ในขณะที่บ้านเมืองไทยกำลังวุ่นวายแย่งชิงกัน ช่วงชุลมุนนี้เอง พม่าก็กำลังวุ่นวาย หากแต่เป็นการยุติความขัดแย้ง แล้วแอบดอดมาเอาของดีของประเทศไทยไป
วันอาทิตย์ที่แล้ว องคมนตรีและรัฐบาล ได้ส่ง ส.ส. และ ส.ว. ของรัฐทวาย ๓ ท่าน มารายงานความคืบหน้า และย้ำความจริงจังในโครงการ ว่าทางรัฐบาลพม่าเอาจริง
หากแต่เพื่อแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลพม่าจริงใจ และรับข้อเสนอทุกอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด โดยไม่มีข้อแม้
วันพฤหัสที่ผ่านมา องคมนตรีและรัฐบาลพม่า ได้ส่ง ส.ว. และ ส.ส. จากรัฐบาลกลาง ๓ ท่าน มาอีกครั้ง และเชิญหลวงพ่อนิพนธ์ไปยังรัฐทวาย เพื่อลงนามกับรัฐบาลพม่า
ในวันนี้แล้วซิน่ะ เมื่อการลงนามแล้วเสร็จ นั่นหมายความว่า ของดีในเมืองไทย ที่เราคิดว่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ ที่เสียไปเมื่อครั้งกรุงศรีถูกตีแตก สองครั้งรวมกัน ยังไม่เสี้ยวหนึ่งเลย ก็จะตกเป็นของพม่าแล้ว
การมาของ ส.ว. และ ส.ส. จากรัฐบาลกลาง มาพร้อมกับแจ้งรายละเอียด สัญญา รวมถึงการแก้กฎหมายที่ไม่เคยมีเลยในประวัติศาสตร์ของพม่า นั่นคือ การยินยอมให้คนต่างชาติ โอนสัญชาติเป็นพม่าได้
พร้อมกันนี้ ได้นำข้อตกลงจากรัฐบาลกลาง ในการอนุมัติ โดยฉันทามติเป็นเอกฉันท์ ในการที่จะให้รัฐทวาย เป็นรัฐที่มีอำนาจเต็ม สามารถดำเนินการในเรื่องนี้ได้อย่างอิสระ อันจะเป็นรัฐต้นแบบด้านสาธารณสุข ของพม่า ทั้งนี้ หากเรื่องใดที่เสนอไป เพื่อขอความร่วมมือจากรัฐบาลพม่า ทางรัฐบาลจะให้การสนับสนุนเต็มที่ รวมไปถึงข้อกฎหมายต่างๆ ที่มี
เมื่ออาคารต่างๆ แล้วเสร็จ การเปิดบริการของศูนย์ที่ทวาย จะเปิดบริการทุกวัน นั่นหมายความว่า นับจากนี้ คงต้องนับถอยหลังวันที่หลวงพ่อนิพนธ์จะไปอยู่พม่านั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ที่นั่น จะมีโรงพยาบาลสมุนไพรที่เต็มรูปแบบ ให้บริการแข่งกับโรงพยาบาลสมัยใหม่ โดยไม่มียาเคมีใดๆเลย
ในการนี้ บทแนบในสัญญา คือการให้บริการคนไทยฟรี และ การยินยอมให้นำสมุนไพรจากฝั่งพม่า เข้ามายังฝั่งไทย ซึ่งรัฐบาลพม่า ได้ตกลงและอำนวยความสะดวกในเรื่องนี้อย่างเต็มที่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้ยังมีท่านอยู่ ก็รีบๆเข้า เรียนรู้และช่วยตน เพราะไม่รู้ว่าจะไปวันไหน ...
หากแต่สิ่งหนึ่งที่ให้คำมั่น นั่นคือ สถานที่นี้ยังคงอยู่ ยังคงแจกสมุนไพร แต่ไม่มีตัวท่าน....
ปีหน้า เราจะได้เห็นฤทธิ์ของสมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จากศูนย์สงเคราะห์ต่างๆ ที่ทยอยผุดขึ้น นับตั้งแต่ ยาเสพติด เอดส์ มะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ....
ถึงวันนี้ วันที่คนไทยนับล้านๆคน แบ่งฝ่ายกำลังห่ำหั่นกัน เพื่ออะไรไม่รู้ .... หามีคนไทยกลุ่มใด ที่จะมายื่้อยุด ฉุดรั้งสิ่งดีๆนี้ไว้ในประเทศไม่มีเลย
เรามาคิดอีกมุม ก็ดีเหมือนกัน สิ่งที่สูงค่า ไม่ควรอยู่กับคนที่ไร้ค่า มีตาหามีแวว ... เพราะคุณค่าที่สูงส่ง ก็จะอยู่ในฐานะเช่น ไก่ได้พลอย สู้ข้าวเปลือกไม่ได้เลย
คำอุปมาของแม่ชีเมี้ยน ที่รำพึงรำพันเมื่อครั้งกระนั้น ยิ่งบาดลึกในใจเรา และ เห็นจริงแท้ และก้มหน้ายอมรับดุษฏีในคำตรัสของท่าน
คำตรัสนั้นคือ " ศาสน์ที่ท่านนำมา แต่คนไทยไม่เอา การสูญเสียศาสน์นี้ไป พิจารณาแล้ว น้ำตาของคนไทยรวมกัน บ่อกว้างยี่สิบวายาวยี่สิบเส้น ยังไม่ถึงครึ่งบ่อ หากแต่น้ำตาของท่าน ที่มีให้แก่คนไทยในการสูญเสียศาสน์อันนี้ บ่อกว้าง สี่สิบวา ยาวสี่สิบเส้น น้ำตาของท่านมากจนล้นบ่อ "
มาวันนี้ ได้เห็นแล้ว ... ว่าจริงดั่งที่ท่านตรัส และก็ได้แต่ปลง เพราะมองซ้ายขวา หาเพื่อนไทย แสดงพลังเพื่อฉุดรั้งสิ่งดีนี้ไว้ ไม่มีเลยนั่นเอง
เรา จึงได้แต่กราบน้อมส่งเสด็จ ให้ท่านไปประดิษสถานในที่อันควร ยังประเทศพม่าด้วยน้ำตา ไว้ ณ ที่นี้
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
โปรดทราบ - NO MOB AREA
คนไข้หลายฝ่ายหลายสี เสนอความเห็นว่า หลวงพ่อนิพนธ์ควรจะหยุดทำการชั่วคราว เพื่อให้พวกเขาไปร่วมม๊อบ ร่วมกลุ่มที่ตนชอบ
หลวงพ่อนิพนธ์ตอบว่า พวกท่านจะสีไหน จะทำอะไรข้างนอก ไม่ยุ่งเกี่ยว ขออย่างเดียว ในพื้นที่นี้ วางสิ่งเหล่านั้นไว้ก่อน เข้ามาแล้วต้องรักกัน ไม่มีสี ช่วยกันและกัน
ดุจดังวัดพม่า ที่ทหารพม่าและกะเหรี่ยงที่รบกัน ถึงเวลาทานข้าว วางอาวุธไว้แล้วเข้ามากอดคอทานข้าว คุยกัน ทานเสร็จออกไปยิงกันต่อ ก็ไม่ว่ากัน ....
นั่นคือ ต้องมีที่เว้น ที่วาง วันใดในวันหน้า หากมีปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าสีไหน ก็สามารถใช้สถานที่นี้ฟื้นฟูตนได้
AREA NO MOB
หลวงพ่อนิพนธ์ตอบว่า พวกท่านจะสีไหน จะทำอะไรข้างนอก ไม่ยุ่งเกี่ยว ขออย่างเดียว ในพื้นที่นี้ วางสิ่งเหล่านั้นไว้ก่อน เข้ามาแล้วต้องรักกัน ไม่มีสี ช่วยกันและกัน
ดุจดังวัดพม่า ที่ทหารพม่าและกะเหรี่ยงที่รบกัน ถึงเวลาทานข้าว วางอาวุธไว้แล้วเข้ามากอดคอทานข้าว คุยกัน ทานเสร็จออกไปยิงกันต่อ ก็ไม่ว่ากัน ....
นั่นคือ ต้องมีที่เว้น ที่วาง วันใดในวันหน้า หากมีปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าสีไหน ก็สามารถใช้สถานที่นี้ฟื้นฟูตนได้
AREA NO MOB
โดนฝังชิป
วันก่อน ขณะที่หลวงพ่อนิพนธ์เดินออกมาส่งให้คนไข้เข้ากระโจม ผู้หญิงท่านหนึ่งค่อนข้างมีอายุ เรียนถามว่า ได้ไปตรวจสุขภาพมาสัปดาห์ก่อน ปรากฎว่า ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าก่อนมาอีก จะเป็นอะไรไหม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แล้วมีอาการอ่อนแรงไหม หน้ามืดไหม หรือ อาการของโรคเบาหวานปรากฎ เช่นก่อนกินสมุนไพรหรือไม่ เธอก็ตอบว่าไม่
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า คนพวกนี้อุปมาเหมือนคนโดนหมอฝังชิปในหัว ให้ยึดติดสุขภาพว่าดีหรือไม่ จากตัวเลขในการตรวจวัด
ทั้งนี้ ไม่พิจารณาเหตุและผล ว่าสิ่งที่เกิดเนื่องจากอะไร ระดับน้ำตาลที่ทานยาหมอ วัดได้ต่ำเพราะอะไร แต่ดีใจที่ค่าอยู่ในเกณฑ์ โดยไม่มองว่า คนที่มาก่อนหน้าก็ทำแบบนี้ ผลลงเอยเป็นเช่นไร ตัดขา ตัดโน่นตัดนี่ จนในที่สุดก็ตาย ใช่หรือไม่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนวิธีการดูว่า กรรมวิธีที่จะตรวจสอบว่า แนวทางที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวานของเรานั้นถูกหรือไม่ ก็ให้พิจารณาจากบาดแผลนั่นเอง
เมื่อก่อนทาน เวลาเกิดแผล จะมีอาการเช่นไร แผลหายช้าใช่ไหม นั่นคือ ร่างกายขาดความสามารถในการฟื้นฟู เมื่อหายช้าหรือไม่หาย ในที่สุดมันก็ติดเชื้อ แต่เมื่อมาใช้กรรมวิธีทานสมุนไพรสูตรพระภูมี ของแม่ชีเมี้ยน
เมื่อเกิดแผล จะเห็นได้ว่า แม้นระดับน้ำตาลในเลือดจะสูง อันเกิดจากร่างกายรีดน้ำตาลจากกล้ามเนื้อไปไว้ในเลือด ร่างกายก็จักมีความสามารถในการฟื้นฟูตน แผลก็จะหายได้ไว ดังคนปกติทั่วไป นั่นเอง
และที่สำคัญ ต้องกลับมาทานหวานได้ เริ่มจากทองหยอดวันละ ๑ เม็ด ผ่านไปไม่กี่เดือน ก็ทานทุเรียนเป็นพูได้ เฉกเช่นคนปกติ แม้นว่าระดับน้ำตาลยังสูงกว่าเกณฑ์ก็ตาม นี่คือ เป็นเครื่องยืนยันว่า ร่างกายมีความสามารถขับน้ำตาลส่วนเกินออกได้แล้วนั่นเอง
ประการที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์สรุปให้ฟัง การรีดน้ำตาลออก ก็ทำได้ทางเดียว คือผ่านไต เพื่อรีดให้ออกทางปัสสาวะ ดังนั้น คนเป็นเบาหวาน หากอยากหายเร็ว จึงต้องฟื้นฟูไต ด้วยการทานสมุนไพรมะพร้าวให้มาก ยิ่งไตแข็งแรงสมบูรณ์เท่าไร อาการเบาหวาน และระดับน้ำตาลในเลือด ก็จะลดลงเร็วเท่านั้น
คนที่โดนฝังชิปไว้แล้วนั้น ยากที่จะใช้แนวทางนี้ เพราะจะเกิดโรคปอดแทรก นั่นคือ อาการปอดแหก ตาแหก ในตัวเลขที่เห็น และคำขู่ที่ได้รับ ท้ายที่สุดก็วิ่งกลับไปทานยาเม็ดเพื่อคุมค่า ให้ได้ตามต้องการ...
