คำสอนที่เราท่านมักจะได้ยินเสมอว่า ในโลกนี้ไม่มียารักษาโลก .... อันหมายถึง โรคที่มาดับชีวิต หรือ โรคตายนั่นเอง ... คำถามก็คือ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
เหตุเพราะคนทั้งโลก มองโรคเป็นโรค นั่นเอง
หากแต่พระภูมี ผู้ซื่งตรัสรู้ความจริงของโลก พิจารณาโรค แล้วตรัสว่า โรคเป็นบริวารของกรรม คือ รูปธรรมของกรรม ที่ปรากฎ
ดังนั้น การแก้โรค ที่ถูกวิธี และถูกจุด ตรงประเด็น เบ็ดเสร็จ จึงจำเป็นต้องแก้ที่กรรม อันเป็นต้นตอ
หากแต่กรรม มีการก่อกำเนิด จากความคิดกรรม ก่อให้เกิดรูปธรรม คือ การกระทำ พฤติกรรม เมื่อจะแก้ จึงจำเป็นต้องเริ่มจากความรู้ เพื่อสร้างความคิดธรรม ก่อให้เกิดการกระทำ พฤติกรรม ของบุญ เป็นปฐมเหตุ
ส่วนโรคเป็นบริวาร เป็นปลายเหตุ เป็นรูปธรรม ก็อาศัยสมุนไพร ที่เป็นรูปธรรม เป็นบริวารของธรรม แก้ไข ซึ่งเป็นเรื่องง่าย ขอเพียงยืนระยะการทาน มีมาตรฐาน ของพฤติกรรมระดับหนึ่ง ก็จบแน่นอน
คำตอบ ที่ไม่มียารักษาโรค ก็ด้วยเหตุที่ว่า ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดเอาชนะกรรมได้ ไม่มีวิธีใดที่มนุษย์บัญญัติ สามารถสู้กรรมได้ ความจริงข้อนี้ ทำให้เมื่อวิทยาศาสตร์ถึงทางตัน จึงใช้วิธีการระงับอาการ หรือปฏิเสธปัญหา ด้วยการผ่าตัดทิ้งเสีย แล้วก็กล่าวอ้างว่าเป็นการรักษา ความจริงจึงปรากฎด้วยยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ การจะใช้หลักสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ความเริ่มอาจจะมาจากการอยากหายโรค แต่นั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายของที่นี่ การหายโรคของที่นี่ แท้จริงก็เป็นแค่น้ำจิ้ม หรือของแถม ของแม่ชีเมี้ยนที่ให้ต่างหาก
จุดประสงค์ที่แท้จริง จึงอยู่ที่ตัวแม่ ตัวต้นเหตุ นั่นคือ กรรม หรือ นิสัยกรรมของเราท่าน ที่หากแม้นเราท่านได้ฟังธรรม แล้วพิจารณา นำไปปฏิบัติ เปลี่ยนนิสัยกรรม บางอย่าง ให้กลายเป็นนิสัยธรรม ได้แล้วไซร้ เท่ากับการกำจัดตัวแม่ ตัวต้นเหตุ อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ไปได้
ผลที่ได้ก็จักมหาศาล เพราะทุกข์ที่เกิดกับเราท่าน มิใช่แค่เพียงแต่โรคที่เป็น หายจากโรคนี้ ไปเป็นโรคอื่น ก็ทุกข์อีก หายจากโรค ไปประสพอุบัติเหตุ ก็ทุกข์เช่นกัน หรือประสพเรื่องอื่นใด ก็ทุกข์เช่นกัน ...
