หลวงพ่อนิพนธ์ มักพูดเสมอๆ ว่า ท่านมีความสามารถอย่างหนึ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ นั่นคือฝีมือในการทำครัว
เหตุที่มา ก็เนื่องจากสมัยบวชเป็นพระ ท่านจะมีหน้าที่ช่วยแม่ชีเมี้ยนในการทำครัว เพื่อเลี้ยงพระในถ้ำกระบอกนั่นเอง
วิชาที่ได้มา จึงมาจากทั้งแม่ชีเมี้ยน และลูกศิษย์ที่บอกกล่าวสูตรให้ แม้บางคนจะหวงสูตรมากไม่ยอมบอกใครเลย แต่ก็ยอมบอกท่าน เป็นเช่นนี้บ่อยๆ
เรื่องราวที่ท่านจดจำและไม่เคยลืมเลือน คือ เรื่องของเข่งผัก อันเป็นเรื่องที่ท่านใช้มาสอนพระและลูกศิษย์ที่รับใช้เสมอๆ เพื่อเป็นสติ
เรื่องนี้เกิดในครัวสมัยถ้ำกระบอกในยุคแรกๆ นั่นเอง หลังจากเริ่มรับคนไข้ยาเสพติด หลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้บอกญาติโยมให้มีหน้าที่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง เพื่อสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าวคือ เมื่อมาให้หิ้วหมู หิ้วผัก ติดมือมาด้วย เพราะคนไข้ยาเสพติด เมื่อฟื้นจากอาการแล้ว จะทานจุ วันละห้ามื้อ เพราะร่างกายจะชดเชยสิ่งที่ขาดไปนั่นเอง
วันหนึ่งก็มีชาวไร่ นำผักมาให้เข่งใหญ่ๆ หลายเข่ง ทำให้ใช้ไม่ทัน ผักนั้นจึงเริ่มเน่าเสีย หลวงพ่อนิพนธ์จึงสั่งให้นำไปทิ้งเสีย แต่แม่ชีเมี้ยนได้ห้ามไว้
หลังจากนั้น แม่ชีเมี้ยนก็ได้ใช้มีดเล็กๆ ค่อยๆ ตัดส่วนที่เน่าเสียออกไป ทีละต้น จนหมดเข่งผักใหญ่นั้น เมื่อทำเสร็จ ก็ได้ผักกองโต สามารถทำให้พระฉัน และคนไข้ได้อีกเป็นหม้อใหญ่ๆ
ตั้งแต่นั้นมา สิ่งนี้ได้ถูกนำมาเป็นสติของท่านเสมอมา และนำมาสอนให้พระและลูกศิษย์ได้พิจารณา สิ่งที่ชาวบ้านนำมา ย่อมหวังในผลทานอันนั้น ถ้าเราใช้โดยสุรุ่ยสุร่าย คนที่นำมานั้น เขารอผลทานอยู่ คงไม่มีหวังจะได้ซึ่งผลทานอันนั้นอย่างแน่นอน เพราะความง่ายของเรานั่นเอง
เราท่านจึงเห็นว่า สถานที่นี้ ทำไมสิ่งปลูกสร้างไม่สร้างให้งามตา กลับนำของใช้แล้วมาทำ ดูแล้วปุๆ ปะๆ ไม่น่าดู
ก็ด้วยสิ่งที่เขาให้ดู ไม่ใช่รูปลักษณ์ แต่เป็นรูปรอยของการกระทำ ที่พยายามจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ผู้คนนำมา ให้มากที่สุด โดยอาศัยปัญญา อันจะทำให้ผลของทานได้ตกแก่ผู้ที่นำมานั่นเอง
พระของพระพุทธเจ้า จึงมีจีวร ปะแล้วปะอีก ดั่งคันนา ของใช้ทุกอย่างจะใช้และเก็บรักษาอย่างดี สิ่งเหล่านี้จะถูกปลูกฝังมาจากแม่ชีเมี้ยนโดยตลอด
ไม่สะสม ชำรุดซ่อม ใช้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นคืออดีต
แต่ปัจจุบัน ของชมรมคนรักสุขภาพ รูปรอยที่ปรากฎให้เห็น วัสดุสิ่งของเครื่องใช้ ถูกทอดทิ้งเกลื่อนกลาด ไม่ช่วยกันรักษา ซ้ำร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ สถานที่นี้กลายเป็นที่ทิ้งขยะไปอีกต่างหาก
สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี้ หลวงพ่อนิพนธ์บอก มักบอกถึงจิตใจ และศรัทธาที่มี จะพูดสักฉันใดก็ไม่เป็นผล เมื่อรูปธรรมของสิ่งของปรากฎ การกระทำปรากฎ มันตรงข้าม
จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมบางคนบ่น "มาตั้งนาน ไม่ดีขึ้นเลย" ก็ด้วยเหตุที่ไม่ปรับเปลี่ยนนิสัย ให้ทำตามคำสอนจนเกิดรูปธรรมนั่นเอง
วันใดที่รูปธรรมนี้ปรากฎอีกครั้งดังเช่นในอดีตของถ้ำกระบอก " การทานสมุนไพรจะน้อย และเห็นผลเร็วอย่างน่าอัศจรรย์"
ก็ด้วยเหตุทำอย่างไรได้อย่างนั้น เมื่อเราท่านไม่รักษาของผู้อื่น ผลที่ได้จะมารักษาตัวเราได้ฉันใด
ที่ร้ายกว่านั้นอีก ยังไปหยิบของผู้อื่นอีก .....
คำของแม่ชีเมี้ยน จึงดังก้องในหูเสมอๆ "กรรมนะ กรรม จำให้ดี"
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555
รูปรอยของศาสนา - ตามรอยมูลนิธิไทยกรุณา
หากมีใครสักคนอยากรู้รูปรอยของศาสนาพุทธ ว่ามีลักษณะเป็นเข่นไร ชุมชนที่มีขนาดใหญ่พอควร คือ ประมาณเรือนแสนนั้น พระพุทธเจ้าเขามีวิธีการจัดการอย่างไร
เมื่อไม่มีคำตอบให้ การที่จะถูกนำไปกล่าวอ้าง แล้วทำตามความคิดตน ย่อมเป็นไปได้ง่าย เห็นกันอย่างดาษดื่น อ้างบุญอย่างเดียว อ้างพระไตรปิฏก อ้างผลไชยทาน ผู้คนก็หลั่งไหล ทำกันมากมาย แต่ผลที่ออกมา สะท้อนให้เห็นแล้วว่า การกระทำอย่างนั้น ไม่มีผลตอบแทนกลับมาเลย ชีวิตจริงเขาเหล่านั้นไม่มีบุญของพระพุทธศาสนาปกป้องเลย ภัยพิบัติจึงปรากฎอยู่กับทุกตัวคน
วิธีการจัดการของพระภูมี แสดงย่อส่วนให้เห็นรายละเอียด ออกมาในรูปของเจดีย์ แม้จะไม่การสร้างเลยในสมัยของท่าน แต่เพราะคำอุปมานี้ จึงมีการก่อสร้างเจดีย์และกลายเป็นปูชนียวัตถุของศาสนาพุทธไปในที่สุด
คำอุปมาเรื่องเจดีย์นี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อรรถาธิบาย คือ กระบวนการจัดการ ที่ทำให้ทุกคนที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้มีสิทธิ์ที่เท่าเทียมกัน มีฐานันดรเดียวกัน ไม่ขึ้นกับฐานะ หรือวรรณะ เปรียบดังทุกคนคือ อิฐก้อนหนึ่ง ที่นำมาก่อเป็นเจดีย์นั้นเอง
กระบวนการที่ใช้ปรับให้เท่ากัน จึงตราเป็นกฎ ไม่รับเงินบริจาค และใช้โรงทานเป็นตัวแปร ดั่งเช่นที่ชมรมคนรักสุขภาพกำลังทำ การทานข้าว และซื้อน้ำ ทำให้ทุกคนสามารถเป็นอิฐที่ใช้ก่อเจดีย์ได้ และก็เป็นเพียงก้อนเดียวเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
แต่อิฐก้อนเดียวทำเจดีย์ไม่ได้ จึงต้องอาศัยอิฐจำนวนมากร่วมกัน ก่อเกิดสังคมของคน ที่ไม่ได้เกิดจากกรรม แต่เป็นสังคมของธรรมที่สร้างขึ้นมา แม่ชีเมี้ยนเรียกลักษณะดังกล่าวว่า "ธรรมสามัคคี"
เมื่อมีอิฐมากเท่าใด เจดีย์ก็ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น และสิ่งที่เป็นศูนย์รวมใจของอิฐเหล่านั้น ก็จะสถิตอยู่บนยอดเจดีย์ อันหมายรวมว่า เป็นสิ่งที่อิฐทุกก้อนเทิดทูน และยกไว้นั่นเอง
รูปรอยของเจดีย์ ยังบอกกล่าวให้เห็นว่า มีปลายแหลม อันจะหมายถึง ในช่วงแรก บุคคลที่มานิยมชมชอบก็ยังน้อย จวบจนเวลาผ่านไป ก็จะมีคนมาร่วมมากขึ้น จนเมื่อความนิยมแพร่หลาย ก็เป็นช่วงขององค์เจดีย์ คือมีมหาชนหลั่งไหลมา จึงมีขนาดใหญ่
ด้วยเหตุนี้เอง การปิดประตูต่างๆ ก็ด้วยต้องปรับกระบวนการให้ทุกคน มีสถานะภาพเท่ากัน สามารถเป็นอิฐได้เหมือนกัน และมีขนาดก้อนเดียวเช่นกัน ไม่ว่าจะมีฐานะ หรือฐานันดรใดก็ตาม
เมื่อถอดรูปรอยมาให้เห็น ก็จะเห็นว่า อิฐที่นำมาสร้างเกิดจากดินที่นำไปเผา เปรียบได้ดั่ง คนที่ยังเสมือนดิน ก็ต้องถูกเผาหรือถูกสอน คำสอนก็เสียดแทง หรือทำให้ร้อนรุ่ม ดังไฟที่เผานั่นเอง ผู้ที่ทำได้ สามารถอดทนและทำตาม จนได้ระยะเวลา ผลที่ปรากฎก็จะกลายเป็นอิฐที่นำมาก่อเจดีย์ได้ ผู้ที่ทนไฟไม่ได้ ก็จะแตกหัก เสียหาย ก็จำต้องทิ้งไป
คำทักของแม่ชีเมี้ยนที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวบ่อยๆ คือ แม้สมุนไพรของท่านจะดีสักฉันใด ก็ไม่สามารถช่วยทุกคนได้ ก็คงจะมีเฉพาะกลุ่มคนที่เชื่อและทำตามท่าน เท่านั้น หน้าที่ของท่านคือ ทำสมุนไพร และให้คำสอน ตามแบบของพระพุทธเจ้า ให้เขาเหล่านั้นนำไปพิจารณา ผู้ใดเชื่อและทำตาม เขาก็จะกลายเป็นอิฐให้ท่าน นำไปสร้างเป็นเจดีย์
เจดีย์ของหลวงพ่อนิพนธ์ จะสูงใหญ่หรือต่ำเตี้ย ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่าน แต่ขึ้นกับว่า มีคนเชื่อท่านและทำตามสักเท่าไรนั่นเอง แต่ไม่ว่าเจดีย์จะเล็กหรือใหญ่ มันก็จะแสดงตนให้เห็นว่า หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้ มีคุณค่า และให้ผลแก่ผู้ทำ ทำให้พ้นจากโรคภัยได้จริง เป็นหนึ่งเดียวในโลกใบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ก็พิสูจน์สัจธรรมที่ว่า "ไม่มีความคิดใดของมนุษย์ที่จะเหนือกรรม มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ที่เป็นคู่ปรับตลอดกาล คือธรรมของพระภูมีนั่นเอง"
หากใครจะมาเป็นส่วนหนึ่งของเจดีย์นี้ แต่ไม่ต้องการถูกเผา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด แอบแฝงมาเช่นไร เมื่อฝนและพายุมา ดินก้อนนั้นก็จะหลุดร่อนออกจากเจดีย์ไปอย่างแน่นอน
ดังนั้นทุกคนจึงมีสิทธิ์ที่จะเป็นอิฐเท่าเทียมกัน และสิทธิ์นั้นมีไว้ช่วยตน กลายเป็นบัญญัติ "ตนพึ่งตน" และการจะอยู่รอดของเจดีย์ก็ด้วยความสามัคคีของเหล่าอิฐนั้นเอง
เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ประกาศสู้กับภัยพิบัติ คือ โรคภัยไข้เจ็บ นั่นก็หมายความว่า กำลังประกาศสร้างเจดีย์ ผู้ที่มาร่วมก็ต้องทำตัวเป็นอิฐ เมื่อเป็นอิฐแล้ว ก็ต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้อง สมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว รู้ตำแหน่งหน้าที่ จึงจะกลายมาเป็นเจดีย์ได้ มิฉะนั้นแล้ว ก็จะเป็นได้แค่เพียงกองอิฐไร้ค่าเท่านั้นเอง
ใครจะมองว่า การกินข้าวแกง ซื้อน้ำ ซ์้อขนม เป็นเรื่องอะไรก็ช่าง แต่เราเห็นว่า นี่แหละช่องทางที่ทำให้เราเป็นอิฐ และหน้าที่ที่ต้องทำ เพื่อให้อิฐอย่างเราท่าน ได้กลายเป็นเจดีย์ให้คนทั่วโลกเห็นว่า "บัญญัติของพระพุทธเจ้า ที่แมีชีเมี้ยนนำมา ทำให้พวกเราทำในสิ่งที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ คือ การหายโรค และเราท่าน คือ คนเหนือคน"
เจดีย์นี้จะตระหง่านท้าทายมนุษย์โลกอื่นๆ ความเชื่ออื่นๆ เป็นประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้อ่าน ได้ฟัง
ก็แล้วเราท่าน จะทำตัวเป็นอิฐ ให้คนมาอ่าน มาฟัง หรือจะทำตนเป็นคนอ่านประวัติศาสตร์กันก็เลือกเอา อ่านไปกินยาหมอไป ก็แล้วแต่ใจชอบ
คิดเล่นๆ "ถ้าเงินซื้อบุญได้ พระโคดมก็ไม่ต้องบวชหรอก นำเงินจากท้องพระคลังไปซื้อนิพพานเลย ไม่ดีกว่าหรือ" พิจารณาแล้วจะเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ ศาสนาของพระโคดม จึงยืนยันให้เห็นว่า "ศาสนาพุทธ คือ ศาสนาทำ"
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555
ฟังเขาเล่า - สมุนไพรกับโรคมะเร็ง
เรานั่งอยู่ในชมรมคนรักสุขภาพ แล้วได้ยินคนไข้เขาคุยกัน เลยมาเล่าให้ฟังเล่น ว่าเขาคิดกันอย่างไร
ท่านแรกเป็นผู้หญิงวัยกลางคน เป็นมะเร็งในมดลูก ทานสมุนไพรมาเกือบปีแล้ว
เขาเล่าว่า กรณีของเขาถือว่าโชคดี เพราะเขายังไม่เคยรักษาทางการแพทย์ ไม่เคยทำเคมีบำบัด หรือคีโมใดๆ เลย
ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของการทานสมุนไพร จะมีลิ่มเลือด พร้อมเลือด รวมทั้งเมือกที่มีกลิ่นคาวปลาออกมาทุกวัน จนสามีสงสารจะพาไปหาหมอ มีอาการปวดเหมือนมีมีดกรีด อุปมาให้ฟังว่า ขนาดผ่าท้องคลอดมาสองครั้ง ยังไม่เจ็บเท่านี้เลย
ด้วยความที่เชื่อในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงสั่งสามีว่า ถ้าหนูไม่หมดสติ ห้ามพาไปโรงพยาบาลโดยเด็ดขาด โดยใช้ความอดทนจนอาการค่อยๆ เบาลง และหมดไปในเดือนที่เจ็ด
ปัจจุบัน อาการที่มดลูกหมดไป เกิดอาการปวดที่สะโพกและขาด้านขวา จนอยากที่จะไปบีบนวด เขาจึงถามเจ้าหน้าที่ ได้รับคำตอบว่า หลวงพ่อนิพนธ์เคยกล่าวว่า สมุนไพรมะพร้าว จะทำหน้าที่บีบคั้นและนวดเส้นโดยตรงอยู่แล้ว ร่างกายก็ล้าพอควรอยู่แล้ว หากเราไปนวดบีบเค้นซ้ำอีก จะทำให้ร่างกายบอบช้ำหนัก อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้ จึงไม่แนะนำให้ทำ ควรใช้ความอดทน และท่องคาถาของพระพุทธเจ้า "กรรมเราทำมา เราจะยอมใช้ เรายอมทุกข์วันนี้ เพื่อสุขในวันหน้า"
เราก็เชื่อว่าคนไข้ท่านนี้ คงใกล้จะประสพความสำเร็จในการใช้แนวทางของแม่ชีเมี้ยนในไม่ช้านี้เป็นแน่แท้
คนไข้ท่านที่สอง เป็นชายอายุค่อนข้างมาก ฟังเขาคุยกันจับความได้ว่า คงจะเป็นมะเร็งในไขสันหลัง ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดได้ และระบบเริ่มมีอาการรวน ระดับแคลเซียม และอื่นๆ แปรปรวนไปหมด
คนไข้ท่านนี้กล่าวกับคนไข้ใหม่ว่า เขามาได้ประมาณสี่เดือนแล้ว เมื่อก่อนต้องทานยาสร้างเม็ดเลือด วันละสี่เม็ด จนปัจจุบัน หมอได้ตรวจร่างกาย ว่ามีสภาพดีขึ้น และกล่าวว่า สามารถลดยาสร้างเม็ดเลือดลงเหลือสองเม็ดได้แล้ว ระบบต่างๆ เริ่มกลับมาเป็นปกติ
เขากล่าวว่า สมุนไพรก็ดีอยู่หรอก แต่มาแต่ละครั้ง มันลำบาก เสียเวลาทั้งวัน บ้านเขาอยู่ไกลถึงกรุงเทพ เกิดอาการเบื่อเพราะต้องมานอนรอสมุนไพร ในขณะที่เขาถามคนไข้ใหม่กลับไปว่า แล้วคุณมาจากไหนกัน
คำตอบที่ได้คือ ระยอง พร้อมกับคำถามว่า กรุงเทพไม่ไกลหรอก ลุงมาทานแล้วสภาพดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ ช่วยตัวเองได้ ทำงานได้ ก็แล้วทำไมลุงจึงเบื่อ และบ่นว่ามาไกลหล่ะ ทั้งๆ ที่มาแล้วดีขึ้น สำหรับตัวเขา ถ้าทานแล้วดีขึ้น เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก แค่ระยองสบายมาก
เราฟังสองคนคุยกัน พร้อมคำถามเฉกเช่นคนไข้ใหม่ ว่าอะไรทำให้สถานที่นี้น่าเบื่อ ..... จนตอนนี้เราก็ยังคิดไม่ออก สถานที่ของแม่ชีเมี้ยน ที่ให้ชีวิตกลับฟื้นคืนมาใหม่ เป็นสถานที่น่าเบื่อได้อย่างไร
ถึงบางอ้อ เราจึงไม่แปลกใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดในห้องสวดมนต์เสมอว่า สิ่งที่ท่านพูด คนชอบก็มี คนเกลียดก็เยอะ ฟังไปคิดไป เมื่อไรจะเลิกพูดสักทีว่ะ แม้ว่าคำพูดเหล่านี้ จะมีไว้เพื่อช่วยชีวิตของคนผู้นั้นก็ตามที
ท่านแรกเป็นผู้หญิงวัยกลางคน เป็นมะเร็งในมดลูก ทานสมุนไพรมาเกือบปีแล้ว
เขาเล่าว่า กรณีของเขาถือว่าโชคดี เพราะเขายังไม่เคยรักษาทางการแพทย์ ไม่เคยทำเคมีบำบัด หรือคีโมใดๆ เลย
ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของการทานสมุนไพร จะมีลิ่มเลือด พร้อมเลือด รวมทั้งเมือกที่มีกลิ่นคาวปลาออกมาทุกวัน จนสามีสงสารจะพาไปหาหมอ มีอาการปวดเหมือนมีมีดกรีด อุปมาให้ฟังว่า ขนาดผ่าท้องคลอดมาสองครั้ง ยังไม่เจ็บเท่านี้เลย
ด้วยความที่เชื่อในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงสั่งสามีว่า ถ้าหนูไม่หมดสติ ห้ามพาไปโรงพยาบาลโดยเด็ดขาด โดยใช้ความอดทนจนอาการค่อยๆ เบาลง และหมดไปในเดือนที่เจ็ด
ปัจจุบัน อาการที่มดลูกหมดไป เกิดอาการปวดที่สะโพกและขาด้านขวา จนอยากที่จะไปบีบนวด เขาจึงถามเจ้าหน้าที่ ได้รับคำตอบว่า หลวงพ่อนิพนธ์เคยกล่าวว่า สมุนไพรมะพร้าว จะทำหน้าที่บีบคั้นและนวดเส้นโดยตรงอยู่แล้ว ร่างกายก็ล้าพอควรอยู่แล้ว หากเราไปนวดบีบเค้นซ้ำอีก จะทำให้ร่างกายบอบช้ำหนัก อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้ จึงไม่แนะนำให้ทำ ควรใช้ความอดทน และท่องคาถาของพระพุทธเจ้า "กรรมเราทำมา เราจะยอมใช้ เรายอมทุกข์วันนี้ เพื่อสุขในวันหน้า"
เราก็เชื่อว่าคนไข้ท่านนี้ คงใกล้จะประสพความสำเร็จในการใช้แนวทางของแม่ชีเมี้ยนในไม่ช้านี้เป็นแน่แท้
คนไข้ท่านที่สอง เป็นชายอายุค่อนข้างมาก ฟังเขาคุยกันจับความได้ว่า คงจะเป็นมะเร็งในไขสันหลัง ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดได้ และระบบเริ่มมีอาการรวน ระดับแคลเซียม และอื่นๆ แปรปรวนไปหมด
คนไข้ท่านนี้กล่าวกับคนไข้ใหม่ว่า เขามาได้ประมาณสี่เดือนแล้ว เมื่อก่อนต้องทานยาสร้างเม็ดเลือด วันละสี่เม็ด จนปัจจุบัน หมอได้ตรวจร่างกาย ว่ามีสภาพดีขึ้น และกล่าวว่า สามารถลดยาสร้างเม็ดเลือดลงเหลือสองเม็ดได้แล้ว ระบบต่างๆ เริ่มกลับมาเป็นปกติ
เขากล่าวว่า สมุนไพรก็ดีอยู่หรอก แต่มาแต่ละครั้ง มันลำบาก เสียเวลาทั้งวัน บ้านเขาอยู่ไกลถึงกรุงเทพ เกิดอาการเบื่อเพราะต้องมานอนรอสมุนไพร ในขณะที่เขาถามคนไข้ใหม่กลับไปว่า แล้วคุณมาจากไหนกัน
คำตอบที่ได้คือ ระยอง พร้อมกับคำถามว่า กรุงเทพไม่ไกลหรอก ลุงมาทานแล้วสภาพดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ ช่วยตัวเองได้ ทำงานได้ ก็แล้วทำไมลุงจึงเบื่อ และบ่นว่ามาไกลหล่ะ ทั้งๆ ที่มาแล้วดีขึ้น สำหรับตัวเขา ถ้าทานแล้วดีขึ้น เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก แค่ระยองสบายมาก
เราฟังสองคนคุยกัน พร้อมคำถามเฉกเช่นคนไข้ใหม่ ว่าอะไรทำให้สถานที่นี้น่าเบื่อ ..... จนตอนนี้เราก็ยังคิดไม่ออก สถานที่ของแม่ชีเมี้ยน ที่ให้ชีวิตกลับฟื้นคืนมาใหม่ เป็นสถานที่น่าเบื่อได้อย่างไร
ถึงบางอ้อ เราจึงไม่แปลกใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดในห้องสวดมนต์เสมอว่า สิ่งที่ท่านพูด คนชอบก็มี คนเกลียดก็เยอะ ฟังไปคิดไป เมื่อไรจะเลิกพูดสักทีว่ะ แม้ว่าคำพูดเหล่านี้ จะมีไว้เพื่อช่วยชีวิตของคนผู้นั้นก็ตามที
เหตุและผล - ทางเลือกและทางรอด
ช่วงนี้ถ้าใครได้เดินเข้าชมรมคนรักสุขภาพ อาจจะเห็นภาพที่ไม่ค่อยคุ้นกัน นั่นคือ จะมีผู้หญิงสามคน ที่มักเกาะกลุ่มกัน และก็พูดภาษาอังกฤษกันตลอดเวลา
ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะสองท่านเป็นหมอซึ่งเป็นคนไทย อีกท่านหนึ่งเป็นหมอฟิลิปปินส์นั่นเอง เวลาคุยกันจึงต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง
หมอสามคนมาอยู่สถานที่นี้พร้อมกันทำไม คำตอบก็คือ มาเป็นคนไข้ของหลวงพ่อนิพนธ์นั่นเอง สิ่งที่น่าแปลกคือ ทั้งสามยังเพิ่งจะเข้าวัยกลางคน ผ่านการเรียนด้วยแพทย์สมัยใหม่ อะไรทำให้เขาวางใจและยอมมาทานสมุนไพร ที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เล่าเรียนมาอย่างสิ้นเชิง
ด้วยตรรกะความเป็นจริง ในนิสัยของหมอ ย่อมยากจะเชื่อถือในสมุนไพร นอกจากเขาได้พิสูจน์จนเห็นจริงแล้วนั่นเอง หนึ่งในสามของหมอ เป็นโรคเก๊าต์ และมีระดับคลอเรสตอเรลในเลือดสูง หลวงพ่อนิพนธ์จึงจัดยาขาตั้งให้ทาน
เมื่อเขาเห็นตัวยาสมุนไพรขาตั้ง ซึ่งมีสภาพเป็นมัน จึงยังไม่ทาน ขอส่งตัวอย่างไปตรวจสอบก่อน เพราะเขาสงสัยและคาดว่า มันน่าจะทำให้คลอเรสเตอเรลสูง
หลวงพ่อนิพนธ์อนุญาต ให้ทำได้ ตัวยาสมุนไพรขาตั้งจึงถูกส่งเข้าแล็ปที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งสามารถเชื่อถือในผลได้ ผลที่ปรากฎออกมาทำให้คุณหมอต้องทึ่ง ในสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนสูตรนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะผลตรวจวิเคราะห์ปรากฎว่า สรรพคุณของสมุนไพรนี้ เฉกเช่นเดียวกับน้ำในไขข้อกระดูกของคนเรา ไม่มีคลอเรสเตอเรล ซึ่งเป็นที่ผิดคาดกับสิ่งที่เห็นเป็นมันลอยฟ่องอยู่
หมอจึงรับประทานอย่างวางใจ พร้อมกับทึ่งว่า แม่ชีเมี้ยนรู้ได้อย่างไร และทำได้อย่างไร สิ่งนี้เป็นที่ต้องการของวงการแพทย์แต่ก็ไม่สามารถทำขึ้นได้
เขาเหล่านี้เป็นหมอ ก่อนทานตรวจแล้วตรวจอีกเพื่อให้มั่นใจ เมื่อมั่นใจก็เทใจ ทานสมุนไพรโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ อีก แม้วิธีนี้จะตรงข้ามกับสิ่งที่เล่าเรียนมาก็ตาม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า "สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านมาตรา ๑๗ ของสฤษด์ มาจนทุกวันนี้ ย่อมวางใจได้ว่า มีสรรพคุณเป็นที่ยอมรับ" ก็ถ้าจะมาทานแล้วลังเล ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ มีเสตียรอยด์ไหม สะอาดไหม ท่านว่า "อย่ามาให้เสียเวลาเลย ไม่ประสพผลหรอก"