หากจะใช้แนวทางสมุนไพร รื้อชิปออก แล้วเรียนรู้ เมื่อรู้ โรคปอดก็จะแทรกไม่ได้ ... กรรมฐานก็จะไม่แตก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แล้วมีอาการอ่อนแรงไหม หน้ามืดไหม หรือ อาการของโรคเบาหวานปรากฎ เช่นก่อนกินสมุนไพรหรือไม่ เธอก็ตอบว่าไม่
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า คนพวกนี้อุปมาเหมือนคนโดนหมอฝังชิปในหัว ให้ยึดติดสุขภาพว่าดีหรือไม่ จากตัวเลขในการตรวจวัด
ทั้งนี้ ไม่พิจารณาเหตุและผล ว่าสิ่งที่เกิดเนื่องจากอะไร ระดับน้ำตาลที่ทานยาหมอ วัดได้ต่ำเพราะอะไร แต่ดีใจที่ค่าอยู่ในเกณฑ์ โดยไม่มองว่า คนที่มาก่อนหน้าก็ทำแบบนี้ ผลลงเอยเป็นเช่นไร ตัดขา ตัดโน่นตัดนี่ จนในที่สุดก็ตาย ใช่หรือไม่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนวิธีการดูว่า กรรมวิธีที่จะตรวจสอบว่า แนวทางที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวานของเรานั้นถูกหรือไม่ ก็ให้พิจารณาจากบาดแผลนั่นเอง
เมื่อก่อนทาน เวลาเกิดแผล จะมีอาการเช่นไร แผลหายช้าใช่ไหม นั่นคือ ร่างกายขาดความสามารถในการฟื้นฟู เมื่อหายช้าหรือไม่หาย ในที่สุดมันก็ติดเชื้อ แต่เมื่อมาใช้กรรมวิธีทานสมุนไพรสูตรพระภูมี ของแม่ชีเมี้ยน
เมื่อเกิดแผล จะเห็นได้ว่า แม้นระดับน้ำตาลในเลือดจะสูง อันเกิดจากร่างกายรีดน้ำตาลจากกล้ามเนื้อไปไว้ในเลือด ร่างกายก็จักมีความสามารถในการฟื้นฟูตน แผลก็จะหายได้ไว ดังคนปกติทั่วไป นั่นเอง
และที่สำคัญ ต้องกลับมาทานหวานได้ เริ่มจากทองหยอดวันละ ๑ เม็ด ผ่านไปไม่กี่เดือน ก็ทานทุเรียนเป็นพูได้ เฉกเช่นคนปกติ แม้นว่าระดับน้ำตาลยังสูงกว่าเกณฑ์ก็ตาม นี่คือ เป็นเครื่องยืนยันว่า ร่างกายมีความสามารถขับน้ำตาลส่วนเกินออกได้แล้วนั่นเอง
ประการที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์สรุปให้ฟัง การรีดน้ำตาลออก ก็ทำได้ทางเดียว คือผ่านไต เพื่อรีดให้ออกทางปัสสาวะ ดังนั้น คนเป็นเบาหวาน หากอยากหายเร็ว จึงต้องฟื้นฟูไต ด้วยการทานสมุนไพรมะพร้าวให้มาก ยิ่งไตแข็งแรงสมบูรณ์เท่าไร อาการเบาหวาน และระดับน้ำตาลในเลือด ก็จะลดลงเร็วเท่านั้น
คนที่โดนฝังชิปไว้แล้วนั้น ยากที่จะใช้แนวทางนี้ เพราะจะเกิดโรคปอดแทรก นั่นคือ อาการปอดแหก ตาแหก ในตัวเลขที่เห็น และคำขู่ที่ได้รับ ท้ายที่สุดก็วิ่งกลับไปทานยาเม็ดเพื่อคุมค่า ให้ได้ตามต้องการ...
หากจะใช้แนวทางสมุนไพร รื้อชิปออก แล้วเรียนรู้ เมื่อรู้ โรคปอดก็จะแทรกไม่ได้ ... กรรมฐานก็จะไม่แตก
รุ่นทดลอง
ช่วงที่ผ่านมา เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์เปิดรับคนไข้เข้ามาฟื้นฟูตน โดยเฉพาะคนไข้หนักที่หมอปฏิเสธแล้ว เพื่อดูผลตอบรับในการทานสมุนไพร
สิ่งหนึ่งที่ปรากฎเด่นชัด นั่นคือ เมื่ออยู่ในที่ที่เหมาะสม เพื่อฟื้นฟูตนได้เต็มที่ การทานสมุนไพรอย่างเต็มที่ ในคนไข้ที่หมอกำหนดวันเวลามาแล้วนั้น อาทิเช่น ยาเขียว วันละขวด ยาไพล ยาลูกกลอนดำ สามเวลาหลังอาหาร เรียกได้ว่าวันละกระปุก ส่งผลให้คนไข้เหล่านั้นฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่ากลุ่มมะเร็ง หรือ อัมพฤกต์
ภาพที่ปรากฎนี้เอง ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ทุกคนมีโอกาส และเป็นไปได้ หากแต่สภาวะการณ์ที่ผ่านมา คนไทยไม่ให้โอกาส หรือให้การสนับสนุน ทำให้ผลของการทานสมุนไพรน้อยกว่าที่ควร จนหลายคนอดรนทนไม่ได้ ต้องย้อนกลับไปหาหมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงดำริกิจกรรมหนึ่งขึ้นมา แต่ในความคิดเราน่าจะเป็นการวัดใจคนไทยเสียมากกว่า นั่นคือ การจะตั้งภาชนะรองรับสมุนไพร อาทิ มะกรูด ดีปลี พริกไทย ไว้ให้คนไข้ที่มา ได้นำมาร่วมเพื่อจัดทำเป็นสมุนไพรให้ทานกันได้อย่างเต็มที่ นั่นคือ มากกว่าที่เป็นอยู่
ผลของกิจกรรมนี้ ในความคิดเรา น่าจะเป็นตัวชี้ขาดให้หลวงพ่อนิพนธ์ตัดสินใจว่า กิจกรรมที่ทำอยู่ คนไทยเขาเห็นเป็นอย่างไร หากจะยังคงอยู่ในสภาวะที่ผู้นำม๊อบเรียกว่า "ไทยเฉย" นั่นก็หมายความว่า คงยากจะประสพผลดังตั้งใจ
แรงบีบทางกฎหมาย และสาธารณสุข อันเนื่องมาจากผลประโยชน์ ว่าไปแล้วก็ไม่สาหัส หากแต่ความร่วมมือร่วมใจในการทำตนเป็นทรายคนละเม็ด ที่มาร่วมก่อเจดีย์ต่างหาก หากไม่มีแล้วไซร้ เจดีย์ย่อมมีไม่ได้
เมื่อไม่มีวัตถุดิบ ก็ย่อมเป็นการยากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะการเดินสองขาในการใช้หลักพระภูมี ขาหนึ่งเรียกว่าเดี้ยงก็ว่าได้ ดันเท่าไหร่ก็ยากจะเดิน นั่นคือขาบุญ อันจะเห็นได้ว่า พูดมากี่ปี่ มากันกี่ปี่ ก็ยังหาความสงบไม่ได้นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงพยายามใช้ขาของสมุนไพรดัน นั่่นคือ การที่ผู้ฟื้นฟูต้องทานสมุนไพรให้ได้ปริมาณ ไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ ดูแล้วว่าขานี้ก็ต้องเหนื่อย
เมื่อพิจารณานิสัยคนไทย ที่เป็นคนมีเมตตา โอบอ้อม อารีย์ ขี้สงสาร ใครป่าวประกาศอะไร ก็เฮโลไปช่วยกัน อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ทำไมเล่า กิจกรรมที่ป่าวประกาศ ให้หิ้วสมุนไพรมา เพื่อ่ช่วยกอบกู้ชีวิตตนและเพื่อนมนุษย์ มันจึงแร้นแค้นยิ่งนัก
คำตอบมีอย่างเดียว คือ กรรม กรรมมันบังตา บังใจ นั่นเอง
ทางพม่าก็เร่งเร้า หลวงพ่อนิพนธ์ก็อาลัย รักใคร่ในพี่น้องคนไทย อยากช่วย ดิ้นรนทุกรูปแบบ ... ก็รอดูผลตอบรับในกิจกรรมนี้ ... เราว่า ไม่นานคงมีคำตอบ
ระหว่างนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกคุณธานินทร์ มากล่าวว่า เล็กรักษาตัวมาที่นี้ก็เข้าปีที่ ๑๔ แล้ว ไม่เคยขออะไรหรือเรียกร้องอะไรเลย มาวันนี้ ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนที่ขอก็แล้วกัน
นั่นคือ ขอให้เล็กไปซ้อมร้องเพลง "ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก" วันใดที่ตัดสินใจแน่แล้ว เห็นแน่แล้วว่าคนไทยไม่เอาด้วย ก็จะหยุดกิจกรรม แล้วให้เล็กช่วยไปยืนหน้าคนไข้ แล้วร้องเพลงนี้ให้พวกเขาฟังหน่อย
เราก็คอยดูว่า ภาพที่เราจะเห็น มันจะเป็นมะกรูดเต็มตะกร้า หรือ จะเห็น คุณเล็กธานินทร์มาร้องเพลงให้คนไข้ฟังกันแน่ ....
