ความรู้ที่หลวงพ่อนิพนธ์ถ่ายทอดและเน้นย้ำ ตั้งแต่หลังปีใหม่มา คือ เมื่อวิญญาณต้องการสังขาร สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือ สังขารประกอบด้วยองค์ทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
แม่ชีเมี้ยนสอนว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบเป็นสังขาร เป็นสิ่งที่มีชิวิต และมีวิญญาณ
ด้วยสี่สิ่งนี้ ถึงแม้ในบางครั้งจะมองไม่เห็น แต่ก็มีตัวตน สัมผัสได้ เราจึงอาจมองไม่เห็นไฟ แต่รู้สึกอุ่นขึ้น ไม่เห็นลม แต่ยังหายใจได้
อะไรที่เป็นข้อพิสูจน์ของการมีชีวิต และวิญญาณของธาตุทั้งสี่เหล่านี้
แม่ชีเมี้ยนตรัสสอนว่า เพราะเขามีชีวิต มีวิญญาณ เขาจึงมีเกิด มีตาย เราจึงมีดินดี ดินเสีย น้ำดี น้ำเสีย ลมดี ลมเสีย ไฟดี ไฟเสีย นั่นเอง
องค์ประกอบของสังขาร ที่มีชีวิต จึงต้องการธาตุทั้งสี่ที่ยังมีชีวิต เพื่อมาใช้ในการต่อชีวิตของเราท่านนั่นเอง สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในพืช และสัตว์ มนุษย์จึงกินพืชและสัตว์ เป็นอาหาร เพราะธาตุทั้งสี่ยังมีชีวิต เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มีชีวิต
หากแต่เราทาน ธาตุที่เสียไป ร่างกายจะปฏิเสธ เราจึงไม่สามารถกินน้ำเสียได้ ไม่สามารถหายใจ ลมหรืออากาศที่ขาดออกซิเจนเข้าตัวได้ ไม่สามารถกินอาหารหรือดิน ที่เน่าบูดได้ หรือไม่สามารถอยู่ที่หนาวจัด หรือร้อนจัดได้
ด้วยความรู้ของพระพุทธเจ้าในข้อนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงยืนยันว่า ไม่มีทางที่ยาเคมี จะช่วยมนุษย์ได้เป็นอันขาด เพราะไม่องค์ประกอบของธาตุทั้งสี่ ยาเคมีเหล่านั้น จึงมีหน้าที่ประการเดียวคือ ระงับอาการ แล้วทิ้งตัวเป็นกากอยู่ในตัวผู้ทาน เป็นสาเหตุของโรคแทรกซ้อน และอาการข้างเคียง นั่นเอง
ด้วยพหูสูตรอันนี้เอง สมุนไพรของพระพุทธเจ้า จึงเป็นสมุนไพรครอบจักรวาล ตอบคำถามว่า ทำไมไม่ว่าใครหรือผู้ใด เป็นโรคอะไรก็จะได้สมุนไพรชุดเดียวกันไปทาน ก็ด้วยเหตุที่สมุนไพรของพระพุทธเจ้า มีคุณสมบัติ ใช้ในการปรับธาตุทั้งสี่ให้กลับมาสมดุลย์ดังเดิมนั่นเอง
อาทิเช่น คนที่เป็นเบาหวาน ขาดธาตุดิน ดินเสีย ก่อให้เกิดแผลเบาหวาน จนเน่าเสียต้องตัด เมื่อทานสมุนไพร เสริมสร้างธาตุดิน ก็ทำให้สามารถกลับมามีเนื้อเต็มได้ดั่งเดิม
คนที่เป็นมะเร็ง ขาดธาตุไฟ เพราะถูกแย่งเลือด เมื่อไฟอ่อน ก็เหมือนมีน้ำแข็งอยู่ในตัว ทำให้เกิดอาการปวด หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เราก็ใช้สมุนไพรธาตุไฟ ทานเข้าไป เช่น ยามะพร้าว
ด้วยเหตุที่มนุษย์ยุคไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีอาการ ๓๒ ประกอบด้วย ธาตุทั้งสี่ สมุนไพรของพระพุทธเจ้า จึงทันสมัย ไม่มีวันตกยุค ใช้ได้กับทุกคน รักษาพร้อมกันทีละเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องวินิจฉัย หน้าที่ของสมุนไพร คือ ปรับธาตุทั้งสี ให้ได้สมดุลย์ ฟื้นฟูอวัยวะให้กลับมาดั่งเดิม เสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแกร่ง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า "ผู้ใดมีวันเวลา มีมาตรฐาน ทานสมุนไพร เฉกเช่นปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน สม่ำเสมอ เมื่อถึงเวลา ต้นไม้นั้นย่อมออกดอก ออกผล อย่างแน่นอน ฉันใดก็ฉันนั้น"
