ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555
รูปรอยของศาสนา - ตามรอยมูลนิธิไทยกรุณา
หากมีใครสักคนอยากรู้รูปรอยของศาสนาพุทธ ว่ามีลักษณะเป็นเข่นไร ชุมชนที่มีขนาดใหญ่พอควร คือ ประมาณเรือนแสนนั้น พระพุทธเจ้าเขามีวิธีการจัดการอย่างไร
เมื่อไม่มีคำตอบให้ การที่จะถูกนำไปกล่าวอ้าง แล้วทำตามความคิดตน ย่อมเป็นไปได้ง่าย เห็นกันอย่างดาษดื่น อ้างบุญอย่างเดียว อ้างพระไตรปิฏก อ้างผลไชยทาน ผู้คนก็หลั่งไหล ทำกันมากมาย แต่ผลที่ออกมา สะท้อนให้เห็นแล้วว่า การกระทำอย่างนั้น ไม่มีผลตอบแทนกลับมาเลย ชีวิตจริงเขาเหล่านั้นไม่มีบุญของพระพุทธศาสนาปกป้องเลย ภัยพิบัติจึงปรากฎอยู่กับทุกตัวคน
วิธีการจัดการของพระภูมี แสดงย่อส่วนให้เห็นรายละเอียด ออกมาในรูปของเจดีย์ แม้จะไม่การสร้างเลยในสมัยของท่าน แต่เพราะคำอุปมานี้ จึงมีการก่อสร้างเจดีย์และกลายเป็นปูชนียวัตถุของศาสนาพุทธไปในที่สุด
คำอุปมาเรื่องเจดีย์นี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อรรถาธิบาย คือ กระบวนการจัดการ ที่ทำให้ทุกคนที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้มีสิทธิ์ที่เท่าเทียมกัน มีฐานันดรเดียวกัน ไม่ขึ้นกับฐานะ หรือวรรณะ เปรียบดังทุกคนคือ อิฐก้อนหนึ่ง ที่นำมาก่อเป็นเจดีย์นั้นเอง
กระบวนการที่ใช้ปรับให้เท่ากัน จึงตราเป็นกฎ ไม่รับเงินบริจาค และใช้โรงทานเป็นตัวแปร ดั่งเช่นที่ชมรมคนรักสุขภาพกำลังทำ การทานข้าว และซื้อน้ำ ทำให้ทุกคนสามารถเป็นอิฐที่ใช้ก่อเจดีย์ได้ และก็เป็นเพียงก้อนเดียวเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
แต่อิฐก้อนเดียวทำเจดีย์ไม่ได้ จึงต้องอาศัยอิฐจำนวนมากร่วมกัน ก่อเกิดสังคมของคน ที่ไม่ได้เกิดจากกรรม แต่เป็นสังคมของธรรมที่สร้างขึ้นมา แม่ชีเมี้ยนเรียกลักษณะดังกล่าวว่า "ธรรมสามัคคี"
เมื่อมีอิฐมากเท่าใด เจดีย์ก็ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น และสิ่งที่เป็นศูนย์รวมใจของอิฐเหล่านั้น ก็จะสถิตอยู่บนยอดเจดีย์ อันหมายรวมว่า เป็นสิ่งที่อิฐทุกก้อนเทิดทูน และยกไว้นั่นเอง
รูปรอยของเจดีย์ ยังบอกกล่าวให้เห็นว่า มีปลายแหลม อันจะหมายถึง ในช่วงแรก บุคคลที่มานิยมชมชอบก็ยังน้อย จวบจนเวลาผ่านไป ก็จะมีคนมาร่วมมากขึ้น จนเมื่อความนิยมแพร่หลาย ก็เป็นช่วงขององค์เจดีย์ คือมีมหาชนหลั่งไหลมา จึงมีขนาดใหญ่
ด้วยเหตุนี้เอง การปิดประตูต่างๆ ก็ด้วยต้องปรับกระบวนการให้ทุกคน มีสถานะภาพเท่ากัน สามารถเป็นอิฐได้เหมือนกัน และมีขนาดก้อนเดียวเช่นกัน ไม่ว่าจะมีฐานะ หรือฐานันดรใดก็ตาม
เมื่อถอดรูปรอยมาให้เห็น ก็จะเห็นว่า อิฐที่นำมาสร้างเกิดจากดินที่นำไปเผา เปรียบได้ดั่ง คนที่ยังเสมือนดิน ก็ต้องถูกเผาหรือถูกสอน คำสอนก็เสียดแทง หรือทำให้ร้อนรุ่ม ดังไฟที่เผานั่นเอง ผู้ที่ทำได้ สามารถอดทนและทำตาม จนได้ระยะเวลา ผลที่ปรากฎก็จะกลายเป็นอิฐที่นำมาก่อเจดีย์ได้ ผู้ที่ทนไฟไม่ได้ ก็จะแตกหัก เสียหาย ก็จำต้องทิ้งไป