เป้าหมาย หรือจุดประสงค์ ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงเป็นการแก้ทุกข์ทั้งหมด ทั้งปวง มิใช่เพียงแก้โรค ผลของการแก้ก็มิใช่จบแค่ตน ยังกระจายไปยังคนในครอบครัว แลสังคมส่วนรวม
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่สอน จึงเป็นเรื่องของกรรม อันจำเป็นต้องใช้ความรู้ของพระภูมี คือ ธรรมคำสอน เพื่อใช้เป็นแนวทาง เสมือนหางเสือ ในการประพฤติตน ชีวิตจึงปลอดภัย พ้นกรรมได้
คนทั่วไป ฟังคำสอนแล้วจึงไม่ซึ้ง ปล่อยเลยผ่านไป สนใจหรือมุ่งแต่สมุนไพร เพียงเพื่อให้ตนหายโรค หากแต่คนที่วิกฤต จักพบว่า เมื่อถึงจุดหนึ่ง แม้นจักทานสมุนไพรสักเพียงใด อาการของตนก็ยากที่ดีขึ้น นั่นคือ ถึงทางตัน
หลวงพ่อนิพนธ์ก็จักชี้ให้เห็นว่า นั่นย่อมหมายความว่า ผลแห่งพฤติกรรม เป็นตัวชี้วัดว่า การทานสมุนไพรจักมีผลเป็นเช่นไร หากพฤติกรรมยังเหมือนเดิม เท่ากับปิดกั้นสมุนไพร หากแต่เมื่อใดที่มีการนำธรรมคำสอนของพระภูมีมาปฏิบัติ นั่นคือการเปิดประตู หรือทำให้อำนาจของสมุนไพร อุปมาเหมือนจากระเบิดธรรมดา ก็ถูกกระตุ้นให้กลายเป็นระเบิดปรมาณู
คำเตือนเล็กๆ ที่มีต่อคนไข้วิกฤติ ที่ถึงทางตัน จึงมักกล่าวว่า เรือชีวิตของเรานั้นปริ่มน้ำแล้ว นั่นหมายถึง กรรมแม้นอีกเพียงน้อยนิด ก็จมเรือชีวิตของเราได้ ณ.จุดนี้ เราจึงทำกรรมอีกไม่ได้เลย
แค่ด่าว่าคนใช้ ก็จมเรือเราได้แล้ว ในทางกลับกัน การรักษาอารมณ์ ไม่โกรธ ไม่ด่าว่าใคร ก็จึงเป็นการกู้เรือชีวิตของเราได้เช่นกัน
เคล็ดลับของสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ที่ไม่กลัวใครขโมย หรือลักไปทำ ก็ด้วยเหตุที่ผูกติดกับพฤติกรรมนั่นเอง ดั่งคำพรของแม่ชีเมี้ยน ยิ่งให้ยิ่งเจริญ และสาปไปพร้อมกัน ที่ว่า ยิ่งขายยิ่งฉิบหาย
ในอดีต เราจึงไม่แปลกใจที่คนไข้เอดส์ ที่ฟื้นฟูตน จนหาย หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกำชับคนเหล่านั้นเสมอว่า อย่าทำบาป โดยเฉพาะเรื่องชุ้สาว หลายคนก็กลับไปแต่งงาน มีครอบครัวมีลูก อยู่มาจนทุกวันนี้ หากแต่หลายคนก็ยังละทิ้งนิสัยเดิมไม่ได้ ห้ามใจตนไม่ได้ หนีวังวนชู้สาวไม่พ้น คนเหล่านั้น ไม่มีใครรอดมาถึงทุกวันนี้เลย
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นเป็นประจักษ์ คนที่รอดจากโรคด้วยสมุนไพร ร่างกายสู้ได้ ชั่วชีวิต จักไม่กลับไปเป็นโรคนั้นอีก คนไข้เอดส์ก็เช่นกัน แม้นหายเอดส์ แล้วทำตนไม่ได้ สิ่งที่เราเห็น นั่นคือ ไม่ได้ตายด้วยเอดส์ แต่ก็ไปเป็นโรคอื่นตาย ไตวายบ้าง ทานไม่ได้บ้าง ...
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกเสมอ โดยเฉพาะกับจิตอาสาว่า สิ่งที่กำลังต่อสู้ คือ กรรม ไม่ใช่โรค กรรมมันมีอำนาจ ที่สำคัญคือ มันรอได้ และไม่จำเป็นต้องอาศัยโรคนี้มาเข่นฆ่าเรา หรือทรมานเรา ... มันแปรได้ เป็นโรคอื่นก็ได้ เป็นอุบัติเหตุก็ได้ ...
เมื่อจะหนี ต้องหนีกรรม ไม่ใช่หนีโรค จึงจักพ้น ดังนั้น มิใช่หยุดแค่การทานสมุนไพรแล้วอย่างอื่นไม่สน พฤติกรรมต่างหาก ที่เป็นตัวตัดสินผล
ปริญญาในการฟื้นฟูตน ... จึงมีไว้ให้เฉพาะคนดีเท่านั้น ไม่คิดจะเป็นคนดี ไม่คิดจะเปลี่ยนพฤติกรรม สมุนไพรอย่างดีก็แค่ยืด หรือทำให้หายโรค แต่ทำให้ชีวิตปลอดภัยไม่ได้หรอก
เรื่องเหล่านี้ หากไม่มีแม่ชีเมี้ยน เราท่านไม่มีวันได้รู้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรับรู้ ... หลวงพ่อนิพนธ์จึงจำเป็นต้องพูด ต้องสอน โน้มน้าวทุกสิ่งอย่าง ด้วยผลแห่งความสำเร็จ ไม่ได้จบที่สมุนไพรนั่นเอง หากแต่จบที่ตัวเราท่าน นำความรู้ ไปพิจารณา แล้วทำ ...
