในการสร้างโบสถ์ ให้แก่วัดคลองเม่า
ท่านจรูญ และท่านเจริญ จึงได้พำนักที่วัดคลองเม่า จวบจน ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ จึงได้พาพระทั้งสองขึ้นไปพำนักยังถ้ำกระบอก พร้อมกับ พระและเณร กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเณรนิพนธ์ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
จวบจนปี ๒๕๐๓ ที่ได้เริ่มเปิดการรักษายาเสพติด และข่าวเรื่องที่แม่ชีเมี้ยน มีความสามารถในด้าน ตาทิพย์ ได้เล่าลือไปถึง สมเด็จย่า
ปฐมบทแห่งการท้าพิสูจน์ จึงเริ่มขึ้น ด้วยการนำอิฐใส่พาน คลุมผ้าเอาไว้ ให้คุณย่าจงจินต์ รุจิระวงศ์ นำมา แล้วถามแม่ชีเมี้ยนว่า พระในห่อผ้านี้ มีค่าประมาณใด
คำตอบที่แม่ชีเมี้ยนทรงให้ คือ ให้นำหินนั้นกลับไป เพราะหาค่าอะไรได้ไม่ เมื่อคุณย่าจงจินต์ ไปกราบทูล จึงเป็นปฐมบทระหว่าง แม่ชีเมี้ยนกับสมเด็จย่า นับตั้งแต่น้้นมา
เรื่องที่หลายคนไม่รู้ ว่าเหตุใด เมื่อพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ได้สั่งให้ลูกศิษย์ ไปบอกแก่จอมพลสฤษด์ ให้จับแม่ชีเมี้ยน โดยบอกว่าอุตริมนุษย์ธรรม กระทำตนเป็นคอมมิวนิสต์ จนเป็นที่มาของคำสั่งยิงเป้า
แต่เมื่อเรื่องทราบถึงพระกรรณ จึงให้คุณย่าจงจินต์ บอกให้ลูกชาย คือ พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิระวงศ์ ไปเรียนแก่ท่านจอมพลว่า ขอให้มีการสอบสวนก่อน
นั่นคือ การนำข้อความไปยับยั้งคำสั่งยิงเป้า ที่เดินทางมาจากชลบุรี ยังกรุงเทพฯ ในขณะนั้นนั่นเอง
หลังจากนั้น จอมพลสฤษด์ จึงได้ตั้ง พลเอกประเสริฐ รุจิระวงศ์ และ เสธทวี จุลละทรัพย์ ทำการสอบสวน
ในการจับตัว แม่ชีเมี้ยน และคณะของถ้ำกระบอก ครั้งนี้เอง ความอนุเคราะห์ประการหนึ่ง ที่สมเด็จย่าทรงมีต่อแม่ชีเมี้ยน นั่นคือ การให้คุณย่าจงจินต์ นำจักรเย็บผ้า มาเย็บจีวร ที่เป็นแถบริ้วๆ ดั่งรูปที่เราท่านได้เห็นในปัจจุบัน ที่ วังน้อย ตัดหน้าคณะที่มาทำการจับตัว แบบเฉียดฉิว
หลังจากการสอบสวน ที่ปรากฎว่า พระในคณะของถ้ำกระบอก ก็มีลูกหลานตระกูลดังมากมาย มีเชื้อพระวงศ์ และ มีพระระดับด๊อกเตอร์ รวมอยู่ และส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่เสพยามาเลิก แล้วศรัทธาเข้ามาบวช
ในช่วงนี้เอง พระผู้ใหญ่ผู้ซึ่งได้ไปชี้หน้าแม่ชีเมี้ยน ที่กองปราบสามยอด และกล่าวคำว่า "ถ้ากูอยู่มึงตาย ถ้ามึงอยู่กูตาย" ก็ได้ประสพเหตุ ถูกรถสิบล้อ แหวกขบวนมาชน จนมรณภาพไป
หลังการสอบสวน จอมพลสฤษด์ ก็อุทานว่า "เกือบฆ่าคนดีแล้ว" และเพื่อเป็นการไถ่โทษ จึงได้ให้เสธทวี มาเป็นมัคคทายก วัดถ้ำกระบอก ดูแลอำนวยความสะดวก นับแต่นั้นมา
ข้อหาต่างๆ จึงได้ถูกยกเลิก จะเหลือแต่กรมศาสนา ที่ขอตั้งข้อหา แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ซึ่งทำให้พระนิพนธ์ และแม่ชีเมี้ยน ต้องเดินจากถ้ำกระบอก ไปขึ้นศาลสระบุรี และจากการเย็บจีวรของคุณย่าจงจินต์นั้นเอง ศาลก็ยกฟ้อง เพราะไม่ใช่จีวรดั่งพระทั่วไป
ผลจากข้อหาเหล่านี้ วัดถ้ำกระบอก จึงกลายเป็นวัดเดียวของประเทศไทย ที่ไม่ขึ้นกับกรมศาสนา บวชพระเองได้ โดยไม่ต้องสวดยัด และเปิดให้เป็นศูนย์บำบัดยาเสพติด ได้
มาวันนี้ ถ้ำกระบอกสิ้นสูญสิทธิ์ต่างๆไปแล้ว แต่ที่น่าเสียดายอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือ ก่อนที่ท่านจรูญจะมรณภาพ รู้ดีว่า คนที่จะทำสมุนไพรได้ผล โดยเฉพาะในด้านยาเสพติด มีเพียงแต่หลวงพ่อนิพนธ์ คนเดียวเท่านั้น จึงได้ให้คนมาเชื้อเชิญ และร้องขอต่อกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สิทธิ์ในการเปิดศูนย์บำบัดยาเสพติด ตกแก่หลวงพ่อนิพนธ์ ผลคือ ได้รับการปฏิเสธจากกระทรวงสาธารณสุข
ความหวังที่อยากจะสานเจตนารมณ์ของแม่ชีเมี้ยน ในการใช้สมุนไพรสูตรพระภูมี เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน ในการสร้างศูนย์ยาเสพติดขึ้นมาอีกครั้งในแผ่นดินไทย จึงเป็นหมัน ไปอย่างน่าเสียดาย
และที่น่าอัศจรรย์ใจแก่เราอย่างยิ่ง นั่นคือ ไม่มีคนไทยคนใดสนใจ และเรียกร้องสิทธิ์อันนี้ให้ลูกหลานของเรา ได้เป็นหนทางเพื่อกลับตัวกลับใจดั่งเช่นอดีตถ้ำกระบอกอีกครั้ง
เราก็ยังต้องใช้คำเดิมอีกนั่นแหละ ว่า คนไทยทุกคนต้องตอบคำถามลูกหลานว่า ทำไมศูนย์ยาเสพติด จึงไปอุบัติในพม่า ....
และจากการโปรดครั้งแรกที่ซอยสวนพลูนี้เอง คนยุคก่อนจึงได้เห็นแม่ชีรับใช้ คือ แม่ชีนวลปรุง ...ที่มาจากตระกูล ... ณ.อยุธยา ที่ศรัทธา และบวชรับใช้แม่ชีเมี้ยน จนลาสังขาร
สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงมีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ยาผีบอก และในไม่ช้า คนที่มากินเล่น ก็เตรียมตัวที่จะถูกโละออกจากแผ่นดินนี้ อย่างแน่นอน ... เพราะเรื่องของชีวิต ต้องทุ่มเท ศรัทธา จริงจัง ไม่ใช่ของเล่น ใครทำ ใครได้ ... หลวงพ่อนิพนธ์จึงเริ่มพูดบ่อยๆ ว่า ไม่ทำ ก็ถอยไป ให้คนที่อยากได้เขาเข้ามา
ทำไมคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ จึงไม่รักษาสิ่งดีงามนี้ไว้ในแผ่นดินไทยให้ลูกหลาน ... อีกไม่กี่เดือน โรงพยาบาลแพทย์แผนไทย ในพม่าก็จะแล้วเสร็จ พร้อมกับการจัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติด และศูนย์ฟื้นฟูโรคเอดส์ .. เตรียมคำตอบไว้ดีๆ น่ะ ทำไม...
หากแต่เมื่อถึงเวลา แม่เมี้ยนก็สามารถบิดโซ่ออกอย่างง่ายดาย แล้วกระโดดกระโจนออกทางหน้าต่าง ทำให้คนในบ้านงงงวยว่าทำได้อย่างไร เพราะเป็นบ้านทรงไทยใต้ถุนสูง เพื่อหนีน้ำนั่นเอง
มารู้สึกอีกที ก็ให้ลูกสองคน วิ่งตามไปที่แม่เมี้ยนวิ่ง ซึ่งต้องผ่าน พื้นที่ที่ชาวตรอกไผ่ คลองเตย เรียกว่า โคกยายม่อม ซึ่งลือกันว่าผีดุ เพื่อทะลุออกไปยัง สุขุมวิท บริเวณมหาวิทยาลัยศรีนครีินทรวิโรต ปัจจุบัน
เมื่อลูกสองคน วิ่งมาถึงบริเวณนี้ ก็เห็นหมาตัวโตขนาดเท่าม้า ยืนขวางอยู่ ทำให้ทั้งสองต้องกลับบ้านไปบอกพ่อ ว่าตามแม่เมี้ยนไปไม่ได้
แม่เมี้ยน จึงได้ไปบวชเป็นชี ที่วัดคลองเม่า และได้รับท่าน จรูญ และท่านเจริญ มาไว้ในอุปการะ
หากแต่ในวันนั้น ยังหาที่พักเป็นหลักแหล่งให้พระทั้งสองไม่ได้ แม่ชีเมี้ยน จึงไปขอเจ้าอาวาสวัดคลองเม่า เพื่อให้พระทั้งสองมาพำนักไว้ก่อน
คำตอบคือ จะอนุญาติก็ต่อเมื่อ แม่ชีเมี้ยน สามารถหาทุนมาสร้างโบสถ์และพระประทาน ให้วัดได้
เพราะการนี้เอง ทำให้แม่ชีเมี้ยน ต้องแสดงบางอย่างให้คนศรัทธา โดยมุ่งไปที่บริเวณ ซอยสวนพลู ที่มีตระกูลดัง ... ณ.อยุธยา จากการไปที่บ้านนี้ แล้วบอกกับคนที่บ้านนั้นว่า มีแมวเกิดใหม่ใช่ไหม และมีแมวสามสีตัวหนึ่ง ให้ดูแลให้ดี เพราะนั้นคือ คนในบ้านที่เพิ่งเสียไปมาเกิด
พร้อมกับทิ้งท้ายว่า พรุ่งนี้จะมาใหม่
วันรุ่งขึ้น คนในบ้านทั้งหมด มารอใส่บาตรให้แม่ชีเมี้ยน และสอบถามเรื่องที่อยากรู้ จนเล่าลือไปทั้งซอยสวนพลู คนใหญ่โตแถวนั้น มีปัญหาก็มาสอบถาม แม่ชีเมี้ยนก็ตอบไป ทำให้เกิดกลุ่มผู้ศรัทธากลุ่มแรก
เพียงเดือนเดียว แม่ชีเมี้ยน ก็สามารถระดมทองเหลือง ได้กว่าหนึ่งตัน และทุนทรัพย์ในการสร้างโบสถ์ ให้แก่วัดคลองเม่า
ท่านจรูญ และท่านเจริญ จึงได้พำนักที่วัดคลองเม่า จวบจน ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ จึงได้พาพระทั้งสองขึ้นไปพำนักยังถ้ำกระบอก พร้อมกับ พระและเณร กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเณรนิพนธ์ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
จวบจนปี ๒๕๐๓ ที่ได้เริ่มเปิดการรักษายาเสพติด และข่าวเรื่องที่แม่ชีเมี้ยน มีความสามารถในด้าน ตาทิพย์ ได้เล่าลือไปถึง สมเด็จย่า
ปฐมบทแห่งการท้าพิสูจน์ จึงเริ่มขึ้น ด้วยการนำอิฐใส่พาน คลุมผ้าเอาไว้ ให้คุณย่าจงจินต์ รุจิระวงศ์ นำมา แล้วถามแม่ชีเมี้ยนว่า พระในห่อผ้านี้ มีค่าประมาณใด
คำตอบที่แม่ชีเมี้ยนทรงให้ คือ ให้นำหินนั้นกลับไป เพราะหาค่าอะไรได้ไม่ เมื่อคุณย่าจงจินต์ ไปกราบทูล จึงเป็นปฐมบทระหว่าง แม่ชีเมี้ยนกับสมเด็จย่า นับตั้งแต่น้้นมา
เรื่องที่หลายคนไม่รู้ ว่าเหตุใด เมื่อพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ได้สั่งให้ลูกศิษย์ ไปบอกแก่จอมพลสฤษด์ ให้จับแม่ชีเมี้ยน โดยบอกว่าอุตริมนุษย์ธรรม กระทำตนเป็นคอมมิวนิสต์ จนเป็นที่มาของคำสั่งยิงเป้า
แต่เมื่อเรื่องทราบถึงพระกรรณ จึงให้คุณย่าจงจินต์ บอกให้ลูกชาย คือ พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิระวงศ์ ไปเรียนแก่ท่านจอมพลว่า ขอให้มีการสอบสวนก่อน
นั่นคือ การนำข้อความไปยับยั้งคำสั่งยิงเป้า ที่เดินทางมาจากชลบุรี ยังกรุงเทพฯ ในขณะนั้นนั่นเอง
หลังจากนั้น จอมพลสฤษด์ จึงได้ตั้ง พลเอกประเสริฐ รุจิระวงศ์ และ เสธทวี จุลละทรัพย์ ทำการสอบสวน
ในการจับตัว แม่ชีเมี้ยน และคณะของถ้ำกระบอก ครั้งนี้เอง ความอนุเคราะห์ประการหนึ่ง ที่สมเด็จย่าทรงมีต่อแม่ชีเมี้ยน นั่นคือ การให้คุณย่าจงจินต์ นำจักรเย็บผ้า มาเย็บจีวร ที่เป็นแถบริ้วๆ ดั่งรูปที่เราท่านได้เห็นในปัจจุบัน ที่ วังน้อย ตัดหน้าคณะที่มาทำการจับตัว แบบเฉียดฉิว
หลังจากการสอบสวน ที่ปรากฎว่า พระในคณะของถ้ำกระบอก ก็มีลูกหลานตระกูลดังมากมาย มีเชื้อพระวงศ์ และ มีพระระดับด๊อกเตอร์ รวมอยู่ และส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่เสพยามาเลิก แล้วศรัทธาเข้ามาบวช
ในช่วงนี้เอง พระผู้ใหญ่ผู้ซึ่งได้ไปชี้หน้าแม่ชีเมี้ยน ที่กองปราบสามยอด และกล่าวคำว่า "ถ้ากูอยู่มึงตาย ถ้ามึงอยู่กูตาย" ก็ได้ประสพเหตุ ถูกรถสิบล้อ แหวกขบวนมาชน จนมรณภาพไป
หลังการสอบสวน จอมพลสฤษด์ ก็อุทานว่า "เกือบฆ่าคนดีแล้ว" และเพื่อเป็นการไถ่โทษ จึงได้ให้เสธทวี มาเป็นมัคคทายก วัดถ้ำกระบอก ดูแลอำนวยความสะดวก นับแต่นั้นมา
ข้อหาต่างๆ จึงได้ถูกยกเลิก จะเหลือแต่กรมศาสนา ที่ขอตั้งข้อหา แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ซึ่งทำให้พระนิพนธ์ และแม่ชีเมี้ยน ต้องเดินจากถ้ำกระบอก ไปขึ้นศาลสระบุรี และจากการเย็บจีวรของคุณย่าจงจินต์นั้นเอง ศาลก็ยกฟ้อง เพราะไม่ใช่จีวรดั่งพระทั่วไป
ผลจากข้อหาเหล่านี้ วัดถ้ำกระบอก จึงกลายเป็นวัดเดียวของประเทศไทย ที่ไม่ขึ้นกับกรมศาสนา บวชพระเองได้ โดยไม่ต้องสวดยัด และเปิดให้เป็นศูนย์บำบัดยาเสพติด ได้
มาวันนี้ ถ้ำกระบอกสิ้นสูญสิทธิ์ต่างๆไปแล้ว แต่ที่น่าเสียดายอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือ ก่อนที่ท่านจรูญจะมรณภาพ รู้ดีว่า คนที่จะทำสมุนไพรได้ผล โดยเฉพาะในด้านยาเสพติด มีเพียงแต่หลวงพ่อนิพนธ์ คนเดียวเท่านั้น จึงได้ให้คนมาเชื้อเชิญ และร้องขอต่อกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สิทธิ์ในการเปิดศูนย์บำบัดยาเสพติด ตกแก่หลวงพ่อนิพนธ์ ผลคือ ได้รับการปฏิเสธจากกระทรวงสาธารณสุข
ความหวังที่อยากจะสานเจตนารมณ์ของแม่ชีเมี้ยน ในการใช้สมุนไพรสูตรพระภูมี เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน ในการสร้างศูนย์ยาเสพติดขึ้นมาอีกครั้งในแผ่นดินไทย จึงเป็นหมัน ไปอย่างน่าเสียดาย
และที่น่าอัศจรรย์ใจแก่เราอย่างยิ่ง นั่นคือ ไม่มีคนไทยคนใดสนใจ และเรียกร้องสิทธิ์อันนี้ให้ลูกหลานของเรา ได้เป็นหนทางเพื่อกลับตัวกลับใจดั่งเช่นอดีตถ้ำกระบอกอีกครั้ง
เราก็ยังต้องใช้คำเดิมอีกนั่นแหละ ว่า คนไทยทุกคนต้องตอบคำถามลูกหลานว่า ทำไมศูนย์ยาเสพติด จึงไปอุบัติในพม่า ....
