หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า หลักของพระภูมี คือ จับตนค้นตน อย่าไปมองผู้อื่น อันโรคที่เป็นอยู่ไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัว คือ นิสัยของเราต่างหาก ที่ต้องเฝ้ามองว่ามันจะอาละวาด ทำร้ายเราและผู้อื่นสักฉันใด โรคภัยที่ร้ายแรงที่สุดที่เราเป็นก็แค่คร่าชีวิตเรา แต่นิสัยร้ายที่เรามีอยู่ ฆ่าคนได้เป็นหมื่นเป็นแสน ก็มีให้เห็น
ในวันงานรำลึกถึงวันสิ้นแม่ชีเมี้ยน ในเดือนมีนาคม ปีก่อน ท่านจึงเปรยๆว่า ถ้าท่านใดเชื่อ ก็ให้นำนิสัยของพระพุทธเจ้าบางประการ ไปฝึกปฏิบัติ คือ "ไม่โกรธ วันละหนึ่งชั่วโมง" ทำทุกวัน จนเกิดเป็นนิสัยของพระพุทธเจ้าติดตัว เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอทำให้ชีวิตรอดปลอดภัยแล้ว
ในวันที่พระภูมีสำเร็จสัมโพธิณาน รำพึงออกมาว่า "สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ" ท่านให้อรรถาธิบายว่า สุขที่เราไม่ฉ้อโลก โลกก็ไม่ฉ้อเรา แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า พระพุทธเจ้า จึงเป็นบุคคลที่ พูดจริง ทำจริง
เทปที่หลวงพ่อนิพนธ์เปิดในวันปีใหม่ แม่ชีเมี้ยนได้บรรยาย ให้เห็นว่า พระโคดม เห็นม้าวิ่งผ่านมา ท่านเดินอยู่ในเส้นทางนั้น ถือไม้เล็กๆอยู่ในมือ ก็ทรงดำริว่า ถ้าเราถือไม้ไว้ ม้าอาจคิดว่าเราจะทำลายเขา เขาอาจจะเตะเราก็ได้ จึงรีบวางไม้ แล้วหลบจากเส้นทางที่ม้าวิงเสีย เมื่อเจอเสือ หรือช้าง ท่านก็แสดงให้เห็นว่า ท่านไม่มีอาวุธ ไม่มีเจตนาทำร้ายเสียซึ่งสัตว์นั้นๆ เมื่อเหล่าสัตว์นั้นเห็น ก็กล่าวกันว่า นี่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีอาวุธ ไม่มาทำร้ายซึ่งเรา นี่เป็นสมณะ สัตว์เหล่านั้นก็มีบังคมไหว้ พระโคดม
ในช่วงแรกของเทป แม่ชีเมี้ยน ได้ชี้ให้เห็นซึ่งนิสัยของพวกเรา เพื่อเตือนสติ ว่า มักจะเป็นเช่นนี้ คือ ไม่ไป บอกว่าไป ไม่เห็นบอกว่าเห็น ไม่รู้บอกว่ารู้ รู้แค่หนึ่งส่วน พูดเสียสิบส่วน
ท่านจึงตรัสว่า สุขของมนุษย์ จึงเป็นสุขประคอง คือสุขเมื่อเห็น แต่สุขของพระพุทธเจ้า เป็นสุขนิสัย เป็นสุขที่จีรัง อยู่กับเราตลอดเวลา ผู้ใดอยากได้ ก็น้อมนำรับธรรมของท่านไปปฏิบัติ ทำได้แค่ไหน ก็จะได้สัมผัสสุขของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยิ่งมีมาก ยิ่งสุขมาก
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชักชวนให้เราปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า แม้เพียงไม่กี่หมวด ก็เพียงพอให้เกิดบุญ จนหลุดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ และรักษาตัวรอดปลอดภัย รอ ... รอรับการอุบัติของพระพุทธเจ้า แล้วเมื่อนั้น วันที่มีโอกาสได้ไปกราบพระพุทธเจ้า และรับธรรมมาปฏิบัติ ผลจะเกิดมหาศาล ท่านจึงว่า ตายตาหลับได้เลย ชาตินี้ไม่เสียชาติเกิดแล้ว
โลกที่ศิวิไลซ์ อย่างแท้จริง คือ โลกที่คนในหมู่นั้น พูดจริง และทำจริง ดั่งรอยของพระภูมี นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผู้ที่เชื่อพระภูมี ก็เริ่มจากทำตามรอยท่าน คือ เริ่มจากการเสียสละ ดั่งเช่นท่านสละราชบัลลังก์ แต่สำหรับเรา ก็อาจจะสละแรงกายเพื่อช่วยผู้อื่น เพราะพระภูมีตรัสไว้ว่า ที่ใดมีคนทุกข์ที่นั่นคือแหล่งบุญ ไม่ใช่วัตถุ ที่โหมประโคม ให้สร้างให้ทำดังเช่นทุกวันนี้ เราจึงไม่เห็นร่องรอยของปูชณียวัตถุในยุคของพระพุทธเจ้าเลย แม้แต่แห่งเดียว