สิ่งหนึ่งที่ปรากฎเด่นชัด นั่นคือ เมื่ออยู่ในที่ที่เหมาะสม เพื่อฟื้นฟูตนได้เต็มที่ การทานสมุนไพรอย่างเต็มที่ ในคนไข้ที่หมอกำหนดวันเวลามาแล้วนั้น อาทิเช่น ยาเขียว วันละขวด ยาไพล ยาลูกกลอนดำ สามเวลาหลังอาหาร เรียกได้ว่าวันละกระปุก ส่งผลให้คนไข้เหล่านั้นฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่ากลุ่มมะเร็ง หรือ อัมพฤกต์
ภาพที่ปรากฎนี้เอง ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ทุกคนมีโอกาส และเป็นไปได้ หากแต่สภาวะการณ์ที่ผ่านมา คนไทยไม่ให้โอกาส หรือให้การสนับสนุน ทำให้ผลของการทานสมุนไพรน้อยกว่าที่ควร จนหลายคนอดรนทนไม่ได้ ต้องย้อนกลับไปหาหมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงดำริกิจกรรมหนึ่งขึ้นมา แต่ในความคิดเราน่าจะเป็นการวัดใจคนไทยเสียมากกว่า นั่นคือ การจะตั้งภาชนะรองรับสมุนไพร อาทิ มะกรูด ดีปลี พริกไทย ไว้ให้คนไข้ที่มา ได้นำมาร่วมเพื่อจัดทำเป็นสมุนไพรให้ทานกันได้อย่างเต็มที่ นั่นคือ มากกว่าที่เป็นอยู่
ผลของกิจกรรมนี้ ในความคิดเรา น่าจะเป็นตัวชี้ขาดให้หลวงพ่อนิพนธ์ตัดสินใจว่า กิจกรรมที่ทำอยู่ คนไทยเขาเห็นเป็นอย่างไร หากจะยังคงอยู่ในสภาวะที่ผู้นำม๊อบเรียกว่า "ไทยเฉย" นั่นก็หมายความว่า คงยากจะประสพผลดังตั้งใจ
แรงบีบทางกฎหมาย และสาธารณสุข อันเนื่องมาจากผลประโยชน์ ว่าไปแล้วก็ไม่สาหัส หากแต่ความร่วมมือร่วมใจในการทำตนเป็นทรายคนละเม็ด ที่มาร่วมก่อเจดีย์ต่างหาก หากไม่มีแล้วไซร้ เจดีย์ย่อมมีไม่ได้
เมื่อไม่มีวัตถุดิบ ก็ย่อมเป็นการยากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะการเดินสองขาในการใช้หลักพระภูมี ขาหนึ่งเรียกว่าเดี้ยงก็ว่าได้ ดันเท่าไหร่ก็ยากจะเดิน นั่นคือขาบุญ อันจะเห็นได้ว่า พูดมากี่ปี่ มากันกี่ปี่ ก็ยังหาความสงบไม่ได้นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงพยายามใช้ขาของสมุนไพรดัน นั่่นคือ การที่ผู้ฟื้นฟูต้องทานสมุนไพรให้ได้ปริมาณ ไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ ดูแล้วว่าขานี้ก็ต้องเหนื่อย
เมื่อพิจารณานิสัยคนไทย ที่เป็นคนมีเมตตา โอบอ้อม อารีย์ ขี้สงสาร ใครป่าวประกาศอะไร ก็เฮโลไปช่วยกัน อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ทำไมเล่า กิจกรรมที่ป่าวประกาศ ให้หิ้วสมุนไพรมา เพื่อ่ช่วยกอบกู้ชีวิตตนและเพื่อนมนุษย์ มันจึงแร้นแค้นยิ่งนัก
คำตอบมีอย่างเดียว คือ กรรม กรรมมันบังตา บังใจ นั่นเอง
ทางพม่าก็เร่งเร้า หลวงพ่อนิพนธ์ก็อาลัย รักใคร่ในพี่น้องคนไทย อยากช่วย ดิ้นรนทุกรูปแบบ ... ก็รอดูผลตอบรับในกิจกรรมนี้ ... เราว่า ไม่นานคงมีคำตอบ
ระหว่างนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกคุณธานินทร์ มากล่าวว่า เล็กรักษาตัวมาที่นี้ก็เข้าปีที่ ๑๔ แล้ว ไม่เคยขออะไรหรือเรียกร้องอะไรเลย มาวันนี้ ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนที่ขอก็แล้วกัน
นั่นคือ ขอให้เล็กไปซ้อมร้องเพลง "ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก" วันใดที่ตัดสินใจแน่แล้ว เห็นแน่แล้วว่าคนไทยไม่เอาด้วย ก็จะหยุดกิจกรรม แล้วให้เล็กช่วยไปยืนหน้าคนไข้ แล้วร้องเพลงนี้ให้พวกเขาฟังหน่อย
เราก็คอยดูว่า ภาพที่เราจะเห็น มันจะเป็นมะกรูดเต็มตะกร้า หรือ จะเห็น คุณเล็กธานินทร์มาร้องเพลงให้คนไข้ฟังกันแน่ ....
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
คิดได้
หนุ่มฝรั่งอเมริกัน ลูกชายของโปรโมเตอร์มวยอันดับสอง ของอเมริกา ผู้ซึ่งประสพปัญหาโรครุมเร้า บวกกับ การเสพติดยาเค ยาไอซ์ อย่างรุนแรง จนประสาทหลอน
ความรุนแรงทางสมอง เข้าขั้นวิกฤต นั่นคือ ความรู้สึกคิดฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่สำเร็จ จนคนวงการมวยด้วยกัน ที่เป็นคนไทย ได้แนะนำให้มาหาหลวงพ่อนิพนธ์
ความรุนแรงของอาการ ที่ผ่านการบำบัดด้วยวิธีต่างๆ มาแล้วทั่วโลก ก็เอาไม่อยู่ เมื่อมาที่นี่ หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ให้เข้าคอร์สเริ่มบำบัดฟื้นฟู
หากแต่การบำบัดยาเสพติด ก็จะมีช่วงระยะเวลาที่เรียกว่า ลงแดง กันทุกคน ซึ่งเกิดจากการขาดสารยา และมีการลอยตัวของสารยา ที่ซี่งสมุนไพรจะอาศัยช่วงเวลานี้ ในการรีดสารยาออกจากร่างกาย
ดังนั้น ปกติการบำบัดในช่วงนี้ จึงต้องมีการกักบริเวณ และรอจนกว่าสมุนไพรจะรีดสารยาออกจากร่างกายได้หมด การใช้ชีวิตจึงเข้าสู่ภาวะปกติ
หากแต่กรณีนี้หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ให้อิสระในการพักอาศัย ไปมา ดังนั้น เมื่อถึงวันที่ ๔ เมื่อเกิดอาการลงแดง คนไข้ทนไม่ได้ หนีกลับเข้ากรุงเทพ เพื่อไปหาซื้อยามาเสพ ที่ซึ่งมีขายกันเกลื่อนกรุงเทพ ... อันน่าแปลกที่คนซื้อรู้ที่ แต่ตำรวจไม่รู้...
หลังจากอาการลงแดงหาย อันเนื่องจากได้เสพยา ก็ถูกนำกลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ใหม่ อยู่ได้ ๔ วัน ก็เหมือนเดิม หนีกลับไปซื้อยาเสพอีกครั้ง
หากแต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมนั่นคือ ขณะที่กำลังจะไปซื้อยาเสพติด เขาพบเห็นผู้เสพยาคนหนึ่ง ถูกตำรวจจับ ด้วยความกลัว จึงรีบกลับมาอีกครั้ง
หากในครั้งนี้ เขาเกิดความคิดที่ว่า ในเมื่อตัวเขาเองมีโอกาสในการบำบัด และเพื่อนร่วมชาติของเขาก็มีปัญหาเช่นนี้เหมือนกันมากมายในประเทศ อีกทั้งตัวเขาเองก็นับว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จักมากมายในประเทศ ....
ทำไม เขาจึงไม่ทำตนเป็นตัวอย่าง... ว่าหากคิดบำบัดและฟื้นฟูตนนั้น ทำได้เล่า เพื่อให้คนเดินตาม คิดได้ดังนั้น จึงให้ล่ามบอกแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า ครั้งนี้ตัวเขาจะตั้งใจในการบำบัดและฟื้นฟูตน ให้สำเร็จ
และวันที่ ๔ ของครั้งนี้ เขากลับรู้สึกสบาย ไม่มีอาการเหมือนก่อน และอยากทำตนเป็นประโยชน์บ้าง
เราจึงเห็นเขามาช่วยขายกาแฟ ที่ร้านกาแฟคุณตั้ว ...
จึงอยากชี้ให้เห็นว่า แค่ความคิด และกระทำตน เพื่อเป็นคนดี ก็ช่วยให้อาการเบาลงไปเยอะแล้ว ...
สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงถูกโฉลกและไปฉลุย นั่นคือ ส่งเสริมคนอยากทำความดีนั่นเอง ... โรคอะไร ก็ไม่เหลือ
ใครว่างแวะไปทักทายเขาได้ที่ร้านกาแฟคุณตั้ว และอย่าลืมสั่งกาแฟด้วยหล่ะ .... ได้บริการจากเศรษฐีระดับโลกมาบริการด้วยตนเองเลยน่ะ จะบอกให้
ดูงาน
ทั้งนี้ประการหนึ่งเพื่อเป็นข้อมูลนำไปจัดเตรียมในการดำเนินการของศูนย์ที่รัฐทวายประการหนึ่ง และในครั้งนี้ ได้แจ้งให้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ทราบว่า รัฐบาลพม่าได้อำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ในกิจกรรมนี้ ทั้งนี้เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว ได้ส่งทีมวิศวกร จำนวน ๑๘ คน เพื่อควบคุมการดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยไว
อนึ่ง การมาครั้งนี้ ท่าน ส.ส. แจ้งให้หลวงพ่อนิพนธ์ทราบว่า ทางรัฐบาลพม่า พร้อมที่จะออกใบอนุญาติ ทั้งทางการรักษา และจัดตั้งโรงพยาบาล หลังจากตรวจสอบแล้วว่า โครงการที่ดำเนินการในขั้นต้น ประสพผลสำเร็จ
โดยเฉพาะโครงการบำบัดยาเสพติด และโครงการฟื้นฟูผู้ป่วยเอดส์ ที่ซึ่ง ทางท่าน ส.ว. ได้จัดกลุ่มทดลอง เพื่อติดตามดูผลในการบำบัดและฟื้นฟู
นั่นหมายความว่า หากกลุ่มทดลองดังกล่าวได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทางรัฐบาลพม่าจะให้การสนับสนุนเต็มที่ และออกกฎหมายรองรับเป็นกรณีพิเศษ
ท้ายที่สุด คณะ ส.ส. แจ้งให้หลวงพ่อนิพนธ์ทราบว่า ทางรัฐบาลพม่า ได้มอบสิทธิพิเศษสำหรับ หลวงพ่อนิพนธ์และคณะ ที่จะเดินทางไปทำกิจกรรมนี้ในพม่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก และง่ายต่อการตรวจตราของเจ้าหน้าที่ จึงร้องขอให้หลวงพ่อนิพนธ์ จัดทำสติกเกอร์ และแจ้งแก่ทางพม่าทราบ
และเมื่อโครงการในทวายแล้วเสร็จ โดยเฉพาะโรงพยาบาล หากคนไข้ของหลวงพ่อนิพนธ์มีความประสงค์ที่จะเข้าทำการรักษา ก็เพียงใช้บัตรประชาชน ทางพม่าจะออกใบผ่านแดนที่มีกำหนดประมาณ ๑๕ วัน ให้เป็นกรณีพิเศษ
ท้ายสุด อยากให้เห็นว่าคนพม่าเขาคิดอย่างไรกับหลวงพ่อนิพนธ์ อันดูจากรูป คนที่นั่งด้านขวาข้างโต๊ะ ติดกำแพง นั่นคือ น้องของนายกรัฐมนตรี อาสาทำหน้าที่เป็นล่ามให้ คนสามคนที่นั่งเก้าอี้ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว นั่นคือ คณะ ส.ส. จะเห็นได้ว่า การพูดกับหลวงพ่อนิพนธ์ทุกครั้ง คนเหล่านี้จะพนมมือ ให้ความเคารพอย่างสูง .....
แล้วเราท่านคนไทยหล่ะ ไม่ต้องถึงตัวบุคคลหรอก แค่สถานที่ เข้ามาแล้วให้ความเคารพ ลดกิริยา อยู่ในความสงบ ทุกวันนี้ยังทำไม่ได้เลย
นี่จึงเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดว่า ทำไมคนพม่าเมื่อทานสมุนไพร จึงฟื้นฟูตัวได้เร็ว กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ตราตรึงในใจของพวกเขา ....