และจากการโปรดครั้งแรกที่ซอยสวนพลูนี้เอง คนยุคก่อนจึงได้เห็นแม่ชีรับใช้ คือ แม่ชีนวลปรุง ...ที่มาจากตระกูล ... ณ.อยุธยา ที่ศรัทธา และบวชรับใช้แม่ชีเมี้ยน จนลาสังขาร
สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงมีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ยาผีบอก และในไม่ช้า คนที่มากินเล่น ก็เตรียมตัวที่จะถูกโละออกจากแผ่นดินนี้ อย่างแน่นอน ... เพราะเรื่องของชีวิต ต้องทุ่มเท ศรัทธา จริงจัง ไม่ใช่ของเล่น ใครทำ ใครได้ ... หลวงพ่อนิพนธ์จึงเริ่มพูดบ่อยๆ ว่า ไม่ทำ ก็ถอยไป ให้คนที่อยากได้เขาเข้ามา
ทำไมคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ จึงไม่รักษาสิ่งดีงามนี้ไว้ในแผ่นดินไทยให้ลูกหลาน ... อีกไม่กี่เดือน โรงพยาบาลแพทย์แผนไทย ในพม่าก็จะแล้วเสร็จ พร้อมกับการจัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติด และศูนย์ฟื้นฟูโรคเอดส์ .. เตรียมคำตอบไว้ดีๆ น่ะ ทำไม...
วันดับถ้ำกระบอก
หลังจากการลงประชุมสงฆ์ อันเป็นชนวนจุดระเบิด ในการแตกของถ้ำกระบอก เมื่อท่านจรูญประกาศในที่ประชุมสงฆ์ว่า จะเรียกเก็บเงินจากผู้บำบัดยาเสพติด ในปี ๒๕๑๐
ในการประชุมสงฆ์นั้นเอง ได้รับการคัดค้านอย่างสุดตัว จากหลวงพ่อนิพนธ์ และพระส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างฝ่ายหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกับคำถามว่า ทำไม และมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องขายสมุนไพร ทำลายคำสาบานที่ให้ไว้เมื่อครั้งเริ่มเรียนสมุนไพรจากแม่ชีเมี้ยน
ผลการประชุมสงฆ์ครั้งนั้น สรุปด้วยการยืนยันจากท่านจรูญและท่านเจริญ ในการเก็บเงินผู้บำบัด ส่วนหลวงพ่อนิพนธ์ที่ไม่ยินยอม ก็ได้รับการเรียกเข้าไปคุยกับแม่ชีเมี้ยน
แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ให้ลูกออกไปก่อน แล้วแม่จะตามไป ในขณะที่หลวงพ่อนิพนธ์ก็เพียรพยายามให้แม่ชีเมี้ยนออกจากถ้ำกระบอกไปกับตน เพื่อตั้งสำนักใหม่ ทำตามปณิธานเดิม ดำรินี้ก็มีลูกศิษย์ที่มีฐานะให้การสนับสนุนอย่างมากมาย อาทิเช่น ต้นตระกูล "มหาคุณ" ที่ได้หอบเงินถึงห้าแสนบาทมาถวาย เพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์ใช้เป็นทุนสร้างสำนักใหม่
ในที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ต้องยอมตามคำของแม่ชีเมี้ยน หากแต่ในการออกไปนั้น ท่านจรูญก็ยังไม่วางใจ ด้วยเกรงว่า หลวงพ่อนิพนธ์จะไปตั้งสำนักแข่ง และก็ทราบแก่ใจดีว่า ผู้ที่จะล้มถ้ำกระบอกได้ ก็มีแต่หลวงพ่อนิพนธ์เท่านั้น
ดังนั้น ก่อนออกจึงบังคับให้หลวงพ่อนิพนธ์ สาบานว่า จะไม่กลับมาบวชและตั้งสำนักแข่งกับถ้ำกระบอก ตราบใดที่ท่านจรูญยังอยู่ ด้วยความที่เห็นแก่แม่ชีเมี้ยน ที่ยังต้องอยู่ในถ้ำกระบอกต่อไป จึงรับคำ และลาสิกขาออกไป โดยไม่ได้นำอะไรติดมือไปเลยแม้แต่อย่างเดียว
เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ ลาสึกไปแล้ว ท่านจรูญ ก็คิดว่า หลวงพ่อนิพนธ์ เป็นผู้หนึ่งในการสร้างถ้ำกระบอกมาด้วยกัน ภายหลังจึงให้คนนำเงิน ๑ ล้านบาท ไปมอบให้ หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ปฏิเสธที่จะรับเงินนั้นไว้
จนกระทั่งปี ๒๕๑๒ แม่ชีเมี้ยน ได้ให้คนมาตามหลวงพ่อนิพนธ์ เข้าไปพบ และสั่งว่า ท่านต้องละสังขารลง เพื่อให้สัญญาระหว่างท่านกับท่านจรูญหมดลง พร้อมกับสั่งให้นำหีบตำราสมุนไพร และเทปเสียงที่ท่านอัดไว้ ออกไปด้วย
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า จะนำออกไปได้อย่างไร ในเมื่อท่านจรูญให้คนเฝ้า ล้อมหน้า ล้อมหลัง มากมายขนาดนั้น แต่แม่ชีเมี้ยน ก็สั่งให้มาก็แล้วกัน ในตอนเที่ยงคืน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้ลูกศิษย์เก่า ที่มีรถมารอ และเข้ามาตอนเที่ยงคืน เมื่อมาถึงลูกศิษย์ก็พบว่า พระและคนที่เฝ้ารอบกุฏิแม่ชีเมี้ยน หลับสนิทเหมือนต้องมนต์ จึงเข้าไปหาแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์จึงนำหีบเหล็ก ออกมาไปไว้ที่บ้านของพ่อ และวกกลับมาหาแม่ชีเมี้ยนอีกครั้ง
จนใกล้เช้า แม่ชีเมี้ยนก็ให้หลวงพ่อนิพนธ์ กลับออกไป ท่านจรูญ ก็ถามพระและคนทั้งหมดที่ให้เฝ้าว่า หลวงพ่อนิพนธ์กลับออกไป นำอะไรไปด้วยหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าไม่
จนสาย ท่านจรูญก็เข้าไปตรวจเอง และพบว่า หีบตำราหายไป จึงให้คนไปแจ้งความ ตั้งข้อหาหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ลักทรัพย์ของถ้ำกระบอก
และในเช้าวันนั้นเอง แม่ชีเมี้ยน ก็ได้ละสังขาร พร้อมกับคำกล่าวสุดท้าย อันเป็นการเฉลยคำตอบ ในคำถามของหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ การละสังขารของท่าน คือการถอนความศักดิ์สิทธิ์ของตำราสมุนไพร จากท่านจรูญ ทั้งหมด กลับมาที่ตำรา และมอบให้หลวงพ่อนิพนธ์
วันละสังขาร จึงเป็นวันดับท่านจรูญ นั่นคือ สมุนไพรของถ้ำกระบอก จะหมดอานุภาพในการช่วยคน และก็จะเป็นวันเกิดของหลวงพ่อนิพนธ์ ในการเป็นตัวแทนที่จะใช้อำนาจของสมุนไพร
ดังนั้น เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ นำตำราสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ออกมาทำอีกครั้ง ภาระกิจที่สำคัญในทุกปี นั่นก็คือ การแสดงผลงาน อุปมาเหมือน วันตัดสินว่า สมควรที่จะได้รับสิทธิ์อันนี้ต่อไปหรือไม่ นั่นคือ การมารวมตัวกัน ของผู้ที่ได้ประโยชน์ จากตำราสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ในวันคล้ายวันละสังขารนั้นเอง
ผลการตัดสิน ก็จะเป็นสัญญาต่อไปในปีหน้า ดังนั้น นับแต่ปี ๒๕๓๐ เป็นต้นมา จึงกลายมาเป็นประเพณี และรู้กันดีในหมู่ลูกศิษย์ ที่แม้นจะหายจากโรคแล้ว และปกติจะไม่ค่อยได้มา ก็จะรู้หน้าที่ และกลับมาเยือน เพื่อน้อมรำลึกคุณของแม่ชีเมี้ยน ในวันนี้กันอย่างพร้อมเพรียง
คำของแม่ชีเมี้ยนที่ตรัสไว้ในวันสุดท้ายที่มีแก่หลวงพ่อนิพนธ์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นไปตามนั้นจริงๆ อันเห็นได้จาก การล่มสลายของถ้ำกระบอก และแม้แต่สำนักต่างๆ อีก ๗ สำนัก ที่ได้แตกออกไปตั้งสำนักของตนเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพระที่เป็นลูกศิษย์เดิมของหลวงพ่อนิพนธ์ทั้งสิ้น
ไม่ว่า อาจารย์แพง อาจารย์โกวินทะ และอื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่ไม่ประสพผลในการทำสมุนไพร แถมสุดท้ายทุกถ้วนตัวคน ก็ตายด้วยโรคทั้งสิ้น
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวเสมอว่า สมุนไพรที่นี่ เป็นหนึ่งในโลก และไม่กลัวว่าใครจะสวมรอย มาเป็นจิตอาสา แอบเรียนรู้ แล้วไปทำ ... เพราะเป็นสมุนไพรที่มีวิญญาณ เมื่อลักไปทำ ก็เหมือนสมุนไพรมัมมี่ ทานไปก็ไม่มีผล
อีกไม่กี่วัน วันสำคัญของปีนี้ก็จะเวียนมาถึง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของเขาจะอนุญาติให้ทำต่อในเมืองไทยหรือไม่ เพราะดูจากเหตุการณ์แล้ว ยังไงก็ต้องไปทำในแผ่นดินของเจ้าของ นั่นคือ พม่า แผ่นดินที่ไปเกิดใหม่
ข้ออ้างประการเดียวที่หลวงพ่อนิพนธ์ใช้กล่าวอ้าง นั่นคือ ถือคำสั่งสุดท้าย ที่ให้นำสมุนไพรแม่ไปทดแทนคุณแผ่นดิน เพื่อยื้อไว้ให้ยังสามารถทำกิจกรรมในแผ่นดินไทย โดยยอมเหนื่อยที่จะวิ่งไปวิ่งมา สองแผ่นดิน เป็นคนสองแผ่นดิน
หากแต่ก็ไม่รู้ว่า ผลจะเป็นเช่นไร ก็คงจะรู้ในวันงานของแม่ชีเมี้ยนนั่นเอง
แต่เพื่อความไม่ประมาท หากคำตอบคือไม่ได้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้ขออนุญาติเป็นกรณีพิเศษแก่คนไทย ต่อรัฐบาลพม่า ในการพักและรับรักษาฟรี ไว้แล้ว ซึ่งรัฐบาลพม่าก็ได้ให้อนุญาติตามคำขอแล้ว
วันงานของแม่ชีเมี้ยน จึงมีความสำคัญ ต่อหลวงพ่อนิพนธ์มาก เพราะนั่นคือ วันประกาศผลสอบ ในแต่ละปีของหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อที่จะดำรงสิทธิ์ในการทำสมุนไพร
หากสอบไม่ผ่าน นั่นหมายถึง การทำสมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยน ในประเทศไทย ก็จะสูญสิ้น เฉกเช่นถ้ำกระบอก ทานเหมือนอาบ ก็ไร้ผลในการช่วยตนไม่
คนที่เข้าใจ จึงเตรียมพร้อม แสดงตน เพื่อรักษาสิทธิอันนี้ของหลวงพ่อนิพนธ์ไว้ ให้เป็นทางเลือกของตนและคนไทย ไม่ว่าอยู่มุมไหนของโลก วันนี้ก็ต้องเดินทางมา
จึงไม่น่าแปลก ที่เราท่าน อาจจะเห็นคนที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตา มาร่วมงาน เจอกันคุยกัน เพราะนั่นคือ ผู้ที่ประสพผลในการช่วยตน รุ่นพี่ ที่ออกไปก่อนหน้านี้ แล้วโคจรกลับมาพบกันอีกครั้งในงานนั่นเอง
ยิ่งปีนี้เป็นปีที่ภัยจะรุนแรง โดยเฉพาะโรคภัย ... มาช่วยกันแสดงตน รักษาสิ่งนี้ไว้ อย่าให้ดับเหมือนอดีตถ้ำกระบอกเลย
ในการประชุมสงฆ์นั้นเอง ได้รับการคัดค้านอย่างสุดตัว จากหลวงพ่อนิพนธ์ และพระส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างฝ่ายหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกับคำถามว่า ทำไม และมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องขายสมุนไพร ทำลายคำสาบานที่ให้ไว้เมื่อครั้งเริ่มเรียนสมุนไพรจากแม่ชีเมี้ยน
ผลการประชุมสงฆ์ครั้งนั้น สรุปด้วยการยืนยันจากท่านจรูญและท่านเจริญ ในการเก็บเงินผู้บำบัด ส่วนหลวงพ่อนิพนธ์ที่ไม่ยินยอม ก็ได้รับการเรียกเข้าไปคุยกับแม่ชีเมี้ยน
แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ให้ลูกออกไปก่อน แล้วแม่จะตามไป ในขณะที่หลวงพ่อนิพนธ์ก็เพียรพยายามให้แม่ชีเมี้ยนออกจากถ้ำกระบอกไปกับตน เพื่อตั้งสำนักใหม่ ทำตามปณิธานเดิม ดำรินี้ก็มีลูกศิษย์ที่มีฐานะให้การสนับสนุนอย่างมากมาย อาทิเช่น ต้นตระกูล "มหาคุณ" ที่ได้หอบเงินถึงห้าแสนบาทมาถวาย เพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์ใช้เป็นทุนสร้างสำนักใหม่
