วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชิวไหวชิงพริบ (ต่อ)


เราจึงอยากยกตัวอย่างคนไข้ ๒ ท่าน มาให้พิจารณา

คนไข้ท่านแรก เป็นคนไข้ที่มีอาการขั้นสุดท้าย มาในขณะที่ช่วยตัวเองไม่ได้ และต้องให้ออกซิเจนช่วยในการหายใจ ทั้งคนไข้ และครอบครัว เมื่อได้มาสัมผัส ก็มุ่งมั่นในแนวทางสมุนไพร ทำตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ทุกประการ

คนไข้สู้ สามารถทานสมุนไพรได้ทุกขนาน จนอาการทรุดเริ่มหยุด และค่อยๆ มีอาการดีขึ้น ทานอาหารได้มากขึ้น แต่ยังต้องใช้ออกซิเจนช่วยในการหายใจอยู่

หากแต่ในที่สุด คนไข้ท่านนี้ก็ต้องเสียชีวิตลง ไม่ใช่ด้วยเหตุแห่งโรคใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะว่า ภรรยาที่เฝ้าไข้ ออกไปซื้อของที่ตลาด อาจด้วยกรรมบันดาล ทำให้ลืมเช็คถังออกซิเจน คนไข้จึงเสียด้วยการขาดอากาศหายใจ

คนไข้ท่านที่สอง เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จากผู้ชายที่แข็งแรง ผอมจนเหลือน้ำหนัก ๓๐ กว่าโล และยอดบิลที่โรงพยาบาลชื่อดังส่งมาให้ครอบครัวเขาในตอนนั้น เก้าแสนกว่าบาท

ด้วยเหตุที่มีประกัน หมอจึงแนะนำว่า อย่างไรเสียคนไข้ก็คงไม่รอดอย่างแน่นอน ดังนั้นหมอจะเซ็นต์ว่า คนไข้ทุพลภาพถาวร เพื่อที่จะให้ครอบครัวเขาสามารถรับเงินประกันได้ และนำมาจ่ายให้แก่โรงพยาบาล

เมื่อชำระเงินเสร็จ พ่อของคนไข้พาคนไข้มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พักอยู่กับท่านเลย คนไข้ทานสมุนไพร และทำตามหลวงพ่อนิพนธ์สอน จนสามารถฟื้นกลับขึ้นมาจนเป็นปกติ

โรคมะเร็งของเขาที่หมอทิ้ง ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไป แต่ปัญหาที่หนักกว่าโรคมะเร็ง ก็คือ กรรมที่เขาทำมานั่นเอง

เด็กหนุ่มผู้ซึ่งจบช่างกลมา แล้วอยากเป็นวิศวะ ไปสอบเข้าวิศวะบางมด แต่ต้องถูกอาจารย์กล่าวหาว่าลอกข้อสอบ ทั้งที่ทำเสร็จก่อนใครและส่งก่อนใคร และเมื่อให้ทำข้อสอบใหม่ เขาก็สามารถผ่านข้อสอบได้อย่างสบาย แต่ด้วยทิฐิจึงไม่ยอมเรียน แล้วหันไปทำงานกับน้าแทน

ประเทศไม่ได้วิศวกร แต่ได้หัวหน้าซุ้มมือปืนแห่งเพชรบุรี ผู้ทื่ชาญฉลาดแทน เพราะความฉลาดของเขา เมื่อได้ทำงานกับน้าที่ซุ้มมือปืนเพชรบุรี จึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและได้คุมซุ้ม ทำหน้าที่จัดมือปืน ในขณะที่อายุยังไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ

จนในที่สุด เบื่อชีวิตในซุ้ม ออกมาแต่งงาน ทำอาชีพสุจริต และกรรมที่ทำมาก็เริ่มเยี่ยมกรายมาหาเขา ด้วยฉายาแรกคือ มะเร็ง

เมื่อเขาหันมาเชื่อหลวงพ่อนิพนธ์ จากหัวหน้าซุ้ม ก็กลายมาเป็นหัวหน้าช่าง ทำหน้าที่ดูแล จัดสร้างอาคารสถานที่ให้หลวงพ่อนิพนธ์ แม้กระทั่งอาคารที่เป็นที่อบตัวในปัจจุบัน ก็ด้วยมือเขาเช่นกัน

ชีวิตผ่านโรคมะเร็งระยะสุดท้ายมาได้ โรคทำอะไรเขาไม่ได้ หากแต่กรรมก็ยังตามทวงชีวิตเขาตลอดมา ชายผู้นี้ รอดตายจากถังระเบิต ขณะเชื่อมทุ่น หมดสติ ตกจากหลังคาที่เป็นห้องอบสมุนไพร ขณะขึ้นไปเชื่อม น็อคไปเกือบอาทิตย์ ก็ฟื้นคืนกลับมา โดนใบเลื่อยตัดเอ็นมือ จนทำให้เอ็นนิ้วขาด และอื่นๆ อีกมากมาย

กรรมก็พยายามหาช่องทาง แต่เขาก็รอดมา อยู่กับหลวงพ่อนิพนธ์มาสิบกว่าปี จนท้ายสุด เขามีหน้าที่ดูแลสวนสมุนไพร และสรรพสัตว์ หลายร้อยชีวิต รวมทั้งต้นยาในสวนสมุนไพร

