ช่วงที่ผ่านมาไม่นาน คนไข้สองคน คนแรกเป็นกรรมการ คนที่สองเป็นจิตอาสา ทั้งสองมาทานสมุนไพรได้ระยะเวลาหนึ่ง ภาพที่เกิดขึ้นกับคนภายนอกนั่นคือ ประสพสภาวะเส้นเลือดในสมองแตก คนหนึ่งเป็นเจ้าชายนิทรา อีกคนหนึ่ง ยังรับรู้ได้
ภรรยาของกรรมการ ก็กล่าวโทษว่าเป็นเพราะการทานสมุนไพร สามีของเขาจึงเป็นเช่นนี้ และให้หยุดทานสมุนไพร
ภาพที่ปรากฎ ย่อมเป็นที่ตระหนักของคนที่ไม่รู้ ทราบแต่เพียงว่าคนสองคนนี้มาทานสมุนไพร แล้วเกิดอาการขึ้น
หากแต่เมื่อย้อนไป ก่อนที่อาการของคนทั้งสองจะปรากฎ หลวงพ่อนิพนธ์ได้กล่าวเตือนหลายครั้ง อธิบายไปก็มากหลาย ว่าพฤติกรรมของคนทั้งสองสุ่มเสี่ยง เพราะยึดติดกับตัวเลขของหมอมากเกินไป
ผลก็คือ เมื่อมาทานสมุนไพร โดยเฉพาะสมุนไพรดำ หรือ ลูกกลอนน้ำผึ้ง ที่ซึ่งมีสรรพคุณ ทางหลอดเลือด และความข้นของเลือด อันมักจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างความดันชั่วคราว เพื่อตรวจสอบสภาวะของหลอดเลือด
นั่นก็หมายความว่า เมื่อทานสมุนไพรตัวนี้แล้ว ความดันต้องสูงกว่าค่าปกติทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อคนทั้งสองยึดติดกับตัวเลข ผลก็คือ สมุนไพรตัวอื่นทาน แต่ตัวนี้ทานน้อยหน่อย หรือไม่ทานเลย และที่สำคัญคือ ใช้ยาควบคุมความดัน หรือ ยาหมอ เพื่อให้ตัวเลขความดัน อยู่ในเกณฑ์ จะได้สบายใจ
คำเตือนแก่บุคคลทั้งสอง ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่ดูอันตราย นั่นคือ การมีความดันสูง กลับกลายเป็นปลอดภัย หากแต่สิ่งที่ดูปลอดภัย คือ การมีเกณฑ์ความดัน อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลา ผลก็คือ เส้นเลือดที่มีปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข และวันหนึ่ง ความดันที่ถูกสะสมไว้ เกิดทะลุปล้องขึ้นมา นั่นคือ ภาพปัจจุบัน
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นอัมพฤกต์ อัมพาต ทั้งๆ ที่กินยาคุมความดันนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงอรรถาธิบายว่า หากเราอยากจะรักษาโรคความดัน เมื่อทานสมุนไพรดำ สิ่งแรกที่ร่างกายจะนำสมุนไพรไปใช้ นั่นคือ สร้างความหยุ่นเหนียวให้กับร่างกาย ไม่เปราะ ไม่แตกง่าย ด้วยกระบวนการสร้างความดันสูง ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบระบบ
ดังนั้น เมื่อไปวัดค่า ความดันย่อมต้องสูงเป็นเรื่องปกติ หากแต่สิ่งนี้เองเป็นตัวตรวจสอบ และส่งสัญญาณให้ร่างกายรู้ว่า หลอดเลือดส่วนใดมีปัญหา เมื่อตรวจเสร็จ ร่างกายก็จะสลายความดันชั่วคราวนี้ทิ้งไป สังเกตได้จากการปัสสาวะแล้วมีฟองฟอดขึ้นนั่นเอง