ยิ่งไปกว่านั้น คำเตือนที่แม่ชีเมี้ยนตรัสให้สติ ยังดังก้อง นั่นคือ สมุนไพรไม่ได้มีให้มนุษย์ทั้งโลก เป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้มีไว้ให้สำหรับคนที่เชื่อและทำตาม เป็นทางเลือกและทางรอด สำหรับคนที่เชื่อพระพุทธเจ้า ซึ่งก็นับดูแล้วคงมีไม่มากนัก อาจเพียงแค่ไม่กี่แสนคน เมื่อเทียบเปอร์เซ็นต์มนุษย์แล้วน้อยมาก แต่ที่สำคัญ "ผู้ทำได้ คือผู้รอดจากโรคภัย" เขาเหล่านั้นทำในสิ่งที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ ผู้ที่ทำได้จึงจัดว่าเป็นคนเหนือคน และรักตัวเองจริง
ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะสองท่านเป็นหมอซึ่งเป็นคนไทย อีกท่านหนึ่งเป็นหมอฟิลิปปินส์นั่นเอง เวลาคุยกันจึงต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง
หมอสามคนมาอยู่สถานที่นี้พร้อมกันทำไม คำตอบก็คือ มาเป็นคนไข้ของหลวงพ่อนิพนธ์นั่นเอง สิ่งที่น่าแปลกคือ ทั้งสามยังเพิ่งจะเข้าวัยกลางคน ผ่านการเรียนด้วยแพทย์สมัยใหม่ อะไรทำให้เขาวางใจและยอมมาทานสมุนไพร ที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เล่าเรียนมาอย่างสิ้นเชิง
ด้วยตรรกะความเป็นจริง ในนิสัยของหมอ ย่อมยากจะเชื่อถือในสมุนไพร นอกจากเขาได้พิสูจน์จนเห็นจริงแล้วนั่นเอง หนึ่งในสามของหมอ เป็นโรคเก๊าต์ และมีระดับคลอเรสตอเรลในเลือดสูง หลวงพ่อนิพนธ์จึงจัดยาขาตั้งให้ทาน
เมื่อเขาเห็นตัวยาสมุนไพรขาตั้ง ซึ่งมีสภาพเป็นมัน จึงยังไม่ทาน ขอส่งตัวอย่างไปตรวจสอบก่อน เพราะเขาสงสัยและคาดว่า มันน่าจะทำให้คลอเรสเตอเรลสูง
หลวงพ่อนิพนธ์อนุญาต ให้ทำได้ ตัวยาสมุนไพรขาตั้งจึงถูกส่งเข้าแล็ปที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งสามารถเชื่อถือในผลได้ ผลที่ปรากฎออกมาทำให้คุณหมอต้องทึ่ง ในสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนสูตรนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะผลตรวจวิเคราะห์ปรากฎว่า สรรพคุณของสมุนไพรนี้ เฉกเช่นเดียวกับน้ำในไขข้อกระดูกของคนเรา ไม่มีคลอเรสเตอเรล ซึ่งเป็นที่ผิดคาดกับสิ่งที่เห็นเป็นมันลอยฟ่องอยู่
หมอจึงรับประทานอย่างวางใจ พร้อมกับทึ่งว่า แม่ชีเมี้ยนรู้ได้อย่างไร และทำได้อย่างไร สิ่งนี้เป็นที่ต้องการของวงการแพทย์แต่ก็ไม่สามารถทำขึ้นได้
เขาเหล่านี้เป็นหมอ ก่อนทานตรวจแล้วตรวจอีกเพื่อให้มั่นใจ เมื่อมั่นใจก็เทใจ ทานสมุนไพรโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ อีก แม้วิธีนี้จะตรงข้ามกับสิ่งที่เล่าเรียนมาก็ตาม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า "สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านมาตรา ๑๗ ของสฤษด์ มาจนทุกวันนี้ ย่อมวางใจได้ว่า มีสรรพคุณเป็นที่ยอมรับ" ก็ถ้าจะมาทานแล้วลังเล ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ มีเสตียรอยด์ไหม สะอาดไหม ท่านว่า "อย่ามาให้เสียเวลาเลย ไม่ประสพผลหรอก"
ยิ่งไปกว่านั้น คำเตือนที่แม่ชีเมี้ยนตรัสให้สติ ยังดังก้อง นั่นคือ สมุนไพรไม่ได้มีให้มนุษย์ทั้งโลก เป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้มีไว้ให้สำหรับคนที่เชื่อและทำตาม เป็นทางเลือกและทางรอด สำหรับคนที่เชื่อพระพุทธเจ้า ซึ่งก็นับดูแล้วคงมีไม่มากนัก อาจเพียงแค่ไม่กี่แสนคน เมื่อเทียบเปอร์เซ็นต์มนุษย์แล้วน้อยมาก แต่ที่สำคัญ "ผู้ทำได้ คือผู้รอดจากโรคภัย" เขาเหล่านั้นทำในสิ่งที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ ผู้ที่ทำได้จึงจัดว่าเป็นคนเหนือคน และรักตัวเองจริง
ใจคน - เมื่อสมุนไพรไม่ใช่คำตอบ แล้วอะไรล่ะ
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้เล่าคำสั่งเสียของ พ.ญ.แสงจันทร์ ที่ฝากมาบอกก่อนเสียว่า ขอกราบขอบคุณหลวงพ่อ และสมุนไพร ที่ทำให้ไม่มีอาการปวดใดๆ แม้มะเร็งจะลามจากตับเข้าต่อมน้ำเหลือง กระจายไปทั่วตัวก็ตาม
ตำนานอีกหน้าหนึ่งที่ได้เป็นประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้พิจารณา เริ่มจากการเป็นเป็นมะเร็งตับ และเข้าบำบัดด้วยเคมี คีโม จนร่างกายรับไม่ไหว ผมร่วงหมดศรีษะ ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ จนต้องนั่งรถเข็น พร้อมคำกล่าวของหมอ ผู้ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ว่า "หมดทางรักษาแล้ว ถ้าจะลองแนวทางไหนได้ก็ตามแต่"
ด้วยคำแนะนำจากคนรู้จัก คุณหญิง หรือ ที่คนชมรมมักเรียกกันว่า "อาหมอ" ก็พาร่างกายที่บอบช้ำ มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อเดินในแนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน
ใครจะเชื่อ เพียงเวลาไม่เท่าไร อาหมอก็สามารถช่วยตัวเองได้ ทิ้งรถเข็นมาเดินเองได้ ผมก็เริ่มงอกกลับมาจนเต็มศรีษะ เดินมาทุกสัปดาห์พร้อมรอยยิ้ม และความหวังเต็มเปี่ยม และมักพูดเสมอๆว่า "ฉันมั่นใจว่า ฉันต้องหาย"
สภาพร่างกายของอาหมอ ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป แต่ผลจากการเป็นคนชอบพบปะพูดคุย ก็ทำให้อาหมอพบคนไข้ที่มารักษาที่ชมรมเช่นกัน และคุยกันอย่างถูกคอ
ด้วยความถูกคอกันนั้นเอง คนไข้ท่านนั้นจึงได้เชิญชวนให้อาหมอ ไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน และชี้ให้เห็นว่า สามารถทำให้หายจากโรคมะเร็งได้
อาจจะเป็นเพราะกรรม ดลบันดาลให้อาหมอเห็นชอบ และไปร่วมกิจกรรมนั้น โดยยังคงทานสมุนไพรอยู่ ผลที่ปรากฎให้เห็น คือ สภาพดีวันดีคืน
วันหนึ่ง อาหมอเชื่อว่า ผลที่เกิดมาจากการได้นั่งทำจิต ทำใจนั้น เป็นสาเหตุหลัก และตรงกับความชอบของตน จึงขออนุญาติหลวงพ่อนิพนธ์หยุดทานสมุนไพร และเลือกที่จะเชื่อคำของคนที่มาชวน ไปปฏิบัติอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ผลที่ปรากฎ อาการมะเร็งตับ ที่เคยถูกคุมให้อยู่เฉพาะในตับ เมื่อครั้งทานสมุนไพร ก็ได้ลุกลามเข้าระบบน้ำเหลืองกระจายไปทั่้วตัว
ดัวยเหตุอันใดก็ตาม อาหมอก็ไม่กล้าที่จะกลับมาทานสมุนไพรอีกครั้ง จึงพาตัวเองเข้าโรงพยาบาล
จนวาระสุดท้าย ก็ได้ฝากคำสั่งเสียมายังหลวงพ่อนิพนธ์ อันเป็นการแสดงความเสียใจในการตัดสินใจของตน ที่หลงเชื่อคนไข้คนนั้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวสอนสมาชิกว่า "ทำไมไม่เชื่อพระพุทธเจ้า" กลับไปเชื่อใครก็ไม่รู้ และเมื่อถึงเวลา ชีวิตต้องดับไป ใครคนนั้นเขามารับผิดชอบอะไร
ชีวประวัตินี้ เจตนาเขียนขึ้นเพื่อระลึกถึง และยกไว้เป็นอุทาหรณ์ ให้แก่สมาชิก ได้พิจารณา และเก็บไว้เป็นประโยชน์ โดยหวังว่า การสูญเสียนี้คงไม่สูญเปล่า สิ่งที่อาหมอทิ้งไว้เป็นสติ แลกมาด้วยชีวิตของท่านเอง
อุทาหรณ์นี้ทำให้เราได้คิดในคำพูดของหลวงพ่อนิพนธ์ได้เป็นอย่างดีว่า "อย่าเหยียบเรือสองแคม" สมุนไพรเขาต้องการคนรักเดียวใจเดียว ด้วยเหตุด้วยผล
เชื่อเถอะ แม่ชีเมี้ยนมักย้ำนักย้ำหนาว่า "กรรมมีอำนาจ บังจิตบังใจ" คนที่จะรอด จึงต้องเรียนรู้ และเอาเหตุเอาผล ของพระพุทธเจ้ามาพิจารณา
ก็ใครจะรู้ได้ โดยไม่เรียน ไม่มีหรอก
ตำนานอีกหน้าหนึ่งที่ได้เป็นประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้พิจารณา เริ่มจากการเป็นเป็นมะเร็งตับ และเข้าบำบัดด้วยเคมี คีโม จนร่างกายรับไม่ไหว ผมร่วงหมดศรีษะ ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ จนต้องนั่งรถเข็น พร้อมคำกล่าวของหมอ ผู้ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ว่า "หมดทางรักษาแล้ว ถ้าจะลองแนวทางไหนได้ก็ตามแต่"
ด้วยคำแนะนำจากคนรู้จัก คุณหญิง หรือ ที่คนชมรมมักเรียกกันว่า "อาหมอ" ก็พาร่างกายที่บอบช้ำ มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อเดินในแนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน
ใครจะเชื่อ เพียงเวลาไม่เท่าไร อาหมอก็สามารถช่วยตัวเองได้ ทิ้งรถเข็นมาเดินเองได้ ผมก็เริ่มงอกกลับมาจนเต็มศรีษะ เดินมาทุกสัปดาห์พร้อมรอยยิ้ม และความหวังเต็มเปี่ยม และมักพูดเสมอๆว่า "ฉันมั่นใจว่า ฉันต้องหาย"
สภาพร่างกายของอาหมอ ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป แต่ผลจากการเป็นคนชอบพบปะพูดคุย ก็ทำให้อาหมอพบคนไข้ที่มารักษาที่ชมรมเช่นกัน และคุยกันอย่างถูกคอ
ด้วยความถูกคอกันนั้นเอง คนไข้ท่านนั้นจึงได้เชิญชวนให้อาหมอ ไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน และชี้ให้เห็นว่า สามารถทำให้หายจากโรคมะเร็งได้
อาจจะเป็นเพราะกรรม ดลบันดาลให้อาหมอเห็นชอบ และไปร่วมกิจกรรมนั้น โดยยังคงทานสมุนไพรอยู่ ผลที่ปรากฎให้เห็น คือ สภาพดีวันดีคืน
วันหนึ่ง อาหมอเชื่อว่า ผลที่เกิดมาจากการได้นั่งทำจิต ทำใจนั้น เป็นสาเหตุหลัก และตรงกับความชอบของตน จึงขออนุญาติหลวงพ่อนิพนธ์หยุดทานสมุนไพร และเลือกที่จะเชื่อคำของคนที่มาชวน ไปปฏิบัติอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ผลที่ปรากฎ อาการมะเร็งตับ ที่เคยถูกคุมให้อยู่เฉพาะในตับ เมื่อครั้งทานสมุนไพร ก็ได้ลุกลามเข้าระบบน้ำเหลืองกระจายไปทั่้วตัว
ดัวยเหตุอันใดก็ตาม อาหมอก็ไม่กล้าที่จะกลับมาทานสมุนไพรอีกครั้ง จึงพาตัวเองเข้าโรงพยาบาล
จนวาระสุดท้าย ก็ได้ฝากคำสั่งเสียมายังหลวงพ่อนิพนธ์ อันเป็นการแสดงความเสียใจในการตัดสินใจของตน ที่หลงเชื่อคนไข้คนนั้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวสอนสมาชิกว่า "ทำไมไม่เชื่อพระพุทธเจ้า" กลับไปเชื่อใครก็ไม่รู้ และเมื่อถึงเวลา ชีวิตต้องดับไป ใครคนนั้นเขามารับผิดชอบอะไร
ชีวประวัตินี้ เจตนาเขียนขึ้นเพื่อระลึกถึง และยกไว้เป็นอุทาหรณ์ ให้แก่สมาชิก ได้พิจารณา และเก็บไว้เป็นประโยชน์ โดยหวังว่า การสูญเสียนี้คงไม่สูญเปล่า สิ่งที่อาหมอทิ้งไว้เป็นสติ แลกมาด้วยชีวิตของท่านเอง
อุทาหรณ์นี้ทำให้เราได้คิดในคำพูดของหลวงพ่อนิพนธ์ได้เป็นอย่างดีว่า "อย่าเหยียบเรือสองแคม" สมุนไพรเขาต้องการคนรักเดียวใจเดียว ด้วยเหตุด้วยผล
เชื่อเถอะ แม่ชีเมี้ยนมักย้ำนักย้ำหนาว่า "กรรมมีอำนาจ บังจิตบังใจ" คนที่จะรอด จึงต้องเรียนรู้ และเอาเหตุเอาผล ของพระพุทธเจ้ามาพิจารณา
ก็ใครจะรู้ได้ โดยไม่เรียน ไม่มีหรอก
วัดใจ - มูลนิธิไทยกรุณาจะไปรอดหรือไม่ ใครกำหนด?
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้กล่าวตั้งแต่ต้นปี และเน้นย้ำเสมอๆ ว่า ปีนี้ กรรมมันแรง ดังนั้นการดำเนินกิจกรรม จึงต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ารูปเข้ารอย ตามบทบัญญัติของพระพุทธเจ้า มากยิ่งขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดมุ่งไปสู่บทพิสูจน์ของหลัก "ตนพึ่งตน" ของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นหลักที่มนุษย์ใช้พึ่ง เพื่อเป็นหนทางสู่มรรคผลแห่งลาภอันประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ให้ คือ "ความไม่มีโรค"
ม่านอันแรกที่ถูกปิดไป คือ ม่านของการรับความช่วยเหลือจากเหล่ากรรมการ เป็นรายเดือน ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปได้มาเป็นหลักในการช่วยเหลือกิจการ ให้ดำเนินต่อไปได้ ที่ซึ่งท่านมักจะกล่าวว่า การกระทำลักษณะนี้ค่อนข้างเสี่ยง ก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย และไม่ตรงตามบัญญัตินัก แต่ก็มีความจำเป็นในเวลานั้น แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้อีก จึงต้องปิดม่านนี้เป็นอันดับแรก
ประตูเล็กๆ ทางหนึ่ง ก็ได้ปิดม่านตามมาเช่นกัน นั่นคือ การบริจาคช่วยสมทบในการจัดซื้อสมุนไพร อันเคยเปิดให้ เพื่อแก้ปัญหาคนที่แอบอ้าง และไปเรี่ยไร โดยใช้การซื้อสมุนไพรเป็นเครื่องมือ จนเกิดปัญหาตามมามากมาย ท่านจึงดำริให้เปิดประตูเล็กๆ นี้ โดยสมาชิกสามารถร่วมกันสมทบทุน เพื่อซื้อสมุนไพรได้ที่เดียว คือร้านรองเท้า ด้านหลังโรงอาหาร แต่มา ณ วันนี้ ท่านก็เห็นว่า ประตูนี้ก็ไม่สมควรดำรงอยู่ ด้วยก่อให้เกิดปัญหาพอสมควร จึงได้ปิดลงในสัปดาห์หน้าเช่นกัน
ในขณะที่ประตูเริ่มทยอยปิด เพื่อให้เหลือเฉพาะที่ถูกต้องตามพุทธบัญญัตินั้น ก็มีโรคแทรกซ้อนเข้ามาอีกประการ คือ การแจ้งตรวจจากสรรพากร เพื่อเรียกเก็บภาษี จากการขายอาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งเป็นประตูเดียวที่ยังเหลืออยู่ นั่นเอง ดังนั้น ในวันพฤหัสหน้านี้ จะมีเจ้าหน้าที่สรรพากร มาตรวจสอบ ก็ไม่ต้องตกใจ
สถานที่นี้ ไม่เคยได้รับการส่งเสริม และสนับสนุน จากภาครัฐ ทั้งๆ ที่ดำรงไว้เพื่อการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ และมีผลเป็นที่ประจักษ์มากมาย กลับได้รับการตอบสนองจากภาครัฐ โดยการเรียกเก็บภาษีเป็นการตอบแทน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สถานที่นี้ จะอยู่ได้หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับน้ำใจของเหล่าสมาชิก ที่จะช่วยกัน ไม่มีประตูรับบริจาคใดๆ เหลืออยู่ นอกจากการทานข้าว ซื้อน้ำ และสิ่งของ ที่ชมรมไทยกรุณาจัดมาจำหน่าย เพื่อนำกำไรมาหมุนเวียนใช้ ทำสมุนไพรแจก พร้อมทั้งจ่ายภาษีให้รัฐ
ท่านจึงกล่าวว่า การดำเนินการในอนาคต ต้องสู้กับการบีบคั้นจากภายนอกสักเท่าใดก็ตาม การดำรงอยู่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากสมาชิกทุกท่าน แต่ถ้ารายได้ไม่พอในการจัดหาสมุนไพร ก็ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าว่า คงต้องปิด เพราะสถานที่นี้จะไม่มีการขายสมุนไพรโดยเด็ดขาด
มาถึงวันนี้ ก็คงเป็นวันที่วัดใจสมาชิกว่า สถานที่นี้ ควรค่าแก่การรักษาให้ดำรงอยู่หรือไม่ เพราะการดำรงอยู่ต่อไปนั้น คงสร้างแรงกระเพื่อมให้แก่ผู้ที่โลภ และหากินกับชีวิตมนุษย์มากยิ่งขึ้นทุกวัน
แต่เราเชื่อว่า เหล่าสมาชิกคงจะเห็นคุณค่า และร่วมกันรักษา อย่างน้อยก็ให้ลูกหลานและคนที่เรารัก ได้มีทางเลือกในการรักษาชีวิตจากโรคภัย ที่มีโอกาสประสพผลดังหวังได้
สิ่งหนึ่งที่จะสะท้อนให้เห็น คือ ผลของการกระทำตามพุทธบัญญัติ ยิ่งทำถูกมากเท่าไร สมุนไพรก็ยิ่งมีฤทธิ์มากขึ้นเท่านั้น คำทิ้งท้ายของท่านจึงกล่าวว่า "ถ้าเราอยู่ด้วยแนวทางนี้ได้ อะไรก็หยุดสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนไม่ได้แน่นอน เพราะผลของมันจะมหาศาล"
และวันหนึ่ง หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ท่านจะเห็นฝรั่งมานั่งฟัง และสวดมนต์กันเกลื่อนกลาด เชื่อพยากรณ์นี้หรือไม่
ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดมุ่งไปสู่บทพิสูจน์ของหลัก "ตนพึ่งตน" ของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นหลักที่มนุษย์ใช้พึ่ง เพื่อเป็นหนทางสู่มรรคผลแห่งลาภอันประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ให้ คือ "ความไม่มีโรค"
ม่านอันแรกที่ถูกปิดไป คือ ม่านของการรับความช่วยเหลือจากเหล่ากรรมการ เป็นรายเดือน ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปได้มาเป็นหลักในการช่วยเหลือกิจการ ให้ดำเนินต่อไปได้ ที่ซึ่งท่านมักจะกล่าวว่า การกระทำลักษณะนี้ค่อนข้างเสี่ยง ก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย และไม่ตรงตามบัญญัตินัก แต่ก็มีความจำเป็นในเวลานั้น แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้อีก จึงต้องปิดม่านนี้เป็นอันดับแรก
ประตูเล็กๆ ทางหนึ่ง ก็ได้ปิดม่านตามมาเช่นกัน นั่นคือ การบริจาคช่วยสมทบในการจัดซื้อสมุนไพร อันเคยเปิดให้ เพื่อแก้ปัญหาคนที่แอบอ้าง และไปเรี่ยไร โดยใช้การซื้อสมุนไพรเป็นเครื่องมือ จนเกิดปัญหาตามมามากมาย ท่านจึงดำริให้เปิดประตูเล็กๆ นี้ โดยสมาชิกสามารถร่วมกันสมทบทุน เพื่อซื้อสมุนไพรได้ที่เดียว คือร้านรองเท้า ด้านหลังโรงอาหาร แต่มา ณ วันนี้ ท่านก็เห็นว่า ประตูนี้ก็ไม่สมควรดำรงอยู่ ด้วยก่อให้เกิดปัญหาพอสมควร จึงได้ปิดลงในสัปดาห์หน้าเช่นกัน
ในขณะที่ประตูเริ่มทยอยปิด เพื่อให้เหลือเฉพาะที่ถูกต้องตามพุทธบัญญัตินั้น ก็มีโรคแทรกซ้อนเข้ามาอีกประการ คือ การแจ้งตรวจจากสรรพากร เพื่อเรียกเก็บภาษี จากการขายอาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งเป็นประตูเดียวที่ยังเหลืออยู่ นั่นเอง ดังนั้น ในวันพฤหัสหน้านี้ จะมีเจ้าหน้าที่สรรพากร มาตรวจสอบ ก็ไม่ต้องตกใจ
สถานที่นี้ ไม่เคยได้รับการส่งเสริม และสนับสนุน จากภาครัฐ ทั้งๆ ที่ดำรงไว้เพื่อการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ และมีผลเป็นที่ประจักษ์มากมาย กลับได้รับการตอบสนองจากภาครัฐ โดยการเรียกเก็บภาษีเป็นการตอบแทน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สถานที่นี้ จะอยู่ได้หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับน้ำใจของเหล่าสมาชิก ที่จะช่วยกัน ไม่มีประตูรับบริจาคใดๆ เหลืออยู่ นอกจากการทานข้าว ซื้อน้ำ และสิ่งของ ที่ชมรมไทยกรุณาจัดมาจำหน่าย เพื่อนำกำไรมาหมุนเวียนใช้ ทำสมุนไพรแจก พร้อมทั้งจ่ายภาษีให้รัฐ
ท่านจึงกล่าวว่า การดำเนินการในอนาคต ต้องสู้กับการบีบคั้นจากภายนอกสักเท่าใดก็ตาม การดำรงอยู่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากสมาชิกทุกท่าน แต่ถ้ารายได้ไม่พอในการจัดหาสมุนไพร ก็ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าว่า คงต้องปิด เพราะสถานที่นี้จะไม่มีการขายสมุนไพรโดยเด็ดขาด
มาถึงวันนี้ ก็คงเป็นวันที่วัดใจสมาชิกว่า สถานที่นี้ ควรค่าแก่การรักษาให้ดำรงอยู่หรือไม่ เพราะการดำรงอยู่ต่อไปนั้น คงสร้างแรงกระเพื่อมให้แก่ผู้ที่โลภ และหากินกับชีวิตมนุษย์มากยิ่งขึ้นทุกวัน
แต่เราเชื่อว่า เหล่าสมาชิกคงจะเห็นคุณค่า และร่วมกันรักษา อย่างน้อยก็ให้ลูกหลานและคนที่เรารัก ได้มีทางเลือกในการรักษาชีวิตจากโรคภัย ที่มีโอกาสประสพผลดังหวังได้
สิ่งหนึ่งที่จะสะท้อนให้เห็น คือ ผลของการกระทำตามพุทธบัญญัติ ยิ่งทำถูกมากเท่าไร สมุนไพรก็ยิ่งมีฤทธิ์มากขึ้นเท่านั้น คำทิ้งท้ายของท่านจึงกล่าวว่า "ถ้าเราอยู่ด้วยแนวทางนี้ได้ อะไรก็หยุดสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนไม่ได้แน่นอน เพราะผลของมันจะมหาศาล"
และวันหนึ่ง หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ท่านจะเห็นฝรั่งมานั่งฟัง และสวดมนต์กันเกลื่อนกลาด เชื่อพยากรณ์นี้หรือไม่
วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555
ทำไมเราต้องอธิษฐานก่อนทานสมุนไพร
การกล่าวคำอธิษฐานก่อนทานสมุนไพรของมูลนิธิไทยกรุณา มีเหตุผลอะไร จำเป็นต้องกล่าวทุกครั้งหรือไม่?