ด้วยความเชื่อมั่นเกินไป ทำให้เกิดความประมาท คิดว่าไม่มีอะไร วันหนึ่ง กรรมของเขาก็ประสพช่อง ในวันที่คนอื่น ต้องมาที่ศาลา เพื่อช่วยกิจกรรม จึงเหลือเขาเพียงลำพังที่สวนสมุนไพร ในวันนั้นเอง คอกหมูป่า ที่หลวงพ่อนิพนธ์เลี้ยงไว้ เกิดพังขึ้น ทำให้หมูป่าหัวหน้าฝูงหลุดออกมาจากกรง ในจังหวะที่เขาไม่ทันระวังตัว ระวังภัย หมูป่าตัวนั้นได้วิ่งเข้ามาขวิตหน้าขาของเขา โดนเส้นเลือดใหญ่ ทำให้เลือดออกไม่หยุด เขาได้ปีนขึ้นที่สูง และโทรเรียกคนให้มาช่วย

คนไข้ที่บ่อพลอยได้ขับรถเข้าไปช่วย แต่ปรากฎว่า หมูป่าวิ่งไล่ไม่ยอมให้ลงจากรถ จนต้องกลับไปตามคนมาช่วยไล่ และสามารถรับตัวเขาไปส่งโรงพยาบาลประจำอำเภอ

ด้วยความสมบูรณ์เหมาะเจาะ โรงพยาบาลไม่มีเลือด แม้ห้ามเลือดได้ ก็ไม่มีเลือดให้เขา เพื่อชดเชยเลือดที่เสียไปได้ เขาเสียเลือดมากเกินไป ในที่สุดก็เสียชีวิตลง

ชายหนุ่ม ผู้ซึ่งสามารถหนีโรค แต่ก็หนีไม่พ้นกรรม ที่จ้องอยู่

ในงานศพ เมื่อแขกถามถึงสาเหตุการตาย ทุกคนก็ทึ่ง เพราะเขาตายด้วยหมู แต่ใครจะรู้เล่า ชายผู้นี้ เมื่ออายุ ๑๔ ด้วยความโมโห เขาถึงกับตีหมูจนหลังหักตาย ท้ายที่สุดชีวิตเขา ก็ต้องมาตายด้วยหมู

สิ่งที่เราเล่า อยากให้เห็น อยากให้ซึ้งในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ตอนที่เรามีเวลาสร้างพฤติกรรมที่เป็นบุญ เราท่านไม่เน้น ยามที่กรรมเขามาทวง เราไม่มีบุญพอให้เขา เราท่านจึงต้องให้ชิวิตแก่เขาแทน

พระภูมีจึงตรัสว่า คนฉลาด ต้องรู้รักษาตัวรอด ช่วยตนให้พ้นทุกข์ได้ก่อน แล้วจึงนำสิ่งที่ทำได้ ไปบอกไปสอนช่วยคนอื่น

 เราจึงสงสัยว่า หลายคนที่มา ก็มีกรรมที่ต้องวิ่งแข่งเช่นเดียวกัน ทำไมเขาจึงประมาท แม้หลวงพ่อนิพนธ์จะสอนสักฉันใด อาทิเช่น การเข้าห้องสวดมนต์ ให้ตั้งสติ สงบ ทำสมาธิ เพื่อสร้างบุญ ไว้หนีกรรม ยามที่กรรมมาถึง รู้ตัวก็สายเสียแล้ว จะกลับมาบอกก็ไม่ได้

ก็ขนาดคนที่เขาตั้งใจหนี หนีมาได้สิบกว่าปี ประมาทนิดเดียว กรรมยังเอาตายเลย .....

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักสอนว่า การช่วยคน ก็คือการใช้ภูมิปัญญาของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนถ่ายทอดมาให้ เป็นสติ และชิงไหวชิงพริบ กับ กรรม ที่ทำมา เพื่อรักษาตนให้รอด

สติจึงมีความสำคัญ เพราะยามใดที่เราขาดสติ กรรมที่จ้องอยู่ก็จะเข้าเล่นงานเรา งับถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง หากแต่ถ้าเขางับได้เต็มปากเต็มคำ นั่นหมายถึงชีวิต....

การฝึกสติ ในยามเข้าห้องสวดมนต์ หรือขณะสวดมนต์ ฟังธรรม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสู้กับกรรม

เมื่อขาดสติ ก็เหมือนเปิดช่องโหว่ให้กรรมงับ แม้หายโรค ก็หาพ้นความตายได้ จึงไม่น่าแปลก ที่คนที่ประสพความสำเร็จ ในหลักของพระโคดม จึงมีจำนวนน้อยนิด แค่หลักหมื่น ในขณะที่คนอินเดียยุคนั้น มีเป็นร้อยล้านคน .....

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า เมื่อฟังเหตุและผล ก็เลือกเอา จะยืนอยู่ข้างไหน หากจะยืนข้างพระภูมี ก็ต้องทำใจ เพราะมีเพื่อนน้อย แต่มีความสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44