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า นี่เรียกว่า คุณสมบัติของผู้ทาน ... ที่ทำตัวเป็น กิ่งทอง ใบหยก นั่นเอง
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
กระตุกหน่อย
หลายคนที่มาที่นี่นานพอควร เรียกว่าทันยุคศาลาขนมไทย อาจจะเคยเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ทำหน้าที่เผายามะพร้าว ให้คนไข้ที่มาทาน และทุกครั้งที่มา ก็จะเป็นคนนำมะพร้าวติดมาครั้งละร้อยลูกทุกครั้ง
ชายคนนั้นเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ปัจจุบันหายแล้วและกลับไปทำงานแล้ว
หลายคนในวันนี้ อาจจะเห็นชายผู้หนึ่งเป็นสะเก็ดเงิน ลามขึ้นศรีษะและเข้าดวงตา มาหยอดตา จนตาดีขึ้น
ชายคนแรกคือ หมอรักษาโรคมะเร็งของโรงพยาบาลอันดับต้นๆ ของประเทศ ผู้ซึ่งไปอ้อนวอนคนไข้รายหนึ่ง ที่เป็นมะเร็งมดลูก ที่มารักษากับตน แล้วหายไปประมาณครึ่งปี กลับมาตรวจอีกครั้ง พบว่าเชื้อมะเร็งหายไป และมดลูกกลับมาแข็งแรง
ในขณะที่เวลานั้น หลวงพ่อนิพนธ์มีกฎห้ามบอกกับคนให้รู้ เพราะความไม่พร้อม จนสามคนพ่อแม่ลูก ต้องไปอ้อนวอนคนไข้ ให้พามา และคนไข้หญิงของหมอก็ใจอ่อน พามาในที่สุด
ชายคนหลัง คือ จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลอันดับต้นๆ ของประเทศ
คำถาม ... หมอเป็น หมอวิ่งมาใช้วิธีฟื้นฟูตนด้วยสมุนไพร แล้วคนเป็น.... ควรจะวิ่งไปหาใคร ... วิ่งไปหาหมอหรือ ...
ชายคนนั้นเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ปัจจุบันหายแล้วและกลับไปทำงานแล้ว
หลายคนในวันนี้ อาจจะเห็นชายผู้หนึ่งเป็นสะเก็ดเงิน ลามขึ้นศรีษะและเข้าดวงตา มาหยอดตา จนตาดีขึ้น
ชายคนแรกคือ หมอรักษาโรคมะเร็งของโรงพยาบาลอันดับต้นๆ ของประเทศ ผู้ซึ่งไปอ้อนวอนคนไข้รายหนึ่ง ที่เป็นมะเร็งมดลูก ที่มารักษากับตน แล้วหายไปประมาณครึ่งปี กลับมาตรวจอีกครั้ง พบว่าเชื้อมะเร็งหายไป และมดลูกกลับมาแข็งแรง
ในขณะที่เวลานั้น หลวงพ่อนิพนธ์มีกฎห้ามบอกกับคนให้รู้ เพราะความไม่พร้อม จนสามคนพ่อแม่ลูก ต้องไปอ้อนวอนคนไข้ ให้พามา และคนไข้หญิงของหมอก็ใจอ่อน พามาในที่สุด
ชายคนหลัง คือ จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลอันดับต้นๆ ของประเทศ
คำถาม ... หมอเป็น หมอวิ่งมาใช้วิธีฟื้นฟูตนด้วยสมุนไพร แล้วคนเป็น.... ควรจะวิ่งไปหาใคร ... วิ่งไปหาหมอหรือ ...
ช้างตายอย่าเอาใบบัวปิด
วิทยาการทางการแพทย์ หรือศาสน์แขนงใด ที่อ้างว่าสามารถรักษาโรคได้ หากจะรู้ว่าจริงหรือไม่ ก็ต้องเอาธรรมชาติเดิมไปเทียบเคียง แล้วจะรู้ว่า สิ่งที่เชื่อ สิ่งที่ทำ นั้น รักษาได้จริงตามคำกล่าวอ้างหรือไม่
ยกตัวอย่างให้เห็นชัด อาทิเช่น คนเป็นโรคเบาหวาน แนวทางที่เลือกเพื่อใช้ฟื้นฟู แทนที่จะทำให้กลับมาทานหวานได้ กลับกลายเป็น บอกให้เราเลี่ยงอาหารหวาน นั่นคือ เริ่มจากห้ามทานของหวานมากๆ แล้วก็ห้ามทานข้าว ห้ามทานวุ้นเส้น จบลงด้วยทานได้แต่มันต้ม แล้วก็ตาย
หรือ เป็นโรคเก๊าต์ ก็เริ่มจากห้ามทานไก่ .... แล้วโรคก็พัฒนาจากเก๊าต์ เป็นรูมะตอยด์ รูมาติซั่ม แล้วก็ตาย
สิ่งเหล่านี้น่ะหรือที่เรียกรักษา แท้จริงแล้ว เป็นการปัดสวะ หลบเลี่ยง เพราะแก้ปัญหาไม่ได้ต่างหาก ผลก็คือ ธรรมชาติเดิม ที่สามารถทานได้ทุกอย่าง สิ่งอันใดที่ก่อปัญหา ก็ถูกตัด ถูกทอน เพื่อป้องกันอาการที่จะเกิด แล้วแก้ไม่ได้นั่นเอง หากรักษาได้จริง ต้องทำให้ธรรมชาติกลับมาดังเดิม
สมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงสวนทางกับวงการแพทย์และศาสน์อื่นๆ ในขณะที่คนอื่นห้ามทานโน่น ห้ามทานนี่ เมื่อมาใช้แนวทางฟื้นฟูตน เพื่อให้กลับธรรมชาติเดิม จึงมักได้ยิน อ.อร่าม กล่าวเสมอว่า อะไรที่หมอห้าม คนอื่นห้าม ทานก่อนเลย
เท่านั้นยังไม่พอ สิ่งที่หมอบอกว่าเป็นอันตรายหากทานเข้าไป กลับเป็นองค์ประกอบหลักของสมุนไพรที่ใช้ฟื้นฟูเสียอีก
อาทิ คนเป็นเก๊าต์ สมุนไพรก็ประกอบด้วยน้ำส้มสายชู คนเป็นไต สมุนไพรก็ประกอบด้วยเกลือ
ตัวเลขของผู้เสียชีวิตในโรคนั้นๆ ย่อมเป็นตัวบอกว่า คำกล่าวที่ว่ามียารักษาโรคนั้นโรคนี้ แท้จริงแล้ว เป็นคำโกหกพกลมทั้งสิ้น ชี้ให้ชัดขึ้น ก็ดูยาคีโมนั่นไง หากมันรักษามะเร็งได้จริง ประเทศผู้ผลิตคงไม่มีคนตายด้วยโรคมะเร็งเป็นแสนคนต่อปีหรอก รัฐบาลเขายอมหรือ ... ประชาชนเขาจะยอมหรือ ... ก็ต้องนำมาช่วยคนของตนก่อน จึงส่งให้ต่างประเทศ ไม่ปล่อยให้ตายเกลื่อนขนาดนี้หรอก
ถอด
ช่วงที่ผ่านมาไม่นาน คนไข้สองคน คนแรกเป็นกรรมการ คนที่สองเป็นจิตอาสา ทั้งสองมาทานสมุนไพรได้ระยะเวลาหนึ่ง ภาพที่เกิดขึ้นกับคนภายนอกนั่นคือ ประสพสภาวะเส้นเลือดในสมองแตก คนหนึ่งเป็นเจ้าชายนิทรา อีกคนหนึ่ง ยังรับรู้ได้
ภรรยาของกรรมการ ก็กล่าวโทษว่าเป็นเพราะการทานสมุนไพร สามีของเขาจึงเป็นเช่นนี้ และให้หยุดทานสมุนไพร
ภาพที่ปรากฎ ย่อมเป็นที่ตระหนักของคนที่ไม่รู้ ทราบแต่เพียงว่าคนสองคนนี้มาทานสมุนไพร แล้วเกิดอาการขึ้น
หากแต่เมื่อย้อนไป ก่อนที่อาการของคนทั้งสองจะปรากฎ หลวงพ่อนิพนธ์ได้กล่าวเตือนหลายครั้ง อธิบายไปก็มากหลาย ว่าพฤติกรรมของคนทั้งสองสุ่มเสี่ยง เพราะยึดติดกับตัวเลขของหมอมากเกินไป
ผลก็คือ เมื่อมาทานสมุนไพร โดยเฉพาะสมุนไพรดำ หรือ ลูกกลอนน้ำผึ้ง ที่ซึ่งมีสรรพคุณ ทางหลอดเลือด และความข้นของเลือด อันมักจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างความดันชั่วคราว เพื่อตรวจสอบสภาวะของหลอดเลือด
นั่นก็หมายความว่า เมื่อทานสมุนไพรตัวนี้แล้ว ความดันต้องสูงกว่าค่าปกติทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อคนทั้งสองยึดติดกับตัวเลข ผลก็คือ สมุนไพรตัวอื่นทาน แต่ตัวนี้ทานน้อยหน่อย หรือไม่ทานเลย และที่สำคัญคือ ใช้ยาควบคุมความดัน หรือ ยาหมอ เพื่อให้ตัวเลขความดัน อยู่ในเกณฑ์ จะได้สบายใจ
คำเตือนแก่บุคคลทั้งสอง ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่ดูอันตราย นั่นคือ การมีความดันสูง กลับกลายเป็นปลอดภัย หากแต่สิ่งที่ดูปลอดภัย คือ การมีเกณฑ์ความดัน อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลา ผลก็คือ เส้นเลือดที่มีปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข และวันหนึ่ง ความดันที่ถูกสะสมไว้ เกิดทะลุปล้องขึ้นมา นั่นคือ ภาพปัจจุบัน
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นอัมพฤกต์ อัมพาต ทั้งๆ ที่กินยาคุมความดันนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงอรรถาธิบายว่า หากเราอยากจะรักษาโรคความดัน เมื่อทานสมุนไพรดำ สิ่งแรกที่ร่างกายจะนำสมุนไพรไปใช้ นั่นคือ สร้างความหยุ่นเหนียวให้กับร่างกาย ไม่เปราะ ไม่แตกง่าย ด้วยกระบวนการสร้างความดันสูง ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบระบบ
ดังนั้น เมื่อไปวัดค่า ความดันย่อมต้องสูงเป็นเรื่องปกติ หากแต่สิ่งนี้เองเป็นตัวตรวจสอบ และส่งสัญญาณให้ร่างกายรู้ว่า หลอดเลือดส่วนใดมีปัญหา เมื่อตรวจเสร็จ ร่างกายก็จะสลายความดันชั่วคราวนี้ทิ้งไป สังเกตได้จากการปัสสาวะแล้วมีฟองฟอดขึ้นนั่นเอง
เมื่อความดันสูงขึ้น บริเวณที่มีปัญหา อาทิ เส้นเลือดตีบตัน ก็ย่อมต้องมีอาการปวดเป็นธรรมดา นั่นแหละคือร่างกายรับรู้แล้วว่าส่วนนั้นมีปัญหา และส่งสัญญาณให้แก้ไข
การปวดหัวนั้นเมื่อทานสมุนไพร จึงเป็นคุณอย่างยิ่ง และทำให้เราเบาใจได้ว่า ร่างกายซึ่งเป็นหมอธรรมชาติ เจอสาเหตุ หรือต้นตอ หรือปัญหาแล้ว แต่หลายคนกลับมองเป็นโทษ และปฏิเสธ ไม่ยอมให้ปวด ไม่ยอมให้ความดันสูงขึ้น
