วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เหยียบเรือสองแคม

การใช้สติพิจารณา ถือเป็นความจำเป็นสูงสุดในเรื่องของชีวิต เพราะจะทำให้เราคิดตามเหตุตามผล และหาข้อสรุปให้กับตัวเอง

เรื่องเล่า ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักนำมากล่าว คือ ชายผู้หนึ่งประสพอุบัติเหตุ แล้วรอดตายมาอย่างปาฏิหารย์ เมื่อเขาย้อนกลับไปคิดถึงว่า อะไรเป็นเหตุแห่งการรอดของเขา ชายผู้นั้นคิดว่า เป็นเพราะพระที่ห้อยคออยู่นั่นเอง

หลายคนมักจะคิดเช่นนั้น แต่พระที่ห้อยคอเขา ไม่ได้มีองค์เดียว เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ที่นับถือ ไปกราบไหว้เป็นประจำ ไม่ได้มีองค์เดียวเช่นกัน ยามปกติ ทุกองค์ ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่พึ่้งของลูกช้างตลอดมา

ก็แล้วเขาควรจะกราบขอบพระคุณสิ่งใด และจะรู้ได้อย่างไรว่าใครกันแน่ที่ช่วยเขา ผลก็คือ สิ่งที่ช่วย ไม่ได้รับผล สิ่งที่ได้รับผล ไม่ได้ช่วย

ครั้นต่อมา เมื่อเผชิญกับชะตากรรมเลวร้าย จิตก็ยังไม่รู้จะไปขอสิ่งใดให้ช่วย เพราะไม่เคยที่จะคิดและไตร่ตรอง ค้นหาความจริง บังเอิญยามคับขัน ไปคว้าในส่ิงที่ไม่มีจริง ความซวยเลยบังเกิด ความเลวร้ายจึงโถมเข้าหา อย่างไม่มีปราการใดมาปกป้องเลย

ท่านจึงอุปมาคนไข้ของท่าน เฉกเช่นชายคนนั้น เมื่อเราไม่เคยที่จะคิดพิจารณา โดยเฉพาะเรื่องของชีวิต ว่าสิ่งใดกันแน่ที่เป็นที่พึ่งของเราได้ ยามปกติเราจึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันมากมาย โน่นก็แจ๋ว อันนี้ก็เจ๋ง มีทั้งในรถ ในบ้าน เต็มไปหมด

ยามนี้ภัยใหญ่หลวงมาเยือน ไปหาเจ้าพ่อ เจ้าพ่อก็หนี ไปหาเจ้าแม่ เจ้าแม่ก็เมิน ไปหาเกจิ เกจิยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เลยไม่ว่าง และความหวังที่เฝ้าฝากไว้ ก็ไปร้องขอให้หมอช่วย เมื่อเจอของจริง หมอก็ส่ายหน้า พร้อมอมตะวาจา " หมอช่วยจนสุดความสามารถแล้ว ทำใจน่ะ หมอเสียใจด้วย" 

นี่แหละเพราะเราขาดความรู้ ขาดพิจารณา หรือที่หลวงพ่อมักพูดว่า "เราประมาท" ทำให้ยามปกติเราจึงมีพฤติกรรมเหยียบเรือสองแคมอยู่เสมอ เมื่อเราอยู่ใกล้ฝั่ง ไม่มีพายุพัด การยืนของเราก็ยังไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อเรือออกจากฝั่งยามใด และเริ่มมีพายุพัด เรือจะต้องแยกออกจากกัน เราจึงต้องตกน้ำอย่างแน่นอน

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักเล่าคำที่แม่ชีเมี้ยนสอน ในขณะที่ท่านเป็นสามเณร และถกเถียงในวิชาที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอน ว่า "ลูกเอ๋ย ลองมองไปในโลกนี้ แล้วพิจารณา พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของชีวิต จึงกล่าวสอนว่า มนุษย์มีกรรมนำเกิด และมีกรรมเป็นพรหมลิขิต ก็แล้วใครเล่าในโลกนี้ จะสามารถชนะกรรมได้ ไม่มีเลย จะมีก็แต่ ธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ทำได้ แล้วเราควรจะเอาอะไรมาเป็นที่พึ่งของชีวิต จะใช้สิ่งที่มนุษย์สร้างมาเอาชนะกรรม ลองพิจารณาดูแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้เลย"

หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า "ถ้าเรื่องของชีวิต ต้องมีหนึ่งเดียว คือ ธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มีสอง จึงจะรอด"

ผู้ที่มาใช้แนวทางนี้ จึงต้องหยุดความเชื่อในสิ่งอื่น วางไว้ก่อน แล้วน้อมนำธรรมของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติก่อน ยามใดที่พ้นกรรมอันนี้แล้ว จะพึงกลับไปกอดความเชื่อเดิม ก็แล้วแต่บุคคลนั้นๆ

ผู้ใดที่มาแล้ว ฟังแล้ว วางสิ่งอื่นลงไม่ได้ รับไปปฏิบัติไม่ได้ หรือทำได้แต่ไม่ทำ ย่อมเล็งเห็นแล้วว่า ผลที่สุดย่อมไม่ประสพผลอย่างแน่นอน

หลวงพ่อนิพนธ์ และวิทยากรทุกท่าน ทั้ง อ.อร่าม และ อ.สุนทร จึงมักกล่าว และร้องขอเสมอ ในเมื่อผลสุดท้าย ย่อมเสียปล่า จึงขอให้ท่านเหล่านั้น อย่ามาสถานที่นี้เลย เพราะจะสิ้นเปลื่องทั้งท่านและชมรม เมื่อท่านไม่คิดจะเดินตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ก็ทำกุศลสักนิด นำสมุนไพรส่วนที่ท่านจะทาน แล้วไม่เกิดผล ไปให้ผู้ที่ต้องการ และทำได้ เป็นบุญกุศลดีกว่าไหม

ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจ ที่ช่วงนี้ อะไรๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป คนที่ชอบคุยในห้องสวดมนต์ ก็จะถูกไล่ออกจากห้อง คนที่ไม่ชอบปิดเสียงโทรศัพท์ ก็อาจจะถูกถอดถอนออกจากสมาชิก คนที่ไม่ทำตามระเบียบก็อาจถูกเชิญออกไป เพราะหลวงพ่อนิพนธ์ อยากให้เหลือคนเฉพาะผู้ที่อยากได้ และทำตามเท่านั้น

แล้วมาพิสูจน์กันว่า ผู้ที่ทิ้งเรือลำอื่น มาขึ้นเรือของแม่ชีเมี้ยน ท้ายสุดจะได้รับผลเช่นไรตอบแทน สัจธรรมที่เราจะได้เห็น บนเรือลำนี้ คือ "ทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า และ หัวเราะทีหลัง ดังกว่า .. ฮา ฮา ฮา ..."

เราจึงไม่แปลกใจในสิ่งที่โรเบิร์ตทำ หลังจากหายมะเร็ง ที่หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่เกินสามเดือน คือการถวายพระเยซู ให้หลวงพ่อ และขอรูปแม่ชีเมี้ยน ไปให้ตนและครอบครัวแขวนติดตัวไว้แทน นี่แหละตัวอย่างของคนใช้ปัญญาพิจารณา จนกลั่นออกมาเป็นคำพูด ก่อนลากลับประเทศว่า "ผมถวายพระเยซู เพราะท่านช่วยผมไม่ได้ ทั้งที่แขวนมาตั้งแต่เกิด แต่แม่ชีเมี้ยนช่วยผมได้ จึงอยากได้ไว้แขวนเป็นที่ระลึกถึง และกราบไหว้"

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44