ในที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ต้องยอมตามคำของแม่ชีเมี้ยน หากแต่ในการออกไปนั้น ท่านจรูญก็ยังไม่วางใจ ด้วยเกรงว่า หลวงพ่อนิพนธ์จะไปตั้งสำนักแข่ง และก็ทราบแก่ใจดีว่า ผู้ที่จะล้มถ้ำกระบอกได้ ก็มีแต่หลวงพ่อนิพนธ์เท่านั้น
ดังนั้น ก่อนออกจึงบังคับให้หลวงพ่อนิพนธ์ สาบานว่า จะไม่กลับมาบวชและตั้งสำนักแข่งกับถ้ำกระบอก ตราบใดที่ท่านจรูญยังอยู่ ด้วยความที่เห็นแก่แม่ชีเมี้ยน ที่ยังต้องอยู่ในถ้ำกระบอกต่อไป จึงรับคำ และลาสิกขาออกไป โดยไม่ได้นำอะไรติดมือไปเลยแม้แต่อย่างเดียว
เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ ลาสึกไปแล้ว ท่านจรูญ ก็คิดว่า หลวงพ่อนิพนธ์ เป็นผู้หนึ่งในการสร้างถ้ำกระบอกมาด้วยกัน ภายหลังจึงให้คนนำเงิน ๑ ล้านบาท ไปมอบให้ หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ปฏิเสธที่จะรับเงินนั้นไว้
จนกระทั่งปี ๒๕๑๒ แม่ชีเมี้ยน ได้ให้คนมาตามหลวงพ่อนิพนธ์ เข้าไปพบ และสั่งว่า ท่านต้องละสังขารลง เพื่อให้สัญญาระหว่างท่านกับท่านจรูญหมดลง พร้อมกับสั่งให้นำหีบตำราสมุนไพร และเทปเสียงที่ท่านอัดไว้ ออกไปด้วย
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า จะนำออกไปได้อย่างไร ในเมื่อท่านจรูญให้คนเฝ้า ล้อมหน้า ล้อมหลัง มากมายขนาดนั้น แต่แม่ชีเมี้ยน ก็สั่งให้มาก็แล้วกัน ในตอนเที่ยงคืน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้ลูกศิษย์เก่า ที่มีรถมารอ และเข้ามาตอนเที่ยงคืน เมื่อมาถึงลูกศิษย์ก็พบว่า พระและคนที่เฝ้ารอบกุฏิแม่ชีเมี้ยน หลับสนิทเหมือนต้องมนต์ จึงเข้าไปหาแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์จึงนำหีบเหล็ก ออกมาไปไว้ที่บ้านของพ่อ และวกกลับมาหาแม่ชีเมี้ยนอีกครั้ง
จนใกล้เช้า แม่ชีเมี้ยนก็ให้หลวงพ่อนิพนธ์ กลับออกไป ท่านจรูญ ก็ถามพระและคนทั้งหมดที่ให้เฝ้าว่า หลวงพ่อนิพนธ์กลับออกไป นำอะไรไปด้วยหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าไม่
จนสาย ท่านจรูญก็เข้าไปตรวจเอง และพบว่า หีบตำราหายไป จึงให้คนไปแจ้งความ ตั้งข้อหาหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ลักทรัพย์ของถ้ำกระบอก
และในเช้าวันนั้นเอง แม่ชีเมี้ยน ก็ได้ละสังขาร พร้อมกับคำกล่าวสุดท้าย อันเป็นการเฉลยคำตอบ ในคำถามของหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ การละสังขารของท่าน คือการถอนความศักดิ์สิทธิ์ของตำราสมุนไพร จากท่านจรูญ ทั้งหมด กลับมาที่ตำรา และมอบให้หลวงพ่อนิพนธ์
วันละสังขาร จึงเป็นวันดับท่านจรูญ นั่นคือ สมุนไพรของถ้ำกระบอก จะหมดอานุภาพในการช่วยคน และก็จะเป็นวันเกิดของหลวงพ่อนิพนธ์ ในการเป็นตัวแทนที่จะใช้อำนาจของสมุนไพร
ดังนั้น เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ นำตำราสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ออกมาทำอีกครั้ง ภาระกิจที่สำคัญในทุกปี นั่นก็คือ การแสดงผลงาน อุปมาเหมือน วันตัดสินว่า สมควรที่จะได้รับสิทธิ์อันนี้ต่อไปหรือไม่ นั่นคือ การมารวมตัวกัน ของผู้ที่ได้ประโยชน์ จากตำราสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ในวันคล้ายวันละสังขารนั้นเอง
ผลการตัดสิน ก็จะเป็นสัญญาต่อไปในปีหน้า ดังนั้น นับแต่ปี ๒๕๓๐ เป็นต้นมา จึงกลายมาเป็นประเพณี และรู้กันดีในหมู่ลูกศิษย์ ที่แม้นจะหายจากโรคแล้ว และปกติจะไม่ค่อยได้มา ก็จะรู้หน้าที่ และกลับมาเยือน เพื่อน้อมรำลึกคุณของแม่ชีเมี้ยน ในวันนี้กันอย่างพร้อมเพรียง
คำของแม่ชีเมี้ยนที่ตรัสไว้ในวันสุดท้ายที่มีแก่หลวงพ่อนิพนธ์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นไปตามนั้นจริงๆ อันเห็นได้จาก การล่มสลายของถ้ำกระบอก และแม้แต่สำนักต่างๆ อีก ๗ สำนัก ที่ได้แตกออกไปตั้งสำนักของตนเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพระที่เป็นลูกศิษย์เดิมของหลวงพ่อนิพนธ์ทั้งสิ้น
ไม่ว่า อาจารย์แพง อาจารย์โกวินทะ และอื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่ไม่ประสพผลในการทำสมุนไพร แถมสุดท้ายทุกถ้วนตัวคน ก็ตายด้วยโรคทั้งสิ้น
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวเสมอว่า สมุนไพรที่นี่ เป็นหนึ่งในโลก และไม่กลัวว่าใครจะสวมรอย มาเป็นจิตอาสา แอบเรียนรู้ แล้วไปทำ ... เพราะเป็นสมุนไพรที่มีวิญญาณ เมื่อลักไปทำ ก็เหมือนสมุนไพรมัมมี่ ทานไปก็ไม่มีผล
อีกไม่กี่วัน วันสำคัญของปีนี้ก็จะเวียนมาถึง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของเขาจะอนุญาติให้ทำต่อในเมืองไทยหรือไม่ เพราะดูจากเหตุการณ์แล้ว ยังไงก็ต้องไปทำในแผ่นดินของเจ้าของ นั่นคือ พม่า แผ่นดินที่ไปเกิดใหม่
ข้ออ้างประการเดียวที่หลวงพ่อนิพนธ์ใช้กล่าวอ้าง นั่นคือ ถือคำสั่งสุดท้าย ที่ให้นำสมุนไพรแม่ไปทดแทนคุณแผ่นดิน เพื่อยื้อไว้ให้ยังสามารถทำกิจกรรมในแผ่นดินไทย โดยยอมเหนื่อยที่จะวิ่งไปวิ่งมา สองแผ่นดิน เป็นคนสองแผ่นดิน
หากแต่ก็ไม่รู้ว่า ผลจะเป็นเช่นไร ก็คงจะรู้ในวันงานของแม่ชีเมี้ยนนั่นเอง
แต่เพื่อความไม่ประมาท หากคำตอบคือไม่ได้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้ขออนุญาติเป็นกรณีพิเศษแก่คนไทย ต่อรัฐบาลพม่า ในการพักและรับรักษาฟรี ไว้แล้ว ซึ่งรัฐบาลพม่าก็ได้ให้อนุญาติตามคำขอแล้ว
วันงานของแม่ชีเมี้ยน จึงมีความสำคัญ ต่อหลวงพ่อนิพนธ์มาก เพราะนั่นคือ วันประกาศผลสอบ ในแต่ละปีของหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อที่จะดำรงสิทธิ์ในการทำสมุนไพร
หากสอบไม่ผ่าน นั่นหมายถึง การทำสมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยน ในประเทศไทย ก็จะสูญสิ้น เฉกเช่นถ้ำกระบอก ทานเหมือนอาบ ก็ไร้ผลในการช่วยตนไม่
คนที่เข้าใจ จึงเตรียมพร้อม แสดงตน เพื่อรักษาสิทธิอันนี้ของหลวงพ่อนิพนธ์ไว้ ให้เป็นทางเลือกของตนและคนไทย ไม่ว่าอยู่มุมไหนของโลก วันนี้ก็ต้องเดินทางมา
จึงไม่น่าแปลก ที่เราท่าน อาจจะเห็นคนที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตา มาร่วมงาน เจอกันคุยกัน เพราะนั่นคือ ผู้ที่ประสพผลในการช่วยตน รุ่นพี่ ที่ออกไปก่อนหน้านี้ แล้วโคจรกลับมาพบกันอีกครั้งในงานนั่นเอง
ยิ่งปีนี้เป็นปีที่ภัยจะรุนแรง โดยเฉพาะโรคภัย ... มาช่วยกันแสดงตน รักษาสิ่งนี้ไว้ อย่าให้ดับเหมือนอดีตถ้ำกระบอกเลย
วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557
ธรรมชาติที่ละเอียดอ่อน
มนุษย์แตกตื่น ตกละลึง ในเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขื้น และเชื่อมั่นในเทคโนโลยีนั้นมหาศาล
หากแต่เมื่อเทียบกับธรรมชาติแล้ว ยังห่างไกลกันยิ่งนัก
ความวิเศษของธรรมชาติ อยู่กับมนุษย์ทุกเมื่อเชื่อวัน จนกลายเป็นของธรรมดา ไม่รู้สึกรู้สา แต่วันใดเมื่อขาดความวิเศษนี้ไป และเลือกที่จะใช้เทคโนโลยี มาทดแทน นั่นแหละ มนุษย์จึงรู้ว่า แทนกันไม่ได้เลย
มนุษย์มีท้องทำหน้าที่ย่อยอาหาร และส่งไปเลี้ยงร่างกาย วันใดที่ทานไม่ได้ ก็พึ่งน้ำเกลือ แต่ก็ได้ชั่วครู่ชั่วยาม เราท่านจึงได้ยินหมอกล่าวเสมอว่า ให้ทานข้าว เพื่อฟื้นฟูร่างกาย
ความฉิบหายอย่างใหญ่หลวง พึงบังเกิด เมื่อมนุษย์เชื่อในวิทยาการของตน หลงเชื่อคนโลภ จนทำลายอวัยวะตนเอง ด้วยวิทยาการนั้นๆ
ปัจจุบัน เราท่านจึงได้ยินว่า กล้ามเนื้อหัวใจตาย ไตวาย อวัยวะโน้นเสียแล้ว ต้องทำการเปลี่ยน ....
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น เพื่อพิจารณาว่า ธรรมชาติ เมื่อตาย ก็ต้องเน่า จะอยู่เฉยๆอย่างนั้นได้อย่างไร เมื่อไม่เน่า ก็แสดงว่ายังไม่ตาย
อวัยวะของเรา ไม่ทำงาน เพราะมันสลบไป จะเนื่องด้วยเหตุอันใดก็ตาม แล้วร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูได้ แต่ไม่ใช่ตาย มิฉะนั้น มันก็ต้องเน่าสลายไป
แต่หลายคนเชื่อหมอ เชื่อวิทยาการ ก็ตัดทิ้ง ทำลายทิ้ง ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดาย
ธรรมชาติสร้างมา ย่อมต้องมีทางแก้ เพียงแต่หาวิธีที่ถูกให้เจอ
ตัวอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์มักยกมาให้ฟังบ่อยๆ ก็คือ กรณีของคุณอ้อ ที่ถูกเครื่องโม่แป้ง เกี่ยวชายเสื้อ ทำให้แขนพันม้วนเข้าไปในเครื่อง กระดูกหัก ๗ ท่อน เส้นเอ็นยืด และฉีกขาด
หลวงพ่อนิพนธ์ ส่งตัวไปให้หมอไพรัช ที่เป็นหมอศัลยกรรม มือต้นๆของประเทศ เพื่อนของท่าน ช่วยจัดเรียงกระดูกให้ และดามให้เข้ารูป
หมอไพรัชแจ้งให้ทราบว่า เนื่องจากเส้นประสาทฉีกขาดหมด ต้องทำการผ่าตัดต่ออีกหลายครั้ง แต่ไม่รับรองว่ามือจะกลับมาใช้ได้อีก อย่างดีก็แค่พอกระดิกนิ้วได้บ้าง
หลวงพ่อนิพนธ์ถามคุณอ้อว่า เชื่อหมอสมัยใหม่ หรือเชื่อหมอผี
หากเชื่อหมอผี เมื่อเรียงกระดูกเสร็จ ก็กลับมาฟื้นฟูที่ชมรม
ก่อนออก หลวงพ่อนิพนธ์บอกให้หมอไพรัช ช่วยเซาะร่องกลางแขน เพื่อให้เลือดและน้ำเหลืองที่เสีย มีทางระบายออก แล้วกลับมาใช้สมุนไพร
หมอไพรัชบอกกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า เส้นเอ็นหลักที่ขาดไป ประมาณสิบห้าเซ็นต์ ต้องได้รับการต่อ มิฉะนั้นจะใช้มืออีกไม่ได้ หลวงพ่อนิพนธ์บอกไม่ต้อง เดี๋ยวอั๋วจัดการเอง
หลังจากจัดกระดูกเสร็จ ก็ไม่ได้กลับไปหาหมอไพรัชอีกเลย สองสัปดาห์ต่อมา ก็เริ่มกระดิกนิ้วได้ เวลาผ่านไป ร่องตรงกลางแขนที่เซาะไว้ เนื้อก็เริ่มพอกมาปิด และไม่นาน มือก็เริ่มกลับมาใช้งานได้
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวกับคุณอ้อว่า มือที่ได้กลับมา ก็ให้นำมาทำประโยชน์ ทำสมุนไพรให้คนไข้ทาน
จากวันนั้นถึงวันนี้ ก็นับสิบปี ที่แขนข้างนั้น ใช้การได้ โดยไม่ต้องต่อเส้นเอ็น และเส้นประสาท ด้วยวิทยาการทางการแพทย์ใดๆ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำว่า นี่และธรรมชาติที่ละเอียดอ่อน รู้วิธีแก้ไขปัญหาที่เกิด และตรงจุด เข้าถึงทุกอณูของร่างกาย
ปัญหาก็คือ แล้วทำไมเราท่านไม่ไว้วางใจ ธรรมชาติที่วิเศษอันนี้ กลับไปไว้วางใจ วิทยาการที่แก้ปัญหาชุ่ยๆ ด้วยวิธี ตัดไตออก เปลี่ยนหัวใจ ...
