วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จักรวาล


จักรวาล เป็นสิ่งที่มนุษย์นับแต่โบราณกาล พยายามค้นคว้าศึกษา หากแต่สิ่งที่ได้กลับมา น้อยนิด จักรวาลจึงเป็นความมืดดำตลอดมา

หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า เช่นกัน ศาสตร์แห่งมนุษย์ที่พระภูมีทรงตรัสรู้ และแม่ชีเมี้ยนนำมาสอน ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถหยั่งรู้ หรือเรียนรู้ได้ สิ่งที่ทราบก็มีเพียงผิวเผิน ดุจดั่งจักรวาล นั่นก็คือ สมองของมนุษย์นั่นเอง

กลไกจักรวาล หรือวัฐจักร ที่มาที่ไป หารู้ไม่ สมองก็เช่นเดียวกัน หามีนักวิทยาศาสตร์คนใด หรือ องค์กรใด ที่จะเจาะเข้าไปเรียนรู้ ทั้งที่ทราบดีว่า สมองคือส่วนบัญชาการ ให้ทำสิ่งต่างๆ แต่โดยวิธีใดเล่า

แม่ชีเมี้ยนทรงสอนว่า สิ่งที่พระภูมีทรงตรัสรู้ นั่นคือ รู้แจ้งเห็นจริง เกี่ยวกับมนุษย์นั่นเอง หรือพูดภาษาพระ ก็คือ รู้เรื่องกรรม และสรุปมาให้สาวกฟังว่า "มนุษย์มีกรรมเป็นอำนาจ และมีกรรมนำเกิด มนุษย์จึงเป็นไปตามกรรมที่ทำมา เรียกว่า พรหมลิขิต นั่นเอง"

ด้วยความรู้นี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อมนุษย์คนใดมีพรหมลิขิต ทำให้เกิด อาทิเช่นคนเป็นอัมพฤกษ์ ก็จะเกิดทันทีตามพรหมลิขิตนั้นๆ ไม่มีทางหยุด และเห็นภาพแห่งพรหมลิขิตชัดเจนว่า "หญิงซ้าย ชายขวา"

ต้นเหตุแห่งการเกิด จึงไม่ใช่เกิดจากกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ที่หมอแผนปัจจุบัน พยายามให้คนไข้ไปทำกายภาพบำบัด ทำเท่าไร ผลจึงไม่เกิด

หากแต่ต้นเหตุที่แท้จริง คือ พรหมลิขิต อันเนื่องจากอำนาจกรรม ดลบันดาล ให้ประสาทในสมอง ไม่ทำงานต่างหาก

คนที่เป็นโรคนี้ จึงมีส่วนสัมพันธ์อย่างมากกับประสาท และเมื่อเป็น จึงมีผลต่ออาการประสาทตามมา เป็นโรคซึมเศร้า อารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย และค่อยๆ กัดกินจิตวิญญาณ ให้หงอยเหงาลงเรื่อยๆ

ดังนั้น การกระตุ้นประสาท จึงมีความจำเป็นในการฟื้นฟูคนไข้ประเภทนี้ การทานสมุนไพรเฉพาะ โดยเฉพาะสมุนไพรลูกกลอนน้ำผึ้ง ที่ทำพิเศษเฉพาะผู้ป่วยประเภทนี้ และการอาศัยพฤติกรรมที่เป็นบุญ เพื่อให้ประสาทฟื้นคืนกลับมา ประกอบกับ การกระตุ้นจิตใจให้หึกเหิม และควบคุมอารมณ์ จึงเป็นปฐมบทแห่งการฟื้นฟู

เมื่อสามารถฟื้นฟูประสาทได้ จึงจะถึงกรรมวิธีกายภาพบำบัด ด้วยการใช้สมุนไพรเฉพาะที่ทำมาจากยางต้นไม้ อันเป็นสมุนไพรที่ทำมาเพื่อกระตุ้น กล้ามเนื้อเส้นเอ็น ให้ฟื้นขึ้น แล้วจึงเริ่มหัดช่วยตน

