ความสามารถในการฟื้นฟูอวัยวะ หรือพูดให้ฟังง่าย ก็คือ การฟื้นฟูธรรมชาติของร่างกาย ด้วยวิธีการสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็มีขีดจำกัด
หากเป็นโรคอื่นๆ ก็มักไม่ค่อยมีปัญหา ด้วยโรคเหล่านั้น ไม่ได้ทำลายซึ่งอวัยวะ หากแต่โรคมะเร็ง ที่เรียกกันว่าร้ายแรง ก็เพราะมันทำลายอวัยวะนั่นเอง
การฟื้นฟูอวัยวะในส่วนที่ถูกทำลายโดยสิ้นเชิงนั้น จึงเกินกว่าขีดความสามารถของสมุนไพร
ตัวอย่างที่เด่นชัดในตอนนี้ คือ คนไข้มะเร็งท่านหนึ่งที่เป็นมะเร็งที่ปาก หมอทิ้ง อาการที่ปรากฎคือ ปากแหว่ง เนื้อเน่าส่งกลิ่นเหม็น
หลังจากผ่านการให้สมุนไพรอย่างเต็มที่ ผ่านไปไม่นาน เนื้อที่เน่าก็แห้งลง กลิ่นเหม็นก็หายไป กลายกลับมาเป็นเนื้อแดง และรอวันเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ที่ทำไม่ได้คือ ทำให้เนื้อที่แหว่งไปซึ่งกว้างพอสมควร กลับมาได้
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า อันนี้จึงจำเป็นต้องพึ่งหมอศัลยกรรม ซึ่งจัดได้ว่ามีฝีมือ และทำได้ดี
การเกื้อกูลกัน รู้หน้าที่ จึงทำให้ผลที่เกิดกับคนป่วย ได้ผลสูงสุด
เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อคนป่วยได้รองพื้นด้วยสมุนไพร จนร่างกายมีกำลังพอ และมีคุณสมบัติ ในอนาคต เพื่อให้ผลได้รวดเร็ว ก็จะจัดให้ทาน ยาตัด ทั้งนี้ สมุนไพรชนิดนี้ หมอแผนปัจจุบัน ชื่อก็เพิ่งเคยได้ยิน หรือพอได้ยินมาบ้าง หากแต่อาการที่พึงเกิดในขณะที่สมุนไพรทำงาน นั้น ไม่เคยรู้เลย
หมอที่มีใจ อยากช่วย จึงเรียนถามว่าแล้วจะทำอย่างไร คำตอบก็คือ หมอก็ต้องลองทานก่อนนั่นเอง
เมื่อทั้งสองส่วนร่วมมือกัน ก็จะปิดโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุทำให้คนป่วยเสียชีวิตได้ เพราะการทานยาตัด ในบางคนบางกรณี ก็อาจเกิดอุบัติเหตุ อาทิ เสลดพันคอ หายใจไม่ได้ ซึ่งการใช้เครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ ก็สามารถแก้ไข อาการปัจจุบันทันด่วนแบบนี้ได้ดี
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอ มีสมุนไพรดี แล้วก็ไม่ใช่จะต้องอวดเก่ง สิ่งใดที่ทำได้ ก็ทำ สิ่งใดที่วิทยาการสมัยใหม่ ทำได้ดี ก็ต้องยกให้
ความต่างของการใช้่สมุนไพรก็คือ การผ่าตัด ศัลยกรรม ใดๆ ต่อคนไข้มะเร็ง นั่นก็ต้องหลังจากการฟื้นฟูเสร็จสิ้นแล้ว ร่างกายไม่มีเชื้อมะเร็ง หากทำในขณะที่เชื้อยังอยู่ นั่นเสมือนแหย่รังแตน มันจะกระจาย ทีนี้ก็ยากแล้ว แต่หากฟื้นฟูเสร็จสิ้น การศัลยกรรมนั้น ก็ไม่ส่งผลเสียใดๆ ทำได้ ปากแหว่งหรือ ก็เอาเนื้อที่ก้น ไปปะก็กลับมามีปากที่สมบูรณ์เหมือนเดิม