และท้ายที่สุด ก็ถึงทางตัน ... สุดความสามารถ
ไปดูครูวัลลภ คนไข้ที่ ร.พ.จุฬา อนุมัติเป็นกรณีเร่งด่วน ในการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ด้วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเหลือไม่ถึง ๓ เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่ยอมผ่า และก็อยู่มาจนทุกวันนี้ ไปดู ลูกชาย พันเอกณรงค์ กิติขจร ที่ไตวาย ขั้นสุดท้าย ฟอกไม่ได้ หมอบอกไม่เปลี่ยนตายสถานเดียว ทุกวันนี้ ก็ไม่ยอมเปลี่ยน อยู่สุขสบาย ไตก็ไม่ต้องฟอก ไปดูคุณเล็ก ธานินทร์ อินทรเทพ ที่คุณพิศาล ไปลากมาจากเตียง เพื่อรอการผ่าตัด ตอน ๖ โมงเช้า ที่แค่เดิน ก็เล็บเขียว ปากเขียว ร้องเพลงสองเพลง ก็นั่งหอบจะตายเอา มาวันนี้ ออกคอนเสริตเฉย ...
ธรรมชาติสรรพคุณล้นเหลือ ในขณะที่คนในห้องบ่นว่าแอร์หนาว คนทำแอร์ช่างเก่งนัก แต่แอร์ธรรมชาติ ทำที หนาวไปทั้งรัฐของสหรัฐ และแคนาดา สั่นไปทั้งประเทศไทย นี่ซิโคตรแอร์เลย
หากคิดจะตัด... อวัยวะตน ... พิจารณาให้ดี ถามให้แน่นใจ ตัดแล้วช่วยได้จริงหรือ
หากแต่เมื่อเทียบกับธรรมชาติแล้ว ยังห่างไกลกันยิ่งนัก
ความวิเศษของธรรมชาติ อยู่กับมนุษย์ทุกเมื่อเชื่อวัน จนกลายเป็นของธรรมดา ไม่รู้สึกรู้สา แต่วันใดเมื่อขาดความวิเศษนี้ไป และเลือกที่จะใช้เทคโนโลยี มาทดแทน นั่นแหละ มนุษย์จึงรู้ว่า แทนกันไม่ได้เลย
มนุษย์มีท้องทำหน้าที่ย่อยอาหาร และส่งไปเลี้ยงร่างกาย วันใดที่ทานไม่ได้ ก็พึ่งน้ำเกลือ แต่ก็ได้ชั่วครู่ชั่วยาม เราท่านจึงได้ยินหมอกล่าวเสมอว่า ให้ทานข้าว เพื่อฟื้นฟูร่างกาย
ความฉิบหายอย่างใหญ่หลวง พึงบังเกิด เมื่อมนุษย์เชื่อในวิทยาการของตน หลงเชื่อคนโลภ จนทำลายอวัยวะตนเอง ด้วยวิทยาการนั้นๆ
ปัจจุบัน เราท่านจึงได้ยินว่า กล้ามเนื้อหัวใจตาย ไตวาย อวัยวะโน้นเสียแล้ว ต้องทำการเปลี่ยน ....
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น เพื่อพิจารณาว่า ธรรมชาติ เมื่อตาย ก็ต้องเน่า จะอยู่เฉยๆอย่างนั้นได้อย่างไร เมื่อไม่เน่า ก็แสดงว่ายังไม่ตาย
อวัยวะของเรา ไม่ทำงาน เพราะมันสลบไป จะเนื่องด้วยเหตุอันใดก็ตาม แล้วร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูได้ แต่ไม่ใช่ตาย มิฉะนั้น มันก็ต้องเน่าสลายไป
แต่หลายคนเชื่อหมอ เชื่อวิทยาการ ก็ตัดทิ้ง ทำลายทิ้ง ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดาย
ธรรมชาติสร้างมา ย่อมต้องมีทางแก้ เพียงแต่หาวิธีที่ถูกให้เจอ
ตัวอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์มักยกมาให้ฟังบ่อยๆ ก็คือ กรณีของคุณอ้อ ที่ถูกเครื่องโม่แป้ง เกี่ยวชายเสื้อ ทำให้แขนพันม้วนเข้าไปในเครื่อง กระดูกหัก ๗ ท่อน เส้นเอ็นยืด และฉีกขาด
หลวงพ่อนิพนธ์ ส่งตัวไปให้หมอไพรัช ที่เป็นหมอศัลยกรรม มือต้นๆของประเทศ เพื่อนของท่าน ช่วยจัดเรียงกระดูกให้ และดามให้เข้ารูป
หมอไพรัชแจ้งให้ทราบว่า เนื่องจากเส้นประสาทฉีกขาดหมด ต้องทำการผ่าตัดต่ออีกหลายครั้ง แต่ไม่รับรองว่ามือจะกลับมาใช้ได้อีก อย่างดีก็แค่พอกระดิกนิ้วได้บ้าง
หลวงพ่อนิพนธ์ถามคุณอ้อว่า เชื่อหมอสมัยใหม่ หรือเชื่อหมอผี
หากเชื่อหมอผี เมื่อเรียงกระดูกเสร็จ ก็กลับมาฟื้นฟูที่ชมรม
ก่อนออก หลวงพ่อนิพนธ์บอกให้หมอไพรัช ช่วยเซาะร่องกลางแขน เพื่อให้เลือดและน้ำเหลืองที่เสีย มีทางระบายออก แล้วกลับมาใช้สมุนไพร
หมอไพรัชบอกกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า เส้นเอ็นหลักที่ขาดไป ประมาณสิบห้าเซ็นต์ ต้องได้รับการต่อ มิฉะนั้นจะใช้มืออีกไม่ได้ หลวงพ่อนิพนธ์บอกไม่ต้อง เดี๋ยวอั๋วจัดการเอง
หลังจากจัดกระดูกเสร็จ ก็ไม่ได้กลับไปหาหมอไพรัชอีกเลย สองสัปดาห์ต่อมา ก็เริ่มกระดิกนิ้วได้ เวลาผ่านไป ร่องตรงกลางแขนที่เซาะไว้ เนื้อก็เริ่มพอกมาปิด และไม่นาน มือก็เริ่มกลับมาใช้งานได้
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวกับคุณอ้อว่า มือที่ได้กลับมา ก็ให้นำมาทำประโยชน์ ทำสมุนไพรให้คนไข้ทาน
จากวันนั้นถึงวันนี้ ก็นับสิบปี ที่แขนข้างนั้น ใช้การได้ โดยไม่ต้องต่อเส้นเอ็น และเส้นประสาท ด้วยวิทยาการทางการแพทย์ใดๆ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำว่า นี่และธรรมชาติที่ละเอียดอ่อน รู้วิธีแก้ไขปัญหาที่เกิด และตรงจุด เข้าถึงทุกอณูของร่างกาย
ปัญหาก็คือ แล้วทำไมเราท่านไม่ไว้วางใจ ธรรมชาติที่วิเศษอันนี้ กลับไปไว้วางใจ วิทยาการที่แก้ปัญหาชุ่ยๆ ด้วยวิธี ตัดไตออก เปลี่ยนหัวใจ ...
และท้ายที่สุด ก็ถึงทางตัน ... สุดความสามารถ
ไปดูครูวัลลภ คนไข้ที่ ร.พ.จุฬา อนุมัติเป็นกรณีเร่งด่วน ในการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ด้วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเหลือไม่ถึง ๓ เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่ยอมผ่า และก็อยู่มาจนทุกวันนี้ ไปดู ลูกชาย พันเอกณรงค์ กิติขจร ที่ไตวาย ขั้นสุดท้าย ฟอกไม่ได้ หมอบอกไม่เปลี่ยนตายสถานเดียว ทุกวันนี้ ก็ไม่ยอมเปลี่ยน อยู่สุขสบาย ไตก็ไม่ต้องฟอก ไปดูคุณเล็ก ธานินทร์ อินทรเทพ ที่คุณพิศาล ไปลากมาจากเตียง เพื่อรอการผ่าตัด ตอน ๖ โมงเช้า ที่แค่เดิน ก็เล็บเขียว ปากเขียว ร้องเพลงสองเพลง ก็นั่งหอบจะตายเอา มาวันนี้ ออกคอนเสริตเฉย ...
ธรรมชาติสรรพคุณล้นเหลือ ในขณะที่คนในห้องบ่นว่าแอร์หนาว คนทำแอร์ช่างเก่งนัก แต่แอร์ธรรมชาติ ทำที หนาวไปทั้งรัฐของสหรัฐ และแคนาดา สั่นไปทั้งประเทศไทย นี่ซิโคตรแอร์เลย
หากคิดจะตัด... อวัยวะตน ... พิจารณาให้ดี ถามให้แน่นใจ ตัดแล้วช่วยได้จริงหรือ
วัดกันที่ผล
ในขณะที่พระในยุคปัจจุบัน สอนสั่งให้ทำบุญ ด้วยการสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ใครยิ่งบริจาคมาก ได้บุญมาก ...
คำถาม ที่ควรคิดพิจารณานั่นคือ หากบุญของศาสนา ใช้เงินซื้อได้ ฝรั่งมังค่า ที่มีเงินทองมากมายกว่าเราหลายเท่านัก หรือพวกเศรษฐีน้ำมัน จะไม่เอาเงินทองมาซื้อบุญไปไว้ที่บ้านของพวกเขาหมดหรือ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเล่า นิทานศาสนา เรื่องเศรษฐีใส่บาตรให้ฟัง หลายต่อหลายครั้ง เพื่อชี้ให้เห็นว่า แม้นเศรษฐีจะมีใจ เลื่อมใสพระภูมีสักเพียงใด การเกณฑ์ไพร่พล มาเพื่อทำภัตตาหารไว้ใส่บาตร ถวายพระภูมี ก็หามีผลต่อเศรษฐีอันใดไม่ เพราะที่มาขัดกับหลักของพระภูมี คือ "ตนพึ่งตน" อย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุที่ของที่นำมาถวายหาได้ทำเองไม่
แลนิทานศาสนา เรื่องตายาย ที่อยู่ตีนเขา ที่ใส่บาตรทุกวัน แต่ก็มีเสียงทะเลาะ ด่ากันทุกวัน เช่นกัน ชี้ให้เห็นในธรรมที่พระโคดมทรงโปรด ตายายคู่นี้ว่า วัตถุที่ถวาย ยังประโยชน์ก็เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็หมดสิ้นค่าไป
ดังนั้น การสร้างบุญในแนวทางของพระภูมี ด้วยวัตถุ พระภูมีจึงจัดว่าเป็น ทานชั้นต่ำ อยู่ได้ไม่นานก็หมดไป
ด้วยผลที่สั้น และน้อยนิด จึงใช้ได้ชั่วครู่ชั่วยาม เป็นที่พึ่งของตนไม่ได้
หากแต่ผลที่เกิดจากลดกิเลส นิสัย มีผลอันมหาศาล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักยกตัวอย่าง ให้เห็นภาพง่ายๆ เช่นความโกรธ ความหลง ของคนๆเดียว ก็สามารถทำให้คนตายได้มหาศาล สั่งฆ่าล้างเผ่าพันธ์ก็ได้
ที่สำคัญ นิสัยอันนี้ ติดวิญญาณ ไปทุกภพทุกชาติ การตัดนิสัย แม้นดูจะเป็นเรื่องน้อยนิด เพียงข้อเดียว เช่น "ไม่โกรธ" ก็ทำให้หยุดกรรมอันมหาศาลของเราท่านได้
เมื่อนิสัยไม่โกรธ ทำได้วันใด ก็จะตามติดตัวตนของเราไป ทั้งภพนี้ ภพหน้า สร้างสุขอันมหาศาล
ลองไปถามคนในคุกดู หลายคนที่กระทำความผิด อาจจะเกิดจากอารมณ์โกรธชั่ววูบ ทำให้มีสภาพเช่นนี้ ...
ผลของการลดนิสัย จึงมีผลต่อมนุษย์และสัตว์ ที่เราท่านกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา มหาศาล จึงเป็นบุญที่เรียกได้ว่ากินไม่รู้จักหมด
ใครจะชักชวนไปสร้างบุญโดยวิธีใดก็ช่าง ใครจะบอกว่าแก้กรรม ล้างกรรม ได้โดยวิธีใดก็ช่าง หากแต่แม่ชีเมี้ยนชี้หนทางเดียวของพระภูมี ที่ใช้สร้างบุญ นั่นคือ "ลดนิสัย" อันเป็นกิเลสของตน ด้วยทุนที่มีคือ ตัวของเราเอง
และวัดกันที่ผล หากบุญที่ทำ ถูกต้องตามแนวบัญญัติของพระภูมีแล้วไซร้ บุญนั้นต้องล้างกรรมที่ทำมาได้ ในเมื่อโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม ทำให้ทุกข์ บุญ มีสัญญลักษณ์ คือความสุข ย่อมต้องทำให้ผู้สร้างบุญ หายจากโรคภัยอย่างแน่นอน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แม่ชีเมี้ยน ชี้ให้เห็นว่า เนื้อนาบุญของพระภูมี อยู่ที่ใด ก็ใช้แว่นส่องจักรวาล ของพระภูมี คือ "ความไม่มีโรค" ส่องดูนั่นเอง
หากแม้นสงสัยว่า ที่ใดเป็นเนื้อนาบุญจริงแท้หรือไม่ ก็เอา มะเร็ง เอดส์ คนทุกข์ ไปวางไว้ในที่นั้น ... เพราะนั่นคือคนทุกข์ ที่ใดที่พึงมีเนื้อนาบุญ ร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่พึ่งของมนุษย์ ก็จะมีวิธีทำให้ทุกข์นั้นหายไป ... หากแม้นทำแล้วทุกข์ยังอยู่ ก็ชี้ได้เลยว่า บุญของที่นั้น มีแต่ลม หามีผลอันใดไม่ จึงช่วยตนของเราไม่ได้นั่นเอง
และก็ตอกย้ำว่า ทำไมโลกนี้จึงไม่มียารักษาโรค เพราะในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เหนือกรรมนั่นเอง ... ความคิดของคนในโลก ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดกรรม จึงไม่มีทางที่จะใช้ความคิดนั้น มาพิชิตกรรมได้อย่างแน่นอน ... คนที่อยากรอ เชื่อมั่น ก็รอไปเถอะ... จะรู้ตัวอีกทีก็ตอนตาย อยากจะบอก ก็บอกไม่ได้ ...