ดังนั้น คนไข้อัมพฤกต์ พาร์กินสัน หรือ ที่เกี่ยวกับประสาท จึงต้องเรียนรู้ และทำตน โดยเฉพาะด้านจิตใจ อารมณ์ ให้ได้ก่อน การฟื้นฟูตนจึงจักมีโอกาส

ด้วยเหตุนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมวงการแพทย์ จึงไม่สามารถฟื้นฟูผู้ป่วยเหล่านี้ได้ มีแต่ถอยหลัง เริ่มจากชาเป็นครั้งคราว ก้าวไปสู้อัมพฤกต์ และจบด้วยอัมพาต และก็รอวันหมดลมบนเตียง

เมื่อมองย้อนกลับไปยังต้นเหตุแห่งกรรมที่ทำให้เกิด หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า ก็ด้วยนิสัยเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป เมื่อถึงวันบั้นปลายชีวิต กรรมเบียดเบียน ก็ตามมา ทำให้เกิดกรรมเบียดเบียนต่อไป เรียกว่า เขียนพรหมลิขิต อัมพฤกต์ อัมพาต ต่อไปยังชาติหน้าอีกนั่นเอง

คนที่เป็นพี่เลี้ยงคนไข้เหล่านี้ จึงมีความจำเป็นต้องใช้คนที่ใจแข็ง ใจหิน ประเภทเดินต้องประคอง กินข้าวต้องป้อน ทานยาต้องหยิบให้ .... โลกอาจมองว่ากตัญญู แต่ฟ้าดินบอกว่า การกระทำเช่นนี้ คือการทำร้ายคนไข้ และปิดประตูหาย เพราะรังแต่ทำให้กรรมเบียดเบียนเพิ่มขึ้น กดทับตัวเองจนเรือจม

หลายคนอาจจะได้ยินว่า เจ้าหน้าที่บางคน ไม่ยินยอมให้ พี่เลี้ยง ประคองเดินเข้าทานสมุนไพรมะพร้าว หรือที่เขากล่าวว่า เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง ก็ด้วยเหตุประการฉะนี้นั่นเอง

ภาพของคุณสมศํกดิ์ เมื่อครั้งที่หลวงพ่อให้คนดูแล ตักข้าวใส่จาน แล้วให้ทานเอง ในขณะที่มือยังสั่น ตักข้าวใส่ปากไม่ได้ ทานแต่ละครั้ง หกมากกว่าครึ่ง หลายคนที่พบเห็นบอกว่า ทำไมถึงโหดขนาดนี้ ไม่ให้คนป้อน กว่าจะทานข้าวเสร็จแต่ละครั้ง ก็เป็นชั่วโมง ... เวลาเดิน ก็เดินหน้าสองก้าว ถอยหลังหนึ่งก้าว แต่ให้ไปอยู่บนเขา และบังคับให้เดินไปฟังพระ ถวายข้าวพระบนเขา กว่าจะเดินถึง เป็นชั่วโมง แม้นระยะทางจะไม่ไกลนัก สำหรับคนธรรมดา ๕ นาทีก็ถึง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ถ้าไม่ทำเช่นนี้ในวันนั้น มาวันนี้ คุณสมศักดิ์ จะกลับมาเป็นปกติ และมาลาขออนุญาตกลับไปแต่งเมียได้อีกหรือ

รักกันจริง อย่าตามใจ แต่ควรให้เหตุผล กระตุ้นจิตใจคนไข้ให้หึกเหิม ใครจะว่าอกตัญญู ในวันนี้ หากแต่ผลในวันหน้าต่างหากที่เป็นตัวดัดสิน ว่าสิ่งที่ทำ แบบไหน คือ เรียกอกตัญญู

และก็ไม่ต้องแปลกใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า หากสมุนไพรและธรรมของพระภูมี ช่วยไม่ได้ ให้เร่ไปทั่วโลก ก็ไม่มีทาง เพราะเรื่องของสมอง เป็นความดำมืดของมนุษย์ มีแต่พระภูมีเท่านั้น ที่ตรัสรู้ทราบ...

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44