คำถามเรียบๆ ที่เกิดขึ้น คือ ทำไมเราต้องใช้พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ในเมื่อมนุษย์มีปัญญา สร้างสิ่งต่างๆ ได้มากมาย วิทยาการที่ล้ำลึก สุดบรรยาย ได้มากมายมหาศาล
คำตอบที่แม่ชีเมี้ยนให้ สั้นๆ แต่ครอบคลุม ได้ใจความครบถ้วน คือ โลกนี้เป็นโลกของโลกียะ มีกรรมเป็นอำนาจ ความคิดทุกสิ่งอย่างจึงเป็นความคิดกรรม ไม่มีทางที่จะมีความคิดใดที่จะสามารถมาลบล้างกรรมได้อย่างแน่นอน มนุษย์จึงเป็นบริวารกรรมตลอดมา
เราจึงเห็นได้ว่า ไม่ว่าพิธีกรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด วิทยาการใด ที่มนุษย์สร้างขึ้น จะมีความสามารถเอาชนะกรรมได้ อย่างแน่นอน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น กรรมก็ไม่สามารถเป็นนายเราได้ ปกครองทุกคนไม่ได้
ภาพที่ปรากฎเด่นชัดขึ้นมาทันที คือ ที่ผ่านมาเราถูกหลอก ให้เชื่อ ให้พึ่งผู้อื่นมาตลอด และไม่เคยประสพผล ด้วยเหตุนี้นั่นเอง
พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้ามีคือ ธรรม ซึ่งเป็นของโลกโลกุตระ ท่านมีธรรมเป็นอำนาจ มนุษย์ผู้ใดมาพบ เชื่อ ศรัทธา และทำตนจนสำเร็จ จะสามารถหลีกพ้น โลกโลกียะ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ ผู้ทำตนเป็นต้นแบบ ได้สำเร็จ จนได้รับสิทธิ์ให้เป็นผู้ใช้อำนาจธรรมนั้น คือ พระพุทธเจ้า ในแต่ละยุคนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้กล่าวบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงหลังนี้ว่า พระพุทธเจ้า จึงมีมาคู่กับโลก ทุกยุค ทุกสมัย ย้อนกลับไป ๔ ยุค คือ พระกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสสปะ และพระโคดม ทุกพระองค์จะมีอายุ ๒๕๐๐ ปี หลังจากนั้นจะมีบุคคลที่ทำตนได้สำเร็จ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เพื่อสังคยานาศาสนาต่อจากยุคพระโคดม
หลวงพ่อท่านจึงย้ำว่า แม่ชีเมี้ยนได้ระบุไว้ชัด จะต้องมีพระพุทธเจ้าบังเกิดในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน จึงพยายามสอนให้สมาชิก ทำตนเป็นพุทธบริษัท ที่ถูกต้องตามครรลอง ตามแบบพุทธกาล รองรับการอุบัติของท่าน
อรรถาธิบายในวันปีใหม่ ท่านจึงกล่าวว่า ธรรมเขามีอยู่แล้ว มีอำนาจจริง ดังนั้น การที่จะเรียกว่า ตรัสรู้ อาจจะไม่ตรงนัก เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้คิดหรือสร้างธรรมขึ้น แต่เป็นผู้มาเรียนธรรม และปฏิบัติด้วยพระองค์เอง จนสำเร็จ
ด้วยเหตุที่ "ธรรม มีอำนาจเหนือ กรรม" จึงสามารถพาพระพุทธเจ้าและสาวก ให้หลุดพ้นจากโลก เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ นั่นเอง
คำปรารภในช่วงท้ายของท่าน จึงกล่าวเตือนว่า ในเมื่อเราเลือกที่จะมาเดินในแนวทางของแม่ชีเมี้ยน คือ เดินตามรอยพระพุทธเจ้า แต่ไม่เอาธรรมของพระโคดมเลย แล้วเราจะไปกันอย่างไรหนอ จะพ้นกรรมได้โดยวิธีใด