ศาสตร์ของพระภูมี เป็นศาสตร์ของศาสนาทำ เมื่อทำได้จึงอธิษฐานขอผลจากสิ่งที่ทำ นั่นแหละเป็นการพึ่งการกระทำของตน
การกระทำที่เห็นกันดาษดื่น คือ ถือดอกไม้ ธูปเทียน มากราบไหว้ และขอ ซึ่งพระภูมีตรัสว่า "เป็นไปไม่ได้" เพราะเป็นการล่วงละเมิดกรรม ผู้ใดทำ ผู้นั้นย่อมรับ ผู้ใดผูก ผู้นั้นย่อมต้องเป็นผู้แก้
ศาสตร์ของท่าน จึงกล่าวว่า "ท่านมีธรรม ให้มาเรียนรู้ แล้วไปทำเอง"
เมื่อทำได้ จึงนำสิ่งที่ทำได้นั้นมาอธิษฐาน ตั้งปรารถนาในสิ่งที่อยากได้
ดังนั้น ทุกการกระทำที่ทำแล้ว แม่ชีเมี้ยนจึงมีบทสอน ในปรารถนานั้นๆ ตามแนวของพระพุทธเจ้า
เราจึงได้ยินคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ให้ทำเช่นนี้ หลังจากได้ทำตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ตามรอยของพระพุทธํเจ้าแล้ว
ที่หิ้งของแม่ชีเมี้ยน เราจะเห็นบทดังกล่าว เขียนอยู่แล้วให้เรากล่าวในขณะที่ถวายของนั้นเอง
หลังจากสวดมนต์ วิทยากร ก็จะนำให้เรากล่าวคำปรารถนาตาม ท่อนหนึ่งที่สำคัญท่ได้ยินเสมอ คือ "ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้เจ้ากรรมนายเวร"
แม้แต่ตอนใส่บาตรพระ ก็จะมีบทกล่าวเช่นกัน
สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ ต้องทำก่อน แล้วจึงขอ สะท้อนให้เห็นความจริงว่า "ใครทำใครได้ ไม่ทำก็ไม่ได้" นั่นแหละความจริงของหลัก "ตนพึ่งตน"
ผู้ป่วยที่มาสถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า พวกหัวหมอ จะมารับแต่สมุนไพร อย่างอื่นไม่สน สวดมนต์ไม่เอา นอนเล่นดีกว่า คำสอนแม่ชีเมี้ยนที่ถ่ายทอดมาให้ฟัง พิจารณา แล้วทำ ก็กลายเป็นของน่าเบื่อสำหรับคนพวกนี้ ท่านจึงเน้นย้ำว่า "ไม่มีทาง หายจากโรค ด้วยการกระทำเช่นนี้แน่"
และที่สำคัญ เมื่อทำแล้วไม่ตั้งปรารถนา ผลนั้นก็จะล่องลอยไป ไม่เกิดประโยชน์
และปรารถนาสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำ คือ "ปรารถนา มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑"
พวกที่เป่า เสก ทานยา แล้วจะให้หายโรค โดยไม่ต้องทำอะไรเลย บทลงเอย จึงเหมือนกัน คือ "เป็นไปไม่ได้"
เมื่อพิจารณาคำสอนแล้ว เห็นได้ว่า ที่ท่านกล่าวว่า "โรคไม่น่ากลัว เพราะธรรมเขาชนะกรรมอยู่แล้ว แต่ที่กลัวคือ ผู้ทำไม่ยอมน้อมนำธรรมที่ได้ยิน ได้ฟัง ไปทำต่างหาก"
คำอธิษฐานก่อนทานสมุนไพร จึงมีความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ แล้วกล่าวทุกครั้ง หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า เหมือนเราสั่งให้เขาทำ มิฉะนั้นแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ถูกนั่นเอง แล้วท่านหละ รู้แล้วหรือยังว่า แม่ชีเมี้ยนเขาสอนให้กล่าวเช่นไร
ไม่เรียน ก็ไม่รู้ ไม่รู้ ก็ทำผิด ทำผิด ผลก็ไม่ได้ แล้วจะไปโทษใคร
ทานสมุนไพรหวังผล ท่านจึงสอนว่า ต้องทานให้เป็นนั่นเอง...
พิจารณาให้เห็น แล้วก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไม จึงต้องใช้สองสิ่งคู่กัน ดั่งคำขวัญ "สมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม" พิจารณาได้ ก็จะเห็นตามหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไม่ว่าโรคจะสาหัส ดังคำของหมอสักเท่าใด เมื่อทำได้ตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน มองข้ามโรคได้เลย มาดูนิสัยเราท่านกันดีกว่า
ศาสตร์ของพระภูมี เป็นศาสตร์ของศาสนาทำ เมื่อทำได้จึงอธิษฐานขอผลจากสิ่งที่ทำ นั่นแหละเป็นการพึ่งการกระทำของตน
การกระทำที่เห็นกันดาษดื่น คือ ถือดอกไม้ ธูปเทียน มากราบไหว้ และขอ ซึ่งพระภูมีตรัสว่า "เป็นไปไม่ได้" เพราะเป็นการล่วงละเมิดกรรม ผู้ใดทำ ผู้นั้นย่อมรับ ผู้ใดผูก ผู้นั้นย่อมต้องเป็นผู้แก้
ศาสตร์ของท่าน จึงกล่าวว่า "ท่านมีธรรม ให้มาเรียนรู้ แล้วไปทำเอง"
เมื่อทำได้ จึงนำสิ่งที่ทำได้นั้นมาอธิษฐาน ตั้งปรารถนาในสิ่งที่อยากได้
ดังนั้น ทุกการกระทำที่ทำแล้ว แม่ชีเมี้ยนจึงมีบทสอน ในปรารถนานั้นๆ ตามแนวของพระพุทธเจ้า
เราจึงได้ยินคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ให้ทำเช่นนี้ หลังจากได้ทำตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ตามรอยของพระพุทธํเจ้าแล้ว
ที่หิ้งของแม่ชีเมี้ยน เราจะเห็นบทดังกล่าว เขียนอยู่แล้วให้เรากล่าวในขณะที่ถวายของนั้นเอง
หลังจากสวดมนต์ วิทยากร ก็จะนำให้เรากล่าวคำปรารถนาตาม ท่อนหนึ่งที่สำคัญท่ได้ยินเสมอ คือ "ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้เจ้ากรรมนายเวร"
แม้แต่ตอนใส่บาตรพระ ก็จะมีบทกล่าวเช่นกัน
สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ ต้องทำก่อน แล้วจึงขอ สะท้อนให้เห็นความจริงว่า "ใครทำใครได้ ไม่ทำก็ไม่ได้" นั่นแหละความจริงของหลัก "ตนพึ่งตน"
ผู้ป่วยที่มาสถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า พวกหัวหมอ จะมารับแต่สมุนไพร อย่างอื่นไม่สน สวดมนต์ไม่เอา นอนเล่นดีกว่า คำสอนแม่ชีเมี้ยนที่ถ่ายทอดมาให้ฟัง พิจารณา แล้วทำ ก็กลายเป็นของน่าเบื่อสำหรับคนพวกนี้ ท่านจึงเน้นย้ำว่า "ไม่มีทาง หายจากโรค ด้วยการกระทำเช่นนี้แน่"
และที่สำคัญ เมื่อทำแล้วไม่ตั้งปรารถนา ผลนั้นก็จะล่องลอยไป ไม่เกิดประโยชน์
และปรารถนาสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำ คือ "ปรารถนา มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑"
พวกที่เป่า เสก ทานยา แล้วจะให้หายโรค โดยไม่ต้องทำอะไรเลย บทลงเอย จึงเหมือนกัน คือ "เป็นไปไม่ได้"
เมื่อพิจารณาคำสอนแล้ว เห็นได้ว่า ที่ท่านกล่าวว่า "โรคไม่น่ากลัว เพราะธรรมเขาชนะกรรมอยู่แล้ว แต่ที่กลัวคือ ผู้ทำไม่ยอมน้อมนำธรรมที่ได้ยิน ได้ฟัง ไปทำต่างหาก"
คำอธิษฐานก่อนทานสมุนไพร จึงมีความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ แล้วกล่าวทุกครั้ง หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า เหมือนเราสั่งให้เขาทำ มิฉะนั้นแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ถูกนั่นเอง แล้วท่านหละ รู้แล้วหรือยังว่า แม่ชีเมี้ยนเขาสอนให้กล่าวเช่นไร
ไม่เรียน ก็ไม่รู้ ไม่รู้ ก็ทำผิด ทำผิด ผลก็ไม่ได้ แล้วจะไปโทษใคร
ทานสมุนไพรหวังผล ท่านจึงสอนว่า ต้องทานให้เป็นนั่นเอง...
พิจารณาให้เห็น แล้วก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไม จึงต้องใช้สองสิ่งคู่กัน ดั่งคำขวัญ "สมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม" พิจารณาได้ ก็จะเห็นตามหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไม่ว่าโรคจะสาหัส ดังคำของหมอสักเท่าใด เมื่อทำได้ตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน มองข้ามโรคได้เลย มาดูนิสัยเราท่านกันดีกว่า
วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555
คาใจ - ศาสนาต่างกัน จะรักษาสมุนไพรไทยกรุณาได้หรือไม่
ปัญหาหนึ่งที่ประสพมาตลอดในการช่วยคน และเป็นคำถามที่คาใจคนมากมาย นั่นคือ คนที่มีพระเจ้า ลัทธิของตนเอง ซึ่งห้ามมิให้นับถือสิ่งอื่นใด หรือทำสิ่งอื่นใดนอกรีต นั่นเอง
คนเหล่านี้เมื่อมาพบหลวงพ่อนิพนธ์ มักจะพูดด้วยความเศร้า ในกฎกติกานั้นๆ เพราะถ้าเขาทำตามความเชื่อ คำสอน ที่ยึดถือ เขาก็จะไม่รอดจากโรคที่เป็นอยู่ หากเขาทำตามหลวงพ่อนิพนธ์ เขาก็จะเสียซึ่งสิ่งที่ยึดถือไป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า "สิ่งเหล่านั้น พวกท่านคิดไปเอง" ถ้าท่านไปถามพระเจ้าของพวกท่าน พระเจ้าจะตอบว่า "ถ้าพวกท่านไม่มีชีวิตแล้วไซร้ ก็แล้วใครเล่าจะมากราบไหว้ นับถือเรา"
ดังนั้น เมื่อมีคนไข้อาทิเช่น อิสลาม มาขอรับการช่วยเหลือ บางรายเป็นโรคกระดูก ท่านจึงกล่าวว่า ในขณะที่ท่านรักษาตัว ท่านก็ทำตามแม่ชีเมี้ยน สวดมนต์ เหมือนผู้ป่วยอื่นๆ ทานยากระดูกหมู ทำตามคำสอน เพื่อรักษาตัวให้หาย
เมื่อตัวท่านหายแล้ว ท่านก็สามารถกลับไปไหว้ นับถือพระเจ้า ของท่านได้เหมือนเดิม
ก็ถ้าท่านเป็นพระเจ้า ท่านจะคิดอย่างนี้ไหม ....
และถ้าคิดเล่นๆ ตามคำบอกเล่าของคนโบราณ ว่าศาสนาจะรวมเป็นหนึ่งเดิยว เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าแท่งหินสีดำ ในเมืองเมกกะ เกิดแตกออก แล้วมีรูปพระพุทธซ่อนอยู่ด้านใน แสดงให้เห็นรากฐานที่มา ว่ามาจากแหล่งเดียวกัน
ด้วยที่มาล้วนมาจากแหล่งเดียวกัน เมตตาของพระพุทธเจ้า จึงแผ่ไพศาลครอบคลุมมนุษย์ทุกหมู่เหล่า ที่ต้องการสัมผัส และอยากได้ และส่งตัวแทนมารับธรรมของท่านไปปฏิบัติ ให้เกิดความผาสุกแก่คนในหมู่ชนของตนเอง
ความจริงนี้ไม่มีคำตอบ คงต้องรอพระพุทธเจ้าอุบัติก่อนนั่นเอง จึงปรากฎ
คนเหล่านี้เมื่อมาพบหลวงพ่อนิพนธ์ มักจะพูดด้วยความเศร้า ในกฎกติกานั้นๆ เพราะถ้าเขาทำตามความเชื่อ คำสอน ที่ยึดถือ เขาก็จะไม่รอดจากโรคที่เป็นอยู่ หากเขาทำตามหลวงพ่อนิพนธ์ เขาก็จะเสียซึ่งสิ่งที่ยึดถือไป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า "สิ่งเหล่านั้น พวกท่านคิดไปเอง" ถ้าท่านไปถามพระเจ้าของพวกท่าน พระเจ้าจะตอบว่า "ถ้าพวกท่านไม่มีชีวิตแล้วไซร้ ก็แล้วใครเล่าจะมากราบไหว้ นับถือเรา"
ดังนั้น เมื่อมีคนไข้อาทิเช่น อิสลาม มาขอรับการช่วยเหลือ บางรายเป็นโรคกระดูก ท่านจึงกล่าวว่า ในขณะที่ท่านรักษาตัว ท่านก็ทำตามแม่ชีเมี้ยน สวดมนต์ เหมือนผู้ป่วยอื่นๆ ทานยากระดูกหมู ทำตามคำสอน เพื่อรักษาตัวให้หาย
เมื่อตัวท่านหายแล้ว ท่านก็สามารถกลับไปไหว้ นับถือพระเจ้า ของท่านได้เหมือนเดิม
ก็ถ้าท่านเป็นพระเจ้า ท่านจะคิดอย่างนี้ไหม ....
และถ้าคิดเล่นๆ ตามคำบอกเล่าของคนโบราณ ว่าศาสนาจะรวมเป็นหนึ่งเดิยว เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าแท่งหินสีดำ ในเมืองเมกกะ เกิดแตกออก แล้วมีรูปพระพุทธซ่อนอยู่ด้านใน แสดงให้เห็นรากฐานที่มา ว่ามาจากแหล่งเดียวกัน
ด้วยที่มาล้วนมาจากแหล่งเดียวกัน เมตตาของพระพุทธเจ้า จึงแผ่ไพศาลครอบคลุมมนุษย์ทุกหมู่เหล่า ที่ต้องการสัมผัส และอยากได้ และส่งตัวแทนมารับธรรมของท่านไปปฏิบัติ ให้เกิดความผาสุกแก่คนในหมู่ชนของตนเอง
ความจริงนี้ไม่มีคำตอบ คงต้องรอพระพุทธเจ้าอุบัติก่อนนั่นเอง จึงปรากฎ
ศาสตร์แห่งการหายโรค
คำสอนที่ย่อส่วนมาให้เห็น อุปมา โรคดั่งไฟ ที่มีควัน และกรรมคือน้ำมัน ต้นแห่งพลังไฟ นั้นๆ เอง
การแก้ปัญญา ด้วยความคิดมนุษย์ ทำได้แค่เพียง ทำให้ควันนั้นจางลง หรืออาจจะหมดไป เป็นครั้งคราว
ผลที่เกิดคือ ต้นเหตุแห่งปัญหายังอยู่ ไฟก็ยังอยู่ จึงเห็นได้ชัดว่า ขึ้นชื่อว่าโรค คือสิ่งที่จะมาดับอายุขัยแล้ว ความคิดมนุษย์แก้ไม่ได้เลย
ด้วยปัญญาที่เหนือโลก รอบรู้รอบครอบจักรวาล ของพระพุทธเจ้า เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ จึงบัญญัติหนทางแก้ไข ให้มนุษย์ที่เชื่อ แล้วทำตาม จะได้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ
บทบัญญัติของสมุนไพร เพื่อการกำจัดไฟ แลบทบัญญัติของธรรม เพื่อการกำจัดน้ำมัน คือ กรรม อันเป็นต้นเหตุแห่งไฟนั้นๆ
ไฟ คือความร้อนรุ่ม ทำให้เซลล์เครียด ทำงานผิดปกติ ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งก่อให้เกิดมนุษย์ แปรปรวน กระบวนการสมุนไพร จึงมีหน้าที่ ปรับสมดุลย์ของธาตุทั้งสี่ ให้กลับเป็นปกติ
เมื่อธาตุปกติ ร่างกายก็จะสามารถแก้ไขส่วนที่ผิดปกติของร่างกาย ให้กลับดังเดิมได้ กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องทำให้ใจสงบ เพื่อไม่เกิดความเครียด ร่างกายได้ผ่อนคลาย สภาวะของอวัยวะ ก็จะเปลี่ยนจากการหลั่งกรด ที่ทำลาย มาเป็นด่าง ที่เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
การสวดมนต์ และเรียนรู้ เพื่อให้จิตใจพร้อมรับเหตุที่่เกิด หรือ จะพึงเกิด และวางใจ ทานสมุนไพร และรอ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
แลเมื่อไฟดับ น้ำมันซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งไฟ ก็ยังคงอยู่ พร้อมที่จะก่อไฟกองใหม่ขึ้นมาได้ทุกเมื่อ จะทำอย่างไร?
พระภูมี พิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุที่ก่อให้เกิดน้ำมัน คือนิสัยกรรม ดังนั้น จึงต้องตัดทิ้งเสีย ด้วยการสร้างนิสัยธรรม ขึ้นมาแทน
คำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์ ยกมาให้เป็นสติ "กรรมใหม่ไม่สร้าง กรรมเก่ายอมใช้ สักวันต้องหมด"
คำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา เมื่อเรียนรู้ และเข้าใจ ก็จะเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมวิธีการนี้จึงใช้ได้กับทุกโรค โดยสมุนไพร และวินัย เดียวกัน
มหัศจรรย์ ที่ติดตัวเรามา คือ "ท้อง" ที่ซึ่งเป็นขุมพลังชีวิต และการเยียวยาชีวิต ที่ธรรมชาติสรรสร้างมาให้ เพื่อพึ่งตัวเอง กลับกลายเป็นสิ่งธรรมดา จนต้องเรียกร้องให้ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เกจิคณาจารย์ หมอจริง หมอผี มาช่วยแทน
ประโยคเดียว ที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้นำไปคิด "ถ้าสิ่งนั้นๆ ช่วยได้จริง โลกนี้ไม่มีคนเป็นโรคตายหรอก" และพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ก็ต้องเป็นนิยายลวงโลก อย่างแน่นอน
ใครกันแน่ที่ลวงโลก เพราะพระพุทธเจ้าและสาวกที่ทำตาม สำเร็จไปนิพพานกันหมดแล้ว ในเมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ ศาสตร์ที่จะใช้กอบกู้ชีวิตตน หรือคนที่รัก จะนำมาจากไหนกันดี
คำท้าทาย ที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดเสมอๆ คือ "ถ้าสถานที่นี้ช่วยไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปแสวงหาวิธีอื่นใดมาช่วยแล้ว เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน และถ้ามี ท่านก็จะปิดสำนัก แล้วให้คนไปใช้วิธีนั้นๆ แล้ว"
คำท้านี้ ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ยังคงเป็นจริง ด้วยเชื่อมั่นว่า "โลกใบนี้ ไม่มีมนุษย์คนใดที่วิเศษไปกว่าพระพุทธเจ้าแล้วนั่นเอง"
การแก้ปัญญา ด้วยความคิดมนุษย์ ทำได้แค่เพียง ทำให้ควันนั้นจางลง หรืออาจจะหมดไป เป็นครั้งคราว
ผลที่เกิดคือ ต้นเหตุแห่งปัญหายังอยู่ ไฟก็ยังอยู่ จึงเห็นได้ชัดว่า ขึ้นชื่อว่าโรค คือสิ่งที่จะมาดับอายุขัยแล้ว ความคิดมนุษย์แก้ไม่ได้เลย
ด้วยปัญญาที่เหนือโลก รอบรู้รอบครอบจักรวาล ของพระพุทธเจ้า เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ จึงบัญญัติหนทางแก้ไข ให้มนุษย์ที่เชื่อ แล้วทำตาม จะได้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ
บทบัญญัติของสมุนไพร เพื่อการกำจัดไฟ แลบทบัญญัติของธรรม เพื่อการกำจัดน้ำมัน คือ กรรม อันเป็นต้นเหตุแห่งไฟนั้นๆ
ไฟ คือความร้อนรุ่ม ทำให้เซลล์เครียด ทำงานผิดปกติ ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งก่อให้เกิดมนุษย์ แปรปรวน กระบวนการสมุนไพร จึงมีหน้าที่ ปรับสมดุลย์ของธาตุทั้งสี่ ให้กลับเป็นปกติ
เมื่อธาตุปกติ ร่างกายก็จะสามารถแก้ไขส่วนที่ผิดปกติของร่างกาย ให้กลับดังเดิมได้ กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องทำให้ใจสงบ เพื่อไม่เกิดความเครียด ร่างกายได้ผ่อนคลาย สภาวะของอวัยวะ ก็จะเปลี่ยนจากการหลั่งกรด ที่ทำลาย มาเป็นด่าง ที่เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
การสวดมนต์ และเรียนรู้ เพื่อให้จิตใจพร้อมรับเหตุที่่เกิด หรือ จะพึงเกิด และวางใจ ทานสมุนไพร และรอ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
แลเมื่อไฟดับ น้ำมันซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งไฟ ก็ยังคงอยู่ พร้อมที่จะก่อไฟกองใหม่ขึ้นมาได้ทุกเมื่อ จะทำอย่างไร?