เมื่อลองทางอื่นมาหมดแล้ว ลองมาทานสมุนไพร และลดนิสัย ตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยการ ไม่โกรธ ไม่ติ ผู้อื่น หลังจากออกจากห้องสวดมนต์ จนเข้ากระโจมแล้วเสร็จ ภายใน ๑ ปี แล้วมาดูว่า โรคอะไรมันจะเหลือ
คำถาม ที่ควรคิดพิจารณานั่นคือ หากบุญของศาสนา ใช้เงินซื้อได้ ฝรั่งมังค่า ที่มีเงินทองมากมายกว่าเราหลายเท่านัก หรือพวกเศรษฐีน้ำมัน จะไม่เอาเงินทองมาซื้อบุญไปไว้ที่บ้านของพวกเขาหมดหรือ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเล่า นิทานศาสนา เรื่องเศรษฐีใส่บาตรให้ฟัง หลายต่อหลายครั้ง เพื่อชี้ให้เห็นว่า แม้นเศรษฐีจะมีใจ เลื่อมใสพระภูมีสักเพียงใด การเกณฑ์ไพร่พล มาเพื่อทำภัตตาหารไว้ใส่บาตร ถวายพระภูมี ก็หามีผลต่อเศรษฐีอันใดไม่ เพราะที่มาขัดกับหลักของพระภูมี คือ "ตนพึ่งตน" อย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุที่ของที่นำมาถวายหาได้ทำเองไม่
แลนิทานศาสนา เรื่องตายาย ที่อยู่ตีนเขา ที่ใส่บาตรทุกวัน แต่ก็มีเสียงทะเลาะ ด่ากันทุกวัน เช่นกัน ชี้ให้เห็นในธรรมที่พระโคดมทรงโปรด ตายายคู่นี้ว่า วัตถุที่ถวาย ยังประโยชน์ก็เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็หมดสิ้นค่าไป
ดังนั้น การสร้างบุญในแนวทางของพระภูมี ด้วยวัตถุ พระภูมีจึงจัดว่าเป็น ทานชั้นต่ำ อยู่ได้ไม่นานก็หมดไป
ด้วยผลที่สั้น และน้อยนิด จึงใช้ได้ชั่วครู่ชั่วยาม เป็นที่พึ่งของตนไม่ได้
หากแต่ผลที่เกิดจากลดกิเลส นิสัย มีผลอันมหาศาล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักยกตัวอย่าง ให้เห็นภาพง่ายๆ เช่นความโกรธ ความหลง ของคนๆเดียว ก็สามารถทำให้คนตายได้มหาศาล สั่งฆ่าล้างเผ่าพันธ์ก็ได้
ที่สำคัญ นิสัยอันนี้ ติดวิญญาณ ไปทุกภพทุกชาติ การตัดนิสัย แม้นดูจะเป็นเรื่องน้อยนิด เพียงข้อเดียว เช่น "ไม่โกรธ" ก็ทำให้หยุดกรรมอันมหาศาลของเราท่านได้
เมื่อนิสัยไม่โกรธ ทำได้วันใด ก็จะตามติดตัวตนของเราไป ทั้งภพนี้ ภพหน้า สร้างสุขอันมหาศาล
ลองไปถามคนในคุกดู หลายคนที่กระทำความผิด อาจจะเกิดจากอารมณ์โกรธชั่ววูบ ทำให้มีสภาพเช่นนี้ ...
ผลของการลดนิสัย จึงมีผลต่อมนุษย์และสัตว์ ที่เราท่านกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา มหาศาล จึงเป็นบุญที่เรียกได้ว่ากินไม่รู้จักหมด
ใครจะชักชวนไปสร้างบุญโดยวิธีใดก็ช่าง ใครจะบอกว่าแก้กรรม ล้างกรรม ได้โดยวิธีใดก็ช่าง หากแต่แม่ชีเมี้ยนชี้หนทางเดียวของพระภูมี ที่ใช้สร้างบุญ นั่นคือ "ลดนิสัย" อันเป็นกิเลสของตน ด้วยทุนที่มีคือ ตัวของเราเอง
และวัดกันที่ผล หากบุญที่ทำ ถูกต้องตามแนวบัญญัติของพระภูมีแล้วไซร้ บุญนั้นต้องล้างกรรมที่ทำมาได้ ในเมื่อโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม ทำให้ทุกข์ บุญ มีสัญญลักษณ์ คือความสุข ย่อมต้องทำให้ผู้สร้างบุญ หายจากโรคภัยอย่างแน่นอน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แม่ชีเมี้ยน ชี้ให้เห็นว่า เนื้อนาบุญของพระภูมี อยู่ที่ใด ก็ใช้แว่นส่องจักรวาล ของพระภูมี คือ "ความไม่มีโรค" ส่องดูนั่นเอง
หากแม้นสงสัยว่า ที่ใดเป็นเนื้อนาบุญจริงแท้หรือไม่ ก็เอา มะเร็ง เอดส์ คนทุกข์ ไปวางไว้ในที่นั้น ... เพราะนั่นคือคนทุกข์ ที่ใดที่พึงมีเนื้อนาบุญ ร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่พึ่งของมนุษย์ ก็จะมีวิธีทำให้ทุกข์นั้นหายไป ... หากแม้นทำแล้วทุกข์ยังอยู่ ก็ชี้ได้เลยว่า บุญของที่นั้น มีแต่ลม หามีผลอันใดไม่ จึงช่วยตนของเราไม่ได้นั่นเอง
และก็ตอกย้ำว่า ทำไมโลกนี้จึงไม่มียารักษาโรค เพราะในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เหนือกรรมนั่นเอง ... ความคิดของคนในโลก ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดกรรม จึงไม่มีทางที่จะใช้ความคิดนั้น มาพิชิตกรรมได้อย่างแน่นอน ... คนที่อยากรอ เชื่อมั่น ก็รอไปเถอะ... จะรู้ตัวอีกทีก็ตอนตาย อยากจะบอก ก็บอกไม่ได้ ...
เมื่อลองทางอื่นมาหมดแล้ว ลองมาทานสมุนไพร และลดนิสัย ตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยการ ไม่โกรธ ไม่ติ ผู้อื่น หลังจากออกจากห้องสวดมนต์ จนเข้ากระโจมแล้วเสร็จ ภายใน ๑ ปี แล้วมาดูว่า โรคอะไรมันจะเหลือ
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557
ทานสมุนไพรแล้วมีอาการ
ได้ยินบ่อยๆ ในคำพูดที่ว่า "เมื่อก่อนไม่เห็นเป็น พอมาทานสมุนไพรที่นี่ อาการก็เกิด เพราะสมุนไพรแน่ๆ ทำให้เป็น"
แค่คิดก็อัปมงคลเกิด ทำให้เสียคุณสมบัติ เพราะกำลังทำตนเป็นผู้อกตัญญูไปเสียแล้วนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักจะอรรถาธิบายให้ฟังว่า สมุนไพรหม้อเดียวกัน สูตรเดียวกัน หากแม้นสมุนไพรเมื่อทานแล้วทำให้เกิดอาการ นั่นหมายความว่า ทุกคนที่ทานย่อมต้องเป็น ต้องมีอาการเฉกเช่นเดียวกัน
แต่คนพัน คนหมื่นทาน ไม่ปรากฎอาการ กลับมีเฉพาะตนของเราที่มีอาการ จะเรียกได้อย่างไรว่า สมุนไพรทำให้เป็น
อุปมา เหมือนทานของเน่า ของเสีย ของบูด ใครทาน ก็ต้องมีอาการ นั่นแลจึงเรียกว่า ทำให้เป็น เพราะมันถ้วนทุกตัวคน ใครทานก็ต้องเป็น ต้องมีอาการ
ก็แล้วอาการที่เกิด หมายความว่าอย่างไร หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า นั่นเป็นอาการของโรค ที่เราท่านเป็น ต่างหาก ที่แสดงอาการออกมา
โรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม เมื่อเชื่อในสิ่งนี้ อาการที่เกิด ก็ต้องใช้ขันติ อดทน หากแต่ในวิกฤต ก็เป็นโอกาสอันดี ที่ร่างกายได้รับรู้ว่า มีปัญหาเกิดขึ้น เมื่อทานสมุนไพร สมุนไพรก็จะเป็นวัตถุดิบให้ร่างกายได้นำไปแก้ไขปัญหา นั่นคือ สร้างภูมิให้แข็งแกร่ง เพื่อแก้ปัญหานั้นๆ
มีคนเคยถามว่า ตัวเขาเองมีอาการปวด มีสมุนไพรตัวใดแก้ปวดให้ลดน้อยถอยลงได้ไหม คำตอบคือ ไม่มี ความปวดที่เกิด ระดับเท่าใด ก็เท่านั้น หากแต่การทานสมุนไพร ทำให้ร่างกายมีภูมิที่แข็งแกร่งขึ้น ทำให้ทนต่อการปวดได้มากขึ้น
เปรียบเสมือน คนธรรมดาที่วิ่งเร็วๆ แค่ร้อยเมตร ก็เหนือยเจียนตาย หากแต่นักกีฬา ที่ฝึกฝน เริ่มฝึกความเหนื่อยก็น้อยลง แต่ก็วิ่งร้อยเมตรเหมือนเดิม ยิ่งฝึกมาก ร่างกายก็มีภูมิมาก วิ่งร้อยเมตรเหมือนเดิม อาการเหนื่อยอาจจะแป๊บเดียวก็หาย
การฝึกฝนนั่นคือ ภูมิ ที่ร่างกายสร้างโดยอาศัยสมุนไพรเป็นวัตถุดิบ ความปวดเหมือนระยะทางวิ่ง ไม่ว่าอาการเกิดเมื่อใด มันก็ยังคงเป็นร้อยเมตรเท่าเดิม แต่คนที่มีภูมิ ร่างกายทนได้ มันจึงเหมือนเหนื่อยน้อยลง นั่นคือ ภูมิดี ความปวดที่เกิดเท่าเดิม แต่ร่างกายทนได้ เสมือนปวดน้อยลง หรือปวดแป๊บเดียวก็หายไป
และผลดีอันมหาศาล ที่หลวงพ่อนิพนธ์ยกตัวอย่างให้ฟังเสมอ ในอดีตที่เริ่มหาสมุนไพรมาทำให้คนไข้ทาน แล้วประสพเหตุเป็นไข้มาเลเรีย
ท่านก็รำพึงกับแม่ชีเมี้ยนว่า ทำดีอย่างนี้ทำไมจึงมาเป็นเช่นนี้ แม่ชีเมี้ยนก็ลูบหัวแล้วตรัสว่า ก็กรรมที่ลูกทำเมื่อยังเด็ก ด้วยฝีมือการยิงหนังสติ๊ก จึงเที่ยวไปยิงหัวนก เอามาย่างกิน สุขในวันนั้น มันย้อนกลับมาเป็นทุกข์ในวันนี้ ให้ทนเอา ห้าวันก็จบ
ด้วยคำสอนนี้ ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์นอนซมพิษไข้ห้าวันเต็ม โดยไม่ได้ฉันอาหารเลย พอครบห้าวันอาการก็หายไป แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ผลของอาการในวันนี้ ต่อไปจะทำให้ไม่เป็นโรคปวดหัวอีก และที่สำคัญจะทำให้เซลล์สมองมีประสิทธิภาพ ความจำดี ไม่เสื่อม ไปจนตลอดชีวิต
คนที่จะเดินแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงต้องอาศัยความเชื่อ ศรัทธา และยอมรับในกรรมที่ทำมา จึงจะมีขันติ อดทน กับอาการที่จะพึงเกิด แล้วยืนหยัดทานสมุนไพร ปฎิบัติตนตามธรรมคำสอน รอจนกรรมนั้นหมดไป สิ่งที่ได้ กลับคืนมา ร่างกายก็จะมีภูมิอันมหาศาล
เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า เมื่อครั้งที่หมอจากองค์การอนามัยโลก มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ได้พบได้เห็นคนไข้เอดส์กลุ่มใหญ่ที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้รับรักษาอยู่ในเวลานั้น ก็ตื่นเต้น ร้องขอให้อนุญาตพาคนไข้ที่ฟื้นฟูเสร็จแล้วนั้น ไปตรวจร่างกาย
ผลของการตรวจร่างกาย ก็เป็นไปตามที่หมอคาด นั่นคือ ปริมาณเม็ดเลือดที่คนไข้เอดส์ทุกคนมี สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานทุกคน ในขณะที่การทดสอบการติดเชื้อ พบว่าการย้อมสีติด แต่เชื้อที่ย้อมติด กลายเป็นเชื้อที่ไม่มีอันตราย
หมอองค์การอนามัยโรค จึงบอกเล่นๆ กับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า นั่นคือ คนไข้เอดส์เหล่านี้ของหลวงพ่อนิพนธ์ กลายเป็นขุมทองแล้ว เพราะเชื้อเหล่านั้นคือวัคซีนนั่นเอง หากหลวงพ่อนิพนธ์อยากรวย แค่ดูดเลือดคนเหล่านี้ไปทำวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ ก็ไม่รู้ว่ามูลค่ามากมายมหาศาลเท่าใด
เรื่องนี้ ทำให้เราเห็นภาพว่า ทำไมคนที่ทานสมุนไพรแล้ว ที่เข้าตำราหนีเสือ ปะจรเข้ นั่นคือ ไม่มีคนใดตายด้วยโรคที่ตนเคยเป็นแล้วหายด้วยสมุนไพร หากแต่หายจากโรคนี้ แล้วไปตายด้วยโรคอื่น ก็ด้วยภูมิของร่างกายที่แข็งแกร่งต่อโรคนั้นๆ นั่นเอง
คำของหมอองค์การอนามัยโลก ที่ทิ้งท้ายว่า คนที่หายโรคเอดส์ของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงไม่มีทางกลับไปเป็นโรคเอดส์อีกอย่างแน่นอน
บทสรุปของคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเห็นได้ชัดว่า คนที่ใช้แนวทางนี้แล้วปฏิเสธอาการ ไม่คิดจะทน หรือใช้ความขันติ อดทน ยอมรับอาการ คือ ยอมรับกรรม ที่ทำมา อะไรนิดก็ไม่ได้ อาการหน่อยก็จะไม่ให้มี เรียกว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่เหมาะสมกับแนวทางนี้ เพราะไม่มีวันประสพผล
อาการที่เป็น หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ให้มันทรมานกาย หรือทุกข์กาย ก็พอ อย่าให้ทรมานใจ หรือทุกข์ใจ ด้วยสติที่พระภูมีทรงให้ "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า" เมื่อเข้าไปในนรกวันใด ด้วยสติอันนี้ ทำให้เรามองเห็นประตูสวรรค์ที่กำลังเปิด รอให้เดินเข้าไปวันนั้น
เคล็ดของการมาสถานที่ของแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า มาเพื่อทำความดี ตามธรรมคำสอนของพระภูมี ตามคำสัญญา ลืมเรื่องโรคไป สิ่งที่หวังคือบุญเป็นที่พึ่ง ส่วนสมุนไพรและการหายโรค นั่นเป็นของแถม ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาให้สำหรับคนดี ... เน้น คนดีของพระภูมี ...
