ศาสน์ของพระภูมี เราท่านมักจะได้ยินเสมอว่า เป็นหลักประชาธิปไตย และทุกคนมีสิทธิเสมอภาคกันทุกคน
หากจะกล่าวถึงประชาธิปไตย ก็แล้วแต่มุมมอง ถ้าพิจารณาในแง่ของการให้สิทธฺิ์เสรี ในการเลือก ก็คงใช่ แต่มุมมองของเรา กลับมองเห็นเป็นลั่ทธิที่เป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ
การเป็นเผด็จการ ก็เกิดจากความยินยอมพร้อมใจ ของสาวก ที่จะทำตาม ส่วนกำหนดกฎเกณฑ์กติกา ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้า ทั้งหมดทั้งปวง ส่วนความสมบูรณ์แบบที่เราว่า นั่นคือ ผู้นำมีคุณธรรมสูงสุด ดังนั้น แนวทางที่ให้ปฏิบัติ ล้วนแล้วเพื่อมรรคผลนิพพาน คือ ความสุขที่แท้จริง ... ใครไม่ชอบ ไม่เอา ก็ถอยไป ต่างคนต่างอยู่
อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว .... ส่วนใครคิดยังไงก็ว่ากันไป
ส่วนความเสมอภาค หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ก็มาจากบัญญัติบุญของพระพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสว่า มนุษย์และสัตว์ เป็นบ่อเกิดของบุญบาป
ด้วยเหตุนี้เอง ผลแห่งการกระทำต่อมนุษย์ ไม่ว่ากระทำแก่คนจน เศรษฐี หรือซุปเปอร์เศรษฐี จึงมีฐานันดรเดียวกัน นั่นคือ หากเป็นบาปก็บาปเท่ากัน หากเป็นบุญก็เป็นบุญเท่ากัน
ดังนั้น เมื่อแม่ชีเมี้ยนนำสูตรสมุนไพรของพระภูมี มาให้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าจะนำไปช่วยคนจน หรือ เศรษฐี ซุปเปอร์เศรษฐี จึงได้ผลบุญเท่ากัน
เพราะค่าของชีวิตเท่ากัน เสมอกัน นั่นเอง
ที่นี่ จึงไม่มีความจำเป็น ต้องเลือกว่าผู้ที่มาเป็นใคร ฐานะเช่นใด ค่าของการช่วย เท่ากันหมด
แลยิ่งไปกว่านั้น ในความเสมอภาค ยังก้าวล่วงไปถึงชนชาติ ภาษา อีกต่างหาก
เพราะบัญญัติสมุนไพร มิใช่มีไว้เพื่อให้คนที่มา จำเป็นต้องศรัทธา ในศาสนาพุทธ ต้องนับถือพระพุทธเจ้า แล้วจึงจักประสพความสำเร็จ ไม่ใช่ ไม่ใช่
การหายโรค บัญญัติฟ้าดิน พิจารณาคุณสมบัติของผู้ทำได้ เพียงแต่ มีความเชื่อ แล้วทำตาม นั่นคือ มีการกระทำถูกต้องตามครรลองคลองธรรม เป็นคนดี แล้วยืนระยะในการทาน มีมาตรฐาน เท่านั้นก็เพียงพอ
ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่าเชื้อชาติภาษาไหนที่มาพึ่ง ขอเพียงเรียนรู้ ว่า สมุนไพรแก้โรค บุญล้างบาป ไม่ต้องฟังธรรมอันใด ขอแค่เพียงมีมาตรฐานในการทานสมุนไพร และมีพฤติกรรม ก็สำเร็จการหายโรคได้
จึงเป็นเหตุที่มาของคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์เสมอมาว่า ให้วางในสิ่งที่ตนเชื่อ ตนศรัทธา ไว้ชั่วคราวก่อน มาฟัง แล้วพิจารณา ทำตามในสิ่งที่สอน เพื่อฟื้นฟูตนก่อน เมื่อช่วยตนได้ จะกลับไปหยิบสิ่งที่วางไว้เหมือนเดิม ก็ไม่ว่ากัน จะกลับไป อิสลาม พระเยซู เข้าทรง องค์เจ้า ก็ไม่แปลก ทำได้
นี่แหละคือความเสมอภาค ที่พระภูมีไม่ทรงปิดกั้น เรียกได้ว่า มีเมตตาแก่มนุษย์ทุกหมู่เหล่า ทุกคนมีสิทธิ์มาใช้ศาสน์อันนี้ได้ ฟัง แล้วพิจารณา ขอเพียงมีความเชื่อ ก็ทำตาม มีมาตรฐาน ก็ประสพผล
เมื่อศักราชของศาสน์พระภูมี จะเปิดขึ้น ในวันที่ ๑ มกราคม ศกนี้ หลักการนี้ก็จะถูกนำมาใช้ เรื่องของความเชื่อ อาจซ่อนเร้นกันได้ หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็พยายามโน้มน้าว ทำผลงานให้ปรากฎ เพื่อสร้างความเชื่อ ให้พึงเกิด ใครจะเชื่อจริงเชื่อไม่จริง ก็คงไม่รู้ได้
