ปัจจัยเดียวที่ตัดสินผลแพ้ชนะ นั่นคือ ใจ อันส่อให้เห็นถึงคุณสมบัติในการใช้ศาสน์แขนงนี้ ผ่านทางพฤติกรรมที่แสดงออก
สิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็คือ การเลือกเฟ้น หาผู้มีคุณสมบัติมีใจ ตรงตามบัญญัติฟ้าดิน นั่นแลจึงจักเป็นผลสำเร็จทั้งผู้ทำให้ และผู้รับ บุญจึงบังเกิดเป็นรูปธรรม
มา ณ.วันนี้ จึงเลยจุดที่จะงอนง้อคนเพื่อมาให้ใช้บริการแล้ว แม้นจะแจกฟรี ให้โอกาสทุกคน แต่ก็มีวงเล็บเฉพาะคนที่มีคุณสมบัติ ไม่ใช่ทุกคน
วันเวลาที่ต้องมีเจ้าหน้าที่มาคอยเตือนว่าพฤติกรรมเราท่านล้ำเส้น บัญญัติ ก็จะหมดไป ไม่มีเสียงนั้นอีกแล้ว เราท่านก็ไม่ต้องเบื่อหน่ายฟังเสียงนั้นอีก หากแต่สิ่งที่จะมาแทน นั่นก็คือ การตัดสินว่า คุณสมบัติผ่านหรือไม่ อันหมายถึง ผู้ที่ผ่าน นั่นย่อมหมายถึง โอกาสสำเร็จในการฟื้นฟูตน คงไม่ไกลเกินฝัน หากแต่ผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ ย่อมหมายถึง การหมดสิทธิ์ในหนทางนี้ ตลอดไป
คุณสมบัติแรกที่หลวงพ่อนิพนธ์ บอกเสมอว่า เหมือนแว่นส่อง หรือ เครื่องกรอง ที่เด่นชัด นั่นคือ เอกลักษณ์ของศาสน์ อันหมายถึง ความสงบ ผู้ใดเข้ามาในบริเวณเขตของอำนาจ นั่นคือ ห้องสวดมนต์ แล้วสงบไม่ได้ ควบคุมตนไม่ได้ นั่นคือไม่ผ่าน
ผู้คนที่หลีกเลี่ยง ไม่ทำตามคำบอก กฎเกณฑ์ที่ให้ทำ เหมือน มารักษา แต่ไม่เชื่อหมอ บอก ให้สวดมนต์ ก็เลี่ยง บอกให้เดิน ก็อ้างโน่นอ้างนี่ ไม่ไหว ไม่ได้ ... เมื่อหมอสั่งไม่ได้ ก็ไร้ค่า เพราะนั่นหมายถึง คนผู้นั้น ยืนอยู่นอกสายสิญจ์ นอกเขตบุญ นอกเขตอำนาจ ขืนให้อยู่ วันใดกรรมมาถึง มาเป็นอะไรในเขตนี้ คนไม่รู้ ก็จะเห็นผิด ว่าทำไม ถึงเป็นเช่นนั้น โดยไม่รู้ว่า คนผู้นั้น เขาไม่เชื่อ ไม่ทำตาม จะมาเอาก็แต่สมุนไพรเพียงอย่างเดียว ...
บทสรุปที่เด่นชัด นั่นคือ อำนาจสมุนไพรเขามีขีดจำกัด แม้นอาจจะพอรักษาโรคที่เป็นได้ หากแต่ไม่สามารถรักษากรรมที่ทำมาได้ การฟื้นฟูตนที่เบ็ดเสร็จ หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำว่า ต้องอาศัยสองขา ทั้งขาสมุนไพรรักษาโรค และขาบุญรักษากรรม
คำเตือน .. หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า กรรมมันก็มีขันติอดทน มันรอได้ และก็ไม่มีความจำเป็น ที่จะต้อง่ใช้โรคนี้มาเพื่อดับชีวติ หายจากโรค อาจไปเกิดอุบัติเหตุตาย หายเบาหวาน ไปเป็นไตวาย ... นั่นหมายถึง ผลสุดท้ายก็ตายเหมือนเดิม จะเรียกว่าช่วยตนได้อย่างไร แม้นหายโรค ก็ไม่ถือว่าประสพผลในการช่วยตน ...
เรื่องที่ชวนชักกันมาทำ ... จึงไม่ใช่จบแค่หายโรค แต่ศาสน์ มีไว้ด้วยเรื่องของชีวิต ทำอย่างไร ชีวิตจึงปลอดภัย โรคมันเป็นแค่ของแถม ...