พระภูมี พิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุที่ก่อให้เกิดน้ำมัน คือนิสัยกรรม ดังนั้น จึงต้องตัดทิ้งเสีย ด้วยการสร้างนิสัยธรรม ขึ้นมาแทน
คำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์ ยกมาให้เป็นสติ "กรรมใหม่ไม่สร้าง กรรมเก่ายอมใช้ สักวันต้องหมด"
คำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา เมื่อเรียนรู้ และเข้าใจ ก็จะเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมวิธีการนี้จึงใช้ได้กับทุกโรค โดยสมุนไพร และวินัย เดียวกัน
มหัศจรรย์ ที่ติดตัวเรามา คือ "ท้อง" ที่ซึ่งเป็นขุมพลังชีวิต และการเยียวยาชีวิต ที่ธรรมชาติสรรสร้างมาให้ เพื่อพึ่งตัวเอง กลับกลายเป็นสิ่งธรรมดา จนต้องเรียกร้องให้ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เกจิคณาจารย์ หมอจริง หมอผี มาช่วยแทน
ประโยคเดียว ที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้นำไปคิด "ถ้าสิ่งนั้นๆ ช่วยได้จริง โลกนี้ไม่มีคนเป็นโรคตายหรอก" และพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ก็ต้องเป็นนิยายลวงโลก อย่างแน่นอน
ใครกันแน่ที่ลวงโลก เพราะพระพุทธเจ้าและสาวกที่ทำตาม สำเร็จไปนิพพานกันหมดแล้ว ในเมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ ศาสตร์ที่จะใช้กอบกู้ชีวิตตน หรือคนที่รัก จะนำมาจากไหนกันดี
คำท้าทาย ที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดเสมอๆ คือ "ถ้าสถานที่นี้ช่วยไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปแสวงหาวิธีอื่นใดมาช่วยแล้ว เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน และถ้ามี ท่านก็จะปิดสำนัก แล้วให้คนไปใช้วิธีนั้นๆ แล้ว"
คำท้านี้ ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ยังคงเป็นจริง ด้วยเชื่อมั่นว่า "โลกใบนี้ ไม่มีมนุษย์คนใดที่วิเศษไปกว่าพระพุทธเจ้าแล้วนั่นเอง"
วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555
ประตูปิด - ทำไมมูลนิธิไทยกรุณาไม่รับเงินบริจาค
ตั้งแต่เปิดสำนักที่ลพบุรี เมื่อคร้ังปี ๒๕๓๐ สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ปฏิเสธไม่ได้ คือ การรับความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก ที่มีใจอยากช่วยเหลือกิจกรรม อันเป็นสิ่งที่ท่านกล่าวเสมอว่า การกระทำอย่างนั้น ไม่ถูกต้องตามพุทธบัญญติสักเท่าใด แต่ก็เป็นความจำเป็นที่ยังต้องมีอยู่
มาวันนี้ เมื่อถึงคราวที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เราพร้อมจะเปิดศึกสงครามกับโรคภัยไข้เจ็บแล้ว สิ่งที่ต้องตามมาก็คือ การจัดปรับเปลี่ยนกระบวนวิธีการดำเนินงาน ให้ถูกต้องตามพุทธบัญญติเพื่อความปลอดภัย ของทั้งผู้ป่วยและผู้ทำ
ปีนี้ เราจึงเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางนั้น เริ่มจาก การลดลงหรือหมดไปของคณะกรรมการ ที่เคยช่วยเหลือด้านกำลังทรัพย์ มาเป็นการพึ่งลำแข้งของชมรมคนรักสุขภาพเอง โดยอาศัยมวลเหล่าสมาชิกร่วมมือกัน
เมื่อรายได้จากการรับการช่วยเหลือหมดไป ประตูที่คนไข้บางรายเคยใช้ และบางคนในอนาคตอาจจะใช้ ก็หมดไป นั่นคืออาศัยการทำบุญด้วยทรัพย์เพื่อให้บุญนั้นกลับมาค้ำจุนชีวิตตน สิ่งที่เกิดมาแทนคือ ผู้ป่วยทุกคน ต้องมาเรียนรู้ และรับสมุนไพร อีกทั้งต้องทำตัวให้มีคุณสมบัติตามพุทธบัญญัติ ดังเช่นในยุคถ้ำกระบอกที่ทำกัน
ในอดีต เนื่องจากพระไม่รับเงิน ดังนั้น ผู้ป่วยจึงมีหน้าที่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างคือ ต้องหิ้วหมู หิ้วไก่ ผัก เครื่องปรุง มาให้พระ เพื่อที่พระจะได้นำสิ่งเหล่านั้นไปทำให้ผู้ป่วยยาเสพติดทาน
ด้วยองค์ประกอบที่แม่ชีเมี้ยนสอนสั่ง การแก้โรคที่เบ็ดเสร็จ ตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ต้องมีทั้งการทำบุญและทำทาน นั่นเอง การได้ปฏิบัติตามวินัยธรรมของพระพุทธเจ้าก่อให้เกิดบุญ ที่นี่จึงต้องมีการสวดมนต์ ทำจิตทำใจให้สงบและฟังคำสอนที่ถ่ายทอดมาให้ นำไปปฏิบัติ
การกระทำดังกล่าว ก่อให้เกิดบุญ จึงต้องบังคับให้ทุกคนทำทาน โดยการทานอาหาร ซื้อน้ำ หรือขนมตามเทศกาล เงินกำไรที่ได้จะหมุนเวียนไปเป็นสมุนไพร ทำให้คนๆ นั้น อยู่ในฐานะตามพุทธบัญญัติ "ตนพึ่งตน" และส่วนเกินกว่าสมุนไพร นั้นก็จัดว่า เป็นทาน ให้แก่ผู้อื่น
ดังนั้นในปีนี้ หรือปีไหนๆ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สถานที่นี้ ไม่จำเป็นต้องรับการช่วยเหลือด้านเงินจากภายนอก หากแต่ต้องอาศัยบุคคลที่มาเป็นผู้ป่วย มาทานสมุนไพร เป็นกำลังเกื้อหนุน ก่อให้เกิดการหมุนเวียนต่อไป ด้วยตนเอง
ถ้าทำเช่นนั้นได้ ก็จะเข้าพระพุทธบัญญัติของพระพุทธเจ้า อย่างเต็มร้อย ผลที่จะบังเกิดจะมหาศาล กล่าวได้ว่า เมื่อทำถูกต้องตามพุทธบัญญัติแล้ว "แม้สมุนไพรจะเหมือนเดิม สูตรก็สูตรเดิม แต่คุณสมบัติหรือฤทธิ์ ไม่เหมือนเดิม"
ปีนี้ จึงเป็นปีที่ประตูรับการช่วยเหลือจากภายนอกถูกปิดลง แต่ประตูที่รับการช่วยเหลือจากเหล่าสมาชิก ได้ถูกเปิดขึ้น
พระเวสสันดรในอดึต คือบรรดาผู้มีฐานะนั้น จบบทบาทลง พระเวสสันดรในปัจจุบัน คือ ใครก็ได้ ที่เรียนรู่้ และเข้าใจ มาร่วมกันทานสมุนไพร แล้วมาร่วมกันกินข้าวแกง ซื้อน้ำ เพื่อแสดงให้เห็นหลัก "ตนพึ่งตน" ของพระพุทธเจ้า
แล้วมาดูกันว่า ฤทธิ์ของสมุนไพรจะระเบิดเทิดเถิงไปถึงไหน
วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555
คุณธรรม - เมื่อหมอสมัยใหม่เจอกับหมอสมุนไพร อะไรจะเกิดขึ้น?
ผลของการบินมาดูด้วยตาของตัวเอง การข้ามน้ำข้ามทะเลมา ก็ไม่ทำให้หมอผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง ผู้ซึ่งเป็นถึงหัวหน้าของหน่วยงานด้านโรคผิวหนัง ตะลึงด้วยความทึ่งในสิ่งที่พบเห็น
แม้จะไม่ได้เห็น คนไข้ชาวสิงค์โปร์ของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่เป็นโรคประเภทนี้ ซึ่งมีความรุนแรง มิหนำซ้ำยังเป็นพิษ จนถึงขั้น กินทุกข้อ ออกทั้งตัว ที่หายจนกลับไปประกอบอาชีพ ค้าขายระหว่างประเทศแล้ว
แต่คนไข้ที่ร้ายแรงพอกันท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้หญิง ที่มีอาการทางผิวหนัง อย่างรุนแรง แม้จะมีฐานะและทุ่มเทในการรักษาด้วยแผนปัจจุบัน หมดเงินไปมากมาย หลายล้านบาท แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเธอเลย จนสามีต้องกลุ้มใจอย่างมาก เพราะทางบ้านภรรยา กล่าวหาว่า ทำให้ลูกสาวเขาติดเชื้อเอดส์ ทั้งที่ความเป็นจริงเธอเป็นโรคผิวหนังรุนแรง ทำให้ดูผิวเผินมีลักษณะคล้ายคนติดเชื้อ
จากวันวานที่ต้องใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายมิดชิด เพราะไม่สามารถทนแสงแดดได้ วันนี้ เธอสามารถนุ่งกางเกงขาสั้น เสื้อแขนสั้น และมาช่วยงานที่ชมรมคนรักสุขภาพได้ พร้อมกับสุขภาพที่ดีวันดีคืน อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
กระนั้นก็ตาม จากโรคร้ายที่เธอเป็น ก็ยังคงทิ้งร่องรอยไว้บนร่างกายให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก
ด้วยความทึ่งในสิ่งที่เห็นนี้เอง หมอผู้ซึ่งมีดีกรีมากมายในประเทศของตนเอง ก็หาได้มีทิฐิมานะ ด้วยน้ำใจงามและคุณธรรมในตัว และรู้ว่าความสามารถของตนไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ และวิทยาการแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่มีทางทำได้โดยเด็ดขาด ถึงกับเอ่ยปากขอร้องหลวงพ่อนิพนธ์ ว่า "เป็นไปได้ไหม ที่เขาจะขออนุญาติส่งคนไข้ ให้มาทำการรักษากับท่าน"
ด้วยประโยคนี้ แสดงให้เห็นถึงน้ำใจและคุณธรรมของหมอท่านนี้ และถ้ามีหมอประเภทนี้มากๆ เราก็จะได้เห็นคนไข้ได้มีโอกาสประสพความสำเร็จมากยิ่งขึ้น จากความร่วมมือกัน และยอมรับความเป็นจริงว่า ส่วนใดที่แพทย์แผนปัจจุบันทำได้ดี และส่วนใดที่เกินความสามารถ เพื่อให้เกิดทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้
ขอคาราวะ คุณหมอน้ำใจงาม และทำให้ได้รับรู้ว่า หมอดีๆ ก็ยังมีอยู่
ของแถมของหมอที่ได้จากหลวงพ่อนิพนธ์ คือ การได้มารักษาอาการโรคไมเกรนของตัวหมอเองที่เป็นมานาน พร้อมกับความแปลกใจ จนต้องเอ่ยปากถามว่า เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "ถ้ามีใครถามหมอ ก็ให้ตอบเขาว่า มาอยู่กับญาติ อย่าบอกว่ามารักษาตัว"
ทำไม ทำไม คือ คำถาม ที่หมอยิงกลับมายังหลวงพ่อนิพนธ์ และคำตอบที่ได้รับ ยิ่งสร้างความงุนงงให้กับหมอหนักกว่าเก่า "สถานที่ดีๆ อย่างนี้ ถ้าเป็นบ้านเขา ภาครัฐและประชาชน ต้องโปรโมตอย่างเต็มที่ เพราะเป็นชื่อเสียง และคุณธรรมระดับโลก แล้วทำไมที่นี่ ประเทศนี้กลับต้องหลบซ่อน และผิดกฎหมาย ต้องแอบรับคนไข้หนัก เพื่อทำการช่วยเหลือ"
ความต่างที่เขาเห็นเด่นชัดและพูดออกมาคือ คนไทยวัดกันที่ดีกรี ในขณะที่บ้านเขาวัดคน เขาดูที่ผลงาน ด้วยเหตุนี้กระมัง เขาจึงยอมรับหลวงพ่อนิพนธ์ ผู้ซึ่งเพื่อนสนิทที่ไปสอบหมอ ตั้งฉายาว่า "หมอผี" ได้อย่างสนิทใจ
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555
ศูนย์ - คนกับหมา ใครแน่กว่ากัน?
ใครๆ ที่อ่านข่าว "หมา" ก็คิดกันไปหลายๆ แบบ คนรักหมา ก็ดีอกดีใจ รีบทุ่มเทโอนเงินเพื่อช่วยอย่างรีบด่วน กลัวหมาเหล่านั้นมันอด
ยอดเงินช่วยเหลือ พุ่งขึ้นสูงปรี๊ด แสดงถึงความเมตตา และน้ำใจของคนไทยที่มีต่อสรรพสัตว์ อย่างล้นเหลือ
แต่วันนี้ของชมรมคนรักสุขภาพ มีคนเจ็บคนป่วย มารวมกัน มากมายกว่าหมาเหล่านั้นเยอะแยะ คนเหล่านี้หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า "คนโรคท่วม"
ไม่ว่าจะผ่านการพิสูจน์มาสักฉันใด สถานที่นี้ยังไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จากภาครัฐ หรือจากสังคมไทย เพราะจวบจนทุกวันนี้ ข้อจำกัดประการสำคัญ คือ การรับคนไข้ของชมรมคนรักสุขภาพ ยังคงผิดกฏหมาย เนื่องจากไม่มีใบอนุญาต
ดังนั้น ในขณะที่ยอดช่วยเหลือด้านอื่นๆ พุ่งสูงอย่างน่าชื่นชม ยอดช่วยเหลือของชมรมคนรักสุขภาพ ในการส่งเสริมสุขภาพคนไทย ยังคงเป็นศูนย์เช่นเดิม
ส่วนยอดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือ ยอดคนมาใช้บริการ และ คนที่สมหวัง จากการเลือกแนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยนนี้
ช่วงเพียงระยะไม่กี่เดือน สถานที่นี้สร้างความแปลกประหลาดใจ ให้แก่หมอในหลายประเทศ อาทิเช่น หมอด้านผิวหนังของฟิลิปปินส์ หมอโรคมะเร็ง ในรัฐฟิลาเดลเฟีย หมอโรคเบาหวานของสิงค์โปร์ หมอด้านการบำบัดยาเสพติดของมาเลเซีย
ด้วยความฉงน ในสิ่งที่เกิด อย่างไม่น่าเชื่อในคนไข้ของพวกเขา บรรดาหมอเหล่านี้ จึงต้องบินมาเพื่อขอดูว่า วิธีการทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์ ทำอย่างไร คนไข้ที่พวกเขาคิดว่า หมดหนทาง กลับมาปกติได้
ไม่ว่าจะอย่างไร ถึงแม้ผลตอบรับจากภาครัฐของไทยยังนิ่งสงบ หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ท้าทายกฎหมาย ด้วยกฎแห่งธรรม ท่านจึงเปิดรับคนไข้ เข้ามาพักรักษา โดยเฉพาะคนไข้หนัก ที่ต้องการฟื้นฟูอย่างถูกต้อง และใกล้ชิด
วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า เราจะทำให้โลกเห็นว่า "กฎแห่งธรรม" ย่อมเหนือ "กฎหมาย" แม้การตอบรับจากภาครัฐจะเป็นศูนย์ แต่โลกภายนอก กลับเริ่มมีกระแสตอบรับอย่างหนาหูมากขึ้น
วันหนึ่ง ประวัติศาสตร์ของถ้ำกระบอก ก็จะกลับมาปรากฎที่ชมรมคนรักสุขภาพ อีกครั้ง นั่นคือ การได้รับการยอมรับจากอเมริกา จนทำให้รัฐบาลไทย ต้องสนับสนุน และยอมให้ถ้ำกระบอก อยู่เหนือกฎกติกาไม่ขึ้นกับเถระสมาคม
เราเชื่อว่า ในอนาคต ชมรมคนรักสุขภาพ ก็จะต้องรับคนไข้มาพักรักษาได้ โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตจากสาธารณสุข อย่างแน่นอน
ถึงแม้การช่วยเหลือจากภาครัฐจะเป็นศูนย์ แม้ที่นี่จะทำกิจกรรมเพื่อช่วยชีวิต ก็คงจะมีผลแค่ชลอการเติบโต หรือทำให้โครงการบางอย่างเช่น การบำบัดยาเสพติดล่าช้าไปบ้าง แต่คงหยุดการช่วยคนของที่นี่ไม่ได้อย่างแน่นอน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ถ้าวันใด การเกื้อกูลกันของเหล่าสมาชิก จากการรณรงค์ให้สนับสนุนสัมมาอาชีพ เพื่อนำกำไร มาทำสัมมาปฏิบัติ เห็นผล สถานที่นี้จะหยิ่ง และไม่ง้อภาครัฐ เศรษฐี และจะทำให้โลกเห็นว่า "สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน มีคุณค่าสูงยิ่ง ช่วยชีวิตสรรพสัตว์ได้ แต่แจกฟรี"
วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555
ใครน่าพึ่ง น่าพึ่งใคร - สะเก็ดเงิน ไทยกรุณารักษาได้?