แต่เรื่องของมาตรฐาน พฤติกรรม อันนี้แหละที่ต้องโดดเด่น เห็นชัด ใครไม่มีวันเวลา ไม่มีมาตรฐาน ก็ถือว่าขาดคุณสมบัติ คนเหล่านี้ มีพฤติกรรมบ่งบอกว่า ชีวิตตน ไร้ค่า ไม่สำคัญ คนที่ไม่ให้ความสำคัญแก่ชีวิตตน ย่อมไร้ค่า เพราะชีวิตเป็นสิ่งมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อผู้นั้นเหยียบชีวิตตนต่ำกว่าสิ่งใด จึงขาดคุณสมบัติที่ฟ้าดินเขาถือ หนทางนี้ก็ต้องปิดลง
เมื่อม่านศาสน์พระภูมีเปิด ใช้ได้กับคนที่มีมาตรฐาน นั่นย่อมหมายความว่า คนที่ไร้คุณสมบัติ กรรมเขาจะเล่น พระภูมีบัญญัติว่า หมูเขาจะหาม อย่าเอาคานไปสอด เดี๋ยวจะหน้าแหก ต้องปล่อยเขาไป ให้เผชิญเวรเผชิญกรรม อย่าไปยุ่ง เพราะไม่มีวันสำเร็จ จึงเป็นเหตุให้ต้องใช้ธรรมหมวดอุเบกขา
คำเตือนที่มีมาทุกยุคทุกพุทธกาล นั่นคือ พยากรณ์ที่กล่าวว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติ จะเกิดทุกข์เข็ญ รุนแรง มหาศาล นั่นคือ กรรมมันแรง ไม่ว่าโรคภัย หรือภัยธรรมชาติ นี่คือวัฐจักรของจักรวาล ที่กรรมเขาจะบีบมนุษย์ แลเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติ มนุษย์ก็จักดิ้นรนไปหาพระพุทธเจ้า เพื่อรับธรรมมาปฏิบัติ ความทุกข์เข็ญก็จะหายไป ฝนฟ้าก็จะกลับมาตกต้องตามฤดูกาล
ภาพที่เห็นในปีนี้ คนอาจมากมาย แต่ในปีหน้า จักเหลือแต่คนทำได้ มีมาตรฐาน ซึ่งอาจจะเป็นเพียงแค่ ๑ ใน ๑๐ ของคนในวันนี้ แต่รับรองได้ว่า คนที่ทำได้ หายทุกคน หากไม่ใช่โรคพรหมลิขิต ที่สำคัญ ไม่เนิ่นนานเยิ่นเย้อเหมือนที่ผ่านมาแน่นอน
และเมื่อผลปรากฎเป็นรูปธรรม นั่นหมายถึง คนที่จะมาเดินตาม ก็ดูรูปรอยรุ่นพี่ที่ทำไว้ ว่าอยากหายต้องทำอย่างไร มีมาตรฐานอย่างไร เป็นสูตรสำเร็จ ... ทำได้ก็มา ทำไม่ได้ ก็ไปหาแบบที่ชอบ ... ไม่ว่ากัน
ใครว่าบุญ เกิดจากสร้างวัตถุ ก็ทำไป หากแต่ที่นี่ หากจะหาบุญ อย่าเลยมนุษย์ อย่าหาสุขใส่ตน มองคนทุกข์ แล้วกระโดดเข้าใส่ สุขที่บังเกิดแก่ผู้อื่นเท่าใด นั่นคือ ผลบุญที่จักย้อนมาให้สุขแก่ตนของเราท่าน ... คนดีของพระพุทธเจ้า จึงเข้าใจง่าย ... ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว และทำง่าย ไม่ต้องไปถือศีลกินเจอะไรหรอก
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น นั่นคือ ฤาษี นั่งถือศีล วิปัสสนา กรรมฐาน หามีตนใดไปนิพพานไม่ พระพุทธเจ้าไม่มีเงินสักรูปี มีแต่ธรรม สอนสาวก ให้กลายเป็นปูชนียบุคคล ไปนิพพานกันทั้งหมด ทิ้งไว้แต่คำบอกเล่า ไม่มีโบสถ์ ศาลา สักหลัง ที่ทรงให้สร้าง ...
ด้วยความเสมอภาคนี้เอง ทุกคนจึงมีสิทธิ์ มีโอกาสที่จะได้สัมผัส ได้ใช้แนวทางนี้ ไม่สนหรอกว่าอาการจะสาหัส หนักหนา หมอทิ้ง ... ไม่ใช่สาระ ...อยู่ที่ สร้างความเชื่อ แล้วทำตาม ให้เป็นมาตรฐานได้หรือไม่ นั่นคือคำตอบ ใจเราท่านเท่านั้นเอง ที่จะกำหนดผล ทำหรือไม่ หายหรือไม่ ใครก็ช่วยไม่ได้ ...
สมุนไพรดีอย่างไร ก็ช่วยใครไม่ได้ ธรรมประเสริฐสักฉันใดก็พาใครไปนิพพานไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง ... มิฉะนั้น พระพุทธเจ้าใช้ธรรมของท่านพาคนทั้งอินเดียไปนิพพานหมดแล้ว