ก็เตรียมตัว เตรียมใจไว้ ในอีกไม่ช้า เราท่านก็จักเห็น การคัดออก จากหลวงพ่อนิพนธ์อย่างแน่นอน เกริ่นๆมา หลังจากวันที่ ๑๗ มีนาคม อันเป็นวันรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน มาตรการนี้ก็จะถูกใช้อย่างเต็มรูปแบบ
ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีคนมาก แต่คนที่ทำได้ อยู่ได้ มีพฤติกรรมสอดคล้องบัญญัติฟ้าดิน ... มาอยู่แล้ว โอกาสหาย หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า หากไม่ใช่ถึงพรหมลิขิต มาร้อยก็ต้องหายร้อย นี่แหละคือมาตรฐานธรรม ดังเช่นมาตรฐานกรรม ที่คนทั้งโลกเป็น เป็นมะเร็งร้อย ก็ตายทั้งร้อย เช่นกัน
ตัวอย่างหนุ่มวัย ๓๐ ต้นๆ เป็นมะเร็งสมอง หมอทิ้ง แม่พามาให้หลวงพ่อนิพนธ์ ท่านบอกว่า ไม่ต้องสนโรค ไปอยู่สวนสมุนไพร ดูแลสมุนไพร ต้นยารอด ชีวิตรอด เพียงแค่สามเดือน กลับมาแข็งแรง เนื้องอกที่กดทับทำให้ตามองไม่เห็น ก็กลับมามองเห็น ขับรถได้ มีแรงเดินรดน้ำต้นสมุนไพร และดูแลสัตว์ได้ทั้งวัน
เมื่อทางนี้ทำให้รอดได้ คนไข้มะเร็งตับท้องโต ตาเหลือง มาสมัครวันเปิดอาคารมะเร็ง บ้านอยู่ไกล ไม่มีเงิน หลวงพ่อนิพนธ์เสนอหนทางนี้ให้ เขาก็ตัดสินใจรีบคว้า
ท้องที่โตเหมือนหญิงท้องเก้าเดือน ตาเหลือง ตัวเหลือง แต่มีคุณสมบัติคือ หมดทางเลือกแล้ว จึงทุ่มเต็มที่ ผ่านไปไม่กี่วัน ตาเริ่มหายเหลือง กลับมาทานข้าวได้ มีแรงทำงานได้
แพ้ชนะวัดกันที่ใจ .. มีใจ .. มีศรัทธา ... ก็จักมีคุณสมบัติ ...
คุณสมบัติไม่ได้วัดกันที่เงิน ความมีฐานะ ยากจกทำได้ ยาจกรอด เศรษฐีทำได้ เศรษฐีก็รอด ใครทำไม่ได้ ... จึงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ ... รู้ผลตั้งแต่ในมุ้ง บ้านใครบ้านมัน ...
พระวัดไหนไม่เคยบอก และอาจไม่รู้ด้วยว่า บัญญัติศาสน์ในเรื่องเมตตาเป็นเยี่ยงไร แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า แม้นพระภูมีจะมีฤทธิ์สักฉันใด จะมีเมตตามหาศาลเพียงใด แต่สิ่งที่มีก็ใช้ได้เฉพาะคนที่เชื่อ ศรัทธา แล้วทำตามเท่านั้น
คนที่อยู่ในเกณฑ์ หมายถึง คนที่ยอมเอาธรรมของพระภูมี มาเป็นนายบังคับพฤติกรรม จึงพ้นกรรม ส่วนคนที่ไม่เอาธรรม ย่อมหมายถึง คนที่มีกรรมเป็นอำนาจ เมื่อกรรมเขามาถึง หมายถึงหมูเขาจะหาม พระภูมีก็จะไม่ละเมิดเอาคานไปสอด ก้าวล่วงเป็นอันขาด
ความจริงข้อนี้จึงเห็นเด่นชัดว่า ทำไมศาสน์จึงต้องมีเขตพัทธสีมา เพื่อกำหนดเขตอำนาจนั่นเอง หากอยู่ในเขต ย่อมอยู่ในอำนาจธรรม กรรมเขาก็เว้น หากอยู่นอกเขต ธรรมก็ไม่ยุ่ง ในยามที่กรรมเขาจะหาม
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไม่ จึงต้องเลือกคนที่มีคุณสมบัติ ... และห้ามเราท่าน มิให้ละเมิดบัญญัติฟ้า มิฉะนั้น แม้นอยู่ในเขต กรรมเขาก็ล้วงเข้ามาเอาไปได้ พระภูมีรู้ แต่คนทั่วไปไม่รู้ ... ศาสน์เขาไม่ยอมให้เกิดหรอก ... จึงต้องคัดคนเฉพาะที่มีคุณสมบัติ แล้วแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ ว่า ใครทำ ใครได้ ใครไม่ทำ ขอให้ตายก็ไร้ผล
เรื่องของชีวิต เราท่านจึงไม่มีสิทธิ์หยิ่ง เรื่องของโลกศาสน์เขาก็ไม่หยิ่งและไม่ก้าวก่าย แต่หากเป็นเรื่องของชีวิตแล้วไซร้ รู้ไว้เถิด แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า พระภูมีทุกพระองค์หยิ่งเป็นที่สุด แม้นคนที่มาจะเป็นกษัตริย์ หากแต่ไร้ซึ่งคุณสมบัติ ยังไม่ยอมพบเลย