แนวทางสมุนไพร ยิ่งมีอาการปวด ก็ยิ่งต้องทานอาหาร และสมุนไพร เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซม แก้ไข เมื่อสามารถแก้อาการปวด ซึ่งอาจจะมาเป็นรอบๆ จากปวดมาก ร่างกายเริ่มแก้ไข ก็ปวดน้อยลง จนในที่สุด ก็ไม่ปวดอีก นั่นคือ หาย
สิ่งที่เป็นคุณ กลับมองเป็นโทษ และปฏิเสธ นั่นจึงเป็นสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามชี้ให้เห็นว่า เกิดสภาวะถอดใจ หรือ ตื่นตูม กลัวตัวเลขจนลนลาน วิ่งไปหายาคุมความดัน และท้ายที่สุด ก็เป็นทั้งที่กินยาคุมนั่นเอง
ทั้งที่ความจริง มันเป็นอาการชั่วคราว มาเพื่อตรวจสอบ ไม่ทำอันตรายให้ถึงตาย หรือเป็นอัมพฤกต์ อัมพาต เพราะร่างกายของเราท่านรู้สภาพดีกว่าหมอ กว่าเครื่องมือใดๆ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า การเรียนรู้ เหตุและผล ทำให้เราสงบ ไม่ตื่นตูม และดำรงในแนวทางการฟื้นฟูสมุนไพรได้ หาไม่แล้ว ตัวเลขและความกลัว ก็จะหลอนในที่สุด ก็วิ่งกลับไปพึ่งยาคุมความดัน พึ่งหมอ อย่างแน่นอน
ตัวอย่างคนไข้ ที่ยืนหยัดในการทานสมุนไพร อย่างเช่น อ.อร่าม เคยวัดความดัน ถึงขนาดขึ้นไปสุดเสกลของเครื่อง หรือในกรณีของภรรยาท่านอัยการ ทะลุไปพันกว่า หมอวิ่งกันทั่วโรงพยาบาล แต่เธอก็บอกว่า ฉันปกติดี เดินมาหาหมอได้ ก็เดินกลับได้ แค่มาตรวจเท่านั้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า โรคนี้ไม่น่ากลัว แต่มักจะมีโรคแทรกที่ทำให้ไม่ประสพผลในการช่วยตน นั่นคือ โรคปอดแหก ... กลัวตัวเลขจนต้องทิ้งสมุนไพรไปหาหมอนั่นเอง
คนที่ยืนระยะทานสมุนไพรดำได้เป็นเดือน หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ไม่มีทางที่จะเกิดอาการเส้นเลือดแตกอย่างแน่นอน ... อ้ายพวกที่เตือนแล้วไม่ฟัง อย่าไปกินยาคุม แถมเวลาทานยาลูกกลอนดำ ทานมั่งไม่ทานมั่ง อันนี้ไม่รับผิดชอบ
รู้หรือไม่ เส้นเลือดของคนๆ หนึ่งนำมาเรียงต่อกัน มีความยาวเท่าถึงสองเท่าของเส้นรอบโลก หากร่างกายไม่สร้างความดัน จะเข้าถึงเส้นเลือดฝอยเหล่านั้นได้อย่างไร และหากเส้นเลือดตีบตัน เหมือนท่ออุดตัน ก็ต้องใช้ความดันในการทะลวงให้โล่ง จริงหรือไม่ ในระหว่างทะลวง หากเป็นเส้นเลือดในสมอง ก็ย่อมต้องปวดเป็นธรรมดา หากไม่ยอมปวด ก็ต้องยอมให้มันตัน และปิด แล้วก็แตก ....
ภรรยาของกรรมการ ก็กล่าวโทษว่าเป็นเพราะการทานสมุนไพร สามีของเขาจึงเป็นเช่นนี้ และให้หยุดทานสมุนไพร
ภาพที่ปรากฎ ย่อมเป็นที่ตระหนักของคนที่ไม่รู้ ทราบแต่เพียงว่าคนสองคนนี้มาทานสมุนไพร แล้วเกิดอาการขึ้น
หากแต่เมื่อย้อนไป ก่อนที่อาการของคนทั้งสองจะปรากฎ หลวงพ่อนิพนธ์ได้กล่าวเตือนหลายครั้ง อธิบายไปก็มากหลาย ว่าพฤติกรรมของคนทั้งสองสุ่มเสี่ยง เพราะยึดติดกับตัวเลขของหมอมากเกินไป
ผลก็คือ เมื่อมาทานสมุนไพร โดยเฉพาะสมุนไพรดำ หรือ ลูกกลอนน้ำผึ้ง ที่ซึ่งมีสรรพคุณ ทางหลอดเลือด และความข้นของเลือด อันมักจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างความดันชั่วคราว เพื่อตรวจสอบสภาวะของหลอดเลือด
นั่นก็หมายความว่า เมื่อทานสมุนไพรตัวนี้แล้ว ความดันต้องสูงกว่าค่าปกติทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อคนทั้งสองยึดติดกับตัวเลข ผลก็คือ สมุนไพรตัวอื่นทาน แต่ตัวนี้ทานน้อยหน่อย หรือไม่ทานเลย และที่สำคัญคือ ใช้ยาควบคุมความดัน หรือ ยาหมอ เพื่อให้ตัวเลขความดัน อยู่ในเกณฑ์ จะได้สบายใจ
คำเตือนแก่บุคคลทั้งสอง ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่ดูอันตราย นั่นคือ การมีความดันสูง กลับกลายเป็นปลอดภัย หากแต่สิ่งที่ดูปลอดภัย คือ การมีเกณฑ์ความดัน อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลา ผลก็คือ เส้นเลือดที่มีปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข และวันหนึ่ง ความดันที่ถูกสะสมไว้ เกิดทะลุปล้องขึ้นมา นั่นคือ ภาพปัจจุบัน
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นอัมพฤกต์ อัมพาต ทั้งๆ ที่กินยาคุมความดันนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงอรรถาธิบายว่า หากเราอยากจะรักษาโรคความดัน เมื่อทานสมุนไพรดำ สิ่งแรกที่ร่างกายจะนำสมุนไพรไปใช้ นั่นคือ สร้างความหยุ่นเหนียวให้กับร่างกาย ไม่เปราะ ไม่แตกง่าย ด้วยกระบวนการสร้างความดันสูง ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบระบบ
ดังนั้น เมื่อไปวัดค่า ความดันย่อมต้องสูงเป็นเรื่องปกติ หากแต่สิ่งนี้เองเป็นตัวตรวจสอบ และส่งสัญญาณให้ร่างกายรู้ว่า หลอดเลือดส่วนใดมีปัญหา เมื่อตรวจเสร็จ ร่างกายก็จะสลายความดันชั่วคราวนี้ทิ้งไป สังเกตได้จากการปัสสาวะแล้วมีฟองฟอดขึ้นนั่นเอง
เมื่อความดันสูงขึ้น บริเวณที่มีปัญหา อาทิ เส้นเลือดตีบตัน ก็ย่อมต้องมีอาการปวดเป็นธรรมดา นั่นแหละคือร่างกายรับรู้แล้วว่าส่วนนั้นมีปัญหา และส่งสัญญาณให้แก้ไข
การปวดหัวนั้นเมื่อทานสมุนไพร จึงเป็นคุณอย่างยิ่ง และทำให้เราเบาใจได้ว่า ร่างกายซึ่งเป็นหมอธรรมชาติ เจอสาเหตุ หรือต้นตอ หรือปัญหาแล้ว แต่หลายคนกลับมองเป็นโทษ และปฏิเสธ ไม่ยอมให้ปวด ไม่ยอมให้ความดันสูงขึ้น
แนวทางสมุนไพร ยิ่งมีอาการปวด ก็ยิ่งต้องทานอาหาร และสมุนไพร เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซม แก้ไข เมื่อสามารถแก้อาการปวด ซึ่งอาจจะมาเป็นรอบๆ จากปวดมาก ร่างกายเริ่มแก้ไข ก็ปวดน้อยลง จนในที่สุด ก็ไม่ปวดอีก นั่นคือ หาย
สิ่งที่เป็นคุณ กลับมองเป็นโทษ และปฏิเสธ นั่นจึงเป็นสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามชี้ให้เห็นว่า เกิดสภาวะถอดใจ หรือ ตื่นตูม กลัวตัวเลขจนลนลาน วิ่งไปหายาคุมความดัน และท้ายที่สุด ก็เป็นทั้งที่กินยาคุมนั่นเอง
ทั้งที่ความจริง มันเป็นอาการชั่วคราว มาเพื่อตรวจสอบ ไม่ทำอันตรายให้ถึงตาย หรือเป็นอัมพฤกต์ อัมพาต เพราะร่างกายของเราท่านรู้สภาพดีกว่าหมอ กว่าเครื่องมือใดๆ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า การเรียนรู้ เหตุและผล ทำให้เราสงบ ไม่ตื่นตูม และดำรงในแนวทางการฟื้นฟูสมุนไพรได้ หาไม่แล้ว ตัวเลขและความกลัว ก็จะหลอนในที่สุด ก็วิ่งกลับไปพึ่งยาคุมความดัน พึ่งหมอ อย่างแน่นอน
ตัวอย่างคนไข้ ที่ยืนหยัดในการทานสมุนไพร อย่างเช่น อ.อร่าม เคยวัดความดัน ถึงขนาดขึ้นไปสุดเสกลของเครื่อง หรือในกรณีของภรรยาท่านอัยการ ทะลุไปพันกว่า หมอวิ่งกันทั่วโรงพยาบาล แต่เธอก็บอกว่า ฉันปกติดี เดินมาหาหมอได้ ก็เดินกลับได้ แค่มาตรวจเท่านั้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า โรคนี้ไม่น่ากลัว แต่มักจะมีโรคแทรกที่ทำให้ไม่ประสพผลในการช่วยตน นั่นคือ โรคปอดแหก ... กลัวตัวเลขจนต้องทิ้งสมุนไพรไปหาหมอนั่นเอง
คนที่ยืนระยะทานสมุนไพรดำได้เป็นเดือน หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ไม่มีทางที่จะเกิดอาการเส้นเลือดแตกอย่างแน่นอน ... อ้ายพวกที่เตือนแล้วไม่ฟัง อย่าไปกินยาคุม แถมเวลาทานยาลูกกลอนดำ ทานมั่งไม่ทานมั่ง อันนี้ไม่รับผิดชอบ
รู้หรือไม่ เส้นเลือดของคนๆ หนึ่งนำมาเรียงต่อกัน มีความยาวเท่าถึงสองเท่าของเส้นรอบโลก หากร่างกายไม่สร้างความดัน จะเข้าถึงเส้นเลือดฝอยเหล่านั้นได้อย่างไร และหากเส้นเลือดตีบตัน เหมือนท่ออุดตัน ก็ต้องใช้ความดันในการทะลวงให้โล่ง จริงหรือไม่ ในระหว่างทะลวง หากเป็นเส้นเลือดในสมอง ก็ย่อมต้องปวดเป็นธรรมดา หากไม่ยอมปวด ก็ต้องยอมให้มันตัน และปิด แล้วก็แตก ....