วันพฤหัสที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์ ได้รับแขกพิเศษสองท่าน ทั้งสองเป็นแพทย์ผิวหนัง ที่เชี่ยวชาญ ท่านหนึ่งเป็นแพทย์ไทย อีกท่านหนึ่งเป็นแพทย์มาจากฟิลิปปินส์
แพทย์ทั้งสอง พกความสงสัย จึงอยากมาดู มาสัมผัสด้วยตนเอง จึงขอร้องคนไข้ของเขาให้พามาดู
ด้วยเหตุที่ คนไข้ที่ทำการรักษา กับแพทย์ทั้งสอง ที่ป่วยด้วยโรคสะเก็ดเงิน มีอาการรุนแรง จนหมดทางเยียวยา หรือ หมดแนวทางที่จะแก้ไขแล้วนั่นเอง
แต่มาวันนี้ คนไข้ที่พวกเขาลงความเห็นว่าหมดหนทาง กลับมีอาการดีวัน ดีคืน จนกลับมาปกติ สร้างความสงสัยให้แก่พวกเขา เพราะแนวทางการแพทย์ที่มีอยู่ ไม่สามารถทำได้
คำถามที่ยิงไปยังคนไข้ ได้คำตอบคือ สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
ความอยากรู้ อยากเห็น และไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ จึงต้องบินข้ามน้ำ ข้ามทะเล มาพิสูจน์ด้วยตนเอง
แต่สิ่งที่เห็นยิ่งต้องทึ่งกว่าเดิม เพราะคนไข้ของชมรมคนรักสุขภาพ ที่เป็นโรคเดียวกัน มีมากมาย ล้วนแล้วแต่ประสพผลเช่นเดียวกัน
วันเวลา ได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า เราท่านควรพึ่งใคร ศรัทธาควรวางไว้ที่ใด
แม้จะมีดีกรีมากมาย จนโลกยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ วันนี้แพทย์ทั้งสองก็ได้รู้ว่า สิ่งที่เขาทุ่มเทเรียนมา ถ้าเจอของจริงแล้ว ช่วยใครไม่ได้เลย เป็นเรื่องจริง
วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555
เหยื่อ
พระภูมีตรัสว่า โลกนี้เป็นโลกของกรรม หรือเรียกภาษาพระว่า โลกโลกียะ มีกรรมเป็นอำนาจ ปกครองสรรพสัตว์ ให้คุณโทษตามการกระทำของคนนั้นๆ เที่ยง และ มีมาตรฐาน ไม่ผิดเพี้ยน
หลวงพ่อนิพนธํ์ จึงยืนยันหนักแน่นทุกครั้งว่า ความคิดของทุกคนในโลกที่มีอยู่ จึงเป็นความคิดของกรรม ทั้งหมดทั้งมวล จะนำมาใช้เพื่อชนะกรรม จึงเป็นไปไม่ได้เลย
คนที่เรียนรู้เยอะ หรือ ฉลาดกว่า จึงนำความรู้นั้นมาสร้างกรรมให้กับตนเอง กลายเป็นภาษิต "คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด"
คนที่นำความรู้ที่เหนือกว่าของตนมาทำอย่างนั้น และก็ภูมิใจในความสำเร็จ ที่สังคมยกย่อง มีเงิน มีอำนาจ มีเกียรติ และสอนสั่ง หรือเชิดชูให้เป็นต้นแบบให้คนเดินตาม
แต่เมื่อกรรมจากการกระทำนั้นของเขามาถึง วิญญาณต้องรับโทษ จากสิ่งที่ทำมา สิ่งที่หามานั้นช่วยอะไรไม่ได้เลย
ไม่น่าแปลกใจเลยในความจริงที่ปรากฎ และจะกล่าวได้ว่า "คนในปัจจุบัน ขาดศาสนา" จึงขาดความรู้ และหลงเชื่อในสิ่งต่างๆ ได้ง่าย
ด้วยความรู้เรื่องโลกโลกียะ ทำให้ข่าวการส่งคนไปดวงจันทร์ ที่เป็นที่โด่งดัง กล่าวขวัญ ฮือฮา ไปทั่วโลก จึงกลายเป็นเรื่องขบขัน แหกตา และหัวเราะเล่น ในปาหี่นี้ สำหรับพระและคน ที่ไปมาหาสู่แม่ชีเมี้ยน ของถ้ำกระบอก
ก็ด้วยเหตุที่ว่า โลกนี้เป็นโลกของโลกียะ จะมีคนใดเล่า ที่ไม่หมดกิเลส จะสามารถฝ่าฟันออกไปจากโลกนี้ได้ เรื่องดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่ความน่าเชื่อถือ และศรัทธา ในวิทยาการของเขา มันล้นเหลือ และการขาดซึ่งความรู้ของศาสนา ทำให้คนมากมาย หลงเชื่อ จนถึง เชื่อสนิทใจว่า คนเหล่านั้นทำได้
ฉันใดก็ฉันนั้น ด้วยเหตุอันใดเล่า ในเมื่อ อนามัยโลก และ สหรัฐอเมริกา ได้ส่งรถโมบาย และคณะแพทย์ พร้อมทีมวิเคราะห์วิจัย มายังถ้ำกระบอกในอดีต
ผลของการส่งคนไข้สองกลุ่ม มาใช้วิธีสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ซึ่งสามารถช่วย ให้คนไข้ทั้งจำพวกติดยาเสพติด และคนไข้โรคทั่วไปได้นั้น เป็นที่ประจักษ์ และที่สำคัญ ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แม้แต่น้อยนิด
จากผลการทดสอบครั้้งนั้น สิ่งที่กลับมาจึงมีเพียงแต่ ทุนในการสนับสนุน ผู้บำบัดยาเสพติด เท่านั้น
เมื่อพิเคราะห์ ก็จะเห็นได้ว่า บทบาทของผู้ผลิตยาเคมี มีมากมายสักฉันใด ไม่ว่าในยุคสมัยใด ผลประโยชน์ย่อมมาก่อน
จึงไม่น่าแปลกใน ทีวี ในยุคปัจจุบัน แทบจะหาช่องไหนไม่ได้เลย ที่ไม่หากินกับชีวิตมนุษย์ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีผลประโยชน์มหาศาลนั่นเอง
ความรู้ของศาสนา แม้เพียงน้อยนิด ถ้าเชื่อและศรัทธาจริง ก็จะทำให้ชีวิตของเราท่าน ไม่ต้องไปเป็นเหยื่อ ให้แก่ผู้ละโมบเหล่านั้น
ในขณะที่กราบพระพุทธ ท่านไม่เชื่อหรือ ว่า สิ่งที่พระภูมีตรัสให้เป็นสติ ว่า "มนุษย์ย่อมเป็นไปตามกรรม" และหลัก "ตนพึ่งตน" คือวิถีทางที่ท่านทิ้งไว้ให้ เมื่อเราเชื่อ ศรัทธา ในตัวของพระพุทธเจ้า คำถามง่ายๆ ก็คือ แล้วทำไม เราท่านจึงไม่เลือกเดินทางวิถีทางที่ท่านสอน
เราหลงทางมาไกลแล้ว เพราะเชื่อคำชวนของคนโลภ ฝากความหวังไว้กับคนที่มากด้วยกิเลส หวังของเราจึงไม่เคยประสพผล
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวย้ำเตือนทุกครั้งว่า เรื่องของโลก จะพึ่งอะไรก็ไม่มีใครว่า ไม่เสียหาย แต่เรื่องของชีวิต นับตั้งแต่ผิวหนังลงมา คิดจะพึ่งผู้อื่น ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน และความรู้ที่จะใช้ ก็มีเพียงแต่ความรู้ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ใช้ได้ สิ่งเหล่านี้ผ่านการพิสูจน์มาเป็นที่ประจักษ์
ตราบใดที่เรายังคิดพึ่งผู้อื่น เราก็ยังคงสภาพเป็นเหยื่ออันโอชะของคนที่เราไปพึ่ง ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า อยู่นั่นเอง แล้วสิ่งที่ทำ เพื่อเก็บไว้ให้คนที่เรารัก ต้องกลับกลายไปเป็นของคนโลภเหล่านั้น และอาจแถมมาซึ่งหนี้สิน ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน แค่นี้ ก็น่าแค้นใจในความโง่ ที่ต้องกลายเป็นเหยื่อของเขาแล้ว
อยากท้าทายอเมริกานัก กล้องส่องดวงดาวของประเทศคุณที่ว่าดูได้ถึงกาแล็คซี่อันไกลโพ้น ช่วยส่องให้เห็นธง หรือ รอยเท้าของมนุษย์อวกาศ บนดวงจันทร์มาให้เห็นสักทีได้ไหม คนทั้งโลกเขาจะได้หายสงสัย
หลวงพ่อนิพนธํ์ จึงยืนยันหนักแน่นทุกครั้งว่า ความคิดของทุกคนในโลกที่มีอยู่ จึงเป็นความคิดของกรรม ทั้งหมดทั้งมวล จะนำมาใช้เพื่อชนะกรรม จึงเป็นไปไม่ได้เลย
คนที่เรียนรู้เยอะ หรือ ฉลาดกว่า จึงนำความรู้นั้นมาสร้างกรรมให้กับตนเอง กลายเป็นภาษิต "คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด"
คนที่นำความรู้ที่เหนือกว่าของตนมาทำอย่างนั้น และก็ภูมิใจในความสำเร็จ ที่สังคมยกย่อง มีเงิน มีอำนาจ มีเกียรติ และสอนสั่ง หรือเชิดชูให้เป็นต้นแบบให้คนเดินตาม
แต่เมื่อกรรมจากการกระทำนั้นของเขามาถึง วิญญาณต้องรับโทษ จากสิ่งที่ทำมา สิ่งที่หามานั้นช่วยอะไรไม่ได้เลย
ไม่น่าแปลกใจเลยในความจริงที่ปรากฎ และจะกล่าวได้ว่า "คนในปัจจุบัน ขาดศาสนา" จึงขาดความรู้ และหลงเชื่อในสิ่งต่างๆ ได้ง่าย
ด้วยความรู้เรื่องโลกโลกียะ ทำให้ข่าวการส่งคนไปดวงจันทร์ ที่เป็นที่โด่งดัง กล่าวขวัญ ฮือฮา ไปทั่วโลก จึงกลายเป็นเรื่องขบขัน แหกตา และหัวเราะเล่น ในปาหี่นี้ สำหรับพระและคน ที่ไปมาหาสู่แม่ชีเมี้ยน ของถ้ำกระบอก
ก็ด้วยเหตุที่ว่า โลกนี้เป็นโลกของโลกียะ จะมีคนใดเล่า ที่ไม่หมดกิเลส จะสามารถฝ่าฟันออกไปจากโลกนี้ได้ เรื่องดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่ความน่าเชื่อถือ และศรัทธา ในวิทยาการของเขา มันล้นเหลือ และการขาดซึ่งความรู้ของศาสนา ทำให้คนมากมาย หลงเชื่อ จนถึง เชื่อสนิทใจว่า คนเหล่านั้นทำได้
ฉันใดก็ฉันนั้น ด้วยเหตุอันใดเล่า ในเมื่อ อนามัยโลก และ สหรัฐอเมริกา ได้ส่งรถโมบาย และคณะแพทย์ พร้อมทีมวิเคราะห์วิจัย มายังถ้ำกระบอกในอดีต
ผลของการส่งคนไข้สองกลุ่ม มาใช้วิธีสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ซึ่งสามารถช่วย ให้คนไข้ทั้งจำพวกติดยาเสพติด และคนไข้โรคทั่วไปได้นั้น เป็นที่ประจักษ์ และที่สำคัญ ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แม้แต่น้อยนิด
จากผลการทดสอบครั้้งนั้น สิ่งที่กลับมาจึงมีเพียงแต่ ทุนในการสนับสนุน ผู้บำบัดยาเสพติด เท่านั้น
เมื่อพิเคราะห์ ก็จะเห็นได้ว่า บทบาทของผู้ผลิตยาเคมี มีมากมายสักฉันใด ไม่ว่าในยุคสมัยใด ผลประโยชน์ย่อมมาก่อน
จึงไม่น่าแปลกใน ทีวี ในยุคปัจจุบัน แทบจะหาช่องไหนไม่ได้เลย ที่ไม่หากินกับชีวิตมนุษย์ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีผลประโยชน์มหาศาลนั่นเอง
ความรู้ของศาสนา แม้เพียงน้อยนิด ถ้าเชื่อและศรัทธาจริง ก็จะทำให้ชีวิตของเราท่าน ไม่ต้องไปเป็นเหยื่อ ให้แก่ผู้ละโมบเหล่านั้น
ในขณะที่กราบพระพุทธ ท่านไม่เชื่อหรือ ว่า สิ่งที่พระภูมีตรัสให้เป็นสติ ว่า "มนุษย์ย่อมเป็นไปตามกรรม" และหลัก "ตนพึ่งตน" คือวิถีทางที่ท่านทิ้งไว้ให้ เมื่อเราเชื่อ ศรัทธา ในตัวของพระพุทธเจ้า คำถามง่ายๆ ก็คือ แล้วทำไม เราท่านจึงไม่เลือกเดินทางวิถีทางที่ท่านสอน
เราหลงทางมาไกลแล้ว เพราะเชื่อคำชวนของคนโลภ ฝากความหวังไว้กับคนที่มากด้วยกิเลส หวังของเราจึงไม่เคยประสพผล
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวย้ำเตือนทุกครั้งว่า เรื่องของโลก จะพึ่งอะไรก็ไม่มีใครว่า ไม่เสียหาย แต่เรื่องของชีวิต นับตั้งแต่ผิวหนังลงมา คิดจะพึ่งผู้อื่น ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน และความรู้ที่จะใช้ ก็มีเพียงแต่ความรู้ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ใช้ได้ สิ่งเหล่านี้ผ่านการพิสูจน์มาเป็นที่ประจักษ์
ตราบใดที่เรายังคิดพึ่งผู้อื่น เราก็ยังคงสภาพเป็นเหยื่ออันโอชะของคนที่เราไปพึ่ง ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า อยู่นั่นเอง แล้วสิ่งที่ทำ เพื่อเก็บไว้ให้คนที่เรารัก ต้องกลับกลายไปเป็นของคนโลภเหล่านั้น และอาจแถมมาซึ่งหนี้สิน ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน แค่นี้ ก็น่าแค้นใจในความโง่ ที่ต้องกลายเป็นเหยื่อของเขาแล้ว
อยากท้าทายอเมริกานัก กล้องส่องดวงดาวของประเทศคุณที่ว่าดูได้ถึงกาแล็คซี่อันไกลโพ้น ช่วยส่องให้เห็นธง หรือ รอยเท้าของมนุษย์อวกาศ บนดวงจันทร์มาให้เห็นสักทีได้ไหม คนทั้งโลกเขาจะได้หายสงสัย
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555
สังคายนาธาตุ
ด้วยธรรมมีอำนาจ การปฏิบัติธรรม จึงเท่ากับเป็นกระบวนการเร่ง ในการสังคายธาตุทั้งสี่ของร่างกาย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชวนให้เราปฏิบัติ เพราะจะเป็นหนทางที่เร่งรัด และให้ผลที่แน่นอน กว่าการทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว
และด้วยธรรมเป็นของพระพุทธเจ้า ดังนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อครบกำหนด จะต้องมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ และนำธรรมมาสอนสั่งมนุษย์
ด้วยปัญหาของความลำบากของมนุษย์ในปัจจุบัน ท่านจึงชี้ให้เห็นเหตุ เพราะเรารับแต่พระพุทธ แต่เมินเฉย หรือเดินสวนทาง ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นต้นกำเนิดของบุญ จึงขาดบุญ แม้จะไหว้พระพุทธสักฉันใด ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย
แลพวกเห็นแก่ตัว ก็สอนให้คนหลงผิด เดินในทางผิด คิดว่าการสร้างบุญ จำกัด ด้วยเหตุนานาประการ ต้องทำในวัด ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเยี่ยงนั้นเลย
ภาพที่ไม่ควรเกิด ก็เกิด ผู้ที่อ้างเป็นตนบุญ ก็โรคงอม สถานที่อ้างว่าศักดิ์สิทธิ์ ก็เจอภัยพิบัติ ศาสนาที่แท้จริง ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวสอนว่า "ที่ไหนมีคนทุกข์ ที่ท่านคือแหล่งบุญ" อุปมาท่านมีน้ำหนึ่งแก้ว นำไปให้เศรษฐี ก็หามีค่าอันใดไม่ แต่หากนำไปตั้งกลางทะเลทราย ให้แก่ผู้ที่กำลังอดน้ำตาย น้ำแก้วเดียวกัน จะมีคุณค่ามหาศาล
ธรรมที่ใช้ในการสังคายนาธาตุของเราท่าน ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนให้ทำ จึงไม่เหมือนกับที่อื่นๆ การเสียสละ หรือ ทำตนเป็นพระเวสสันดร กลับกลายเป็นคำสอน เชิญชวน ให้กินข้าวแกง ซื้อน้ำ ซื้อขนม เพื่อให้เกิดวัฐจักร น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ตามธรรมหมวด "ตนพึ่งตน"
เราจึงไม่แปลกใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์เคยกล่าวว่า เมื่อมนุษย์ไปเจอพระพุทธเจ้า แล้วรับไม่ได้ เพราะไม่เป็นไปตามที่เขาคิด เขาหวังนั่นเอง
แล้ววันนี้จะแปลกอะไร ที่ธรรมหมวด "เสียสละ" ของพระพุทธเจ้า ที่หลวงพ่อนิพนธสอนให้ทำ มาในรูป การกินข้าวแกง ซื้อน้ำ ซื้อขนม จะถูกปฏิเสธจากมนุษย์ เพราะคิดว่า ไม่ใช่ ไม่ถูก ต้องสร้างโบสถ์ สร้างศาลา ใส่ตู้บริจาค
แม้จะพูดสอน ให้สติ ทำความเข้าใจ ว่า เราท่านต้องพึ่งตนเอง ผลจากกำไรที่ได้ ก็จะย้อนกลับมาเป็นสมุนไพรให้เราท่านทาน ส่วนเกินกว่าที่เราท่านได้ ก็จะเป็นทานให้แก่ผู้ด้อยกว่า
ธรรมหมวดนี้ กำลังพิสูจน์ตน และกำลังสังคายนาธาตุให้แก่คนที่ทำตาม ทำให้หายโรคได้ ถึงยากจะเชื่อ แต่ผลของสิ่งนี้ก็ปรากฎให้เห็น
เมื่อผลที่ออกมาถูก ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า สิ่งที่ทำถูก แม้จะไม่เหมือนที่เราท่าน ได้ยินได้ฟังได้ทำมาแต่ก่อนเก่าก็ตาม
แลเมื่อมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ สังคายนาศาสนาพุทธ เราท่าน ก็จะไม่เห็นโบสถ์วิหาร เฉกเช่นในยุคของพระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์เช่นเดียวกัน
เราท่าน ควรจะหาธรรมจากวัด จากโบสถ์ วิหาร จากพระเกจิ หรือ หาจาก ข้าวแกง แลน้ำดื่ม มาสังคายนาธาตุในตัวดี.....
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชวนให้เราปฏิบัติ เพราะจะเป็นหนทางที่เร่งรัด และให้ผลที่แน่นอน กว่าการทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว
และด้วยธรรมเป็นของพระพุทธเจ้า ดังนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อครบกำหนด จะต้องมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ และนำธรรมมาสอนสั่งมนุษย์
ด้วยปัญหาของความลำบากของมนุษย์ในปัจจุบัน ท่านจึงชี้ให้เห็นเหตุ เพราะเรารับแต่พระพุทธ แต่เมินเฉย หรือเดินสวนทาง ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นต้นกำเนิดของบุญ จึงขาดบุญ แม้จะไหว้พระพุทธสักฉันใด ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย
แลพวกเห็นแก่ตัว ก็สอนให้คนหลงผิด เดินในทางผิด คิดว่าการสร้างบุญ จำกัด ด้วยเหตุนานาประการ ต้องทำในวัด ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเยี่ยงนั้นเลย
ภาพที่ไม่ควรเกิด ก็เกิด ผู้ที่อ้างเป็นตนบุญ ก็โรคงอม สถานที่อ้างว่าศักดิ์สิทธิ์ ก็เจอภัยพิบัติ ศาสนาที่แท้จริง ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวสอนว่า "ที่ไหนมีคนทุกข์ ที่ท่านคือแหล่งบุญ" อุปมาท่านมีน้ำหนึ่งแก้ว นำไปให้เศรษฐี ก็หามีค่าอันใดไม่ แต่หากนำไปตั้งกลางทะเลทราย ให้แก่ผู้ที่กำลังอดน้ำตาย น้ำแก้วเดียวกัน จะมีคุณค่ามหาศาล
ธรรมที่ใช้ในการสังคายนาธาตุของเราท่าน ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนให้ทำ จึงไม่เหมือนกับที่อื่นๆ การเสียสละ หรือ ทำตนเป็นพระเวสสันดร กลับกลายเป็นคำสอน เชิญชวน ให้กินข้าวแกง ซื้อน้ำ ซื้อขนม เพื่อให้เกิดวัฐจักร น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ตามธรรมหมวด "ตนพึ่งตน"
เราจึงไม่แปลกใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์เคยกล่าวว่า เมื่อมนุษย์ไปเจอพระพุทธเจ้า แล้วรับไม่ได้ เพราะไม่เป็นไปตามที่เขาคิด เขาหวังนั่นเอง
แล้ววันนี้จะแปลกอะไร ที่ธรรมหมวด "เสียสละ" ของพระพุทธเจ้า ที่หลวงพ่อนิพนธสอนให้ทำ มาในรูป การกินข้าวแกง ซื้อน้ำ ซื้อขนม จะถูกปฏิเสธจากมนุษย์ เพราะคิดว่า ไม่ใช่ ไม่ถูก ต้องสร้างโบสถ์ สร้างศาลา ใส่ตู้บริจาค
แม้จะพูดสอน ให้สติ ทำความเข้าใจ ว่า เราท่านต้องพึ่งตนเอง ผลจากกำไรที่ได้ ก็จะย้อนกลับมาเป็นสมุนไพรให้เราท่านทาน ส่วนเกินกว่าที่เราท่านได้ ก็จะเป็นทานให้แก่ผู้ด้อยกว่า
ธรรมหมวดนี้ กำลังพิสูจน์ตน และกำลังสังคายนาธาตุให้แก่คนที่ทำตาม ทำให้หายโรคได้ ถึงยากจะเชื่อ แต่ผลของสิ่งนี้ก็ปรากฎให้เห็น
เมื่อผลที่ออกมาถูก ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า สิ่งที่ทำถูก แม้จะไม่เหมือนที่เราท่าน ได้ยินได้ฟังได้ทำมาแต่ก่อนเก่าก็ตาม
แลเมื่อมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ สังคายนาศาสนาพุทธ เราท่าน ก็จะไม่เห็นโบสถ์วิหาร เฉกเช่นในยุคของพระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์เช่นเดียวกัน
เราท่าน ควรจะหาธรรมจากวัด จากโบสถ์ วิหาร จากพระเกจิ หรือ หาจาก ข้าวแกง แลน้ำดื่ม มาสังคายนาธาตุในตัวดี.....
การทำงานของสมุนไพร
ความรู้ที่หลวงพ่อนิพนธ์ถ่ายทอดและเน้นย้ำ ตั้งแต่หลังปีใหม่มา คือ เมื่อวิญญาณต้องการสังขาร สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือ สังขารประกอบด้วยองค์ทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
แม่ชีเมี้ยนสอนว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบเป็นสังขาร เป็นสิ่งที่มีชิวิต และมีวิญญาณ
ด้วยสี่สิ่งนี้ ถึงแม้ในบางครั้งจะมองไม่เห็น แต่ก็มีตัวตน สัมผัสได้ เราจึงอาจมองไม่เห็นไฟ แต่รู้สึกอุ่นขึ้น ไม่เห็นลม แต่ยังหายใจได้
อะไรที่เป็นข้อพิสูจน์ของการมีชีวิต และวิญญาณของธาตุทั้งสี่เหล่านี้
แม่ชีเมี้ยนตรัสสอนว่า เพราะเขามีชีวิต มีวิญญาณ เขาจึงมีเกิด มีตาย เราจึงมีดินดี ดินเสีย น้ำดี น้ำเสีย ลมดี ลมเสีย ไฟดี ไฟเสีย นั่นเอง
องค์ประกอบของสังขาร ที่มีชีวิต จึงต้องการธาตุทั้งสี่ที่ยังมีชีวิต เพื่อมาใช้ในการต่อชีวิตของเราท่านนั่นเอง สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในพืช และสัตว์ มนุษย์จึงกินพืชและสัตว์ เป็นอาหาร เพราะธาตุทั้งสี่ยังมีชีวิต เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มีชีวิต
หากแต่เราทาน ธาตุที่เสียไป ร่างกายจะปฏิเสธ เราจึงไม่สามารถกินน้ำเสียได้ ไม่สามารถหายใจ ลมหรืออากาศที่ขาดออกซิเจนเข้าตัวได้ ไม่สามารถกินอาหารหรือดิน ที่เน่าบูดได้ หรือไม่สามารถอยู่ที่หนาวจัด หรือร้อนจัดได้
ด้วยความรู้ของพระพุทธเจ้าในข้อนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงยืนยันว่า ไม่มีทางที่ยาเคมี จะช่วยมนุษย์ได้เป็นอันขาด เพราะไม่องค์ประกอบของธาตุทั้งสี่ ยาเคมีเหล่านั้น จึงมีหน้าที่ประการเดียวคือ ระงับอาการ แล้วทิ้งตัวเป็นกากอยู่ในตัวผู้ทาน เป็นสาเหตุของโรคแทรกซ้อน และอาการข้างเคียง นั่นเอง
ด้วยพหูสูตรอันนี้เอง สมุนไพรของพระพุทธเจ้า จึงเป็นสมุนไพรครอบจักรวาล ตอบคำถามว่า ทำไมไม่ว่าใครหรือผู้ใด เป็นโรคอะไรก็จะได้สมุนไพรชุดเดียวกันไปทาน ก็ด้วยเหตุที่สมุนไพรของพระพุทธเจ้า มีคุณสมบัติ ใช้ในการปรับธาตุทั้งสี่ให้กลับมาสมดุลย์ดังเดิมนั่นเอง
อาทิเช่น คนที่เป็นเบาหวาน ขาดธาตุดิน ดินเสีย ก่อให้เกิดแผลเบาหวาน จนเน่าเสียต้องตัด เมื่อทานสมุนไพร เสริมสร้างธาตุดิน ก็ทำให้สามารถกลับมามีเนื้อเต็มได้ดั่งเดิม
คนที่เป็นมะเร็ง ขาดธาตุไฟ เพราะถูกแย่งเลือด เมื่อไฟอ่อน ก็เหมือนมีน้ำแข็งอยู่ในตัว ทำให้เกิดอาการปวด หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เราก็ใช้สมุนไพรธาตุไฟ ทานเข้าไป เช่น ยามะพร้าว
ด้วยเหตุที่มนุษย์ยุคไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีอาการ ๓๒ ประกอบด้วย ธาตุทั้งสี่ สมุนไพรของพระพุทธเจ้า จึงทันสมัย ไม่มีวันตกยุค ใช้ได้กับทุกคน รักษาพร้อมกันทีละเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องวินิจฉัย หน้าที่ของสมุนไพร คือ ปรับธาตุทั้งสี ให้ได้สมดุลย์ ฟื้นฟูอวัยวะให้กลับมาดั่งเดิม เสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแกร่ง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า "ผู้ใดมีวันเวลา มีมาตรฐาน ทานสมุนไพร เฉกเช่นปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน สม่ำเสมอ เมื่อถึงเวลา ต้นไม้นั้นย่อมออกดอก ออกผล อย่างแน่นอน ฉันใดก็ฉันนั้น"
ส่วนกระบวนการวินิจฉัย และซ่อมแซม เป็นความสามารถของร่างกายมนุษย์ ที่ทำได้เองอยู่แล้ว เมื่ออวัยวะเราสมบูรณ์หรือยังทำงานอยู่ และได้รับอาหารที่ครบหมู่ กระบวนการนี้ก็สามารถทำงานเอง เพราะธรรมชาติสร้างเราท่านขึ้น ทุกส่วนของร่างกาย ธรรมชาติย่อมมีกลไกซ่อมแซมแก้ไข ทุกส่วนของร่างกายเช่นกัน เฉกเช่น ร่างกายส่วนใดต้องการสารใด ธรรมชาติก็ให้ท้องย่อยอาหาร และแยกสารส่งไปให้ ทุกอณูของร่างกาย ท้องจึงมีความวิเศษกว่าเครื่องจักรใดๆ ในโลกนี้ จนมนุษย์วางใจ และไว้ใจ ส่งอาหารให้สม่ำเสมอ และเติบโตขึ้น โดยไม่เคยไถ่ถามหรือสงสัย หรืออยากรู้เลยว่า กระบวนการดังกล่าว ทำงานอย่างไร เชื่อและศรัทธา แล้วกิน
กระบวนการซ่อมแซมร่างกายก็เฉกเช่นเดียวกัน ต้องการความเชื่อ ความศรัทธา และพฤติกรรมเช่นเดียวกับการกิน มีมาตรฐานเฉกเช่นเดียวกัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย และไม่ต้องรู้ด้วยว่า ธรรมชาติทำการซ่อมแซมเราโดยวิธีใด ถ้าเราท่าน สามารถมีมาตรฐานในการกิน และการปฏิบัติ ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์ท่านกล่าวสอนได้ ยืนระยะได้ ก็มั่นใจได้ว่า เมื่อถึงวันเวลา ผลถูกย่อมปรากฎอย่างแน่นอน
ก็ด้วยเหตุที่ต้องการมาตรฐานในการทานสมุนไพรนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเปรย แบบขอร้องว่า ผู้ใดที่มาแล้ว หรือคิดจะมา แต่ไม่คิดจะทำมาตรฐานตรงนี้ ท่านเองก็ยังไม่มีความพร้อมในการจัดหาสมุนไพรได้อย่างเหลือเฟือ จึงขอให้อย่ามาเลย เปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการ และสามารถสร้างมาตรฐานในการทานได้ มีคุณสมบัติ และต้องการปริมาณสมุนไพร เพื่อแก้ปัญหา จะได้รับสมุนไพร ในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาโรคของเขาเหล่านั้นได้อย่างเพียงพอ เราท่านก็จะได้เห็นผู้ประสพความสำเร็จในแนวทางของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา กันได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ท่านใด ที่จะมาให้ชมรมคนรักสุขภาพ หรือ หลวงพ่อนิพนธ์ วินิจฉัย รีบมารีบไป ไม่มีเวลา หรือยังไม่มีความพร้อม เราก็ขอความกรุณา ท่านเหล่านั้น ไม่ต้องมา เพราะจะเสียเวลาของท่าน สิ่งที่ท่านคาดหวัง ก็คงไม่เป็นจริงในสถานที่ของชมรมคนรักสุขภาพ อย่างแน่นอน
บทสรุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทางเลือกสายนี้ สามารถใช้ได้กับทุกคน ไม่ขึ้นอยู่กับอาการที่หมอวินิจฉัย ว่า สาหัส แต่แนวทางนี้ ต้องใช้ระบบย่อย ดังนั้น "ตราบใดที่ระบบย่อยยังทำงาน ผู้ที่ลองทานแล้ว รับได้ ย่อมมีสิทธิ์ ...."