ด้วยหลักของพระภูมี แก้ที่ตัวแม่ นั่นเอง จะกล่าวว่าโม้ ก็คงไม่ใช่ เพราะคงไม่เกินจริง ที่หลวงพ่อนิพนธ์จะบอกว่า "โรคอะไรก็ไม่กลัว อาการหนักแค่ไหนก็ไม่สน" ช่วยได้ หากเชื่อ ศรัทธาในเหตุผล แล้วทำตาม มีโอกาสรอดทุกคน
แต่ทำให้ใครหายไม่ได้ อยากหายต้องทำเอง
เรื่องกรรม เรื่องบุญ ที่เคยเรียน เคยรู้ วางไว้ก่อน มาเรียนตำราแม่ชีเมี้ยน พิจารณา แล้วทำตาม .... หากอยากช่วยตน เมื่อพ้นแล้ว จะทิ้งตำรานี้ ก็ไม่ว่ากัน กลับไปยึดตำราเก่า ก็ตามแต่ เวลานี้ ถ้าอยากหายโรค ก็ต้องถือสุภาษิต "เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม"
ก็ขนาดคนอิสลาม เป็นโรคกระดูก หลวงพ่อนิพนธ์บอกต้องทานขาตั๊ง คนอิสลามบอก ห้ามทานหมู หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ท่านก็ไปถามพระเจ้าท่านดูว่า หากท่านไม่ทาน ท่านก็จะไม่มีชีวิต ไปกราบพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนที่มีเมตตา จะห้ามไม่ให้ทานหรอก
ก็รู้ว่าทุกคนมีเกจิคณาจารย์ มีหมอดี มียาดี ... แต่มาถึงที่นี่ วางไว้ก่อน หยุดไว้ก่อน เอาตัวรอดก่อนดีไหม ... อย่าเหยียบเรือสองแคม เพราะวันใดที่เรือออกจากฝั่ง มันจะแยกออก ท่านจะต้องตกน้ำอย่างแน่นอน
เลือกลำใด ลำหนึ่ง ไม่ชอบที่นี่ ไม่เห็นด้วย ไม่... ก็ไปที่อื่นที่ตนเองชอบ ไม่ว่ากัน ไม่มีภาคบังคับ ท่านมีสิทธิ์มาลอง มาเลือก ทำนองกลับกัน ที่นี่ ก็มีสิทธิ์เลือก คัดเฉพาะคนที่มีคุณสมบัติ ตามบัญญัติฟ้าดิน เช่นกัน
นี่จึงขึ้นกับความพอใจทั้งสองฝ่าย เมื่อพอใจ ก็มาร่วมมือ ตบมือกัน เสียงจึงดัง ผลจึงเกิด ไม่ใช่ให้ฝ่ายหนึ่งตบ อีกฝ่ายนิ่ง ... แรงที่เสียไป ทรัพย์ที่ลงไป ก็เสียเปล่า ... ผลไม่เกิด บุญก็ไม่เกิด .. ไม่ใช่อ้างทำแล้ว ทำแล้ว ต้องเป็นบุญ เหมือนทุกที่อ้าง ...
คนทำ คนร่วมกันทำ ก็หวังบุญ จึงจักสู้กับกรรมได้ ... เพราะฉะนั้น เมื่อถึงเวลา ก็ต้องเน้นการกระทำ ทำแล้วต้องเกิดผล ... ไม่มาทำทิ้งทำขว้าง หมดช่วงโปรโมชั่น ขั้นเชิญชวนมาทานสมุนไพรแล้ว ต่อไปจะเป็น ช่วงหาผลบุญ ... แล้วเราท่านจะได้เห็นปาฏิหารย์ของศาสนา ที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ ... นั่นคือ คนเป็นโรค ที่ทั้งโลกปฏิเสธ เดินมาสิบ ทำได้สิบ ก็หายสิบ เดินมาหมื่น ทำได้หมื่น ก็หายหมื่น ...
แล้วจะพบว่า สัจธรรมที่พระภูมีตรัสไว้ "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" ไม่ใช่สิ่งเลื่อนลอย ทำไม่ได้ วัฐสงสาร เกิด แก่ ไม่เจ็บ แล้วตาย .. ทำได้ หากเชื่อ ศรัทธา แล้วทำตาม ธรรมคำสอนของพระภูมี
นี่แหละคือเหตุผลว่า ทำไมโลกนี้ต้องมีศาสนา มีธรรมคำสอน ... ก็ไว้สำหรับคนที่เบื่อเจ็บ นั่นเอง
ธรรมหมวดสมุนไพร ช่วยได้ ... หากแต่เบื่อทั้งหมด ไม่อยากเกิดอีก ก็ต้องรอพระพุทธเจ้า ... ซึ่งก็คงอีกไม่นาน ... ตอนนี้ แค่ฝึกตนไว้รอ คร้้นพอพระพุทธเจ้าอุบัติจริง จะได้คุ้นเคย และทำตามได้