อาทิตย์หนึ่ง มีวันหนึ่งมาทำเพื่อชีวิต พระพุทธศาสนา จึงมีวันพระ หากมีกิจใดสำคัญกว่าการทำเพื่อชีวิต ... นั่นก็หมายความว่า ทางใครทางมัน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เราไม่ยุ่งด้วย จะไปที่ไหนก็ไป ที่นี่ปิดไม่ต้อนรับ
แค่คิดก็อัปมงคลเกิด ทำให้เสียคุณสมบัติ เพราะกำลังทำตนเป็นผู้อกตัญญูไปเสียแล้วนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักจะอรรถาธิบายให้ฟังว่า สมุนไพรหม้อเดียวกัน สูตรเดียวกัน หากแม้นสมุนไพรเมื่อทานแล้วทำให้เกิดอาการ นั่นหมายความว่า ทุกคนที่ทานย่อมต้องเป็น ต้องมีอาการเฉกเช่นเดียวกัน
แต่คนพัน คนหมื่นทาน ไม่ปรากฎอาการ กลับมีเฉพาะตนของเราที่มีอาการ จะเรียกได้อย่างไรว่า สมุนไพรทำให้เป็น
อุปมา เหมือนทานของเน่า ของเสีย ของบูด ใครทาน ก็ต้องมีอาการ นั่นแลจึงเรียกว่า ทำให้เป็น เพราะมันถ้วนทุกตัวคน ใครทานก็ต้องเป็น ต้องมีอาการ
ก็แล้วอาการที่เกิด หมายความว่าอย่างไร หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า นั่นเป็นอาการของโรค ที่เราท่านเป็น ต่างหาก ที่แสดงอาการออกมา
โรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม เมื่อเชื่อในสิ่งนี้ อาการที่เกิด ก็ต้องใช้ขันติ อดทน หากแต่ในวิกฤต ก็เป็นโอกาสอันดี ที่ร่างกายได้รับรู้ว่า มีปัญหาเกิดขึ้น เมื่อทานสมุนไพร สมุนไพรก็จะเป็นวัตถุดิบให้ร่างกายได้นำไปแก้ไขปัญหา นั่นคือ สร้างภูมิให้แข็งแกร่ง เพื่อแก้ปัญหานั้นๆ
มีคนเคยถามว่า ตัวเขาเองมีอาการปวด มีสมุนไพรตัวใดแก้ปวดให้ลดน้อยถอยลงได้ไหม คำตอบคือ ไม่มี ความปวดที่เกิด ระดับเท่าใด ก็เท่านั้น หากแต่การทานสมุนไพร ทำให้ร่างกายมีภูมิที่แข็งแกร่งขึ้น ทำให้ทนต่อการปวดได้มากขึ้น
เปรียบเสมือน คนธรรมดาที่วิ่งเร็วๆ แค่ร้อยเมตร ก็เหนือยเจียนตาย หากแต่นักกีฬา ที่ฝึกฝน เริ่มฝึกความเหนื่อยก็น้อยลง แต่ก็วิ่งร้อยเมตรเหมือนเดิม ยิ่งฝึกมาก ร่างกายก็มีภูมิมาก วิ่งร้อยเมตรเหมือนเดิม อาการเหนื่อยอาจจะแป๊บเดียวก็หาย
การฝึกฝนนั่นคือ ภูมิ ที่ร่างกายสร้างโดยอาศัยสมุนไพรเป็นวัตถุดิบ ความปวดเหมือนระยะทางวิ่ง ไม่ว่าอาการเกิดเมื่อใด มันก็ยังคงเป็นร้อยเมตรเท่าเดิม แต่คนที่มีภูมิ ร่างกายทนได้ มันจึงเหมือนเหนื่อยน้อยลง นั่นคือ ภูมิดี ความปวดที่เกิดเท่าเดิม แต่ร่างกายทนได้ เสมือนปวดน้อยลง หรือปวดแป๊บเดียวก็หายไป
และผลดีอันมหาศาล ที่หลวงพ่อนิพนธ์ยกตัวอย่างให้ฟังเสมอ ในอดีตที่เริ่มหาสมุนไพรมาทำให้คนไข้ทาน แล้วประสพเหตุเป็นไข้มาเลเรีย
ท่านก็รำพึงกับแม่ชีเมี้ยนว่า ทำดีอย่างนี้ทำไมจึงมาเป็นเช่นนี้ แม่ชีเมี้ยนก็ลูบหัวแล้วตรัสว่า ก็กรรมที่ลูกทำเมื่อยังเด็ก ด้วยฝีมือการยิงหนังสติ๊ก จึงเที่ยวไปยิงหัวนก เอามาย่างกิน สุขในวันนั้น มันย้อนกลับมาเป็นทุกข์ในวันนี้ ให้ทนเอา ห้าวันก็จบ
ด้วยคำสอนนี้ ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์นอนซมพิษไข้ห้าวันเต็ม โดยไม่ได้ฉันอาหารเลย พอครบห้าวันอาการก็หายไป แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ผลของอาการในวันนี้ ต่อไปจะทำให้ไม่เป็นโรคปวดหัวอีก และที่สำคัญจะทำให้เซลล์สมองมีประสิทธิภาพ ความจำดี ไม่เสื่อม ไปจนตลอดชีวิต
คนที่จะเดินแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงต้องอาศัยความเชื่อ ศรัทธา และยอมรับในกรรมที่ทำมา จึงจะมีขันติ อดทน กับอาการที่จะพึงเกิด แล้วยืนหยัดทานสมุนไพร ปฎิบัติตนตามธรรมคำสอน รอจนกรรมนั้นหมดไป สิ่งที่ได้ กลับคืนมา ร่างกายก็จะมีภูมิอันมหาศาล
เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า เมื่อครั้งที่หมอจากองค์การอนามัยโลก มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ได้พบได้เห็นคนไข้เอดส์กลุ่มใหญ่ที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้รับรักษาอยู่ในเวลานั้น ก็ตื่นเต้น ร้องขอให้อนุญาตพาคนไข้ที่ฟื้นฟูเสร็จแล้วนั้น ไปตรวจร่างกาย
ผลของการตรวจร่างกาย ก็เป็นไปตามที่หมอคาด นั่นคือ ปริมาณเม็ดเลือดที่คนไข้เอดส์ทุกคนมี สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานทุกคน ในขณะที่การทดสอบการติดเชื้อ พบว่าการย้อมสีติด แต่เชื้อที่ย้อมติด กลายเป็นเชื้อที่ไม่มีอันตราย
หมอองค์การอนามัยโรค จึงบอกเล่นๆ กับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า นั่นคือ คนไข้เอดส์เหล่านี้ของหลวงพ่อนิพนธ์ กลายเป็นขุมทองแล้ว เพราะเชื้อเหล่านั้นคือวัคซีนนั่นเอง หากหลวงพ่อนิพนธ์อยากรวย แค่ดูดเลือดคนเหล่านี้ไปทำวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ ก็ไม่รู้ว่ามูลค่ามากมายมหาศาลเท่าใด
เรื่องนี้ ทำให้เราเห็นภาพว่า ทำไมคนที่ทานสมุนไพรแล้ว ที่เข้าตำราหนีเสือ ปะจรเข้ นั่นคือ ไม่มีคนใดตายด้วยโรคที่ตนเคยเป็นแล้วหายด้วยสมุนไพร หากแต่หายจากโรคนี้ แล้วไปตายด้วยโรคอื่น ก็ด้วยภูมิของร่างกายที่แข็งแกร่งต่อโรคนั้นๆ นั่นเอง
คำของหมอองค์การอนามัยโลก ที่ทิ้งท้ายว่า คนที่หายโรคเอดส์ของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงไม่มีทางกลับไปเป็นโรคเอดส์อีกอย่างแน่นอน
บทสรุปของคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเห็นได้ชัดว่า คนที่ใช้แนวทางนี้แล้วปฏิเสธอาการ ไม่คิดจะทน หรือใช้ความขันติ อดทน ยอมรับอาการ คือ ยอมรับกรรม ที่ทำมา อะไรนิดก็ไม่ได้ อาการหน่อยก็จะไม่ให้มี เรียกว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่เหมาะสมกับแนวทางนี้ เพราะไม่มีวันประสพผล
อาการที่เป็น หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ให้มันทรมานกาย หรือทุกข์กาย ก็พอ อย่าให้ทรมานใจ หรือทุกข์ใจ ด้วยสติที่พระภูมีทรงให้ "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า" เมื่อเข้าไปในนรกวันใด ด้วยสติอันนี้ ทำให้เรามองเห็นประตูสวรรค์ที่กำลังเปิด รอให้เดินเข้าไปวันนั้น
เคล็ดของการมาสถานที่ของแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า มาเพื่อทำความดี ตามธรรมคำสอนของพระภูมี ตามคำสัญญา ลืมเรื่องโรคไป สิ่งที่หวังคือบุญเป็นที่พึ่ง ส่วนสมุนไพรและการหายโรค นั่นเป็นของแถม ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาให้สำหรับคนดี ... เน้น คนดีของพระภูมี ...
อาทิตย์หนึ่ง มีวันหนึ่งมาทำเพื่อชีวิต พระพุทธศาสนา จึงมีวันพระ หากมีกิจใดสำคัญกว่าการทำเพื่อชีวิต ... นั่นก็หมายความว่า ทางใครทางมัน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เราไม่ยุ่งด้วย จะไปที่ไหนก็ไป ที่นี่ปิดไม่ต้อนรับ
ต้นทุนบุญ
ปีใหม่ เทศกาล ผู้คนแห่แหนกับไปทำบุญ ปิดทอง ฝังลูกนิมิต สร้างศาลา สร้างโบสถ์ ... ก็ตามแต่ความชอบของใคร
หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า สิ่งเหล่านั้นไม่มีในพุทธดำรัส ไม่ใช่บุญของพระพุทธเจ้า สิ่งที่พิสูจน์ก็คือ เมื่อทำแล้วจึงไม่มีผลดีอันใดกับชีวิต เป็นโรคอย่างไรก็คงอยู่
ก็แล้วบุญของพระภูมีเป็นเช่นไร หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า ก็ดูจากพุทธประวัติ
เมื่อพระโคดมต้องการสร้างบุญ สิ่งที่ทำ คือ ทิ้งเวียง ทิ้งวัง ทิ้งทุกอย่าง มาเดินกลางดิน กินกลางทราย
สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ แล้วเหลืออะไรเป็น ต้นทุนในการสร้างบุญ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ต้นทุนที่พระโคดม ทำให้เห็นและใช้ในการสร้างบุญ คือสิ่งที่ทุกคนมี เท่าเทียมกัน นั่นคือ ตัวตนของเรา และนิสัย หรือกิเลสที่ตนมีนั่นเอง
คำอรรถาธิบายเพิ่มเติม คือ บุญของพระภูมี จึงเกิดจากลดนิสัย คือ กิเลสของตนลง ด้วยอุปกรณ์ที่สำคัญ นั่นคือ ทำด้วยตนเอง
ดังนั้นธรรมหมวดแรกที่พระโคดมทรงสอนสาวก คือ "ธรรมหมวด ตนพึ่งตน" อันเป็นแก่นของศาสนา ที่ยืนยันว่า ศาสนาของท่าน เป็นศาสนาทำ ไม่ใช่ศาสนาขอ ผู้ใดมาขอพรไม่มีให้ อยากได้มีคำสอนให้ไปทำเอง .... อันหมายความว่า "ใครทำ ใครได้"
เมื่อพราหมณ์เอาไปแยกแร่แปรธาตุ เป็นพระไตรปิฏก หรือ พวกที่เอาศาสนาไปหากิน จึงไม่มีที่ใดเลยที่จะกล่าวถึงธรรมหมวดนี้ เพราะเมื่อกล่าวไป ทำให้หากินไม่ได้นั่นเอง
การแปลงสาร จากธรรมหมวดตน ที่มุ่งเน้นให้สงฆ์สาวก มุ่งเน้นที่ทำตนเพื่อเป็นปูชนียบุคคล ให้ผู้นับถือได้กราบไหว้ จึงกลายเป็น การหากิน ด้วยการสร้างปูชนียสถาน ให้ผู้คนกราบไหว้
เรียกว่า แปลงสารจาก "ศาสนาทำ เป็น ศาสนาขอ" นั่นเอง
จึงไม่แปลกใจเลยว่า ในขณะที่อินเดีย ต้นศาสนาในยุคพระโคดม หาปูชนียสถานไม่ได้เลย แต่ในประเทศที่อ้างตนว่า ศาสนาพุทธรุ่งเรืองในปัจจุบัน เต็มไปด้วยปูชนียสถาน แต่หาปูชนียบุคคล ที่สอนให้พึ่งตนของตน ไม่ได้เลย
คำสอนที่อยากหาบุญ "อย่าเลยนะมนุษย์" จึงถูกกลบฝังสิ้น กลายเป็นไปเข้าวัด กลับมาตีกัน เพราะมีของดี ผัวก็ยังด่าเมีย เมียก็ยังด่าผัว ... ไม่มีความคิดที่จะให้สุขแก่ผู้อื่น เพื่อให้สุขนั้นย้อนมายังตน
เราจึงไม่แปลกใจที่หลวงพ่อนิพนธ์จะเบื่อหน่ายคนไทย โดยเฉพาะไทยเฉย ไม่ว่าจะเรียกร้องสักเพียงใด มะกรูดคนละลูกสองลูกหิ้วมา ก็เฉย มาวันนี้ ให้ช่วยกันหาพันธ์ มะพร้าวน้ำหอม หรือ มะกรูด มะนาว มาคนละต้นสองต้น ก็เฉย ... ดูว่ามันไร้ค่า สู้ไปฝังลูกนิมิต สร้างโบสถ์ไม่ได้เลย
หากแต่ความจริงที่พระภูมีทรงชี้ให้เห็น สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลก นั่นคือ "มนุษย์" จึงมีคำกล่าว ช่วยชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น
โบสถ์ช่วยชีวิตใครไม่ได้เลย เอาคนไข้ไปวางก็ตายหมด แต่มะกรูดไม่กี่ลูก มะพร้าวไม่กี่ทะลาย ช่วยชีวิตคนได้ อันไหนมีค่ากว่ากัน
มาวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ให้เริ่มลองปฏิบัติ รักษาวาจา รักษาใจ ไม่โกรธ ไม่ติเตียนใคร นับแต่ออกจากห้องสวดมนต์ ไปจนเข้ากระโจมเสร็จ .... แล้วดูผล
บุญของพระภูมี ทุกคนจึงมีต้นทุนเท่ากัน ผลสำเร็จคือเครื่องยืนยันว่า คนผู้นั้น ฟัง แล้วทำตามหรือไม่ เพราะใครทำ ใครได้ ....