ผู้ใดฟังคำสอนของท่าน แล้วปฏิบัติได้ ยืนระยะได้ ย่อมได้ผลมากน้อยตามแต่สิ่งที่ทำนั้นๆ อย่างแน่นอน
แม่ชีเมี้ยนสอนว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบเป็นสังขาร เป็นสิ่งที่มีชิวิต และมีวิญญาณ
ด้วยสี่สิ่งนี้ ถึงแม้ในบางครั้งจะมองไม่เห็น แต่ก็มีตัวตน สัมผัสได้ เราจึงอาจมองไม่เห็นไฟ แต่รู้สึกอุ่นขึ้น ไม่เห็นลม แต่ยังหายใจได้
อะไรที่เป็นข้อพิสูจน์ของการมีชีวิต และวิญญาณของธาตุทั้งสี่เหล่านี้
แม่ชีเมี้ยนตรัสสอนว่า เพราะเขามีชีวิต มีวิญญาณ เขาจึงมีเกิด มีตาย เราจึงมีดินดี ดินเสีย น้ำดี น้ำเสีย ลมดี ลมเสีย ไฟดี ไฟเสีย นั่นเอง
องค์ประกอบของสังขาร ที่มีชีวิต จึงต้องการธาตุทั้งสี่ที่ยังมีชีวิต เพื่อมาใช้ในการต่อชีวิตของเราท่านนั่นเอง สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในพืช และสัตว์ มนุษย์จึงกินพืชและสัตว์ เป็นอาหาร เพราะธาตุทั้งสี่ยังมีชีวิต เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มีชีวิต
หากแต่เราทาน ธาตุที่เสียไป ร่างกายจะปฏิเสธ เราจึงไม่สามารถกินน้ำเสียได้ ไม่สามารถหายใจ ลมหรืออากาศที่ขาดออกซิเจนเข้าตัวได้ ไม่สามารถกินอาหารหรือดิน ที่เน่าบูดได้ หรือไม่สามารถอยู่ที่หนาวจัด หรือร้อนจัดได้
ด้วยความรู้ของพระพุทธเจ้าในข้อนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงยืนยันว่า ไม่มีทางที่ยาเคมี จะช่วยมนุษย์ได้เป็นอันขาด เพราะไม่องค์ประกอบของธาตุทั้งสี่ ยาเคมีเหล่านั้น จึงมีหน้าที่ประการเดียวคือ ระงับอาการ แล้วทิ้งตัวเป็นกากอยู่ในตัวผู้ทาน เป็นสาเหตุของโรคแทรกซ้อน และอาการข้างเคียง นั่นเอง
ด้วยพหูสูตรอันนี้เอง สมุนไพรของพระพุทธเจ้า จึงเป็นสมุนไพรครอบจักรวาล ตอบคำถามว่า ทำไมไม่ว่าใครหรือผู้ใด เป็นโรคอะไรก็จะได้สมุนไพรชุดเดียวกันไปทาน ก็ด้วยเหตุที่สมุนไพรของพระพุทธเจ้า มีคุณสมบัติ ใช้ในการปรับธาตุทั้งสี่ให้กลับมาสมดุลย์ดังเดิมนั่นเอง
อาทิเช่น คนที่เป็นเบาหวาน ขาดธาตุดิน ดินเสีย ก่อให้เกิดแผลเบาหวาน จนเน่าเสียต้องตัด เมื่อทานสมุนไพร เสริมสร้างธาตุดิน ก็ทำให้สามารถกลับมามีเนื้อเต็มได้ดั่งเดิม
คนที่เป็นมะเร็ง ขาดธาตุไฟ เพราะถูกแย่งเลือด เมื่อไฟอ่อน ก็เหมือนมีน้ำแข็งอยู่ในตัว ทำให้เกิดอาการปวด หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เราก็ใช้สมุนไพรธาตุไฟ ทานเข้าไป เช่น ยามะพร้าว
ด้วยเหตุที่มนุษย์ยุคไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีอาการ ๓๒ ประกอบด้วย ธาตุทั้งสี่ สมุนไพรของพระพุทธเจ้า จึงทันสมัย ไม่มีวันตกยุค ใช้ได้กับทุกคน รักษาพร้อมกันทีละเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องวินิจฉัย หน้าที่ของสมุนไพร คือ ปรับธาตุทั้งสี ให้ได้สมดุลย์ ฟื้นฟูอวัยวะให้กลับมาดั่งเดิม เสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแกร่ง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า "ผู้ใดมีวันเวลา มีมาตรฐาน ทานสมุนไพร เฉกเช่นปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน สม่ำเสมอ เมื่อถึงเวลา ต้นไม้นั้นย่อมออกดอก ออกผล อย่างแน่นอน ฉันใดก็ฉันนั้น"
ส่วนกระบวนการวินิจฉัย และซ่อมแซม เป็นความสามารถของร่างกายมนุษย์ ที่ทำได้เองอยู่แล้ว เมื่ออวัยวะเราสมบูรณ์หรือยังทำงานอยู่ และได้รับอาหารที่ครบหมู่ กระบวนการนี้ก็สามารถทำงานเอง เพราะธรรมชาติสร้างเราท่านขึ้น ทุกส่วนของร่างกาย ธรรมชาติย่อมมีกลไกซ่อมแซมแก้ไข ทุกส่วนของร่างกายเช่นกัน เฉกเช่น ร่างกายส่วนใดต้องการสารใด ธรรมชาติก็ให้ท้องย่อยอาหาร และแยกสารส่งไปให้ ทุกอณูของร่างกาย ท้องจึงมีความวิเศษกว่าเครื่องจักรใดๆ ในโลกนี้ จนมนุษย์วางใจ และไว้ใจ ส่งอาหารให้สม่ำเสมอ และเติบโตขึ้น โดยไม่เคยไถ่ถามหรือสงสัย หรืออยากรู้เลยว่า กระบวนการดังกล่าว ทำงานอย่างไร เชื่อและศรัทธา แล้วกิน
กระบวนการซ่อมแซมร่างกายก็เฉกเช่นเดียวกัน ต้องการความเชื่อ ความศรัทธา และพฤติกรรมเช่นเดียวกับการกิน มีมาตรฐานเฉกเช่นเดียวกัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย และไม่ต้องรู้ด้วยว่า ธรรมชาติทำการซ่อมแซมเราโดยวิธีใด ถ้าเราท่าน สามารถมีมาตรฐานในการกิน และการปฏิบัติ ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์ท่านกล่าวสอนได้ ยืนระยะได้ ก็มั่นใจได้ว่า เมื่อถึงวันเวลา ผลถูกย่อมปรากฎอย่างแน่นอน
ก็ด้วยเหตุที่ต้องการมาตรฐานในการทานสมุนไพรนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเปรย แบบขอร้องว่า ผู้ใดที่มาแล้ว หรือคิดจะมา แต่ไม่คิดจะทำมาตรฐานตรงนี้ ท่านเองก็ยังไม่มีความพร้อมในการจัดหาสมุนไพรได้อย่างเหลือเฟือ จึงขอให้อย่ามาเลย เปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการ และสามารถสร้างมาตรฐานในการทานได้ มีคุณสมบัติ และต้องการปริมาณสมุนไพร เพื่อแก้ปัญหา จะได้รับสมุนไพร ในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาโรคของเขาเหล่านั้นได้อย่างเพียงพอ เราท่านก็จะได้เห็นผู้ประสพความสำเร็จในแนวทางของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา กันได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ท่านใด ที่จะมาให้ชมรมคนรักสุขภาพ หรือ หลวงพ่อนิพนธ์ วินิจฉัย รีบมารีบไป ไม่มีเวลา หรือยังไม่มีความพร้อม เราก็ขอความกรุณา ท่านเหล่านั้น ไม่ต้องมา เพราะจะเสียเวลาของท่าน สิ่งที่ท่านคาดหวัง ก็คงไม่เป็นจริงในสถานที่ของชมรมคนรักสุขภาพ อย่างแน่นอน
บทสรุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทางเลือกสายนี้ สามารถใช้ได้กับทุกคน ไม่ขึ้นอยู่กับอาการที่หมอวินิจฉัย ว่า สาหัส แต่แนวทางนี้ ต้องใช้ระบบย่อย ดังนั้น "ตราบใดที่ระบบย่อยยังทำงาน ผู้ที่ลองทานแล้ว รับได้ ย่อมมีสิทธิ์ ...."
ผู้ใดฟังคำสอนของท่าน แล้วปฏิบัติได้ ยืนระยะได้ ย่อมได้ผลมากน้อยตามแต่สิ่งที่ทำนั้นๆ อย่างแน่นอน
ศาสตร์ของสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
ศาสตร์สมุนไพรของพระพุทธเจ้า ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ชี้ให้เห็นว่า เป็นเรื่องที่ลึกซื้งกว่าวิทยาศาสตร์ จะจินตนาการหรือค้นพบ
วิทยาการของวิทยาศาสตร์ มักจะถึงทางตัน เพราะเหตุที่ไม่สามารถล้วงลึก เกินกว่าสิ่งมองเห็น หรือสัมผัสได้เท่านั้น จึงไม่สามารถเข้าถึงสมมุตฐาน หรือ ข้อเท็จจริงของการเกิดโรคได้
ด้วยความจริงของธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จึงสรุปสมมุติฐานของโรคทั้งหลายทั้งปวง ในธรรมหมวดเดียวคือ "สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม" อันหมายความที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักกล่าวเสมอว่า จุดเริ่มของการวินิจฉัย สาเหตุแห่งโรค ระหว่างที่นี่ กับที่อื่นจึงต่างกัน
แม่ชีเมี้ยน จึงสอนว่า "โรคเกิดจากกรรม" กรรมมีอำนาจ เป็นสิ่งที่เราทำไว้ในอดีต ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้ เมื่อมาย่อมก่อให้เกิดทุกขเวทนา ผู้ใดทำ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้รับ จะรับแทนผู้อื่น หรือจะให้ผู้อื่นรับแทน ซึ่งกันและกันไม่ได้เลย ด้วยความจริงอันนี้ ที่พระพุทธเจ้าเรียนรู้ และตรัสเป็นธรรมขันธ์แรก คือ หมวด "ตนพึ่งตน" นั่นเอง
เมื่อมีผูก ก็ต้องมีแก้ ของทุกสิ่งในจักรวาล จึงมีเป็นคู่ ดังนั้น เมื่อมีกรรม มาไว้ผูกกรรม ธรรมชาติ เขาก็มี "ธรรม ไว้สู้กับกรรม" ที่สำคัญ และผ่านการพิสูจน์มาทุกยุคทุกสมัยของพระพุทธเจ้า นั่นคือ "ธรรม ชนะ กรรม"
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเราจะเอาชนะกรรม โดยไม่ใช้ธรรม เพราะนอกจากธรรมแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นใดในโลกนี้ที่สามารถชนะกรรมได้เลย ไม่ว่ามนุษย์จะยกยอ ปอปั้น สักฉันใด ผลก็จะประจักษ์ให้เห็นว่า สิ่งนั้นไม่มีอำนาจแท้จริง ในการต่อสู้กับกรรมเวรเลย
ทั้งสองสิ่งนี้ มีสถานะเฉกเช่นเดียวกัน คือ เสมือนวิญญาณ จะไม่มีฤทธิ์อันใด แก่ใครเลย ถ้าบุคคลที่เป็นเจ้าของสังขาร ไม่เชื่อและทำตาม
ผลของการเชื่อ และทำตาม จึงปรากฎเป็นรูปธรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นั่นแหละพรหมลิขิต ที่เราขีดเขียนในอดีต จะดีหรือร้าย ก็ขึ้นอยู่กับว่า คนผู้นั้น เชื่อและทำตาม วิญญาณธรรม หรือ วิญญาณกรรม
แลในตัวทุกคน ก็มีวิญญาณ ที่มีสิทธิ์จะเลือกนาย ว่าจะชอบนายแบบ วิญญาณธรรม หรือ วิญญาณกรรม เพื่อก่อให้เกิดสุขแก่ตน
แลวิญญาณมนุษย์ ก็ต้องอาศัยสังขาร เพื่อที่จะทำตามที่ตนชอบ สังขารที่มีวิญญาณ จึงมีความรู้สึก และความรู้สึกของสังขารนั่นแหละ คือ วิญญาณ สังขารเป็นสุข วิญญาณ ก็เป็นสุข สังขารเป็นทุกข์ มีโรคภัย วิญญาณก็เป็นทุกข์
ความแตกต่างของความสุข ของสองรูปแบบ ในรูปแบบของ กรรม ก็จะเป็นสุขที่ได้ทำ สุขที่เกิด เป็นสุขของกิเลส อันจะเห็นได้จาก เมื่อสนองกิเลสจบ ความรู้สึกอยากทำนั้นก็หมดไป หลวงพ่อนิพนธ์ เรียกการกระทำอย่างนี้ว่า "สุขวันนี้เพื่อทุกข์ในวันหน้า" ส่วนสุขของธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้ทำนิสัย จึงดูแล้วมีทุกข์ เพราะต้องทนทุกข์กับวินัย เพื่อก่อให้เกิดนิสัยพระพุทธเจ้า เช่น ถ้าจะฝึกนิสัยไม่โกรธ เมื่อมีเหตุให้โกรธ ก็ต้องข่ม กาย วาจา ใจ จะรู้สึกเป็นทุกข์มาก หากแต่ถ้าเราท่านทำได้ ก็จะทำให้หนีกรรมได้ ก่อให้เกิดสุขอันมหาศาล ความโกรธ ฆ่าคนได้ ทำให้เราท่านต้องติดคุก เมื่อเราท่านไม่โกรธ ก็ไม่ทำร้ายเขา เราก็หนีกรรมฆ่าคนได้ สร้างพรหมลิขิตที่ดีในวันข้างหน้า
ดังน้้นช่วงนี้ เราจึงได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์ สอนสั่งให้สมาชิก แก้ที่ต้นเหตุ โดยการน้อมนำธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าบางประการ มาปฏิบัติ แม้จะก่อให้เกิดความทุกข์แก่เราท่าน หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้สติว่า "ในเมื่อเรามีกรรมทำให้ทุกข์อยู่แล้ว ทำไมเราไม่มาทุกข์กับธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแทน ค่อยๆ ใช้ไป ไม่ช้ากรรมก็หมด จะได้ไม่ต้องไปทุกข์กับกรรมอีก"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ไม่น่าแปลกใจเลย ที่แม้แต่สมุนไพรของพระพุทธเจ้า ทุกตัว จึงเรียกได้ว่า ทานยาก ที่ใช้ทาก็แสบเหลือหลาย ที่ใช้พอก ก็มีกลิ่นรุนแรง อันอาจทำให้บางคนเป็นทุกข์มาก จนรับไม่ได้เลยก็เป็นได้ จึงต้องอาศัยเหตุผล แล้วทำใจ ให้สอดคล้องรองรับมงคลของสมุนไพร ใช้สติ "กรรมของเรา เราต้องใช้ ทุกข์กับสิ่งนี้ดีกว่าทุกข์กับโรค" และปรับจิตใจรับ พูดและคิดในสิ่งที่ดี ดังที่ท่านแนะนำ เผ็ดดี ขมดี ฝาดดี จนเราและสมุนไพร ดุจดั่งสหายที่ดี ไม่ได้ดูที่หน้าตา แต่ดูที่จิดใจ สมุนไพรมีคุณ ย่อมเป็นมิตรที่ดี เราท่านผู้ทาน ก็ต้อนรับอย่างดี อย่ามีพฤติกรรม ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า น่าเกียจ เช่น กินแล้วร้องยี้ กินแล้วบ่น ขมจัง เท่ากับเป็นการปฏิเสธ
ศาสตรร์เบื้องต้น ที่ต้องเรียนรู้ และปฏิบัติ คือ ธรรมหมวด "ตนพึ่งตน" มาเอง สวดมนต์เอง รับสมุนไพรเอง รินเอง ทานเอง เก็บเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักสรุปให้สั้นๆ ว่า เรื่องของชีวิต อย่าคิดพึ่งผู้อื่น ไม่มีวันสำเร็จ
วิทยาการของวิทยาศาสตร์ มักจะถึงทางตัน เพราะเหตุที่ไม่สามารถล้วงลึก เกินกว่าสิ่งมองเห็น หรือสัมผัสได้เท่านั้น จึงไม่สามารถเข้าถึงสมมุตฐาน หรือ ข้อเท็จจริงของการเกิดโรคได้
ด้วยความจริงของธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จึงสรุปสมมุติฐานของโรคทั้งหลายทั้งปวง ในธรรมหมวดเดียวคือ "สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม" อันหมายความที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักกล่าวเสมอว่า จุดเริ่มของการวินิจฉัย สาเหตุแห่งโรค ระหว่างที่นี่ กับที่อื่นจึงต่างกัน
แม่ชีเมี้ยน จึงสอนว่า "โรคเกิดจากกรรม" กรรมมีอำนาจ เป็นสิ่งที่เราทำไว้ในอดีต ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้ เมื่อมาย่อมก่อให้เกิดทุกขเวทนา ผู้ใดทำ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้รับ จะรับแทนผู้อื่น หรือจะให้ผู้อื่นรับแทน ซึ่งกันและกันไม่ได้เลย ด้วยความจริงอันนี้ ที่พระพุทธเจ้าเรียนรู้ และตรัสเป็นธรรมขันธ์แรก คือ หมวด "ตนพึ่งตน" นั่นเอง
เมื่อมีผูก ก็ต้องมีแก้ ของทุกสิ่งในจักรวาล จึงมีเป็นคู่ ดังนั้น เมื่อมีกรรม มาไว้ผูกกรรม ธรรมชาติ เขาก็มี "ธรรม ไว้สู้กับกรรม" ที่สำคัญ และผ่านการพิสูจน์มาทุกยุคทุกสมัยของพระพุทธเจ้า นั่นคือ "ธรรม ชนะ กรรม"
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเราจะเอาชนะกรรม โดยไม่ใช้ธรรม เพราะนอกจากธรรมแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นใดในโลกนี้ที่สามารถชนะกรรมได้เลย ไม่ว่ามนุษย์จะยกยอ ปอปั้น สักฉันใด ผลก็จะประจักษ์ให้เห็นว่า สิ่งนั้นไม่มีอำนาจแท้จริง ในการต่อสู้กับกรรมเวรเลย
ทั้งสองสิ่งนี้ มีสถานะเฉกเช่นเดียวกัน คือ เสมือนวิญญาณ จะไม่มีฤทธิ์อันใด แก่ใครเลย ถ้าบุคคลที่เป็นเจ้าของสังขาร ไม่เชื่อและทำตาม
ผลของการเชื่อ และทำตาม จึงปรากฎเป็นรูปธรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นั่นแหละพรหมลิขิต ที่เราขีดเขียนในอดีต จะดีหรือร้าย ก็ขึ้นอยู่กับว่า คนผู้นั้น เชื่อและทำตาม วิญญาณธรรม หรือ วิญญาณกรรม
แลในตัวทุกคน ก็มีวิญญาณ ที่มีสิทธิ์จะเลือกนาย ว่าจะชอบนายแบบ วิญญาณธรรม หรือ วิญญาณกรรม เพื่อก่อให้เกิดสุขแก่ตน
แลวิญญาณมนุษย์ ก็ต้องอาศัยสังขาร เพื่อที่จะทำตามที่ตนชอบ สังขารที่มีวิญญาณ จึงมีความรู้สึก และความรู้สึกของสังขารนั่นแหละ คือ วิญญาณ สังขารเป็นสุข วิญญาณ ก็เป็นสุข สังขารเป็นทุกข์ มีโรคภัย วิญญาณก็เป็นทุกข์
ความแตกต่างของความสุข ของสองรูปแบบ ในรูปแบบของ กรรม ก็จะเป็นสุขที่ได้ทำ สุขที่เกิด เป็นสุขของกิเลส อันจะเห็นได้จาก เมื่อสนองกิเลสจบ ความรู้สึกอยากทำนั้นก็หมดไป หลวงพ่อนิพนธ์ เรียกการกระทำอย่างนี้ว่า "สุขวันนี้เพื่อทุกข์ในวันหน้า" ส่วนสุขของธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้ทำนิสัย จึงดูแล้วมีทุกข์ เพราะต้องทนทุกข์กับวินัย เพื่อก่อให้เกิดนิสัยพระพุทธเจ้า เช่น ถ้าจะฝึกนิสัยไม่โกรธ เมื่อมีเหตุให้โกรธ ก็ต้องข่ม กาย วาจา ใจ จะรู้สึกเป็นทุกข์มาก หากแต่ถ้าเราท่านทำได้ ก็จะทำให้หนีกรรมได้ ก่อให้เกิดสุขอันมหาศาล ความโกรธ ฆ่าคนได้ ทำให้เราท่านต้องติดคุก เมื่อเราท่านไม่โกรธ ก็ไม่ทำร้ายเขา เราก็หนีกรรมฆ่าคนได้ สร้างพรหมลิขิตที่ดีในวันข้างหน้า
ดังน้้นช่วงนี้ เราจึงได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์ สอนสั่งให้สมาชิก แก้ที่ต้นเหตุ โดยการน้อมนำธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าบางประการ มาปฏิบัติ แม้จะก่อให้เกิดความทุกข์แก่เราท่าน หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้สติว่า "ในเมื่อเรามีกรรมทำให้ทุกข์อยู่แล้ว ทำไมเราไม่มาทุกข์กับธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแทน ค่อยๆ ใช้ไป ไม่ช้ากรรมก็หมด จะได้ไม่ต้องไปทุกข์กับกรรมอีก"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ไม่น่าแปลกใจเลย ที่แม้แต่สมุนไพรของพระพุทธเจ้า ทุกตัว จึงเรียกได้ว่า ทานยาก ที่ใช้ทาก็แสบเหลือหลาย ที่ใช้พอก ก็มีกลิ่นรุนแรง อันอาจทำให้บางคนเป็นทุกข์มาก จนรับไม่ได้เลยก็เป็นได้ จึงต้องอาศัยเหตุผล แล้วทำใจ ให้สอดคล้องรองรับมงคลของสมุนไพร ใช้สติ "กรรมของเรา เราต้องใช้ ทุกข์กับสิ่งนี้ดีกว่าทุกข์กับโรค" และปรับจิตใจรับ พูดและคิดในสิ่งที่ดี ดังที่ท่านแนะนำ เผ็ดดี ขมดี ฝาดดี จนเราและสมุนไพร ดุจดั่งสหายที่ดี ไม่ได้ดูที่หน้าตา แต่ดูที่จิดใจ สมุนไพรมีคุณ ย่อมเป็นมิตรที่ดี เราท่านผู้ทาน ก็ต้อนรับอย่างดี อย่ามีพฤติกรรม ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า น่าเกียจ เช่น กินแล้วร้องยี้ กินแล้วบ่น ขมจัง เท่ากับเป็นการปฏิเสธ
ศาสตรร์เบื้องต้น ที่ต้องเรียนรู้ และปฏิบัติ คือ ธรรมหมวด "ตนพึ่งตน" มาเอง สวดมนต์เอง รับสมุนไพรเอง รินเอง ทานเอง เก็บเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักสรุปให้สั้นๆ ว่า เรื่องของชีวิต อย่าคิดพึ่งผู้อื่น ไม่มีวันสำเร็จ
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555
ทางเลือกในการรักษาโรค
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้กล่าวถึงหนทางที่จะใช้ในการรักษาโรคไว้ว่า มีสองหนทางให้เลือก คือ 1.สมุนไพรรักษา 2.บุญรักษา
ทางเลือกแรกคือ สมุนไพรรักษา เหมาะแก่ผู้ที่ไม่คิดจะนำธรรมของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ ไม่คิดจะเรียนรู้ใดๆ แต่มีความขันติ อดทน ในการทานสมุนไพร และทำตามกติกาพื้นฐานที่ตั้งไว้ เช่น การสวดมนต์ เป็นต้น
ทางเลือกนี้ ท่านกล่าวว่า จำเป็นที่จะต้องทานสมุนไพรให้ได้ปริมาณ และอาศัยซึ่งความสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพือให้ร่างกายสะสมจนได้ปริมาณเพียงพอ นำไปใช้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นคนไข้ประเภทนี้จึงต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน และต้องใช้ความขันติ อดทนสูง ในการยืนระยะ แต่ก็สามารถประสพผลสำเร็จในการหายโรคได้
ทางเลือกที่สอง คือ บุญรักษา เหมาะแก่ผู้ที่พร้อมจะน้อมนำธรรมของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ เพื่อบังคับกาย วาจา ใจ ทำให้ต้องทำงานมากขึ้น กว่าการทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่บังเกิด ก็คุ้มค่า เพราะจะทำให้สมุนไพรมีฤทธิมากขึ้นตามพฤติกรรมของตน ท่านเรียกว่ามีบุญรักษามาช่วยด้วย การใช้แนวทางนี้ จึงเห็นผลได้เร็ว และค่อนข้างหวังผลได้แน่นอน
การเลือกทางแรก หลวงพ่อนิพนธ์กล่าว่า ถึงแม้จะหายจากโรค ก็ไม่เรียกว่า ชีวิตอยู่ในขั้นปลอดภัย เพราะหายจากโรคนี้ อาจไปเป็นโรคอื่นแทนขึ้นมาได้ การเลือกทางเดินแรกท่านจึงมักกล่าวว่า ยังเสี่ยง ที่จะ "หนีเสือ ปะจรเข้" ท้ายที่สุด ก็อาจเอาชีวิตไม่รอด ท่านจึงยกตัวอย่าง ลูกศิษย์เก่าที่ตามมาจากถ้ำกระบอกท่านหนึ่งให้ฟังเสมอๆ คือ "จับหยี" ที่ได้มาพบท่านเมื่อเปิดสำนักอยู่ที่ลพบุรี ในช่วงปี 30 นั่นเอง เขามาด้วยโรคมะเร็ง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เรารักษามะเร็งให้ได้แล้ว แต่จับหยี ควรมีพฤติกรรมให้สอดคล้อง ในแนวทางของพระภูมี เขาบ่ายเบี่ยง จนในที่สุดไม่นาน ก็ประสพเหตุทางรถยนต์ถึงแก่ชีวิต
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวชวนให้เลือกทางเลือกหลังเสมอๆ อันเป็นที่มาของคำขวัญของชมรม คือ "สมุนไพรรักษาโรค ธรรมรักษากรรม" เพราะเรายอมเหนื่อยกับวินัยธรรมของพระพุทธเจ้า ย่อมเกิดบุญที่จะใช้กรรม เมื่อไม่มีกรรม เราก็หมดทั้งโรค และกรรม จึงปลอดภัยทั้งจากโรคและอุบัติเหตุ
ท่านจึงกล่าวว่า มนุษย์ทุกคนทั่วไป ไม่ตายโหง ก็ตายห่า ถ้าเราจะหนี้ ก็ต้องหนีให้พ้นทั้งสองสิ่ง จึงจะเรียกว่า ปลอดภัย
ในเสี้ยวหนึ่งของคุณปรียานุช ที่อาจไม่มีเขียนในหนังสือ คนทั่วไปจะเห็นแต่ห้องน้ำที่คุณปรียานุชสร้าง แต่ไม่รู้ที่มาที่ไป ว่าสร้างทำไม ก็ด้วยเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า โรคที่คุณปรียานุชเป็นอยู่ เกิดจากกรรมที่เราเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป การจะใช้กรรม ก็ต้องย้อนศร จึงก่อเกิดห้องน้ำ และภาพคุณปรียานุช มาล้างห้องน้ำของชมรม ทุกสัปดาห์ จนโรคที่หมอทั่วโลกเขาเมิน ก็มาหายด้วยห้องน้ำนี้เอง มิใช่เพียงแค่แต่ทานสมุนไพรแต่เพียงอย่างเดียว
ทางเลือกทั้งสองทาง ก็แล้วแต่ใครจะพิจารณา เลือกเดินกันเอาเอง ผลที่ได้ หายจากโรคเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน ใครที่จะเลือกเดินตามเส้นทางหลัง หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า มันเริ่มจากคำว่า "เสียสละ" ทำให้ผู้อื่น
เมื่อท่านไปที่ชมรม ท่านจึงเห็นบุคคลสองกลุ่ม คนกลุ่มที่สองแม้จะน้อยหน่อย แต่ก็มีให้เห็น เราท่านจึงเห็น คุณอ้อ คุณเส่ย คุณดา ... ซึ่งใช้แนวทางของบุญรักษา เดินอยู่ คนเหล่านี้ จะเห็นว่า ทานสมุนไพรน้อยมาก หรือ แทบจะไม่ได้ทานเลย หลวงพ่อนิพนธ์เคยกล่าวว่า อาจจำเป็นต้องทานก็เฉพาะในเวลาที่กรรมหนักจริงๆ มาถึง เท่านั้นก็เพียงพอ
เราจึงหวังว่า คนกลุ่มหลังจะเพิ่มปริมาณขึ้นเริ่อยๆ และเป็นคำตอบว่า "ต้องทานสมุนไพรไปตลอดหรือไม่" มิเช่นนั้นแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์คงทำสมุนไพรให้ทานตามปริมาณคนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหวเป็นแน่แท้ ถ้าไม่มีผู้ใดเรียนรู้และเลือกทางเลือกหลังในการรักษาตนเป็นแน่แท้ ....