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
หลวงพ่อนิพนธ์เคยสอนให้พิจารณาดู สภาพของร่างกาย เพื่อวินิจฉัยว่า ร่างกายเรามีปัญหาหรือไม่ ก็โดยดูจาก เลือดที่คั่งค้างอยู่ตามส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะส่วนล่าง
คนที่ร่างกายเป็นปกติ ย่อมสามารถแก้ไขทุกส่วนของร่างกายให้เป็นปกติได้ดังเดิม
อนุมานได้ว่า ร่างกายเราเริ่มมีปัญหา เพราะถ้าส่วนที่คั่งค้าง อยู่ในอวัยวะสำคัญ ความอันตรายก็ยิ่งมาก
ไม่ต้องใช้เครื่องตรวจ ดูด้วยตา ก็บอกเค้าลางได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมคนเป็นโรคเลือด ไม่ว่า เอดส์ มะเร็ง ... ตัวทำไมจึงดำ
นั่นหมายความว่า เมื่อเราเห็นเลือดที่กลายเป็นเลือดดำ คั่งค้างอยู่ อาทิเช่น ข้อพับขา หรือบริเวณส่วนใดของขา เป็นแล้วไม่หาย นั่นแสดงว่า ร่างกายขาดความสามารถที่จะนำเลือดดี ไปแก้ไขส่วนนั้นๆ ได้แล้ว
เลือดเสีย จะกลายเป็นเลือดดำ และเป็นเลือดหนัก มักจะต้องตกอยู่ที่ต่ำ ไม่สามารถไหลเวียนกลับไปฟอกได้ คนที่อาการเริ่มสาหัส จึงเริ่มมีสภาพดำคล้ำ เริ่มจากเท้าขึ้นมานั่นเอง หากเลือดดำถึงหน้า คนโบราณจึงบอกว่า คนๆนี้ ถึงฆาตแล้ว คือ ต้องตายนั่นเอง
คนที่ร่างกายเป็นปกติ ย่อมสามารถแก้ไขทุกส่วนของร่างกายให้เป็นปกติได้ดังเดิม
อนุมานได้ว่า ร่างกายเราเริ่มมีปัญหา เพราะถ้าส่วนที่คั่งค้าง อยู่ในอวัยวะสำคัญ ความอันตรายก็ยิ่งมาก
ไม่ต้องใช้เครื่องตรวจ ดูด้วยตา ก็บอกเค้าลางได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมคนเป็นโรคเลือด ไม่ว่า เอดส์ มะเร็ง ... ตัวทำไมจึงดำ
นั่นหมายความว่า เมื่อเราเห็นเลือดที่กลายเป็นเลือดดำ คั่งค้างอยู่ อาทิเช่น ข้อพับขา หรือบริเวณส่วนใดของขา เป็นแล้วไม่หาย นั่นแสดงว่า ร่างกายขาดความสามารถที่จะนำเลือดดี ไปแก้ไขส่วนนั้นๆ ได้แล้ว
เลือดเสีย จะกลายเป็นเลือดดำ และเป็นเลือดหนัก มักจะต้องตกอยู่ที่ต่ำ ไม่สามารถไหลเวียนกลับไปฟอกได้ คนที่อาการเริ่มสาหัส จึงเริ่มมีสภาพดำคล้ำ เริ่มจากเท้าขึ้นมานั่นเอง หากเลือดดำถึงหน้า คนโบราณจึงบอกว่า คนๆนี้ ถึงฆาตแล้ว คือ ต้องตายนั่นเอง
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ทำไมพม่าจึงตื่นตัว
ช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กิจกรรมทางพม่าได้พลิกผันรวดเร็ว ได้รับการตรอบสนองจากทุกภาคส่วน
ตัวแทนของพม่า ได้กล่าวผ่านล่ามให้หลวงพ่อนิพนธ์ฟังว่า เหตุผลหลักที่เป็นเช่นนั้น ปัจจัยหนึ่งที่คนเหล่านี้เคยมีร่วมกัน นั่นคือ รากฐานที่มาของความมั่งคั่งของพวกเขานั่นเอง
ที่ทุกฝ่ายรู้ดีว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ ชนชั้นนำของประเทศได้กดขี่ข่มเหงประชาชน มาเป็นเวลายาวนาน และก็ได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่กลุ่มของพวกเขาอย่างมากมาย นับชั่วอายุคน
เมื่อบุคคลระดับสูง ที่ได้ผ่านการทานสมุนไพร พลิกฟื้นสภาพของตน อาทิเช่น คนที่เป็นโรคหัวใจ และอีกหลายโรค ที่หมอสั่งห้ามนั่งรถ ห้ามกระทบกระเทือนด้านอารมณ์ ต้องอยู่ในห้องพระตลอด ปัจจุบัน สภาพของเขาสามารถกลับไปเล่นกีฬาที่เขารักและชื่นชอบ นั่นคือ ยูโด จึงเป็นหัวขบวนที่จะนำคณะที่ผ่านการทานสมุนไพร พร้อมรายละเอียดทางการแพทย์ ของแต่ละคน เพื่อเข้าพบ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ของพม่า
ทางหนึ่งก็รวบรวมเหล่าคหบดี ทางหนึ่งก็ประสานทางการ จุดประสงค์หลัก ที่แฝงลึกในความรู้สึกของบุคคลเหล่านี้ นั่นคือ "ไถ่บาปกับประชาชน"
เมื่อทางที่ตนเองเดิน สามารถกอบกู้วิกฤตของตนและพรรคพวกที่เป็นชนชั้นสูง ทางเลือกสมุนไพร จึงจุดประกายความหวัง ที่จะทำเพื่อประชาชน ทั้งเป็นการช่วยชาติของตนอีกด้วย
การตอบรับ และรวมตัวกัน จึงเกิดทั้งจากภาครัฐ เอกชน ทหาร ตำรวจ ประชาชน รวมไปถึงแม้กระทั่งพระ ที่อยู่ในพื้นที่
ฝ่ายพม่าแจ้งว่า คาดว่าสิ้นปีนี้ จะทำอาคารให้แล้วเสร็จ ส่วนวัตถุดิบ ก็มีทหาร ประชาชน และพระ ทำหน้าที่ในการปลูกเพิ่ม ในส่วนที่ไม่มี อาทิ มะพร้าวน้ำหอม ดีปลี พริกไทย ... และขุดย้ายจากป่า เข้ามาอยู่ในพื้นที่
ขณะนี้ พม่าได้จัดตั้งมูลนิธิเรียบร้อยแล้ว ฝั่งไทยชื่อ ไทยกรุณา ฝั่งพม่า ชื่อ พม่าเมตตา เรียกง่ายๆว่า บ้านกรุณา กับบ้านเมตตา
และในระหว่างนี้ ทางมูลนิธิได้จัดทำเรื่อง ผ่านผู้ว่ารัฐทวาย ขอใบอนุญาติ ทั้งการจัดทำสมุนไพร การรักษา และสถานพยาบาล ส่งให้กระทรวงเพื่อการอนุมัติ
เมื่อแล้วเสร็จ ก็จะเปิดกิจกรรม ที่เมืองไทยไม่อนุญาติ ไม่สนับสนุน นั่นคือ โรงบำบัดยาเสพติด โรงพยาบาลของ ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยอัมพฤกต์ และผู้ป่วยมะเร็ง เป็นปฐมฤกษ์ก่อน
ที่นี้ใครอยากพักรักษาตัว ก็ข้ามแดนไป สามารถนอนและฟื้นฟูตนได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวกฎหมาย กฎหมู่ เหมือนเมืองไทยแล้ว
พม่าจึงกล่าวกับล่ามว่า เมื่อเขาได้พบหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเหมือนอุปมาพบช้างเผือก และที่สำคัญ เป็นสิ่งที่บ้านเขาไม่มี และต้องการอย่างมาก เพื่อพัฒนาคนในประเทศของเขา โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข
และประโยชน์ที่ตามมา ที่พม่าไม่เคยทำได้ นั่นคือ การสงบศึกภายใน โดยเฉพาะในพื้นที่นี้ กิจกรรมนี้ทำให้ผู้นำทุกฝ่าย ทั้งพม่าและกระเหรี่ยง ชนกลุ่มน้อย สามารถมานั่งโต๊ะเจรจา และตกลงกันได้ อย่างง่ายดาย
ผ่านไปอีกไม่กี่ปี เราเชื่อว่า เราท่านต้องตอบคำถามลูกหลานไทยว่า ทำไมสมุนไพรไทย โรงพยาบาลแพทย์แผนไทย จึงต้องไปอยู่พม่า .... อย่างแน่นอน
คนเป็นล้านคน ที่กำลังสร้างม๊อบ หนุนม๊อบ อยู่ทุกวันนี้ ล้วนแต่อ้างว่ารักประเทศไทย ... ในความคิดของเรา สิ่งที่กำลังทำ ไร้สาระ ไม่เป็นแก่นสาร
กลุ่มของพม่าที่แตกแยกแล้วมารวมตัวกันทำกิจกรรมนี้ ... นี่แหละจึงเป็นแก่นสาร และตอบโจทย์ว่า พวกเขาซิจึงเป็นผู้รักชาติ ยอมเก็บความขัดแย้งไว้ข้างหลัง หันหน้ามาร่วมกันทำ เพื่อประชาชน เพื่อชาติ
ตัวแทนของพม่า ได้กล่าวผ่านล่ามให้หลวงพ่อนิพนธ์ฟังว่า เหตุผลหลักที่เป็นเช่นนั้น ปัจจัยหนึ่งที่คนเหล่านี้เคยมีร่วมกัน นั่นคือ รากฐานที่มาของความมั่งคั่งของพวกเขานั่นเอง
ที่ทุกฝ่ายรู้ดีว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ ชนชั้นนำของประเทศได้กดขี่ข่มเหงประชาชน มาเป็นเวลายาวนาน และก็ได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่กลุ่มของพวกเขาอย่างมากมาย นับชั่วอายุคน
เมื่อบุคคลระดับสูง ที่ได้ผ่านการทานสมุนไพร พลิกฟื้นสภาพของตน อาทิเช่น คนที่เป็นโรคหัวใจ และอีกหลายโรค ที่หมอสั่งห้ามนั่งรถ ห้ามกระทบกระเทือนด้านอารมณ์ ต้องอยู่ในห้องพระตลอด ปัจจุบัน สภาพของเขาสามารถกลับไปเล่นกีฬาที่เขารักและชื่นชอบ นั่นคือ ยูโด จึงเป็นหัวขบวนที่จะนำคณะที่ผ่านการทานสมุนไพร พร้อมรายละเอียดทางการแพทย์ ของแต่ละคน เพื่อเข้าพบ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ของพม่า
ทางหนึ่งก็รวบรวมเหล่าคหบดี ทางหนึ่งก็ประสานทางการ จุดประสงค์หลัก ที่แฝงลึกในความรู้สึกของบุคคลเหล่านี้ นั่นคือ "ไถ่บาปกับประชาชน"