ดังนั้น อย่ามาเหมารวมว่า เมื่อทานสมุนไพรแล้วต้องหาย เหมือนกันทุกคน .... เพราะปัจจัยของการหาย ไม่ได้อยู่ที่ความหนักเบาของอาการ หรือ ชนิดของโรค หากแต่ขึ้นอยู่กับว่า ใครฟัง แล้วทำได้ ... ผู้ทำได้ คือผู้หาย
เพราะฉะนั้น ในอีกไม่ช้า หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ใครที่ไม่เห็นค่าของชีวิต ไม่ให้ความสำคัญ นั่นหมายถึง คนที่ไม่หวังผล ก็ไม่ควรที่จะเสียเวลาทั้งสองฝ่าย ให้คนเหล่านั้นออกไป หาทางเลือกใหม่ที่ชอบ ที่นี่ให้เหลือเฉพาะคนที่อยากได้ อยากทำ อยากช่วยตน
มาตรการในอนาคต ก็จะรับคนจำนวนจำกัด คนที่ไม่ทำคัดออกไป คนที่หายแล้วก็ออกไป แล้วให้รับคนใหม่มาแทน ให้ได้ในจำนวนเท่าเดิม
บทเริ่มของการสร้างคุณภาพ จึงเริ่มจากมาตรฐานในการให้ความสำคัญต่อการมา เมื่อระบบพร้อม สมุนไพรพร้อม นั่นคือ สัญญาหนึ่งปีที่ให้ต่อกัน .... ห้ามขาด ใครยังไม่พร้อม ไม่มีเวลา ก็ยังไม่ต้องมา
แล้วมาดูกันว่า ความไม่โรค ... ที่พระภูมีตรัส เขาทำกันอย่างไร
จะมารักษาโรค ก็ต้องอาศัยบุญ ... แม้นจะไม่ได้ตัดกิเลสนิสัยทั้งหมด เพื่อไปนิพพาน ก็ต้องลดละนิสัยเป็นบางสิ่งบางอย่างให้เป็นบุญ ล้างกรรมที่ทำมา จึงต้องสวดมนต์ ต้องลดนิสัยลดการกระทำ จะไม่ทำอะไรเลย ไม่ยอมเปลี่ยน ... อย่ามาเสียเวลาเลย ...
หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า สิ่งเหล่านั้นไม่มีในพุทธดำรัส ไม่ใช่บุญของพระพุทธเจ้า สิ่งที่พิสูจน์ก็คือ เมื่อทำแล้วจึงไม่มีผลดีอันใดกับชีวิต เป็นโรคอย่างไรก็คงอยู่
ก็แล้วบุญของพระภูมีเป็นเช่นไร หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า ก็ดูจากพุทธประวัติ
เมื่อพระโคดมต้องการสร้างบุญ สิ่งที่ทำ คือ ทิ้งเวียง ทิ้งวัง ทิ้งทุกอย่าง มาเดินกลางดิน กินกลางทราย
สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ แล้วเหลืออะไรเป็น ต้นทุนในการสร้างบุญ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ต้นทุนที่พระโคดม ทำให้เห็นและใช้ในการสร้างบุญ คือสิ่งที่ทุกคนมี เท่าเทียมกัน นั่นคือ ตัวตนของเรา และนิสัย หรือกิเลสที่ตนมีนั่นเอง
คำอรรถาธิบายเพิ่มเติม คือ บุญของพระภูมี จึงเกิดจากลดนิสัย คือ กิเลสของตนลง ด้วยอุปกรณ์ที่สำคัญ นั่นคือ ทำด้วยตนเอง
ดังนั้นธรรมหมวดแรกที่พระโคดมทรงสอนสาวก คือ "ธรรมหมวด ตนพึ่งตน" อันเป็นแก่นของศาสนา ที่ยืนยันว่า ศาสนาของท่าน เป็นศาสนาทำ ไม่ใช่ศาสนาขอ ผู้ใดมาขอพรไม่มีให้ อยากได้มีคำสอนให้ไปทำเอง .... อันหมายความว่า "ใครทำ ใครได้"
เมื่อพราหมณ์เอาไปแยกแร่แปรธาตุ เป็นพระไตรปิฏก หรือ พวกที่เอาศาสนาไปหากิน จึงไม่มีที่ใดเลยที่จะกล่าวถึงธรรมหมวดนี้ เพราะเมื่อกล่าวไป ทำให้หากินไม่ได้นั่นเอง
การแปลงสาร จากธรรมหมวดตน ที่มุ่งเน้นให้สงฆ์สาวก มุ่งเน้นที่ทำตนเพื่อเป็นปูชนียบุคคล ให้ผู้นับถือได้กราบไหว้ จึงกลายเป็น การหากิน ด้วยการสร้างปูชนียสถาน ให้ผู้คนกราบไหว้
เรียกว่า แปลงสารจาก "ศาสนาทำ เป็น ศาสนาขอ" นั่นเอง
จึงไม่แปลกใจเลยว่า ในขณะที่อินเดีย ต้นศาสนาในยุคพระโคดม หาปูชนียสถานไม่ได้เลย แต่ในประเทศที่อ้างตนว่า ศาสนาพุทธรุ่งเรืองในปัจจุบัน เต็มไปด้วยปูชนียสถาน แต่หาปูชนียบุคคล ที่สอนให้พึ่งตนของตน ไม่ได้เลย
คำสอนที่อยากหาบุญ "อย่าเลยนะมนุษย์" จึงถูกกลบฝังสิ้น กลายเป็นไปเข้าวัด กลับมาตีกัน เพราะมีของดี ผัวก็ยังด่าเมีย เมียก็ยังด่าผัว ... ไม่มีความคิดที่จะให้สุขแก่ผู้อื่น เพื่อให้สุขนั้นย้อนมายังตน
เราจึงไม่แปลกใจที่หลวงพ่อนิพนธ์จะเบื่อหน่ายคนไทย โดยเฉพาะไทยเฉย ไม่ว่าจะเรียกร้องสักเพียงใด มะกรูดคนละลูกสองลูกหิ้วมา ก็เฉย มาวันนี้ ให้ช่วยกันหาพันธ์ มะพร้าวน้ำหอม หรือ มะกรูด มะนาว มาคนละต้นสองต้น ก็เฉย ... ดูว่ามันไร้ค่า สู้ไปฝังลูกนิมิต สร้างโบสถ์ไม่ได้เลย
หากแต่ความจริงที่พระภูมีทรงชี้ให้เห็น สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลก นั่นคือ "มนุษย์" จึงมีคำกล่าว ช่วยชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น
โบสถ์ช่วยชีวิตใครไม่ได้เลย เอาคนไข้ไปวางก็ตายหมด แต่มะกรูดไม่กี่ลูก มะพร้าวไม่กี่ทะลาย ช่วยชีวิตคนได้ อันไหนมีค่ากว่ากัน
มาวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ให้เริ่มลองปฏิบัติ รักษาวาจา รักษาใจ ไม่โกรธ ไม่ติเตียนใคร นับแต่ออกจากห้องสวดมนต์ ไปจนเข้ากระโจมเสร็จ .... แล้วดูผล
บุญของพระภูมี ทุกคนจึงมีต้นทุนเท่ากัน ผลสำเร็จคือเครื่องยืนยันว่า คนผู้นั้น ฟัง แล้วทำตามหรือไม่ เพราะใครทำ ใครได้ ....
ดังนั้น อย่ามาเหมารวมว่า เมื่อทานสมุนไพรแล้วต้องหาย เหมือนกันทุกคน .... เพราะปัจจัยของการหาย ไม่ได้อยู่ที่ความหนักเบาของอาการ หรือ ชนิดของโรค หากแต่ขึ้นอยู่กับว่า ใครฟัง แล้วทำได้ ... ผู้ทำได้ คือผู้หาย
เพราะฉะนั้น ในอีกไม่ช้า หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ใครที่ไม่เห็นค่าของชีวิต ไม่ให้ความสำคัญ นั่นหมายถึง คนที่ไม่หวังผล ก็ไม่ควรที่จะเสียเวลาทั้งสองฝ่าย ให้คนเหล่านั้นออกไป หาทางเลือกใหม่ที่ชอบ ที่นี่ให้เหลือเฉพาะคนที่อยากได้ อยากทำ อยากช่วยตน
มาตรการในอนาคต ก็จะรับคนจำนวนจำกัด คนที่ไม่ทำคัดออกไป คนที่หายแล้วก็ออกไป แล้วให้รับคนใหม่มาแทน ให้ได้ในจำนวนเท่าเดิม
บทเริ่มของการสร้างคุณภาพ จึงเริ่มจากมาตรฐานในการให้ความสำคัญต่อการมา เมื่อระบบพร้อม สมุนไพรพร้อม นั่นคือ สัญญาหนึ่งปีที่ให้ต่อกัน .... ห้ามขาด ใครยังไม่พร้อม ไม่มีเวลา ก็ยังไม่ต้องมา
แล้วมาดูกันว่า ความไม่โรค ... ที่พระภูมีตรัส เขาทำกันอย่างไร
จะมารักษาโรค ก็ต้องอาศัยบุญ ... แม้นจะไม่ได้ตัดกิเลสนิสัยทั้งหมด เพื่อไปนิพพาน ก็ต้องลดละนิสัยเป็นบางสิ่งบางอย่างให้เป็นบุญ ล้างกรรมที่ทำมา จึงต้องสวดมนต์ ต้องลดนิสัยลดการกระทำ จะไม่ทำอะไรเลย ไม่ยอมเปลี่ยน ... อย่ามาเสียเวลาเลย ...
วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557
ถึงเวลาเอาผลแล้ว
สิ่งที่วิทยาศาสตร์ ไม่เคยคำนึง ในการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ หากแต่มันคือรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหาการเกิดโรค นั่นคือ "กรรม"
ศาสน์ของพระภูมีในฟื้นฟูตน เริ่มจากพื้นฐานอันนี้ ชี้ให้เห็นว่า โรคมันแค่บริวารกรรม ที่มาทำให้ทุกข์
เมื่อโรคมันเป็นแค่บริวาร ความน่ากลัวของโรคจึงไม่มากเท่าไหร่ หากแต่ตัวแม่หรือต้นเหตุแห่งโรค ที่เรียกว่า กรรม นี่ซิคือตัวปัญหาใหญ่ ที่จะต้องเอาชนะ
เมื่อพิจารณาแล้ว ศาสน์ของพระภูมี จึงมีพุทธประวัติสาวไป และปรากฎให้เห็นเค้าลางแห่งชัยชนะที่มีเหนือกรรม
ศาสน์อันนี้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มีกรรมเป็นอำนาจ ที่สำคัญและเป็นหัวใจแห่งกรรม นั่นคือ ความมาตรฐาน
กรรมมีวันเวลา มีอายุขัย เมื่อถึงเวลา ไม่ต้องเชิญมันก็มา และเช่นเดียวกัน เมื่อหมดเวลา มันก็ไป
ศาสน์ยังชี้ให้เห็นว่า ต้นกำเนิดของอำนาจกรรม ที่ดลบันดาล หรือเรียก พรหมลิขิต ก็มาจากนิสัย ของเราท่านนั้นเอง
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นนั่นคือ ความที่เราท่านห่างจากธรรมคำสอนของพระภูมีมานาน อันเนื่องจากถูกบิดเบือน ทำให้การกระทำที่ทำ ผิดเพี้ยนไป ผลแห่งการทำที่คิดว่าถูก จึงเป็นลม ไม่สามารถมาช่วยตนได้นั่นเอง
ก็ด้วยเหตุนี้ กฎแห่งจักรวาล จึงต้องมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ มาอุบัติ เพื่อสานต่อกึ่งพุทธกาล ทำการสังคายนาศาสนาใหม่ เพื่อให้การกระทำของเราท่านกลับมาอยู่ในรูปรอย จึงจะสามารถสู้กับกรรมได้
ความที่ว่า กรรมมีมาตรฐาน ไม่มีเวลาว่างเว้น ไม่มีวันหยุด ดังนั้น ศาสน์ของพระภูมี ที่จะใช้สู้กับกรรม จึงต้องอาศัยมาตรฐาน เฉกเช่นเดียวกัน จึงจะหวังผลในการต่อสู้ได้
ธรรมหมวดสมุนไพร เมื่อถูกนำมาใช้จึงไม่สนรายละเอียดของโรคที่เป็น หรือ ไม่ให้ความสำคัญมากนัก สิ่งที่สำคัญกว่าโรค กลับกลายเป็นมาตรฐานของการทานสมุนไพร และการปฏิบัติ ต่างหาก ที่ต้องเน้น ให้ความสำคัญสูงสุด
ด้วยเหตุนี้เอง การทานสมุนไพรในอดีต ในขณะที่กรรมยังไม่แรง การทานแบบไม่เน้นรายละเอียด มาบ้างไม่มาบ้าง อาจจะพอหวังผลได้ หากแต่วันนี้ เมื่อสัญญาณความแรงขั้นวิกฤตของกรรมที่กำลังจะอุบัติ ปรากฏขึ้นแล้ว การกระทำเช่นปีก่อนๆ เรียกได้ว่า หวังผลไม่ได้เลย
ปีนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงเน้นเป็นพิเศษ ในรายละเอียด เพื่อให้ผลในการทานสมุนไพรบังเกิด และเตรียมตัวรับกับมหันตภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามา อย่างน้อย เมื่อถึงวันนั้น กลุ่มคนที่เชื่อท่าน ก็จะสามารถยืนหยัด และพ้นจากภัยอันนี้ได้
กฎกติกาของปีนี้ จึงเริ่มต้นจาก การเพิ่มปริมาณสมุนไพร ให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมยิ่งขึ้นในแต่ละโรค และแต่ละราย
ตามมาด้วยวินัย ที่จะต้องเริ่มปฏิบัติ นั่นคือ การถวายสัจจะ ข้อหนึ่งข้อใด ให้ปฏิบัติ ครั้งละหนึ่งหรือสองชั่วโมง หลังการสวดมนต์
สุดท้าย คือการสร้างความเป็นมาตรฐาน นั่นคือ การกำหนดวินัย ที่เป็นสัญญากันระหว่างผู้ที่มาใช้ทางเลือกนี้ กับหลักธรรมของพระภูมี ว่า การมาจะต้องมีการต่อเนื่องตลอดทั้งปี ห้ามขาด หากทำไม่ได้ ก็ถือว่าสัญญาสิ้นสุด อันหมายถึง ความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง ทางเลือกนี้ถูกปิดสำหรับบุคคลนั้นๆ และจะไม่มีการรับกลับเข้ามาใหม่
กรรม เขาเป็นหนึ่งในโลกใบนี้ ธรรมที่มีอำนาจชนะกรรมได้ ก็ไม่เป็นสองรองใคร ไม่ได้บังคับให้มา ให้เลือก หากแต่เมื่อยินยอมพร้อมใจ และหวังผล จึงเป็นสัญญาซึ่งกันและกัน หากไม่สิ้นพรหมลิขิต ผู้ใดทำได้ หลวงพ่อนิพนธ์ยืนยันว่า เห็นผลแน่นอน