ข้อดีสำแนวทางเลือกหลัง หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกว่า "ทานสมุนไพรเป็น" ไม่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรมาก ก็เพียงพอแก้ปัญหาแล้ว แค่ยาเขียวแก้วเดียวก็จบได้ แล้วท่านจะลองดูไหม....
ทางเลือกแรกคือ สมุนไพรรักษา เหมาะแก่ผู้ที่ไม่คิดจะนำธรรมของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ ไม่คิดจะเรียนรู้ใดๆ แต่มีความขันติ อดทน ในการทานสมุนไพร และทำตามกติกาพื้นฐานที่ตั้งไว้ เช่น การสวดมนต์ เป็นต้น
ทางเลือกนี้ ท่านกล่าวว่า จำเป็นที่จะต้องทานสมุนไพรให้ได้ปริมาณ และอาศัยซึ่งความสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพือให้ร่างกายสะสมจนได้ปริมาณเพียงพอ นำไปใช้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นคนไข้ประเภทนี้จึงต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน และต้องใช้ความขันติ อดทนสูง ในการยืนระยะ แต่ก็สามารถประสพผลสำเร็จในการหายโรคได้
ทางเลือกที่สอง คือ บุญรักษา เหมาะแก่ผู้ที่พร้อมจะน้อมนำธรรมของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ เพื่อบังคับกาย วาจา ใจ ทำให้ต้องทำงานมากขึ้น กว่าการทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่บังเกิด ก็คุ้มค่า เพราะจะทำให้สมุนไพรมีฤทธิมากขึ้นตามพฤติกรรมของตน ท่านเรียกว่ามีบุญรักษามาช่วยด้วย การใช้แนวทางนี้ จึงเห็นผลได้เร็ว และค่อนข้างหวังผลได้แน่นอน
การเลือกทางแรก หลวงพ่อนิพนธ์กล่าว่า ถึงแม้จะหายจากโรค ก็ไม่เรียกว่า ชีวิตอยู่ในขั้นปลอดภัย เพราะหายจากโรคนี้ อาจไปเป็นโรคอื่นแทนขึ้นมาได้ การเลือกทางเดินแรกท่านจึงมักกล่าวว่า ยังเสี่ยง ที่จะ "หนีเสือ ปะจรเข้" ท้ายที่สุด ก็อาจเอาชีวิตไม่รอด ท่านจึงยกตัวอย่าง ลูกศิษย์เก่าที่ตามมาจากถ้ำกระบอกท่านหนึ่งให้ฟังเสมอๆ คือ "จับหยี" ที่ได้มาพบท่านเมื่อเปิดสำนักอยู่ที่ลพบุรี ในช่วงปี 30 นั่นเอง เขามาด้วยโรคมะเร็ง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เรารักษามะเร็งให้ได้แล้ว แต่จับหยี ควรมีพฤติกรรมให้สอดคล้อง ในแนวทางของพระภูมี เขาบ่ายเบี่ยง จนในที่สุดไม่นาน ก็ประสพเหตุทางรถยนต์ถึงแก่ชีวิต
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวชวนให้เลือกทางเลือกหลังเสมอๆ อันเป็นที่มาของคำขวัญของชมรม คือ "สมุนไพรรักษาโรค ธรรมรักษากรรม" เพราะเรายอมเหนื่อยกับวินัยธรรมของพระพุทธเจ้า ย่อมเกิดบุญที่จะใช้กรรม เมื่อไม่มีกรรม เราก็หมดทั้งโรค และกรรม จึงปลอดภัยทั้งจากโรคและอุบัติเหตุ
ท่านจึงกล่าวว่า มนุษย์ทุกคนทั่วไป ไม่ตายโหง ก็ตายห่า ถ้าเราจะหนี้ ก็ต้องหนีให้พ้นทั้งสองสิ่ง จึงจะเรียกว่า ปลอดภัย
ในเสี้ยวหนึ่งของคุณปรียานุช ที่อาจไม่มีเขียนในหนังสือ คนทั่วไปจะเห็นแต่ห้องน้ำที่คุณปรียานุชสร้าง แต่ไม่รู้ที่มาที่ไป ว่าสร้างทำไม ก็ด้วยเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า โรคที่คุณปรียานุชเป็นอยู่ เกิดจากกรรมที่เราเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป การจะใช้กรรม ก็ต้องย้อนศร จึงก่อเกิดห้องน้ำ และภาพคุณปรียานุช มาล้างห้องน้ำของชมรม ทุกสัปดาห์ จนโรคที่หมอทั่วโลกเขาเมิน ก็มาหายด้วยห้องน้ำนี้เอง มิใช่เพียงแค่แต่ทานสมุนไพรแต่เพียงอย่างเดียว
ทางเลือกทั้งสองทาง ก็แล้วแต่ใครจะพิจารณา เลือกเดินกันเอาเอง ผลที่ได้ หายจากโรคเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน ใครที่จะเลือกเดินตามเส้นทางหลัง หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า มันเริ่มจากคำว่า "เสียสละ" ทำให้ผู้อื่น
เมื่อท่านไปที่ชมรม ท่านจึงเห็นบุคคลสองกลุ่ม คนกลุ่มที่สองแม้จะน้อยหน่อย แต่ก็มีให้เห็น เราท่านจึงเห็น คุณอ้อ คุณเส่ย คุณดา ... ซึ่งใช้แนวทางของบุญรักษา เดินอยู่ คนเหล่านี้ จะเห็นว่า ทานสมุนไพรน้อยมาก หรือ แทบจะไม่ได้ทานเลย หลวงพ่อนิพนธ์เคยกล่าวว่า อาจจำเป็นต้องทานก็เฉพาะในเวลาที่กรรมหนักจริงๆ มาถึง เท่านั้นก็เพียงพอ
เราจึงหวังว่า คนกลุ่มหลังจะเพิ่มปริมาณขึ้นเริ่อยๆ และเป็นคำตอบว่า "ต้องทานสมุนไพรไปตลอดหรือไม่" มิเช่นนั้นแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์คงทำสมุนไพรให้ทานตามปริมาณคนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหวเป็นแน่แท้ ถ้าไม่มีผู้ใดเรียนรู้และเลือกทางเลือกหลังในการรักษาตนเป็นแน่แท้ ....
ข้อดีสำแนวทางเลือกหลัง หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกว่า "ทานสมุนไพรเป็น" ไม่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรมาก ก็เพียงพอแก้ปัญหาแล้ว แค่ยาเขียวแก้วเดียวก็จบได้ แล้วท่านจะลองดูไหม....
สุขของพระพุทธเจ้า
พรปีใหม่ที่แม่ชีเมี้ยนท่านเคยให้ไว้เมื่อ ปี 2505 ตอนหนึ่ง กล่าวว่า ขอให้ขันติสงฆ์สุขอยู่ในนิสัยพระพุทธเจ้าเท่าที่มี จงพยายามขันติ และอดทน จะพบตนในวันข้างหน้า
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า หลักของพระภูมี คือ จับตนค้นตน อย่าไปมองผู้อื่น อันโรคที่เป็นอยู่ไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัว คือ นิสัยของเราต่างหาก ที่ต้องเฝ้ามองว่ามันจะอาละวาด ทำร้ายเราและผู้อื่นสักฉันใด โรคภัยที่ร้ายแรงที่สุดที่เราเป็นก็แค่คร่าชีวิตเรา แต่นิสัยร้ายที่เรามีอยู่ ฆ่าคนได้เป็นหมื่นเป็นแสน ก็มีให้เห็น
ในวันงานรำลึกถึงวันสิ้นแม่ชีเมี้ยน ในเดือนมีนาคม ปีก่อน ท่านจึงเปรยๆว่า ถ้าท่านใดเชื่อ ก็ให้นำนิสัยของพระพุทธเจ้าบางประการ ไปฝึกปฏิบัติ คือ "ไม่โกรธ วันละหนึ่งชั่วโมง" ทำทุกวัน จนเกิดเป็นนิสัยของพระพุทธเจ้าติดตัว เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอทำให้ชีวิตรอดปลอดภัยแล้ว
ในวันที่พระภูมีสำเร็จสัมโพธิณาน รำพึงออกมาว่า "สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ" ท่านให้อรรถาธิบายว่า สุขที่เราไม่ฉ้อโลก โลกก็ไม่ฉ้อเรา แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า พระพุทธเจ้า จึงเป็นบุคคลที่ พูดจริง ทำจริง
เทปที่หลวงพ่อนิพนธ์เปิดในวันปีใหม่ แม่ชีเมี้ยนได้บรรยาย ให้เห็นว่า พระโคดม เห็นม้าวิ่งผ่านมา ท่านเดินอยู่ในเส้นทางนั้น ถือไม้เล็กๆอยู่ในมือ ก็ทรงดำริว่า ถ้าเราถือไม้ไว้ ม้าอาจคิดว่าเราจะทำลายเขา เขาอาจจะเตะเราก็ได้ จึงรีบวางไม้ แล้วหลบจากเส้นทางที่ม้าวิงเสีย เมื่อเจอเสือ หรือช้าง ท่านก็แสดงให้เห็นว่า ท่านไม่มีอาวุธ ไม่มีเจตนาทำร้ายเสียซึ่งสัตว์นั้นๆ เมื่อเหล่าสัตว์นั้นเห็น ก็กล่าวกันว่า นี่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีอาวุธ ไม่มาทำร้ายซึ่งเรา นี่เป็นสมณะ สัตว์เหล่านั้นก็มีบังคมไหว้ พระโคดม
ในช่วงแรกของเทป แม่ชีเมี้ยน ได้ชี้ให้เห็นซึ่งนิสัยของพวกเรา เพื่อเตือนสติ ว่า มักจะเป็นเช่นนี้ คือ ไม่ไป บอกว่าไป ไม่เห็นบอกว่าเห็น ไม่รู้บอกว่ารู้ รู้แค่หนึ่งส่วน พูดเสียสิบส่วน
ท่านจึงตรัสว่า สุขของมนุษย์ จึงเป็นสุขประคอง คือสุขเมื่อเห็น แต่สุขของพระพุทธเจ้า เป็นสุขนิสัย เป็นสุขที่จีรัง อยู่กับเราตลอดเวลา ผู้ใดอยากได้ ก็น้อมนำรับธรรมของท่านไปปฏิบัติ ทำได้แค่ไหน ก็จะได้สัมผัสสุขของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยิ่งมีมาก ยิ่งสุขมาก
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชักชวนให้เราปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า แม้เพียงไม่กี่หมวด ก็เพียงพอให้เกิดบุญ จนหลุดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ และรักษาตัวรอดปลอดภัย รอ ... รอรับการอุบัติของพระพุทธเจ้า แล้วเมื่อนั้น วันที่มีโอกาสได้ไปกราบพระพุทธเจ้า และรับธรรมมาปฏิบัติ ผลจะเกิดมหาศาล ท่านจึงว่า ตายตาหลับได้เลย ชาตินี้ไม่เสียชาติเกิดแล้ว
โลกที่ศิวิไลซ์ อย่างแท้จริง คือ โลกที่คนในหมู่นั้น พูดจริง และทำจริง ดั่งรอยของพระภูมี นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผู้ที่เชื่อพระภูมี ก็เริ่มจากทำตามรอยท่าน คือ เริ่มจากการเสียสละ ดั่งเช่นท่านสละราชบัลลังก์ แต่สำหรับเรา ก็อาจจะสละแรงกายเพื่อช่วยผู้อื่น เพราะพระภูมีตรัสไว้ว่า ที่ใดมีคนทุกข์ที่นั่นคือแหล่งบุญ ไม่ใช่วัตถุ ที่โหมประโคม ให้สร้างให้ทำดังเช่นทุกวันนี้ เราจึงไม่เห็นร่องรอยของปูชณียวัตถุในยุคของพระพุทธเจ้าเลย แม้แต่แห่งเดียว
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า หลักของพระภูมี คือ จับตนค้นตน อย่าไปมองผู้อื่น อันโรคที่เป็นอยู่ไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัว คือ นิสัยของเราต่างหาก ที่ต้องเฝ้ามองว่ามันจะอาละวาด ทำร้ายเราและผู้อื่นสักฉันใด โรคภัยที่ร้ายแรงที่สุดที่เราเป็นก็แค่คร่าชีวิตเรา แต่นิสัยร้ายที่เรามีอยู่ ฆ่าคนได้เป็นหมื่นเป็นแสน ก็มีให้เห็น
ในวันงานรำลึกถึงวันสิ้นแม่ชีเมี้ยน ในเดือนมีนาคม ปีก่อน ท่านจึงเปรยๆว่า ถ้าท่านใดเชื่อ ก็ให้นำนิสัยของพระพุทธเจ้าบางประการ ไปฝึกปฏิบัติ คือ "ไม่โกรธ วันละหนึ่งชั่วโมง" ทำทุกวัน จนเกิดเป็นนิสัยของพระพุทธเจ้าติดตัว เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอทำให้ชีวิตรอดปลอดภัยแล้ว
ในวันที่พระภูมีสำเร็จสัมโพธิณาน รำพึงออกมาว่า "สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ" ท่านให้อรรถาธิบายว่า สุขที่เราไม่ฉ้อโลก โลกก็ไม่ฉ้อเรา แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า พระพุทธเจ้า จึงเป็นบุคคลที่ พูดจริง ทำจริง
เทปที่หลวงพ่อนิพนธ์เปิดในวันปีใหม่ แม่ชีเมี้ยนได้บรรยาย ให้เห็นว่า พระโคดม เห็นม้าวิ่งผ่านมา ท่านเดินอยู่ในเส้นทางนั้น ถือไม้เล็กๆอยู่ในมือ ก็ทรงดำริว่า ถ้าเราถือไม้ไว้ ม้าอาจคิดว่าเราจะทำลายเขา เขาอาจจะเตะเราก็ได้ จึงรีบวางไม้ แล้วหลบจากเส้นทางที่ม้าวิงเสีย เมื่อเจอเสือ หรือช้าง ท่านก็แสดงให้เห็นว่า ท่านไม่มีอาวุธ ไม่มีเจตนาทำร้ายเสียซึ่งสัตว์นั้นๆ เมื่อเหล่าสัตว์นั้นเห็น ก็กล่าวกันว่า นี่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีอาวุธ ไม่มาทำร้ายซึ่งเรา นี่เป็นสมณะ สัตว์เหล่านั้นก็มีบังคมไหว้ พระโคดม
ในช่วงแรกของเทป แม่ชีเมี้ยน ได้ชี้ให้เห็นซึ่งนิสัยของพวกเรา เพื่อเตือนสติ ว่า มักจะเป็นเช่นนี้ คือ ไม่ไป บอกว่าไป ไม่เห็นบอกว่าเห็น ไม่รู้บอกว่ารู้ รู้แค่หนึ่งส่วน พูดเสียสิบส่วน
ท่านจึงตรัสว่า สุขของมนุษย์ จึงเป็นสุขประคอง คือสุขเมื่อเห็น แต่สุขของพระพุทธเจ้า เป็นสุขนิสัย เป็นสุขที่จีรัง อยู่กับเราตลอดเวลา ผู้ใดอยากได้ ก็น้อมนำรับธรรมของท่านไปปฏิบัติ ทำได้แค่ไหน ก็จะได้สัมผัสสุขของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยิ่งมีมาก ยิ่งสุขมาก
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชักชวนให้เราปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า แม้เพียงไม่กี่หมวด ก็เพียงพอให้เกิดบุญ จนหลุดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ และรักษาตัวรอดปลอดภัย รอ ... รอรับการอุบัติของพระพุทธเจ้า แล้วเมื่อนั้น วันที่มีโอกาสได้ไปกราบพระพุทธเจ้า และรับธรรมมาปฏิบัติ ผลจะเกิดมหาศาล ท่านจึงว่า ตายตาหลับได้เลย ชาตินี้ไม่เสียชาติเกิดแล้ว
โลกที่ศิวิไลซ์ อย่างแท้จริง คือ โลกที่คนในหมู่นั้น พูดจริง และทำจริง ดั่งรอยของพระภูมี นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผู้ที่เชื่อพระภูมี ก็เริ่มจากทำตามรอยท่าน คือ เริ่มจากการเสียสละ ดั่งเช่นท่านสละราชบัลลังก์ แต่สำหรับเรา ก็อาจจะสละแรงกายเพื่อช่วยผู้อื่น เพราะพระภูมีตรัสไว้ว่า ที่ใดมีคนทุกข์ที่นั่นคือแหล่งบุญ ไม่ใช่วัตถุ ที่โหมประโคม ให้สร้างให้ทำดังเช่นทุกวันนี้ เราจึงไม่เห็นร่องรอยของปูชณียวัตถุในยุคของพระพุทธเจ้าเลย แม้แต่แห่งเดียว
วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555
ทำไมต้องพระพุทธเจ้า
คำถามเรียบๆ ที่เกิดขึ้น คือ ทำไมเราต้องใช้พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ในเมื่อมนุษย์มีปัญญา สร้างสิ่งต่างๆ ได้มากมาย วิทยาการที่ล้ำลึก สุดบรรยาย ได้มากมายมหาศาล
คำตอบที่แม่ชีเมี้ยนให้ สั้นๆ แต่ครอบคลุม ได้ใจความครบถ้วน คือ โลกนี้เป็นโลกของโลกียะ มีกรรมเป็นอำนาจ ความคิดทุกสิ่งอย่างจึงเป็นความคิดกรรม ไม่มีทางที่จะมีความคิดใดที่จะสามารถมาลบล้างกรรมได้อย่างแน่นอน มนุษย์จึงเป็นบริวารกรรมตลอดมา
เราจึงเห็นได้ว่า ไม่ว่าพิธีกรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด วิทยาการใด ที่มนุษย์สร้างขึ้น จะมีความสามารถเอาชนะกรรมได้ อย่างแน่นอน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น กรรมก็ไม่สามารถเป็นนายเราได้ ปกครองทุกคนไม่ได้
ภาพที่ปรากฎเด่นชัดขึ้นมาทันที คือ ที่ผ่านมาเราถูกหลอก ให้เชื่อ ให้พึ่งผู้อื่นมาตลอด และไม่เคยประสพผล ด้วยเหตุนี้นั่นเอง
พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้ามีคือ ธรรม ซึ่งเป็นของโลกโลกุตระ ท่านมีธรรมเป็นอำนาจ มนุษย์ผู้ใดมาพบ เชื่อ ศรัทธา และทำตนจนสำเร็จ จะสามารถหลีกพ้น โลกโลกียะ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ ผู้ทำตนเป็นต้นแบบ ได้สำเร็จ จนได้รับสิทธิ์ให้เป็นผู้ใช้อำนาจธรรมนั้น คือ พระพุทธเจ้า ในแต่ละยุคนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้กล่าวบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงหลังนี้ว่า พระพุทธเจ้า จึงมีมาคู่กับโลก ทุกยุค ทุกสมัย ย้อนกลับไป ๔ ยุค คือ พระกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสสปะ และพระโคดม ทุกพระองค์จะมีอายุ ๒๕๐๐ ปี หลังจากนั้นจะมีบุคคลที่ทำตนได้สำเร็จ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เพื่อสังคยานาศาสนาต่อจากยุคพระโคดม
หลวงพ่อท่านจึงย้ำว่า แม่ชีเมี้ยนได้ระบุไว้ชัด จะต้องมีพระพุทธเจ้าบังเกิดในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน จึงพยายามสอนให้สมาชิก ทำตนเป็นพุทธบริษัท ที่ถูกต้องตามครรลอง ตามแบบพุทธกาล รองรับการอุบัติของท่าน
อรรถาธิบายในวันปีใหม่ ท่านจึงกล่าวว่า ธรรมเขามีอยู่แล้ว มีอำนาจจริง ดังนั้น การที่จะเรียกว่า ตรัสรู้ อาจจะไม่ตรงนัก เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้คิดหรือสร้างธรรมขึ้น แต่เป็นผู้มาเรียนธรรม และปฏิบัติด้วยพระองค์เอง จนสำเร็จ
ด้วยเหตุที่ "ธรรม มีอำนาจเหนือ กรรม" จึงสามารถพาพระพุทธเจ้าและสาวก ให้หลุดพ้นจากโลก เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ นั่นเอง
คำปรารภในช่วงท้ายของท่าน จึงกล่าวเตือนว่า ในเมื่อเราเลือกที่จะมาเดินในแนวทางของแม่ชีเมี้ยน คือ เดินตามรอยพระพุทธเจ้า แต่ไม่เอาธรรมของพระโคดมเลย แล้วเราจะไปกันอย่างไรหนอ จะพ้นกรรมได้โดยวิธีใด
สติสุดท้ายที่ท่านกล่าวให้สมาชิก ได้ลองตรองดู คือ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่า "ทุกสิ่งเกิดจากกรรม ตัวท่านและสาวก ก็ต้องปฏิบัติธรรม จนมีคุณสมบัติ คือ มีนิสัยของธรรม ก่อให้เกิดบุญ อุ้มไปนิพพาน" เมื่อเราจะทำตนให้หายโรค ก็ต้องตัดกรรมที่ทำมาด้วย จะทานสมุนไพรให้หายโรคเพียงอย่างเดียว คงไม่พอ และยากจะสำเร็จ แต่ถ้าเราน้อมนำธรรมไปปฏิบัติ จนหมดกรรม การหมดโรคก็จะเป็นเรื่องง่าย ที่สำคัญ ปลอดภัยทั้งวันนี้และวันหน้า ไม่ต้องเผชิญกับภาษิตที่ว่า "หนีเสือ ปะจรเข้" หายจากโรค ไปตายด้วยอย่างอื่น อันเนื่องจากกรรมที่ทำมันยังอยู่นั่นเอง การมา สูญทั้งเวลา ทั้งค่าใช้จ่าย ก็จะเป็นการเสียเปล่า
ณ วันนี้ ถ้าเราท่านเชื่อว่า ความคิดมนุษย์ ยังช่วยให้หายโรคได้ แนวทางนี้ก็ไม่เหมาะกับท่าน แต่ถ้าท่านเชื่อ แม่ชีเมี้ยน เชื่อพระพุทธเจ้า ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน ก็ให้วางความเชื่อนั้นลงก่อน ให้เหลือสิ่งเดียว แล้วทำตาม หลังจากนั้นก็ดูผล ว่าเมื่อเราเชื่อดังนี้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น วันใดที่ประสพผลดังหวัง แล้วจะย้อนกลับไปหยิบของเหล่านั้นมาถืออีก หลวงพ่อนิพนธ์ท่านก็ไม่ได้ห้ามอะไร