เมื่อทางที่ตนเองเดิน สามารถกอบกู้วิกฤตของตนและพรรคพวกที่เป็นชนชั้นสูง ทางเลือกสมุนไพร จึงจุดประกายความหวัง ที่จะทำเพื่อประชาชน ทั้งเป็นการช่วยชาติของตนอีกด้วย
การตอบรับ และรวมตัวกัน จึงเกิดทั้งจากภาครัฐ เอกชน ทหาร ตำรวจ ประชาชน รวมไปถึงแม้กระทั่งพระ ที่อยู่ในพื้นที่
ฝ่ายพม่าแจ้งว่า คาดว่าสิ้นปีนี้ จะทำอาคารให้แล้วเสร็จ ส่วนวัตถุดิบ ก็มีทหาร ประชาชน และพระ ทำหน้าที่ในการปลูกเพิ่ม ในส่วนที่ไม่มี อาทิ มะพร้าวน้ำหอม ดีปลี พริกไทย ... และขุดย้ายจากป่า เข้ามาอยู่ในพื้นที่
ขณะนี้ พม่าได้จัดตั้งมูลนิธิเรียบร้อยแล้ว ฝั่งไทยชื่อ ไทยกรุณา ฝั่งพม่า ชื่อ พม่าเมตตา เรียกง่ายๆว่า บ้านกรุณา กับบ้านเมตตา
และในระหว่างนี้ ทางมูลนิธิได้จัดทำเรื่อง ผ่านผู้ว่ารัฐทวาย ขอใบอนุญาติ ทั้งการจัดทำสมุนไพร การรักษา และสถานพยาบาล ส่งให้กระทรวงเพื่อการอนุมัติ
เมื่อแล้วเสร็จ ก็จะเปิดกิจกรรม ที่เมืองไทยไม่อนุญาติ ไม่สนับสนุน นั่นคือ โรงบำบัดยาเสพติด โรงพยาบาลของ ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยอัมพฤกต์ และผู้ป่วยมะเร็ง เป็นปฐมฤกษ์ก่อน
ที่นี้ใครอยากพักรักษาตัว ก็ข้ามแดนไป สามารถนอนและฟื้นฟูตนได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวกฎหมาย กฎหมู่ เหมือนเมืองไทยแล้ว
พม่าจึงกล่าวกับล่ามว่า เมื่อเขาได้พบหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเหมือนอุปมาพบช้างเผือก และที่สำคัญ เป็นสิ่งที่บ้านเขาไม่มี และต้องการอย่างมาก เพื่อพัฒนาคนในประเทศของเขา โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข
และประโยชน์ที่ตามมา ที่พม่าไม่เคยทำได้ นั่นคือ การสงบศึกภายใน โดยเฉพาะในพื้นที่นี้ กิจกรรมนี้ทำให้ผู้นำทุกฝ่าย ทั้งพม่าและกระเหรี่ยง ชนกลุ่มน้อย สามารถมานั่งโต๊ะเจรจา และตกลงกันได้ อย่างง่ายดาย
ผ่านไปอีกไม่กี่ปี เราเชื่อว่า เราท่านต้องตอบคำถามลูกหลานไทยว่า ทำไมสมุนไพรไทย โรงพยาบาลแพทย์แผนไทย จึงต้องไปอยู่พม่า .... อย่างแน่นอน
คนเป็นล้านคน ที่กำลังสร้างม๊อบ หนุนม๊อบ อยู่ทุกวันนี้ ล้วนแต่อ้างว่ารักประเทศไทย ... ในความคิดของเรา สิ่งที่กำลังทำ ไร้สาระ ไม่เป็นแก่นสาร
กลุ่มของพม่าที่แตกแยกแล้วมารวมตัวกันทำกิจกรรมนี้ ... นี่แหละจึงเป็นแก่นสาร และตอบโจทย์ว่า พวกเขาซิจึงเป็นผู้รักชาติ ยอมเก็บความขัดแย้งไว้ข้างหลัง หันหน้ามาร่วมกันทำ เพื่อประชาชน เพื่อชาติ
วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
รอย
คนที่มาก่อน ย่อมต้องเป็นผู้สร้างรอยให้คนตามมาข้างหลัง ได้เรียนรู้
หลายคนที่ประสพผลสำเร็จ ก็อยากทำตนเป็นพระมาลัย อยากจะมาบอก มาเล่าให้คนที่เดินตามมาว่า รอยที่ทำเป็นเช่นไร เพื่อให้คนที่ตามมา ได้เดินบ้าง
สัปดาห์ที่แล้ว ก็มีแม่ชีสูงวัยท่านหนึ่ง อยากจะเป็นผู้ชี้รอยนี้ เหตุเนื่องจากตัวท่านเองเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ อยู่ในจุดที่ผ่าตัดไม่ได้ และลุกลามไปที่มดลูก จนเกิดอาการเน่า มีอาการถ่ายเป็นเลือด และมีชิ้นเนื้อหลุดออกมา หมอให้คำวินิจฉัยสุดท้าย ด้วยวาจาอมตะ และกำหนดระยะว่า คงอยู่ได้ประมาณ ๑ เดือน อย่างดีก็ไม่เกิน ๓ เดือน พร้อมกับทิ้งคนไข้
แม่ชีได้ข่าวมูลนิธิ ก็มาใช้ทางเลือกสายนี้ จนถึงวันนี้ ผ่านมาก็ ๓ ปีแล้ว จนล่าสุด ไปตรวจร่างกาย ก็พบว่าตนไม่มีเชื้อมะเร็ง อยากจะมาชี้รอยให้ดู เฉกเช่นเดียวกันจิตอาสาหญิงท่านหนึ่ง ที่อายุยังไม่เข้ากลางคน ก็ประสพโชคชะตาเช่นเดียวกับแม่ชี ใช้น้ำอดน้ำทน ในการกอบกู้ชีวิต หากแต่สิ่งที่เธอผ่าน และอยากให้คนที่เดินตามมารู้ ว่ากว่าจะได้มา นั่นคือ เธอต้องใช้ความอดทน ในการทนปวด ในช่วงระยะเวลาของการลงแดง อย่างมากมาย เพราะเธอปวดเจียนตาย ครั้งสุดท้ายของการปวดก่อนที่จะหาย ความปวดของเธอค่อยๆทวีขึ้น จนท้ายที่สุด เธอหมดสติไป
หลังจากการปวดครั้งนั้น เมื่อเธอฟื้นขึ้นมา เธอก็ไม่เคยปวดอีกเลย นับจากวันแรกจนวันนี้ ครบหนึ่งปีพอดี
รอยของผู้ประสพผล ย่อมสร้างกำลังใจ สำหรับผู้เดินตาม หากแต่รอยของผู้ล้มเหลว ก็เป็นอุทาหรณ์อย่างดีเช่นกัน
ดังเช่นกรรมการท่านหนึ่งที่ได้เคยกล่าว ที่ประสพอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า แขนขาไม่มีแรง ที่มาทานสมุนไพรไป พร้อมกับทานยาหมอควบคุมความดันไป แม้นหลวงพ่อนิพนธ์จะกล่าวเตือนสักฉันใด ชี้ให้เห็นประโยชน์ของความดันสักฉันใด กรรมการท่านนี้ก็พอใจที่จะรักษาความดันของตน ด้วยการทานยาหมอ
ยิ่งได้ทราบว่า การทานสมุนไพรลูกกลอนน้ำผึ้ง ยิ่งทาน ความดันยิ่งสูง ด้วยความเชื่อในคำหมอ สมุนไพรตัวอื่น ทานหมด แต่ตัวนี้ทานนิดหน่อย เพราะไม่อยากให้ความดันขึ้น และก็ดีใจที่ตลอดมา ความดันของตน อยู่ในเกณฑ์ที่หมอกำหนดตลอด เพราะคุมด้วยยาหมอ
จนวันหนึ่ง เส้นเลือดในสมองก็แตก และต้องนอนในห้องไอซียู จนทุกวันนี้ แตกทั้งๆที่ทานยาคุมความดันนั่นเอง
รอยแบบนี้ หลวงพ่อนิพนธ์มักอุปมาให้เห็นว่าทำตนเหมือน เหยียบเรือสองแคม หากแต่เมื่อแล่นออกจากท่า เรือสองลำนี้แล่นไปคนละทิศ เคมีทาง สมุนไพรทาง นั่นก็หมายความว่า คนที่ยืนย่อมต้องตกน้ำอย่างแน่นอน
การดูคนรอบข้างที่มา จะช่วยให้เราได้เรียนรู้ คนที่ชอบคุย ชอบเล่นโทรศัพท์ ในห้องสวดมนต์ พักนี้ไม่เห็นเลย ไปไหนแล้ว คนนั้นที่ดูว่าอาการหนัก วันนี้เดินปร๋อเชียว ย่อมทำให้เห็นรอยต่างๆว่า รอยแบบไหน ผลจะเป็นเช่นไร
รอยที่เราเห็นแล้วชอบ ก็อาทิเช่น คนไข้วันพฤหัสที่เป็นผู้หญิงท่านหนึ่ง มีอาการชัก แรกๆมา ชักวันละหลายครั้ง หากแต่เธอยืนยันทุกครั้งว่า เธอจะเข้าสวดมนต์ และฟังหลวงพ่อนิพนธ์
หลายคนจึงเห็นคนไข้ท่านนี้ ชักบ่อยๆ ในห้องสวดมนต์ จากที่ตกใจแตกตื่น จนกลายเป็นเฉยๆ รู้ว่าเดี๊ยวสักพักเธอก็ฟื้น ผ่านมาเพียงเดือนสองเดือน พฤหัสที่แล้ว เราก็ไม่เห็นอาการชักของเธอซะแล้ว แต่ก็ยังมีอาการเบลอๆ ให้เห็นบ้าง
สิ่งที่น่าเสียดาย ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะกล่าว นั่นคือ รอยเหล่านี้ เรียกว่าเป็นความมหัศจรรย์ แต่สำหรับคนไทย .... เฉย ไม่รู้สึก
คนนั้นเดินไม่ได้ กลับมาเดินได้ ก็เฉยๆ คนนั้นหมอบอกตาย แต่ยังไม่ตาย ดูก็ไม่มีแววตาย ... ก็เฉยๆ อย่างด็อกเตอร์ที่มาช่วยจัดแถววันพฤหัส หมอบอกอยู่ไม่เกินสามเดือน นี่ก็ปีนึงแล้ว ดูไม่มีแววตายเลย ... ก็เฉยๆ ....
ทำไมจึงบอกว่าเฉย ก็เพราะดูจากพฤติกรรม ยามเข้ามาในพื้นที่มงคลนี้ หาความสงบไม่ได้เลย นั่นจึงเป็นเครื่องชี้ว่า ภาพมหัศจรรย์ที่ปรากฎ ที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ พระเจ้าองค์ไหนที่ว่าแน่ หมอที่ว่าเก่ง เจ้าพ่อเจ้าแม่ เจ้าลัทธิใดๆ ไปถวายก็เผ่นหนี แม่ชีเมี้ยน พระภูมีทำให้เห็น หามีความประทับใจ หรือตราตรึง ให้เกิดศรัทธา จนไปลดกิริยา หรือควบคุมการกระทำของตน ว่า เราท่านเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ... ไม่มีเลยนั่นเอง
ความสงบ โรงทาน จิตอาสา จึงเป็นสัญญลักษณ์ ที่สะท้อนให้เห็นความเชื่อ เมื่อได้พบรอยของพระภูมี หรือ สิ่งศํกดิ์สิทธิ์
รอยประทับให้เห็นมากมาย แต่เปลี่ยนคนไทย แม้แต่สักกลุ่มเล็กๆยังไม่ได้เลย นั่นก็หมายความว่า คนไทยดิบเกิน ...