ตอนนี้ กำลังอยู่ในช่วงเตรียมระบบ เพื่อตรวจสอบประวัติ และการเตรียมสมุนไพรให้พร้อม .... เมื่อพร้อมแล้ว ทางชมรมจะประกาศการเริ่มกฎกติกาใหม่นี้ให้ทราบ
นั่นคือ ถึงวันแล้วที่ศาสน์เขาต้องการคุณภาพจากผู้ที่มา ไม่ใช่ปริมาณ ... อย่างที่เคยบอกแล้ว ว่า ศาสน์ของพระภูมี เมื่อถึงวัน จะแสดงความหยิ่ง ด้วยการเลือกเฟ้นเฉพาะบุคคลที่ทำได้ ไม่ว่าอาการจะสาหัสปานใด ไม่ใช่มูลเหตุ แต่การปฏิบัติ ศรัทธา นั่นคือปัจจัยที่กำหนดผลแพ้ชนะ
สิ่งที่จะได้ นั่นคือ ความมั่นคงของชีวิต ที่จะไม่เป็นมะเร็ง อัมพฤกต์ ตาบอด หูหนวก ทั้งโลกนี้ และโลกหน้า ส่วนการหายโรคนั้น ... เขาเรียกน้ำจิ้ม เป็นของแถมให้สำหรับ คนที่เปลี่ยนมาเป็นคนดี ตามคำสอนของพระภูมี เรียกว่า ชวนคนที่ฟังแล้วเข้าใจ อยากได้ มาสัมผัสลาภของพระพุทธเจ้า คือ "ความไม่มีโรค"
คนที่มา เมื่อมาแล้วทำ ก็จะมีวันจบที่ไม่นานจนเกินรอ และออกไป เพื่อให้คนใหม่มาแทน ไม่ใช่กี่ปี คนใหม่มา คนเก่าก็ยังอยู่ ทานแบบไร้จุดหมาย ในที่สุดก็ท้อ เลิกราไป ... ทำให้เสียเปล่า
ศาสน์ของพระภูมีในฟื้นฟูตน เริ่มจากพื้นฐานอันนี้ ชี้ให้เห็นว่า โรคมันแค่บริวารกรรม ที่มาทำให้ทุกข์
เมื่อโรคมันเป็นแค่บริวาร ความน่ากลัวของโรคจึงไม่มากเท่าไหร่ หากแต่ตัวแม่หรือต้นเหตุแห่งโรค ที่เรียกว่า กรรม นี่ซิคือตัวปัญหาใหญ่ ที่จะต้องเอาชนะ
เมื่อพิจารณาแล้ว ศาสน์ของพระภูมี จึงมีพุทธประวัติสาวไป และปรากฎให้เห็นเค้าลางแห่งชัยชนะที่มีเหนือกรรม
ศาสน์อันนี้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มีกรรมเป็นอำนาจ ที่สำคัญและเป็นหัวใจแห่งกรรม นั่นคือ ความมาตรฐาน
กรรมมีวันเวลา มีอายุขัย เมื่อถึงเวลา ไม่ต้องเชิญมันก็มา และเช่นเดียวกัน เมื่อหมดเวลา มันก็ไป
ศาสน์ยังชี้ให้เห็นว่า ต้นกำเนิดของอำนาจกรรม ที่ดลบันดาล หรือเรียก พรหมลิขิต ก็มาจากนิสัย ของเราท่านนั้นเอง
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นนั่นคือ ความที่เราท่านห่างจากธรรมคำสอนของพระภูมีมานาน อันเนื่องจากถูกบิดเบือน ทำให้การกระทำที่ทำ ผิดเพี้ยนไป ผลแห่งการทำที่คิดว่าถูก จึงเป็นลม ไม่สามารถมาช่วยตนได้นั่นเอง
ก็ด้วยเหตุนี้ กฎแห่งจักรวาล จึงต้องมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ มาอุบัติ เพื่อสานต่อกึ่งพุทธกาล ทำการสังคายนาศาสนาใหม่ เพื่อให้การกระทำของเราท่านกลับมาอยู่ในรูปรอย จึงจะสามารถสู้กับกรรมได้
ความที่ว่า กรรมมีมาตรฐาน ไม่มีเวลาว่างเว้น ไม่มีวันหยุด ดังนั้น ศาสน์ของพระภูมี ที่จะใช้สู้กับกรรม จึงต้องอาศัยมาตรฐาน เฉกเช่นเดียวกัน จึงจะหวังผลในการต่อสู้ได้
ธรรมหมวดสมุนไพร เมื่อถูกนำมาใช้จึงไม่สนรายละเอียดของโรคที่เป็น หรือ ไม่ให้ความสำคัญมากนัก สิ่งที่สำคัญกว่าโรค กลับกลายเป็นมาตรฐานของการทานสมุนไพร และการปฏิบัติ ต่างหาก ที่ต้องเน้น ให้ความสำคัญสูงสุด
ด้วยเหตุนี้เอง การทานสมุนไพรในอดีต ในขณะที่กรรมยังไม่แรง การทานแบบไม่เน้นรายละเอียด มาบ้างไม่มาบ้าง อาจจะพอหวังผลได้ หากแต่วันนี้ เมื่อสัญญาณความแรงขั้นวิกฤตของกรรมที่กำลังจะอุบัติ ปรากฏขึ้นแล้ว การกระทำเช่นปีก่อนๆ เรียกได้ว่า หวังผลไม่ได้เลย
ปีนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงเน้นเป็นพิเศษ ในรายละเอียด เพื่อให้ผลในการทานสมุนไพรบังเกิด และเตรียมตัวรับกับมหันตภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามา อย่างน้อย เมื่อถึงวันนั้น กลุ่มคนที่เชื่อท่าน ก็จะสามารถยืนหยัด และพ้นจากภัยอันนี้ได้
กฎกติกาของปีนี้ จึงเริ่มต้นจาก การเพิ่มปริมาณสมุนไพร ให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมยิ่งขึ้นในแต่ละโรค และแต่ละราย
ตามมาด้วยวินัย ที่จะต้องเริ่มปฏิบัติ นั่นคือ การถวายสัจจะ ข้อหนึ่งข้อใด ให้ปฏิบัติ ครั้งละหนึ่งหรือสองชั่วโมง หลังการสวดมนต์
สุดท้าย คือการสร้างความเป็นมาตรฐาน นั่นคือ การกำหนดวินัย ที่เป็นสัญญากันระหว่างผู้ที่มาใช้ทางเลือกนี้ กับหลักธรรมของพระภูมี ว่า การมาจะต้องมีการต่อเนื่องตลอดทั้งปี ห้ามขาด หากทำไม่ได้ ก็ถือว่าสัญญาสิ้นสุด อันหมายถึง ความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง ทางเลือกนี้ถูกปิดสำหรับบุคคลนั้นๆ และจะไม่มีการรับกลับเข้ามาใหม่
กรรม เขาเป็นหนึ่งในโลกใบนี้ ธรรมที่มีอำนาจชนะกรรมได้ ก็ไม่เป็นสองรองใคร ไม่ได้บังคับให้มา ให้เลือก หากแต่เมื่อยินยอมพร้อมใจ และหวังผล จึงเป็นสัญญาซึ่งกันและกัน หากไม่สิ้นพรหมลิขิต ผู้ใดทำได้ หลวงพ่อนิพนธ์ยืนยันว่า เห็นผลแน่นอน
ตอนนี้ กำลังอยู่ในช่วงเตรียมระบบ เพื่อตรวจสอบประวัติ และการเตรียมสมุนไพรให้พร้อม .... เมื่อพร้อมแล้ว ทางชมรมจะประกาศการเริ่มกฎกติกาใหม่นี้ให้ทราบ
นั่นคือ ถึงวันแล้วที่ศาสน์เขาต้องการคุณภาพจากผู้ที่มา ไม่ใช่ปริมาณ ... อย่างที่เคยบอกแล้ว ว่า ศาสน์ของพระภูมี เมื่อถึงวัน จะแสดงความหยิ่ง ด้วยการเลือกเฟ้นเฉพาะบุคคลที่ทำได้ ไม่ว่าอาการจะสาหัสปานใด ไม่ใช่มูลเหตุ แต่การปฏิบัติ ศรัทธา นั่นคือปัจจัยที่กำหนดผลแพ้ชนะ
สิ่งที่จะได้ นั่นคือ ความมั่นคงของชีวิต ที่จะไม่เป็นมะเร็ง อัมพฤกต์ ตาบอด หูหนวก ทั้งโลกนี้ และโลกหน้า ส่วนการหายโรคนั้น ... เขาเรียกน้ำจิ้ม เป็นของแถมให้สำหรับ คนที่เปลี่ยนมาเป็นคนดี ตามคำสอนของพระภูมี เรียกว่า ชวนคนที่ฟังแล้วเข้าใจ อยากได้ มาสัมผัสลาภของพระพุทธเจ้า คือ "ความไม่มีโรค"
คนที่มา เมื่อมาแล้วทำ ก็จะมีวันจบที่ไม่นานจนเกินรอ และออกไป เพื่อให้คนใหม่มาแทน ไม่ใช่กี่ปี คนใหม่มา คนเก่าก็ยังอยู่ ทานแบบไร้จุดหมาย ในที่สุดก็ท้อ เลิกราไป ... ทำให้เสียเปล่า
องค์ความรู้ที่ไม่มีในตำราแพทย์
ด้วยเหตุแห่งองค์ความรู้ จะทำให้สามารถใช้เหตุและผล เพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมหมวดสมุนไพร ได้เตรียมจิตเตรียมใจ เหมือนรู้เขา รู้เรา ว่าอะไรจะต้องเกิด และเมื่อเกิดแล้วควรจะทำอย่างไร อันจะทำให้มีกำลังใจ มีขันติอดทน จนชนะได้
ศาสน์แห่งมนุษย์ ในปีนี้ จึงจะเริ่มถูกทยอยถ่ายทอด มาให้เราท่านได้ฟังเรื่อยมากขึ้น
ศาสน์ประการหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า ทำไมโลกนี้จึงไม่มียารักษาโรค และทำไม สมุนไพรสูตรเดียวกัน มาจากอาจารย์คนเดียวกัน พูดให้ชัด จิตอาสาหลายคนที่มาช่วยแล้วแอบเอาไปทำขาย มันจึงไม่ได้ผล
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสสอนว่า ประการแรก ธรรมชาติของมนุษย์ ถูกบังคับด้วยการย่อย เมื่อสิ่งที่เป็นธรรมชาติ เช่นอาหาร และสมุนไพร ตกไปถึงกระเพาะ จะมีกระบวนการอย่างหนึ่ง นั่นคือ ร่างกายจะหลั่งน้ำกลั่นบริสุทธิ์ มาคลุกเคล้า แล้วย่อย
ในกระบวนการย่อยนี้เอง จะเกิดกระบวนการตีตราในสารที่ร่างกายย่อยได้ ว่าจะส่งไปในที่ใด เปรียบเสมือนจดหมายจ่าหน้าซอง พร้อมกับเข้ารหัส หรือ แม่กุญแจ ในสารนั้นๆ
กระบวนการนี้ มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเมื่อมี ค.ศ.๑๙๙๙ และได้รับรางวัลโนเบลไป ในขณะที่แม่ชีเมี้ยนทรงสอนหลวงพ่อนิพนธ์ตั้งแต่เมื่อครั้งถ้ำกระบอก
จากกระบวนการนี้ จะเห็นได้ว่า การทานอาหารเสริม วิตามินเสริม หรือสารเคมี สารที่ได้จะไม่ผ่านกระบวนการนี้ ทำให้แม้นมีสารที่ร่างกายต้องการ แต่ก็ไม่สามารถไปถึงจุดหมายได้นั่นเอง กลายเป็นสารตกค้างในร่างกาย ไปอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่
ที่สำคัญกว่า และเป็นเคล็ดที่แม่ชีเมี้ยนทรงสอนหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ ตัวกำหนดว่า อาหารหรือสมุนไพรที่ทานเข้าไป จะเป็นคุณหรือโทษแก่ร่างกาย ถูกกำหนดด้วยสิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทรงเรียกว่า เขี้ยวของบุญบาป ในปาก
เมื่ออาหารผ่านปากเข้าไป เขี้ยวทั้งสองนี้จะทำหน้าที่ เพื่อให้ผลที่เกิดเป็นไปตามนั้น
นักวิทยาศาสตร์ไม่มีความรู้เรื่องนี้ ในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า วิธีที่จะทำให้เขี้ยวบุญทำงาน นั่นก็คือ "การทำให้" นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ แม้นจักอาหารหม้อเดียวกัน สมุนไพรหม้อเดียวกัน ให้คนสองคนทาน ผลก็ไม่เหมือนกัน
และแม้นจักสูตรสมุนไพรเดียวกัน อาจารย์คนเดียวกัน แต่ทำให้ กับทำขาย ผลก็ต่างกัน ด้วยเหตุแห่งเขี้ยวนี้เอง
ความแตกต่างในการให้คุณให้โทษ ระหว่างวิชาการ ที่กล่าวว่า ต้องทำให้สุก ต้องรักษาความสะอาด ต้อง..... จึงจะป้องกันเชื้อได้ หากแต่พระภูมีทรงแสดงให้เห็นว่า หาใช่ไม่ ด้วยการทาน "น้ำรอยตีนควาย" แทนคนโฑทอง
ด้วยเขี้ยวแห่งบุญบาปนี้เอง จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมคนเก็บของจากถังขยะกิน จึงไม่เป็นโรค ในขณะที่คนอนามัยจัด กลับเป็นโรค
และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมยาเคมี จึงรักษาโรคไม่ได้ ก็มันมีรากเหง้ามาจากความโลภ นั่นเอง
ยาเคมี จึงต้องเสกสรรภาพ ให้ผู้บอก ผู้สั่ง มีภาพพจน์ที่ดี มีดีกรี มีสถานะทางสังคมสูง น่าเชื่อถือ แต่บทพิสูจน์ก็เห็นชัดว่า เป็นได้แค่ "ยาระงับ" ไม่ใช่ "ยารักษา" ยิ่งกินก็ยิ่งต้องเพิ่มปริมาณ และท้ายที่สุด ก็สู้อาการไม่ไหว
ไม่เคยมีใครถามหมอ หรือนักวิชาการเลยว่า ทำไมคนไข้ตายด้วยการติดเชื้อในกระแสโลหิต ทั้งที่ฉีดยาฆ่าเชื้อ ดูรายล่าสุด ก็นักร้องลูกทุ่งคนดัง ....
ในปีนี้ เราท่านก็จะได้ยิน วิชาการแพทย์นอกตำรา มากขึ้น อันจะเป็นองค์ความรู้ ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมจึงเรียกหลักของพระภูมี ว่า หลักปราชญ์
เมื่อเป็นผู้รู้ ก็จักไม่ถูกหลอกอีก เสียทั้งเงินทอง ที่สำคัญ อาจเสียถึงชีวิต
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)