การทานสมุนไพร ในท้ายที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณ แต่ขึ้นกับศรัทธา และการปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านเรียกว่า เป็นวิญญาณของสมุนไพร อันจะแสดงฤทธิ์ตามผลที่ทำได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเป็นหลัก "ตนพึ่งตน" ยิ่งไปกว่านั้น สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อผู้ใดเข้าถึง ก็แทบไม่ต้องทานสมุนไพรเลย เพราะธรรมเขาเป็นต้นอำนาจ นั่นเอง สามารถป้องกันได้ทั้งโรคภัย และอุบัติภัย ซึ่งให้ความปลออภัยแก่ชีวิตที่มั่นคง กว่าสมุนไพรที่ปกป้องได้แต่โรคเพียงอย่างเดียว
สมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน จึงเป็นบันได ที่ให้เราก้าวเข้ามา ได้สัมผัส พระพุทธศาสนา ที่แท้จริง และเกิดสำนึก ดังคำสอนของแม่ชีเมี้ยน จนน้อมนำไปปฏิบัติ ให้เกิดสุขแก่ตน เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของวิญญาณ ก็ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมีพระพุทธเจ้า เพื่อขอธรรมจากท่านมาปกป้องตนเอง
ก็ถ้าจะเถียงกันว่า ที่โน่นก็มีธรรม ที่นั่นก็ธรรมดี ตรงนั้นก็แจ๋ว ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา หลวงพ่อนิพนธ์จึงเปรยว่า วันใดที่พระพุทธเจ้าอุบัติ ท่านจะสังคายนาศาสนาของท่าน เราท่านจะได้เห็นว่า ธรรมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเป็นฉันใด ตอนนี้ของจริงยังไม่มา ของปลอมก็หลอกขายกันเกลื่อน หาผู้ใดแยกแยะให้ออกก็ยังไม่มี ก็แล้วแต่ท่าน เราไม่เถียงด้วย ดูผลของการปฏิบัติก็แล้วกัน ดังคำของหลวงพ่อนิพนธ์ พูดเล่นๆ ว่า ที่ไหนดี ก็ลองเอามะเร็ง เอาเอดส์ ไปทิ้งไว้ให้ ดูซิว่าช่วยได้ไหม ถ้าช่วยได้ก็รีบไปเลย
คำตอบที่แม่ชีเมี้ยนให้ สั้นๆ แต่ครอบคลุม ได้ใจความครบถ้วน คือ โลกนี้เป็นโลกของโลกียะ มีกรรมเป็นอำนาจ ความคิดทุกสิ่งอย่างจึงเป็นความคิดกรรม ไม่มีทางที่จะมีความคิดใดที่จะสามารถมาลบล้างกรรมได้อย่างแน่นอน มนุษย์จึงเป็นบริวารกรรมตลอดมา
เราจึงเห็นได้ว่า ไม่ว่าพิธีกรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด วิทยาการใด ที่มนุษย์สร้างขึ้น จะมีความสามารถเอาชนะกรรมได้ อย่างแน่นอน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น กรรมก็ไม่สามารถเป็นนายเราได้ ปกครองทุกคนไม่ได้
ภาพที่ปรากฎเด่นชัดขึ้นมาทันที คือ ที่ผ่านมาเราถูกหลอก ให้เชื่อ ให้พึ่งผู้อื่นมาตลอด และไม่เคยประสพผล ด้วยเหตุนี้นั่นเอง
พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้ามีคือ ธรรม ซึ่งเป็นของโลกโลกุตระ ท่านมีธรรมเป็นอำนาจ มนุษย์ผู้ใดมาพบ เชื่อ ศรัทธา และทำตนจนสำเร็จ จะสามารถหลีกพ้น โลกโลกียะ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ ผู้ทำตนเป็นต้นแบบ ได้สำเร็จ จนได้รับสิทธิ์ให้เป็นผู้ใช้อำนาจธรรมนั้น คือ พระพุทธเจ้า ในแต่ละยุคนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้กล่าวบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงหลังนี้ว่า พระพุทธเจ้า จึงมีมาคู่กับโลก ทุกยุค ทุกสมัย ย้อนกลับไป ๔ ยุค คือ พระกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสสปะ และพระโคดม ทุกพระองค์จะมีอายุ ๒๕๐๐ ปี หลังจากนั้นจะมีบุคคลที่ทำตนได้สำเร็จ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เพื่อสังคยานาศาสนาต่อจากยุคพระโคดม
หลวงพ่อท่านจึงย้ำว่า แม่ชีเมี้ยนได้ระบุไว้ชัด จะต้องมีพระพุทธเจ้าบังเกิดในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน จึงพยายามสอนให้สมาชิก ทำตนเป็นพุทธบริษัท ที่ถูกต้องตามครรลอง ตามแบบพุทธกาล รองรับการอุบัติของท่าน
อรรถาธิบายในวันปีใหม่ ท่านจึงกล่าวว่า ธรรมเขามีอยู่แล้ว มีอำนาจจริง ดังนั้น การที่จะเรียกว่า ตรัสรู้ อาจจะไม่ตรงนัก เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้คิดหรือสร้างธรรมขึ้น แต่เป็นผู้มาเรียนธรรม และปฏิบัติด้วยพระองค์เอง จนสำเร็จ
ด้วยเหตุที่ "ธรรม มีอำนาจเหนือ กรรม" จึงสามารถพาพระพุทธเจ้าและสาวก ให้หลุดพ้นจากโลก เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ นั่นเอง
คำปรารภในช่วงท้ายของท่าน จึงกล่าวเตือนว่า ในเมื่อเราเลือกที่จะมาเดินในแนวทางของแม่ชีเมี้ยน คือ เดินตามรอยพระพุทธเจ้า แต่ไม่เอาธรรมของพระโคดมเลย แล้วเราจะไปกันอย่างไรหนอ จะพ้นกรรมได้โดยวิธีใด
สติสุดท้ายที่ท่านกล่าวให้สมาชิก ได้ลองตรองดู คือ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่า "ทุกสิ่งเกิดจากกรรม ตัวท่านและสาวก ก็ต้องปฏิบัติธรรม จนมีคุณสมบัติ คือ มีนิสัยของธรรม ก่อให้เกิดบุญ อุ้มไปนิพพาน" เมื่อเราจะทำตนให้หายโรค ก็ต้องตัดกรรมที่ทำมาด้วย จะทานสมุนไพรให้หายโรคเพียงอย่างเดียว คงไม่พอ และยากจะสำเร็จ แต่ถ้าเราน้อมนำธรรมไปปฏิบัติ จนหมดกรรม การหมดโรคก็จะเป็นเรื่องง่าย ที่สำคัญ ปลอดภัยทั้งวันนี้และวันหน้า ไม่ต้องเผชิญกับภาษิตที่ว่า "หนีเสือ ปะจรเข้" หายจากโรค ไปตายด้วยอย่างอื่น อันเนื่องจากกรรมที่ทำมันยังอยู่นั่นเอง การมา สูญทั้งเวลา ทั้งค่าใช้จ่าย ก็จะเป็นการเสียเปล่า
ณ วันนี้ ถ้าเราท่านเชื่อว่า ความคิดมนุษย์ ยังช่วยให้หายโรคได้ แนวทางนี้ก็ไม่เหมาะกับท่าน แต่ถ้าท่านเชื่อ แม่ชีเมี้ยน เชื่อพระพุทธเจ้า ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน ก็ให้วางความเชื่อนั้นลงก่อน ให้เหลือสิ่งเดียว แล้วทำตาม หลังจากนั้นก็ดูผล ว่าเมื่อเราเชื่อดังนี้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น วันใดที่ประสพผลดังหวัง แล้วจะย้อนกลับไปหยิบของเหล่านั้นมาถืออีก หลวงพ่อนิพนธ์ท่านก็ไม่ได้ห้ามอะไร
การทานสมุนไพร ในท้ายที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณ แต่ขึ้นกับศรัทธา และการปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านเรียกว่า เป็นวิญญาณของสมุนไพร อันจะแสดงฤทธิ์ตามผลที่ทำได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเป็นหลัก "ตนพึ่งตน" ยิ่งไปกว่านั้น สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อผู้ใดเข้าถึง ก็แทบไม่ต้องทานสมุนไพรเลย เพราะธรรมเขาเป็นต้นอำนาจ นั่นเอง สามารถป้องกันได้ทั้งโรคภัย และอุบัติภัย ซึ่งให้ความปลออภัยแก่ชีวิตที่มั่นคง กว่าสมุนไพรที่ปกป้องได้แต่โรคเพียงอย่างเดียว
สมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน จึงเป็นบันได ที่ให้เราก้าวเข้ามา ได้สัมผัส พระพุทธศาสนา ที่แท้จริง และเกิดสำนึก ดังคำสอนของแม่ชีเมี้ยน จนน้อมนำไปปฏิบัติ ให้เกิดสุขแก่ตน เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของวิญญาณ ก็ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมีพระพุทธเจ้า เพื่อขอธรรมจากท่านมาปกป้องตนเอง
ก็ถ้าจะเถียงกันว่า ที่โน่นก็มีธรรม ที่นั่นก็ธรรมดี ตรงนั้นก็แจ๋ว ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา หลวงพ่อนิพนธ์จึงเปรยว่า วันใดที่พระพุทธเจ้าอุบัติ ท่านจะสังคายนาศาสนาของท่าน เราท่านจะได้เห็นว่า ธรรมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเป็นฉันใด ตอนนี้ของจริงยังไม่มา ของปลอมก็หลอกขายกันเกลื่อน หาผู้ใดแยกแยะให้ออกก็ยังไม่มี ก็แล้วแต่ท่าน เราไม่เถียงด้วย ดูผลของการปฏิบัติก็แล้วกัน ดังคำของหลวงพ่อนิพนธ์ พูดเล่นๆ ว่า ที่ไหนดี ก็ลองเอามะเร็ง เอาเอดส์ ไปทิ้งไว้ให้ ดูซิว่าช่วยได้ไหม ถ้าช่วยได้ก็รีบไปเลย
วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555
คำสอนวันปีใหม่
การสวดมนต์รับอรุณในปีนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ได้เปิดกว้างให้สมาชิกทั่วไป ได้เข้ามีส่วนร่วม หลังจากเดิมที่มีแต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเท่านั้น ที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันดังกล่าวทุกปี
ที่พิเศษอย่างยิ่งก็คือ ในปีนี้ท่านได้นำเทปที่แม่ชีเมี้ยนได้สอนพระ เมื่อสมัยถ้ำกระบอก มาเปิดให้ได้ฟังเรื่องราวของพระพุทธศาสนา บางช่วงบางตอน อันก่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อน้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดผล สมดังหวังตั้งใจ
หลังจากฟังธรรมที่แม่ชีเมี้ยนสอนแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์ได้เน้นย้ำประเด็นที่สำคัญ ให้สมาชิก ควรน้อมนำไปปฏิบัติ เท่าที่เราพอจับใจความได้ ก็คือ
ประการแรก ผู้ใดที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้ฟังเหตุและผล ของพระพุทธศาสนาแล้ว ควรที่จะเกิดสำนึก และน้อมนำคำสอนไปปฏิบัติ
ประการที่สอง ผู้ที่ปฏิบัติ ก็ควรเดินรอยตามพระพุทธเจ้า ในการดำรงสติ โดยเฉพาะการไม่เห็นผู้อื่นผิด แม่ชีเมี้ยนได้ยกธรรมของพระโคดมข่มกิเลส นิสัย ในขณะที่พระโคดมเดิน แล้วไปชนต้นไม้ ก็ไม่โทษต้นไม้หรือผู้อื่น ด้วยสติของท่าน จึงกล่าวว่า เพราะเราใช้วาจาทำร้ายผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ เราจึงต้องรับทุกข์จากสิ่งนี้ เมื่อเหตุใดๆ เกิดขึ้น ท่านก็ใช้สติอันมหาศาลของท่าน ยอมรับในสิ่งที่เกิดว่าเป็นกรรมที่ท่านทำมา ไม่เคยที่จะกล่าวโทษผู้หนึ่งผู้ใด หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดั่งคำสอนที่แม่ชีเมี้ยนกล่าวว่า "กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง เราจึงทุกข์" ท่านจึงให้เราใช้สตินี้ในการดำรงตน และใช้ธรรมของพระโคดม ในหมวด "ไม่เห็นผู้อื่นผิด" มาเป็นสติเมื่อเผชิญเหตุ
ประการที่สาม ผู้ใดเรียนรู้เรื่องพระพุทธศาสนาแล้ว ต้องเกิดเมตตา เป็นอุปาทาน พระพุทธเจ้ามีเมตตาอันมหาศาล เพราะรู้ว่ามนุษย์มีกรรมเป็นอำนาจ การกระทำย่อมตกอยู่ในนิสัยกรรม จึงพยายามสอนสั่งผู้ที่เชื่อและศรัทธาท่าน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า สิ่งที่สมาชิกต้องทำคือ สร้างคุณสมบัติ หรือนิสัยของพระพุทธเจ้า ให้เกิดขึ้นในตัว อาศัยซึ่งศรัทธา จากเหตุและผลที่ได้รับ สร้างให้เป็นมาตรฐานธรรมของชีวิต และชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทิ้งวังมาเดิน เพราะท่านตรัสว่า " การที่ท่านทุกข์กับวินัย ก่อให้เกิดบุญ การที่คนเขาสุขกับนิสัย ก่อให้เกิดกรรม" ดังนั้น การใช้แนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน จึงเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ต้องทุกข์กับกิจกรรมต่างๆ ที่กำหนดขึ้น เพื่อให้ได้บุญไปใช้กรรมที่ทำมา ผู้ใดทำได้จนหมดกรรม "โรคที่เกิดจากกรรม จะอยู่ได้อย่างไร"
คุณสมบัติ ที่สำคัญคือ "การเสียสละ" เฉกเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงทำเป็นแบบอย่าง จึงขาดไม่ได้ ในตัวตนของผู้ที่จะประสพผล
ด้วยสติปัญญาที่จำกัดของเรา คงถ่ายทอดมาได้ไม่มากนัก แต่ก็หวังว่า คงเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการเดินทางในแนวทางคำสอนของแม่ชีเมี้ยนบ้าง หากผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอรับผิดชอบไว้แต่เพียงผู้เดียว
คำห่วงใยของหลวงพ่อนิพนธ์ที่ทิ้งท้ายไว้ให้ จากพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยนที่ทิ้งไว้ให้ คือ "ภัยจากไฟ" ที่จะตามมา หลังจากภัยจากน้ำได้ผ่านไป ก็ขอให้พึงระวังให้จงหนัก จะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่ท่านก็กล่าวว่า ไม่มีเครื่องป้องกันภัยดีไปกว่า การน้อมนำเอาธรรมของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ อย่าทำตน แบบ "เอาแต่พระพุทธ ไม่เอาพระธรรมของท่านเลย" อย่างที่คนทั่วไปทำกัน ด้วยอำนาจที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา มาจากพระธรรม ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้าหรือสาวก ที่สำเร็จ ทุกพระองค์ล้วนต้องปฏิบัติธรรม จนเกิดบุญอุ้มไปนิพพานทุกพระองค์ ท่านจึงย้ำแล้วย้ำอีกว่า ขอให้เรานำธรรมคำสอน ของแม่ชีเมี้ยน ที่ได้ถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้ามาให้ นำไปปฏิบัติเพื่อคุ้มครองตน นั่นแหละดีที่สุด การทานสมุนไพรรักษาโรค ก็ถือว่าเป็นของแถมที่ได้
ที่พิเศษอย่างยิ่งก็คือ ในปีนี้ท่านได้นำเทปที่แม่ชีเมี้ยนได้สอนพระ เมื่อสมัยถ้ำกระบอก มาเปิดให้ได้ฟังเรื่องราวของพระพุทธศาสนา บางช่วงบางตอน อันก่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อน้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดผล สมดังหวังตั้งใจ
หลังจากฟังธรรมที่แม่ชีเมี้ยนสอนแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์ได้เน้นย้ำประเด็นที่สำคัญ ให้สมาชิก ควรน้อมนำไปปฏิบัติ เท่าที่เราพอจับใจความได้ ก็คือ
ประการแรก ผู้ใดที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้ฟังเหตุและผล ของพระพุทธศาสนาแล้ว ควรที่จะเกิดสำนึก และน้อมนำคำสอนไปปฏิบัติ
ประการที่สอง ผู้ที่ปฏิบัติ ก็ควรเดินรอยตามพระพุทธเจ้า ในการดำรงสติ โดยเฉพาะการไม่เห็นผู้อื่นผิด แม่ชีเมี้ยนได้ยกธรรมของพระโคดมข่มกิเลส นิสัย ในขณะที่พระโคดมเดิน แล้วไปชนต้นไม้ ก็ไม่โทษต้นไม้หรือผู้อื่น ด้วยสติของท่าน จึงกล่าวว่า เพราะเราใช้วาจาทำร้ายผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ เราจึงต้องรับทุกข์จากสิ่งนี้ เมื่อเหตุใดๆ เกิดขึ้น ท่านก็ใช้สติอันมหาศาลของท่าน ยอมรับในสิ่งที่เกิดว่าเป็นกรรมที่ท่านทำมา ไม่เคยที่จะกล่าวโทษผู้หนึ่งผู้ใด หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดั่งคำสอนที่แม่ชีเมี้ยนกล่าวว่า "กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง เราจึงทุกข์" ท่านจึงให้เราใช้สตินี้ในการดำรงตน และใช้ธรรมของพระโคดม ในหมวด "ไม่เห็นผู้อื่นผิด" มาเป็นสติเมื่อเผชิญเหตุ
ประการที่สาม ผู้ใดเรียนรู้เรื่องพระพุทธศาสนาแล้ว ต้องเกิดเมตตา เป็นอุปาทาน พระพุทธเจ้ามีเมตตาอันมหาศาล เพราะรู้ว่ามนุษย์มีกรรมเป็นอำนาจ การกระทำย่อมตกอยู่ในนิสัยกรรม จึงพยายามสอนสั่งผู้ที่เชื่อและศรัทธาท่าน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า สิ่งที่สมาชิกต้องทำคือ สร้างคุณสมบัติ หรือนิสัยของพระพุทธเจ้า ให้เกิดขึ้นในตัว อาศัยซึ่งศรัทธา จากเหตุและผลที่ได้รับ สร้างให้เป็นมาตรฐานธรรมของชีวิต และชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทิ้งวังมาเดิน เพราะท่านตรัสว่า " การที่ท่านทุกข์กับวินัย ก่อให้เกิดบุญ การที่คนเขาสุขกับนิสัย ก่อให้เกิดกรรม" ดังนั้น การใช้แนวทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน จึงเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ต้องทุกข์กับกิจกรรมต่างๆ ที่กำหนดขึ้น เพื่อให้ได้บุญไปใช้กรรมที่ทำมา ผู้ใดทำได้จนหมดกรรม "โรคที่เกิดจากกรรม จะอยู่ได้อย่างไร"
คุณสมบัติ ที่สำคัญคือ "การเสียสละ" เฉกเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงทำเป็นแบบอย่าง จึงขาดไม่ได้ ในตัวตนของผู้ที่จะประสพผล
ด้วยสติปัญญาที่จำกัดของเรา คงถ่ายทอดมาได้ไม่มากนัก แต่ก็หวังว่า คงเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการเดินทางในแนวทางคำสอนของแม่ชีเมี้ยนบ้าง หากผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอรับผิดชอบไว้แต่เพียงผู้เดียว
คำห่วงใยของหลวงพ่อนิพนธ์ที่ทิ้งท้ายไว้ให้ จากพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยนที่ทิ้งไว้ให้ คือ "ภัยจากไฟ" ที่จะตามมา หลังจากภัยจากน้ำได้ผ่านไป ก็ขอให้พึงระวังให้จงหนัก จะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่ท่านก็กล่าวว่า ไม่มีเครื่องป้องกันภัยดีไปกว่า การน้อมนำเอาธรรมของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ อย่าทำตน แบบ "เอาแต่พระพุทธ ไม่เอาพระธรรมของท่านเลย" อย่างที่คนทั่วไปทำกัน ด้วยอำนาจที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา มาจากพระธรรม ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้าหรือสาวก ที่สำเร็จ ทุกพระองค์ล้วนต้องปฏิบัติธรรม จนเกิดบุญอุ้มไปนิพพานทุกพระองค์ ท่านจึงย้ำแล้วย้ำอีกว่า ขอให้เรานำธรรมคำสอน ของแม่ชีเมี้ยน ที่ได้ถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้ามาให้ นำไปปฏิบัติเพื่อคุ้มครองตน นั่นแหละดีที่สุด การทานสมุนไพรรักษาโรค ก็ถือว่าเป็นของแถมที่ได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)