คำทักของแม่ชีเมี้ยนที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวบ่อยๆ คือ แม้สมุนไพรของท่านจะดีสักฉันใด ก็ไม่สามารถช่วยทุกคนได้ ก็คงจะมีเฉพาะกลุ่มคนที่เชื่อและทำตามท่าน เท่านั้น หน้าที่ของท่านคือ ทำสมุนไพร และให้คำสอน ตามแบบของพระพุทธเจ้า ให้เขาเหล่านั้นนำไปพิจารณา ผู้ใดเชื่อและทำตาม เขาก็จะกลายเป็นอิฐให้ท่าน นำไปสร้างเป็นเจดีย์
เจดีย์ของหลวงพ่อนิพนธ์ จะสูงใหญ่หรือต่ำเตี้ย ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่าน แต่ขึ้นกับว่า มีคนเชื่อท่านและทำตามสักเท่าไรนั่นเอง แต่ไม่ว่าเจดีย์จะเล็กหรือใหญ่ มันก็จะแสดงตนให้เห็นว่า หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้ มีคุณค่า และให้ผลแก่ผู้ทำ ทำให้พ้นจากโรคภัยได้จริง เป็นหนึ่งเดียวในโลกใบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ก็พิสูจน์สัจธรรมที่ว่า "ไม่มีความคิดใดของมนุษย์ที่จะเหนือกรรม มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ที่เป็นคู่ปรับตลอดกาล คือธรรมของพระภูมีนั่นเอง"
หากใครจะมาเป็นส่วนหนึ่งของเจดีย์นี้ แต่ไม่ต้องการถูกเผา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด แอบแฝงมาเช่นไร เมื่อฝนและพายุมา ดินก้อนนั้นก็จะหลุดร่อนออกจากเจดีย์ไปอย่างแน่นอน
ดังนั้นทุกคนจึงมีสิทธิ์ที่จะเป็นอิฐเท่าเทียมกัน และสิทธิ์นั้นมีไว้ช่วยตน กลายเป็นบัญญัติ "ตนพึ่งตน" และการจะอยู่รอดของเจดีย์ก็ด้วยความสามัคคีของเหล่าอิฐนั้นเอง
เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ประกาศสู้กับภัยพิบัติ คือ โรคภัยไข้เจ็บ นั่นก็หมายความว่า กำลังประกาศสร้างเจดีย์ ผู้ที่มาร่วมก็ต้องทำตัวเป็นอิฐ เมื่อเป็นอิฐแล้ว ก็ต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้อง สมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว รู้ตำแหน่งหน้าที่ จึงจะกลายมาเป็นเจดีย์ได้ มิฉะนั้นแล้ว ก็จะเป็นได้แค่เพียงกองอิฐไร้ค่าเท่านั้นเอง
ใครจะมองว่า การกินข้าวแกง ซื้อน้ำ ซ์้อขนม เป็นเรื่องอะไรก็ช่าง แต่เราเห็นว่า นี่แหละช่องทางที่ทำให้เราเป็นอิฐ และหน้าที่ที่ต้องทำ เพื่อให้อิฐอย่างเราท่าน ได้กลายเป็นเจดีย์ให้คนทั่วโลกเห็นว่า "บัญญัติของพระพุทธเจ้า ที่แมีชีเมี้ยนนำมา ทำให้พวกเราทำในสิ่งที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ คือ การหายโรค และเราท่าน คือ คนเหนือคน"
เจดีย์นี้จะตระหง่านท้าทายมนุษย์โลกอื่นๆ ความเชื่ออื่นๆ เป็นประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้อ่าน ได้ฟัง
ก็แล้วเราท่าน จะทำตัวเป็นอิฐ ให้คนมาอ่าน มาฟัง หรือจะทำตนเป็นคนอ่านประวัติศาสตร์กันก็เลือกเอา อ่านไปกินยาหมอไป ก็แล้วแต่ใจชอบ
คิดเล่นๆ "ถ้าเงินซื้อบุญได้ พระโคดมก็ไม่ต้องบวชหรอก นำเงินจากท้องพระคลังไปซื้อนิพพานเลย ไม่ดีกว่าหรือ" พิจารณาแล้วจะเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ ศาสนาของพระโคดม จึงยืนยันให้เห็นว่า "ศาสนาพุทธ คือ ศาสนาทำ"