วันหนึ่ง เมื่อเราหรือคนที่เรารัก ต้องการที่จะมาเดินในเส้นทางสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน เราควรเตรียมตัวอะไรบ้าง
อย่างแรกก็คือ ระดับความวิกฤตของคนไข้ ไม่ได้หมายความว่า คนไข้ที่อาการสาหัส แล้ว หลวงพ่อนิพนธ์จะไม่รับ แต่เราหมายถึง กระบวนการของร่างกายที่สำคัญที่สุด อันเป็นปัจจัยหลักของทางเลือกนี้คือ การทาน นั่นเอง
ความสาหัสของร่างกาย ไม่ได้อยู่ที่ระยะใด แต่อยู่ที่สภาพร่างกายยังทานได้อยู่หรือไม่ เพราะสมุนไพรต้องใช้กระบวนการย่อย ผ่านการกิน ผลจากการย่อย จึงจะทำให้สมุนไพรกลายเป็นวัตถุดิบของร่างกายได้ ฉะนั้น ถ้าคนไข้ทานไม่ได้เลย นั่นแหละจึงเรียกว่าสาหัส
ดังนั้น ถ้าเรามีคนไข้ที่ทานได้น้อย หรือ ต้องใช้การทานโดยสาย สิ่งแรกที่หลวงพ่อนิพนธ์ ให้รีบทำด่วนคือ ใช้สมุนไพรเขียว หรือ ที่เรียก ยาเขียว เพื่อฟื้นฟู ระบบการกิน ให้กลับมาก่อน ถ้าทานไม่ได้ เส้นทางเลือกนี้ ก็คงถูกปิดสำหรับคนไข้รายนั้นๆ แล้ว แต่ถ้าทานได้ ร่างกายก็จะเริ่มตอบรับ อาการที่ปรากฎ ก็คือ ทำให้คนไข้อยากอาหารมากขึ้น ทานได้มากขึ้น และนี่คือสัญญาณ ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักเรียกว่า "นาทีทอง"
ประการต่อมาที่ต้องคำนึง คือ สภาพความบอบช้ำของร่างกาย เมื่อเคลื่อนย้าย คนไข้บางท่าน เมื่อมีการเคลื่อนย้าย ร่างกายจะบอบช้ำมาก โดยเฉพาะคนที่ผ่าตัดมา รวมทั้งคนที่อิดโรยจากระยะสุดท้ายของโรค จนร่างกายเริ่มช่วยตัวเองไม่ได้ สภาพเช่นนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ เคยแนะนำไว้ สองประการ ประการแรกคือ ให้คนไข้อยู่กับบ้าน แล้วญาติถ่ายรูปมา แล้วมารับสมุนไพรแทน ไปทานจนกว่าร่างกายจะเริ่มฟื้น ช่วยตัวเองได้ ประการที่สอง คือ มาขออนุญาตท่าน แล้วให้คนไข้มาพักฟื้นที่มูลนิธิไทยกรุณาในช่วงสองสัปดาห์แรก โดยจัดหาพี่เลี้ยงมาด้วย ซึ่งจะทำให้ ผ่านระยะวิกฤติได้ดีกว่า เมื่อพ้นวิกฤติแล้ว ก็กลับบ้าน แล้วมารับสมุนไพรตามปกติ
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำอยู่เสมอ สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน เป็นองค์ความรู้ของพระพุทธเจ้า ทุกคนจึงมีโอกาส และโอกาสนั้นไม่ได้ขึ้นกับขั้นของการเป็นโรค ว่ารุนแรงเพียงใด หรือขึ้นกับพฤติกรรมที่ก่อในอดีตว่าเป็นฉันใด เมื่อมาถึงสถานที่นี้แล้ว โอกาสขึ้นกับปัจจัยเดียวคือ การฟังแล้วนำไปปฏิบัติ ผู้ทำได้คือผู้ที่จะได้รับโอกาส และเป้าหมายสูงสุดของที่นี้ ไม่ใช่เงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่อย่างไร ไม่จำเป็นต้องนำมาให้ท่าน แต่คนที่จะประสพผลสำเร็จได้ คนคนนั้น "ต้องกลายเป็นคนดี"
ท่านจึงมักย้ำว่า ไม่สนหรอกว่า คนไข้จะเคยเป็นมือปืน ฆ่าคนตายมามากมาย จนกรรมทำให้เป็นมะเร็ง รุนแรง สาหัสสากรรจ์สักเพียงใด ถ้าคนมือปืนคนนั้น เมื่อมาพบแม่ชีเมี้ยน ได้ทานสมุนไพรของพระพุทธเจ้า แล้วกลับตัวเป็นคนดีได้ ฟังในสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์พูด แล้วปฏิบัติได้ เขาก็ย่อมพบความสำเร็จได้เช่นกัน
ผู้ที่จะคิดมาที่นี้ จึงพึงตระหนักเสียใหม่ว่า ความสาหัสของคนไข้ ไม่ได้อยู่ที่อาการที่ปรากฏให้เราเห็น แต่ "นิสัยสันดานของเขาต่างหาก" ที่เป็นปัจจัยบ่งว่า อาการของเขาจะสาหัสหรือไม่ และมีทางหายโดยวิธีนี้หรือไม่
จึงไม่น่าแปลก บางคนดูอาการไม่เลวร้าย แต่ทานเท่าไรก็ไม่หาย ในขณะที่คนไข้เบาหวานบางคน กินจนถึงกระดูก น้ำตาลในเลือดพุ่งจนเครื่องวัดแทบจับไม่ได้ ทานไม่นาน ร่างกายก็ฟื้นกลับมาปกติ ก็ด้วยเหตุปัจจัยจากนิสัยที่ต่างกันนั่นเอง
ท่านจึงมักกล่าวว่า การใช้หลักสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงไม่จำเป็นต้องมีหมอตรวจ ไม่ต้องถามอาการมากมาย ขอให้มาฟัง เรียนรู้ และนำไปปฏิบัติ ถ้าทานได้ แล้วยืนหยัด วันหนึ่งย่อมประสพผล ภาพที่เห็นว่า ทานสมุนไพรเหมือนกัน ทำไมผลจึงต่างกัน ก็ด้วยเหตุ ที่ต่างคนต่างกรรม ต่างวาระ นิสัยสันดาน ต่างกันนั่นเอง
สิ่งที่ควรกังวลคือ ยืนระยะในการทาน และปฏิบัติตามคำสอน ได้หรือไม่ นั่นและคือหัวใจที่ต้องการให้คนไข้ตอบ และคำตอบของท่าน ก็คือคำตอบที่จะบอกว่า อาการของท่านรักษาได้หรือไม่ เพราะด้วยหลักนี้ "ตัวท่านเองนั่นแหละ คือหมอที่รักษาตัวท่านเอง ผู้อื่นช่วยไม่ได้เลย"