สติสุดท้ายที่ท่านกล่าวให้สมาชิก ได้ลองตรองดู คือ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่า "ทุกสิ่งเกิดจากกรรม ตัวท่านและสาวก ก็ต้องปฏิบัติธรรม จนมีคุณสมบัติ คือ มีนิสัยของธรรม ก่อให้เกิดบุญ อุ้มไปนิพพาน" เมื่อเราจะทำตนให้หายโรค ก็ต้องตัดกรรมที่ทำมาด้วย จะทานสมุนไพรให้หายโรคเพียงอย่างเดียว คงไม่พอ และยากจะสำเร็จ แต่ถ้าเราน้อมนำธรรมไปปฏิบัติ จนหมดกรรม การหมดโรคก็จะเป็นเรื่องง่าย ที่สำคัญ ปลอดภัยทั้งวันนี้และวันหน้า ไม่ต้องเผชิญกับภาษิตที่ว่า "หนีเสือ ปะจรเข้" หายจากโรค ไปตายด้วยอย่างอื่น อันเนื่องจากกรรมที่ทำมันยังอยู่นั่นเอง การมา สูญทั้งเวลา ทั้งค่าใช้จ่าย ก็จะเป็นการเสียเปล่า
ณ วันนี้ ถ้าเราท่านเชื่อว่า ความคิดมนุษย์ ยังช่วยให้หายโรคได้ แนวทางนี้ก็ไม่เหมาะกับท่าน แต่ถ้าท่านเชื่อ แม่ชีเมี้ยน เชื่อพระพุทธเจ้า ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน ก็ให้วางความเชื่อนั้นลงก่อน ให้เหลือสิ่งเดียว แล้วทำตาม หลังจากนั้นก็ดูผล ว่าเมื่อเราเชื่อดังนี้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น วันใดที่ประสพผลดังหวัง แล้วจะย้อนกลับไปหยิบของเหล่านั้นมาถืออีก หลวงพ่อนิพนธ์ท่านก็ไม่ได้ห้ามอะไร
การทานสมุนไพร ในท้ายที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณ แต่ขึ้นกับศรัทธา และการปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านเรียกว่า เป็นวิญญาณของสมุนไพร อันจะแสดงฤทธิ์ตามผลที่ทำได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเป็นหลัก "ตนพึ่งตน" ยิ่งไปกว่านั้น สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อผู้ใดเข้าถึง ก็แทบไม่ต้องทานสมุนไพรเลย เพราะธรรมเขาเป็นต้นอำนาจ นั่นเอง สามารถป้องกันได้ทั้งโรคภัย และอุบัติภัย ซึ่งให้ความปลออภัยแก่ชีวิตที่มั่นคง กว่าสมุนไพรที่ปกป้องได้แต่โรคเพียงอย่างเดียว
สมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน จึงเป็นบันได ที่ให้เราก้าวเข้ามา ได้สัมผัส พระพุทธศาสนา ที่แท้จริง และเกิดสำนึก ดังคำสอนของแม่ชีเมี้ยน จนน้อมนำไปปฏิบัติ ให้เกิดสุขแก่ตน เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของวิญญาณ ก็ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมีพระพุทธเจ้า เพื่อขอธรรมจากท่านมาปกป้องตนเอง
ก็ถ้าจะเถียงกันว่า ที่โน่นก็มีธรรม ที่นั่นก็ธรรมดี ตรงนั้นก็แจ๋ว ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา หลวงพ่อนิพนธ์จึงเปรยว่า วันใดที่พระพุทธเจ้าอุบัติ ท่านจะสังคายนาศาสนาของท่าน เราท่านจะได้เห็นว่า ธรรมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเป็นฉันใด ตอนนี้ของจริงยังไม่มา ของปลอมก็หลอกขายกันเกลื่อน หาผู้ใดแยกแยะให้ออกก็ยังไม่มี ก็แล้วแต่ท่าน เราไม่เถียงด้วย ดูผลของการปฏิบัติก็แล้วกัน ดังคำของหลวงพ่อนิพนธ์ พูดเล่นๆ ว่า ที่ไหนดี ก็ลองเอามะเร็ง เอาเอดส์ ไปทิ้งไว้ให้ ดูซิว่าช่วยได้ไหม ถ้าช่วยได้ก็รีบไปเลย