เมื่อความดันสูงขึ้น บริเวณที่มีปัญหา อาทิ เส้นเลือดตีบตัน ก็ย่อมต้องมีอาการปวดเป็นธรรมดา นั่นแหละคือร่างกายรับรู้แล้วว่าส่วนนั้นมีปัญหา และส่งสัญญาณให้แก้ไข
การปวดหัวนั้นเมื่อทานสมุนไพร จึงเป็นคุณอย่างยิ่ง และทำให้เราเบาใจได้ว่า ร่างกายซึ่งเป็นหมอธรรมชาติ เจอสาเหตุ หรือต้นตอ หรือปัญหาแล้ว แต่หลายคนกลับมองเป็นโทษ และปฏิเสธ ไม่ยอมให้ปวด ไม่ยอมให้ความดันสูงขึ้น
แนวทางสมุนไพร ยิ่งมีอาการปวด ก็ยิ่งต้องทานอาหาร และสมุนไพร เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซม แก้ไข เมื่อสามารถแก้อาการปวด ซึ่งอาจจะมาเป็นรอบๆ จากปวดมาก ร่างกายเริ่มแก้ไข ก็ปวดน้อยลง จนในที่สุด ก็ไม่ปวดอีก นั่นคือ หาย
สิ่งที่เป็นคุณ กลับมองเป็นโทษ และปฏิเสธ นั่นจึงเป็นสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามชี้ให้เห็นว่า เกิดสภาวะถอดใจ หรือ ตื่นตูม กลัวตัวเลขจนลนลาน วิ่งไปหายาคุมความดัน และท้ายที่สุด ก็เป็นทั้งที่กินยาคุมนั่นเอง
ทั้งที่ความจริง มันเป็นอาการชั่วคราว มาเพื่อตรวจสอบ ไม่ทำอันตรายให้ถึงตาย หรือเป็นอัมพฤกต์ อัมพาต เพราะร่างกายของเราท่านรู้สภาพดีกว่าหมอ กว่าเครื่องมือใดๆ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า การเรียนรู้ เหตุและผล ทำให้เราสงบ ไม่ตื่นตูม และดำรงในแนวทางการฟื้นฟูสมุนไพรได้ หาไม่แล้ว ตัวเลขและความกลัว ก็จะหลอนในที่สุด ก็วิ่งกลับไปพึ่งยาคุมความดัน พึ่งหมอ อย่างแน่นอน
ตัวอย่างคนไข้ ที่ยืนหยัดในการทานสมุนไพร อย่างเช่น อ.อร่าม เคยวัดความดัน ถึงขนาดขึ้นไปสุดเสกลของเครื่อง หรือในกรณีของภรรยาท่านอัยการ ทะลุไปพันกว่า หมอวิ่งกันทั่วโรงพยาบาล แต่เธอก็บอกว่า ฉันปกติดี เดินมาหาหมอได้ ก็เดินกลับได้ แค่มาตรวจเท่านั้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า โรคนี้ไม่น่ากลัว แต่มักจะมีโรคแทรกที่ทำให้ไม่ประสพผลในการช่วยตน นั่นคือ โรคปอดแหก ... กลัวตัวเลขจนต้องทิ้งสมุนไพรไปหาหมอนั่นเอง
คนที่ยืนระยะทานสมุนไพรดำได้เป็นเดือน หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ไม่มีทางที่จะเกิดอาการเส้นเลือดแตกอย่างแน่นอน ... อ้ายพวกที่เตือนแล้วไม่ฟัง อย่าไปกินยาคุม แถมเวลาทานยาลูกกลอนดำ ทานมั่งไม่ทานมั่ง อันนี้ไม่รับผิดชอบ
รู้หรือไม่ เส้นเลือดของคนๆ หนึ่งนำมาเรียงต่อกัน มีความยาวเท่าถึงสองเท่าของเส้นรอบโลก หากร่างกายไม่สร้างความดัน จะเข้าถึงเส้นเลือดฝอยเหล่านั้นได้อย่างไร และหากเส้นเลือดตีบตัน เหมือนท่ออุดตัน ก็ต้องใช้ความดันในการทะลวงให้โล่ง จริงหรือไม่ ในระหว่างทะลวง หากเป็นเส้นเลือดในสมอง ก็ย่อมต้องปวดเป็นธรรมดา หากไม่ยอมปวด ก็ต้องยอมให้มันตัน และปิด แล้วก็แตก ....