หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ความล่าช้าในการมา ทำให้สภาพร่างกายที่ฟื้นตัว ไม่สามารถทำให้กลายสภาพเนื้อร้ายเป็นเนื้อดีได้
และเหตุที่มะเร็งเป็นเซลล์ที่ดำรงอยู่ได้ด้วยเลือดของผู้ป่วย เมื่อถึงระยะสุดท้ายของมะเร็ง ผู้ป่วยที่มามักจะอยู่ในสภาวะวิกฤต นั่นคือ เลือดไม่พอ หรือเลือดน้อย ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรงขึ้นไปตามปริมาณเลือดที่ลดลง
การทานอาหาร และสมุนไพร จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับอย่างเพียงพอ เพื่อสร้างกำลัง และฟื้นฟูร่างกาย โดยเฉพาะเลือด แต่ด้วยเหตุที่สมุนไพรมาทีหลัง ดังนั้น การปฏิเสธที่จะไม่ปวดเลย จึงเป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุที่โรคเป็นสิ่งมีชีวิต จึงมีอายุขัยเช่นกัน ในสภาวะเช่นนี้ การทานสมุนไพร ร่างกายจะใช้วิธีการสร้างภูมิต้านทาน และรองรับอาการ โดยอาศัย การปวดนั้นๆเป็นตัวกระตุ้น ให้ร่างกายรับรู้และฟื้นตัวได้เร็ว
คนไข้ระยะสุดท้าย จึงจำต้องมีอาการปวดเป็นระยะ และต้องทานสมุนไพรให้ได้ปริมาณ ร่างกายจึงจะเริ่มสร้างภูมิไว้รับอาการปวด และสร้างเลือด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า ช่วงนี้ โรคก็จะค่อยๆ เริ่มแสดงความโตเต็มที่ ในขณะที่ร่างกายก็ค่อยๆอาศัยอาหารและสมุนไพร สร้างภูมิ ตามระยะวันเวลาในการทานเช่นกัน ผลก็ไปวัดกันตอนวันสุดท้ายของโรค หรือครบอายุขัยของโรค ที่เรียกันว่าวันลงแดง ที่โรคจะแสดงพลังครั้งสุดท้าย ในการทำหน้าที่
อันหมายความว่า หากเป็นพรหมลิขิต วันที่โรคดับอายุขัย เจ้าของร่างกายก็ดับด้วย ในลักษณะเช่นนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ร่างกายก็จะใช้ภูมิต่อสู้ ทำให้อาการปวดไม่ถึงกับขั้นทุรนทุรายทนไม่ได้ หรือถ้ามีวันเวลาในการทานนานพอ ก็อาจจะแทบไม่ปวดเลย แต่ท้ายที่สุดก็ต้องตาย เพราะถึงกำหนดพรหมลิขิตแล้วนั่นเอง
หากแต่การตาย ก็ไม่ได้ตายเพราะโรค แต่ด้วยเหตุแห่งถึงพรหมลิขิต ภาษาพระเรียกว่า ตายดี ตายสงบ นั่นเอง
หากแต่เมื่อยังไม่ถึงพรหมลิขิต เมื่อถึงวันลงแดง ก็จะมีอาการปวดเช่นกัน หากแต่ร่างกายจะรับได้ และเพื่อพ้นก็จะฟื้นฟูกลับมาได้เร็ว ดั่งเช่นจิตอาสาผู้หญิงที่เป็นมะเร็งลำไส้ นอนดิ้นไปมา สองวันเต็มๆ และเมื่อร่างกายทนได้ วันที่สามเมื่อถ่ายเป็นมูกเลือดออกมาประมาณกระโถนหนึ่ง อาการปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง นั่นคือการหายโรค
หากแต่ในช่วงวิกฤตเหล่านี้ สำหรับคนไข้มะเร็งที่อยู่ในระยะสุดท้าย ต้องการสมุนไพรที่เพียงพอในการฟื้นฟูตน เรียกได้ว่า บางคนต้องทานสมุนไพรเขียว วันละสามขวดเลยก็ว่าได้ ต้องทานสมุนไพรมะพร้าวทุกวัน และบางท่านอาจต้องเข้ากระโจมทุกวัน เพื่อรีดน้ำออกจากตัวไม่ให้ท่วมปวด ในขณะที่อวัยวะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่
และในช่วยสุดท้ายในการดิ้นรนของโรคมะเร็งนี้เอง หากคนไข้ไปตรวจร่างกาย ก็อาจจะพบปรากฎการณ์การดิ้นรนนี้ ในการพยายามของโรคมะเร็งที่จะไปเกิดในที่ใหม่ แทนที่เดิม ที่ถูกสมุนไพรบล๊อคเอาไว้ ผลก็คือ วิตกจริตที่ทำให้คนไข้กังวล
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า อยู่ดีไม่ว่าดี แกว่งตีนหาเสี้ยน ทำให้จิตวิตกเปล่าๆ เพราะการไปตรวจ ถึงแม้นหมอจักพบ แล้วทำอะไรได้ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หากแต่การวิตกจริตก็จักทำให้ไปเข้าคอร์ส ใช้ยาเคมี จนกลายเป็นดาบสองดาบสาม ทำร้ายร่างกาย จนไม่สามารถฟื้นฟูได้อีก
หลายคนมาเจอเรา ถามว่าอาการวิกฤตอยากปรึกษาหลวงพ่อนิพนธ์ แต่ไม่กล้า ... ก็ด้านได้ อายอด ชีวิตเราเอง ... หลวงพ่อนิพนธ์เป็นพระ สิ่งที่ทำให้เราท่านกลัวพระ ก็คือผีกรรมนั่นเอง
คำปรึกษา และสมุนไพรที่พอเพียง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล เกินกว่าเจ้าหน้าที่คนใดๆ จะตอบแทนได้ .... ไม่กล้าเข้าหาพระ แล้วเมื่อไหร่ผีจะออก ...
หากบรรยายวิธีการชนะโรคร้ายแรง ที่อยู่ในขั้นวิกฤต ก็เฉกเช่นเดียวกัน กับหนังหุ่นยนต์ชกมวย ที่หุ่นอะตอม ใช้ต่อสู้กับซุส หุ่นยักษ์ ที่ทรงพลัง นั่นคือ ต้องใช้สติ ความขันติ อดทน รอเวลาและยืนให้ได้ จนกว่าพลังของคู่ต่อสู้จะหมดลงนั่นเอง
ภาษาที่หลวงพ่อนิพนธ์ใช้ ก็คือ ทำให้โรคตายก่อนเรา
ดังนั้น การปวดก็คือตัวกระตุ้น ดั่งคำ ศัตรูคือยากำลัง ที่ทำให้ร่างกายตื่นตัว สร้างภูมิ มีประโยชน์หลายประการ ได้ใช้ทั้งกรรม ได้สร้างภูมิให้แข็งแกร่งเหมือนนักกีฬา
ด้วยความรู้นี้ ทำให้เราท่านสงบอยู่ในกรรมฐาน แม้นร่างกายจะปวดสักฉันใด ก็ยังยิ้มได้ เพราะเราท่านเดินตามรอยพระภูมี กรรมของเรา เราทำมา เรายอมใช้ เมื่อใช้ย่อมมีวันหมด และเมื่อหมดวันใด นั่นแหละคือการหายโรค และจะไม่กลับมาปวดอีกเลย