ตอนนี้ระดับน้ำตาลขึ้นไปถึง สามร้อยกว่าแล้ว อันตรายไหม จะช็อคไหม จะ.... ยิงเป็นชุด
เจ้าหน้าที่ถาม แล้วที่คุณป้ากำลังทำตอนนี้คืออะไร ก็ปกติสุขดีอยู่มิใช่หรือ ไม่ช็อค ไม่มีอาการใดๆปรากฎมิใช่หรือ
ความน่ากลัวของคนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า หาใช่อาการของโรคไม่ แต่กลายเป็นโรคแทรกซ้อน ที่เกิดขึ้นมาต่างหากที่น่ากลัว นั่นคือ โรคจิต และโรคปอดแหก เห็นตัวเลขแล้ววิตกจริต เพราะจิตจดจ่อกับตัวเลขและคำพูดของหมอ
ทั้งที่ความเป็นจริง ตัวเองก็ยังมีสภาพปกติสุข กินได้ นอนหลับ ไม่มีอาการปรากฎของโรคที่ดูแล้วจะอันตรายร้ายแรง ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เลย
โรคแบบนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักแซวว่า ให้กลับไปแล้วสั่งต้มเครื่องในทานด่วน ที่สำคัญ ใส่หัวใจเยอะๆ ปอดไม่เอา เพราะตอนนี้ โรคปอดแหกกำลังถามหา โรคหัวใจตก กำลังมาเยือน
ว่าแล้ว เจ้าหน้าที่ก็นึกขึ้นได้ เพราะวันพฤหัสที่ผ่านมา มีคุณลุงท่านหนึ่ง เป็นเบาหวานเช่นกัน นำใบตรวจของแพทย์มาให้ดู แล้วสอบถาม
คุณลุงเล่าพร้อมยื่นใบตรวจว่า ระดับน้ำตาลในเลือด ตอนนี้ ๘๔๙ .... วันที่ไปตรวจหมอจะไม่ยอมให้ออกจากโรงพยาบาล ได้ยินก็งงๆ อยู่พักหนึ่ง หมอว่าไงก็ว่างั้น
ระหว่างรอ ก็นั่งคุยกับภรรยา ในคำสั่งหมอ ภรรยาก็ว่า ก็ตอนมายังมาได้ ขับรถมาได้ เดินมาได้ ไม่มีอาการใดๆ แล้วจะมาเป็นอะไรตอนนี้เล่า ตรวจปุ๊บเป็นปั๊บเลยงั้นหรือ
คุณลุงจึงนึกได้ ... แล้วสองลุงป้า ก็รีบเผ่นจากโรงพยาบาล พร้อมเอาใบตรวจมาให้ดู
ก็พิจารณารูปเอาว่า คนเป็นเบาหวาน มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขนาดนี้ ปากยังแดง หน้ายังแดง ไม่มีอาการมึนงง ก็อยู่ได้ ทานสมุนไพรไป ร่างกายผู้ซึ่งเป็นหมอดีที่สุด เขาจัดการได้
คุณลุงฉีกยิ้ม พร้อมหัวเราะ อาการมันไม่มี แต่คันฉิบหายเลยหว่ะ เกาทั้งวัน .... แต่ก็ทนได้นิ
คนไข้สตรี เห็นใบแพทย์ของคุณลุง แล้วไม่พูดอีกเลย ... แล้วหันไปบอกสามี ของเราดีกว่าตั้งเยอะ เขายังไม่กลัว แล้วเราจะกลัวไปทำไม
ความชาญฉลาดของหมอประจำตัว ในการจัดการกับน้ำตาล นั่นคือ การรีดมาให้อยู่ในเลือด ที่ซึ่งปลอดภัยที่สุด ระดับน้ำตาลจึงต้องพุ่งสูง หากฝังในกล้ามเนื่อ เมื่อเกิดแผล ก็ต้องตัด หากฝังในหัวใจ ก็โรคหัวใจถามหา และหากขึ้นสมอง ตาก็บอด .... ปล่อยให้มันลอยในเลือด แล้วรอฟอกทิ้งเมื่อผ่านไต ... ไม่ต้องไปสนตัวเลขหรอก