ด้วยความช่วยเหลือที่ได้รับ ก่อให้เกิดศรัทธา และความเคารพ เราจึงเห็นกันทั่วไปว่า หมอ เป็นอาชีพที่คนอยากเป็น และได้รับการยกย่องจากสังคม ว่า เป็นอาชีพที่ช่วยเพื่อนมนุษย์
แต่วันนี้ ความน่าเชื่อถือเริ่มถูกสั่นคลอน เมื่อกฎหมายการฟ้องแพทย์ที่ให้การรักษา ถูกบัญญัติขึ้น และมีคดีเพิ่มจำนวนเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ ในปัจจุบัน ผู้ที่เราเรียกว่าหัวกระทิ ที่ซึ่งในอดีตมักจะมุ่งไปสอบแพทย์ เริ่มเบนเข็มไปสาขาอื่นแทน สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกอะไรบ้างไม่มากก็น้อย
คำพูดที่ได้ยินเสมอ หลังจากคนไข้เข้าโรงพยาบาล คือ หมออยากให้คนไข้ ทานอาหาร เพื่อที่จะทำให้ฟื้นได้เร็ว นั่นเป็นสิ่งยืนยันว่า วิทยาศาสตร์ ไม่สามารถทำหน้าที่แทน ท้องของเราได้เลย พูดในทางกลับกัน ถ้าไม่มีท้องแล้ว ชีวิตเราก็ดำรงอยู่ไม่ได้นั่นเอง แต่ทำไมเราเชื่อวิทยาศาสตร์ แต่ไม่เชื่อท้องของเรา
เมื่อเราประสพอุบัติเหตุ แขนขาหัก เราไปหาหมอให้ต่อกระดูก เมื่อเราให้ เราก็สรรเสริญว่า หมอนั้นยอด วิทยาการนั้นเยี่ยม ทั้งที่แท้จริงแล้ว หมอก็ทำได้แค่ จัดกระดูกให้เข้าที่ ดามเหล็กไม่ให้เคลื่อน แล้วรอให้ร่างกายสร้างสารมาเพื่อเชื่อมกระดูกเอง ไม่มีสารวิทยาศาสตร์ใด หรือ วิชาการใด ที่ช่วยทำให้กระดูกเราติดได้เลย
ยามที่เราถูกบาด หรือมีแผล ก็รีบเอายาทา แล้วก็สร้างศรัทธาว่า ยาแจ๋วจริงๆ ทำให้แผลหายอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ทำหน้าที่ คือระบบของร่างกายที่มีประสิทธิภาพทำให้แผลเราหาย กลับไม่ได้รับเครดิตอะไรเลย
สรรพคุณที่วิเศษที่ธรรมชาติให้แก่มนุษย์ เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อดำรงชีวิตให้ครบตามพรหมลิขิตของแต่ละคน คือ ท้อง คือภูมิต้านทาน คือ หน่วยซ่อมแซมร่างกายตามธรรมชาติ ที่บรรพบุรุษของเราใช้สืบทอดมาแต่โบราณ ที่ยังไม่รู้จักฝรั่งตาน้ำข้าว ไม่รู้จักคำว่าแพทย์ ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น ว่ายาเคมีเป็นเช่นไร ค่อยๆ ถูกลดทอนค่าลงจนไม่เหลือ แต่สิ่งที่มาทีหลัง ที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ในความจริง กลับได้รับการยกย่องปานเทพเจ้าก็ไม่ปาน
จึงไม่น่าแปลกใจที่วันนี้ มองไปบ้านใดไม่มียาเคมีเลย คงหายากกว่างมเข็มในมหาสมุทร และก็ไม่น่าเชื่อเลยว่า เมืองที่อ้างว่าเป็นเมืองพุทธ มีศรัทธา มีจำนวนมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก กลับไม่เคยคิดถึงคำสั่งสอนของท่านเลย ยามที่มีภัยจากโรคมาเบียดเบียน
ก็พูดกันว่า ธรรมของพระพุทธเจ้า นั้นชนะกรรมทั้งปวง ทำให้พระพุทธเจ้า และสาวก ไปได้ยังโลกนิพพาน ซึ่งเรียกว่ายากเข็ญ ทำได้ยาก พูดกันทุกวัน ท่องกันทุกที่ แต่เอาเข้าจริง ทิ้งลงดินและเหยียบข้าม ไปหาเคมี กันแทบทุกตัวคน ไม่เว้นแต่คนสอนให้ทำบุญ
แม่ชีเมี้ยนจึงได้กล่าวแก่เณรนิพนธ์ว่า วิชาที่สอน เป็นของพระพุทธเจ้า ให้ทำเป็นตัวอย่างและสอนคนให้เดินตาม ให้หันกลับมา และปฏิบัติ ธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วจะหลุดจากวงจรอุบาทว์ของพ่อค้า ได้สัมผัสสุขที่แท้จริง เฉกเช่นสาวกของพระพุทธเจ้าในอดีต
บทพิสูจน์ บุญจากธรรมของพระพุทธเจ้า จึงกำลังท้าทาย ศรัทธาความเชื่อทั้งหลายในโลก สมุนไพรของพระพทุธเจ้า กำลังท้าทาย ยาเคมี ในการแก้ปัญหาเรื่องโรค
ธรรมหมวด "ตนพึ่งตน" จะเป็นบทพิสูจน์ ว่าไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง กลับมาพึ่งท้อง สร้างเสริมภูมิต้านทานด้วยสมุนไพร ศรัทธาในตัวตน ดีกว่าไหม
ผู้ทำ จึงจะรู้ดีว่า ทำไมศาสนาที่คนทั้งโลกยอมรับ จึงมีสาวกแค่แปดหมื่นกว่า และรู้ซึ้งว่า ดีแต่ไม่เอา เป็นฉันใด ศาสนาทำ หรือ จะสู้ศาสนาขอ
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า มนุษย์มันเอา พระพุทธ พระสงฆ์ แต่ไม่เอาพระธรรม จึงเป็นเช่นนี้ แต่บุญของศาสนาพุทธ อยู่ที่พระธรรม แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังต้องพึ่ง เอาพระทำมาปฏิบัติ ผู้ที่อยากได้บุญ จะเลยธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย ที่สำคัญ อยากได้ต้องทำเอง ซะด้วย
ใครจะเชื่อว่าหมอช่วย ยาดี ก็ว่าไป ยามใดที่พรหมลิขิตเรายังมี ก็โอเค ยามใดที่พรหมลิขิตเราหมด โคตรหมอ โคตรยาดี หนีไปหมด เศรษฐีจึงตายเป็นการประจานให้เห็นรายแล้วรายเล่า ไม่เห็นมีรอด
สำหรับเรา แผลเป็นจากยาเคมีที่ฆ่าเซลล์เราบนผิวหนัง ย่อมเป็นเครื่องเตือนเราว่า เพราะความโง่เขลาของเราในอดีตนั่นเอง ที่ไปเชื่อเขา ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีแม่ชีเมี้ยน ไม่มีหลวงพ่อนิพนธ์ เราก็ยังโง่ดักดานอยู่ ดุจดังคนอยู่ในความมืดอยู่นั่นเอง แค่ปวดท้อง ยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย .....
ตรองเหตุ และผล จะได้คำตอบ ว่าไม่มีใครเลย ที่ช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง จริงหรือไม่