ส่วนกระบวนการวินิจฉัย และซ่อมแซม เป็นความสามารถของร่างกายมนุษย์ ที่ทำได้เองอยู่แล้ว เมื่ออวัยวะเราสมบูรณ์หรือยังทำงานอยู่ และได้รับอาหารที่ครบหมู่ กระบวนการนี้ก็สามารถทำงานเอง เพราะธรรมชาติสร้างเราท่านขึ้น ทุกส่วนของร่างกาย ธรรมชาติย่อมมีกลไกซ่อมแซมแก้ไข ทุกส่วนของร่างกายเช่นกัน เฉกเช่น ร่างกายส่วนใดต้องการสารใด ธรรมชาติก็ให้ท้องย่อยอาหาร และแยกสารส่งไปให้ ทุกอณูของร่างกาย ท้องจึงมีความวิเศษกว่าเครื่องจักรใดๆ ในโลกนี้ จนมนุษย์วางใจ และไว้ใจ ส่งอาหารให้สม่ำเสมอ และเติบโตขึ้น โดยไม่เคยไถ่ถามหรือสงสัย หรืออยากรู้เลยว่า กระบวนการดังกล่าว ทำงานอย่างไร เชื่อและศรัทธา แล้วกิน
กระบวนการซ่อมแซมร่างกายก็เฉกเช่นเดียวกัน ต้องการความเชื่อ ความศรัทธา และพฤติกรรมเช่นเดียวกับการกิน มีมาตรฐานเฉกเช่นเดียวกัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย และไม่ต้องรู้ด้วยว่า ธรรมชาติทำการซ่อมแซมเราโดยวิธีใด ถ้าเราท่าน สามารถมีมาตรฐานในการกิน และการปฏิบัติ ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์ท่านกล่าวสอนได้ ยืนระยะได้ ก็มั่นใจได้ว่า เมื่อถึงวันเวลา ผลถูกย่อมปรากฎอย่างแน่นอน
ก็ด้วยเหตุที่ต้องการมาตรฐานในการทานสมุนไพรนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเปรย แบบขอร้องว่า ผู้ใดที่มาแล้ว หรือคิดจะมา แต่ไม่คิดจะทำมาตรฐานตรงนี้ ท่านเองก็ยังไม่มีความพร้อมในการจัดหาสมุนไพรได้อย่างเหลือเฟือ จึงขอให้อย่ามาเลย เปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการ และสามารถสร้างมาตรฐานในการทานได้ มีคุณสมบัติ และต้องการปริมาณสมุนไพร เพื่อแก้ปัญหา จะได้รับสมุนไพร ในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาโรคของเขาเหล่านั้นได้อย่างเพียงพอ เราท่านก็จะได้เห็นผู้ประสพความสำเร็จในแนวทางของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา กันได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ท่านใด ที่จะมาให้ชมรมคนรักสุขภาพ หรือ หลวงพ่อนิพนธ์ วินิจฉัย รีบมารีบไป ไม่มีเวลา หรือยังไม่มีความพร้อม เราก็ขอความกรุณา ท่านเหล่านั้น ไม่ต้องมา เพราะจะเสียเวลาของท่าน สิ่งที่ท่านคาดหวัง ก็คงไม่เป็นจริงในสถานที่ของชมรมคนรักสุขภาพ อย่างแน่นอน
บทสรุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทางเลือกสายนี้ สามารถใช้ได้กับทุกคน ไม่ขึ้นอยู่กับอาการที่หมอวินิจฉัย ว่า สาหัส แต่แนวทางนี้ ต้องใช้ระบบย่อย ดังนั้น "ตราบใดที่ระบบย่อยยังทำงาน ผู้ที่ลองทานแล้ว รับได้ ย่อมมีสิทธิ์ ...."
ผู้ใดฟังคำสอนของท่าน แล้วปฏิบัติได้ ยืนระยะได้ ย่อมได้ผลมากน้อยตามแต่สิ่งที่ทำนั้นๆ อย่างแน่นอน