หลายคนที่ประสพผลสำเร็จ ก็อยากทำตนเป็นพระมาลัย อยากจะมาบอก มาเล่าให้คนที่เดินตามมาว่า รอยที่ทำเป็นเช่นไร เพื่อให้คนที่ตามมา ได้เดินบ้าง
สัปดาห์ที่แล้ว ก็มีแม่ชีสูงวัยท่านหนึ่ง อยากจะเป็นผู้ชี้รอยนี้ เหตุเนื่องจากตัวท่านเองเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ อยู่ในจุดที่ผ่าตัดไม่ได้ และลุกลามไปที่มดลูก จนเกิดอาการเน่า มีอาการถ่ายเป็นเลือด และมีชิ้นเนื้อหลุดออกมา หมอให้คำวินิจฉัยสุดท้าย ด้วยวาจาอมตะ และกำหนดระยะว่า คงอยู่ได้ประมาณ ๑ เดือน อย่างดีก็ไม่เกิน ๓ เดือน พร้อมกับทิ้งคนไข้
แม่ชีได้ข่าวมูลนิธิ ก็มาใช้ทางเลือกสายนี้ จนถึงวันนี้ ผ่านมาก็ ๓ ปีแล้ว จนล่าสุด ไปตรวจร่างกาย ก็พบว่าตนไม่มีเชื้อมะเร็ง อยากจะมาชี้รอยให้ดู เฉกเช่นเดียวกันจิตอาสาหญิงท่านหนึ่ง ที่อายุยังไม่เข้ากลางคน ก็ประสพโชคชะตาเช่นเดียวกับแม่ชี ใช้น้ำอดน้ำทน ในการกอบกู้ชีวิต หากแต่สิ่งที่เธอผ่าน และอยากให้คนที่เดินตามมารู้ ว่ากว่าจะได้มา นั่นคือ เธอต้องใช้ความอดทน ในการทนปวด ในช่วงระยะเวลาของการลงแดง อย่างมากมาย เพราะเธอปวดเจียนตาย ครั้งสุดท้ายของการปวดก่อนที่จะหาย ความปวดของเธอค่อยๆทวีขึ้น จนท้ายที่สุด เธอหมดสติไป
หลังจากการปวดครั้งนั้น เมื่อเธอฟื้นขึ้นมา เธอก็ไม่เคยปวดอีกเลย นับจากวันแรกจนวันนี้ ครบหนึ่งปีพอดี
รอยของผู้ประสพผล ย่อมสร้างกำลังใจ สำหรับผู้เดินตาม หากแต่รอยของผู้ล้มเหลว ก็เป็นอุทาหรณ์อย่างดีเช่นกัน
ดังเช่นกรรมการท่านหนึ่งที่ได้เคยกล่าว ที่ประสพอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า แขนขาไม่มีแรง ที่มาทานสมุนไพรไป พร้อมกับทานยาหมอควบคุมความดันไป แม้นหลวงพ่อนิพนธ์จะกล่าวเตือนสักฉันใด ชี้ให้เห็นประโยชน์ของความดันสักฉันใด กรรมการท่านนี้ก็พอใจที่จะรักษาความดันของตน ด้วยการทานยาหมอ
ยิ่งได้ทราบว่า การทานสมุนไพรลูกกลอนน้ำผึ้ง ยิ่งทาน ความดันยิ่งสูง ด้วยความเชื่อในคำหมอ สมุนไพรตัวอื่น ทานหมด แต่ตัวนี้ทานนิดหน่อย เพราะไม่อยากให้ความดันขึ้น และก็ดีใจที่ตลอดมา ความดันของตน อยู่ในเกณฑ์ที่หมอกำหนดตลอด เพราะคุมด้วยยาหมอ
จนวันหนึ่ง เส้นเลือดในสมองก็แตก และต้องนอนในห้องไอซียู จนทุกวันนี้ แตกทั้งๆที่ทานยาคุมความดันนั่นเอง
รอยแบบนี้ หลวงพ่อนิพนธ์มักอุปมาให้เห็นว่าทำตนเหมือน เหยียบเรือสองแคม หากแต่เมื่อแล่นออกจากท่า เรือสองลำนี้แล่นไปคนละทิศ เคมีทาง สมุนไพรทาง นั่นก็หมายความว่า คนที่ยืนย่อมต้องตกน้ำอย่างแน่นอน
การดูคนรอบข้างที่มา จะช่วยให้เราได้เรียนรู้ คนที่ชอบคุย ชอบเล่นโทรศัพท์ ในห้องสวดมนต์ พักนี้ไม่เห็นเลย ไปไหนแล้ว คนนั้นที่ดูว่าอาการหนัก วันนี้เดินปร๋อเชียว ย่อมทำให้เห็นรอยต่างๆว่า รอยแบบไหน ผลจะเป็นเช่นไร
รอยที่เราเห็นแล้วชอบ ก็อาทิเช่น คนไข้วันพฤหัสที่เป็นผู้หญิงท่านหนึ่ง มีอาการชัก แรกๆมา ชักวันละหลายครั้ง หากแต่เธอยืนยันทุกครั้งว่า เธอจะเข้าสวดมนต์ และฟังหลวงพ่อนิพนธ์
หลายคนจึงเห็นคนไข้ท่านนี้ ชักบ่อยๆ ในห้องสวดมนต์ จากที่ตกใจแตกตื่น จนกลายเป็นเฉยๆ รู้ว่าเดี๊ยวสักพักเธอก็ฟื้น ผ่านมาเพียงเดือนสองเดือน พฤหัสที่แล้ว เราก็ไม่เห็นอาการชักของเธอซะแล้ว แต่ก็ยังมีอาการเบลอๆ ให้เห็นบ้าง
สิ่งที่น่าเสียดาย ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะกล่าว นั่นคือ รอยเหล่านี้ เรียกว่าเป็นความมหัศจรรย์ แต่สำหรับคนไทย .... เฉย ไม่รู้สึก
คนนั้นเดินไม่ได้ กลับมาเดินได้ ก็เฉยๆ คนนั้นหมอบอกตาย แต่ยังไม่ตาย ดูก็ไม่มีแววตาย ... ก็เฉยๆ อย่างด็อกเตอร์ที่มาช่วยจัดแถววันพฤหัส หมอบอกอยู่ไม่เกินสามเดือน นี่ก็ปีนึงแล้ว ดูไม่มีแววตายเลย ... ก็เฉยๆ ....
ทำไมจึงบอกว่าเฉย ก็เพราะดูจากพฤติกรรม ยามเข้ามาในพื้นที่มงคลนี้ หาความสงบไม่ได้เลย นั่นจึงเป็นเครื่องชี้ว่า ภาพมหัศจรรย์ที่ปรากฎ ที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ พระเจ้าองค์ไหนที่ว่าแน่ หมอที่ว่าเก่ง เจ้าพ่อเจ้าแม่ เจ้าลัทธิใดๆ ไปถวายก็เผ่นหนี แม่ชีเมี้ยน พระภูมีทำให้เห็น หามีความประทับใจ หรือตราตรึง ให้เกิดศรัทธา จนไปลดกิริยา หรือควบคุมการกระทำของตน ว่า เราท่านเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ... ไม่มีเลยนั่นเอง
ความสงบ โรงทาน จิตอาสา จึงเป็นสัญญลักษณ์ ที่สะท้อนให้เห็นความเชื่อ เมื่อได้พบรอยของพระภูมี หรือ สิ่งศํกดิ์สิทธิ์
รอยประทับให้เห็นมากมาย แต่เปลี่ยนคนไทย แม้แต่สักกลุ่มเล็กๆยังไม่ได้เลย นั่นก็หมายความว่า คนไทยดิบเกิน ...
อ.อร่าม ฝากเตือน
อ.อร่าม ชี้ให้เห็นว่า คนที่ต้องถูกช่วย หรือคนที่รอรับของบริจาค นั่นหมายความว่า เป็นผู้ด้อยกว่าเราท่านผู้ให้
คำที่คนมักใช้ อาทิ มาช่วยหลวงพ่อนิพนธ์ นำของมาบริจาคให้ ... เป็นต้น
เรียกว่า จัดวางผิดตำแหน่ง
ดังนั้น จิตเจตนาที่ดี ในการมารับใช้ศาสนา ในการนำของมาร่วม ก็จักถูกทำลายด้วยวาจาไปเสียหมด ซึ่งไม่ควรเลย เพราะจะกลายเป็นตัวเราท่าน เป็นผู้ช่วยไป ... ก็มาช่วย มาให้ ... นั่นเอง
ดังนั้น การมาสละแรงกาย จึงเรียกว่าเป็นการทำงานรับใช้ศาสนา การนำของมา จึงเรียกว่าเป็นการร่วมบุญที่ซึ่งจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าพระภูมี แม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ ไม่ให้โอกาส
พระภูมี แม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ สำหรับคนที่ประสพความสำเร็จ มักจะจัดวางไว้ในที่สูง เพราะเป็นผู้ที่ให้การช่วยเหลือเรา
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จักช่วยเราท่านให้พ้นจากหล่ม จากทุกข์ได้อย่างไร
คำที่คนมักใช้ อาทิ มาช่วยหลวงพ่อนิพนธ์ นำของมาบริจาคให้ ... เป็นต้น
เรียกว่า จัดวางผิดตำแหน่ง
ดังนั้น จิตเจตนาที่ดี ในการมารับใช้ศาสนา ในการนำของมาร่วม ก็จักถูกทำลายด้วยวาจาไปเสียหมด ซึ่งไม่ควรเลย เพราะจะกลายเป็นตัวเราท่าน เป็นผู้ช่วยไป ... ก็มาช่วย มาให้ ... นั่นเอง
ดังนั้น การมาสละแรงกาย จึงเรียกว่าเป็นการทำงานรับใช้ศาสนา การนำของมา จึงเรียกว่าเป็นการร่วมบุญที่ซึ่งจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าพระภูมี แม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ ไม่ให้โอกาส
พระภูมี แม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ สำหรับคนที่ประสพความสำเร็จ มักจะจัดวางไว้ในที่สูง เพราะเป็นผู้ที่ให้การช่วยเหลือเรา
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จักช่วยเราท่านให้พ้นจากหล่ม จากทุกข์ได้อย่างไร
หน้าที่
ระยะนี้ ระหว่างการรอการแล้วเสร็จของสถานที่ ที่รัฐทวายของพม่า นั่นก็หมายความว่า เป็นช่วงที่หลวงพ่อนิพนธ์ อยู่ในระหว่างการพิจารณาว่า กิจกรรมในอนาคต ควรจะดำเนินการอย่างไร
เราท่านจึงได้ยินท่านเปรยบ่อยๆว่า มาถึงวันนี้ สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำมา น่าจะเห็นเป็นรูปธรรม ชัดเจน นั่นคือ เป็นทางเลือกแก่คนที่อยากฉีกพรหมลิขิต จากเคมีลิขิต มาเป็นธรรมชาติลิขิต เดินตามรอยพระภูมี ก็เนื่องด้วยปริมาณที่มากขึ้นของผู้ประสพผลสำเร็จในแนวทางนี้นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ กิจกรรมต่อไปเพื่อจรรโลง สมุนไพรและธรรมคำสอนของพระภูมีให้โดดเด่น จึงต้องเข้ารูปเข้ารอย นั่นคือ แต่ละภาคส่วนต้องรู้หน้าที่ของตน
และปัจจัยนี้เอง ที่ใช้เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติว่า กิจกรรมจะไปได้ตลอดหรือไม่
ไม่ว่าด้วยเหตุอันใด ทางฝั่งพม่า ได้แสดงคุณสมบัตินี้ นั่นคือ หน้าที่ในการรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ วัตถุดิบ รวมไปถึง ข้อกฎหมาย มาเชิญชวน นั่นหมายถึงหากเลือกพม่า หลวงพ่อนิพนธ์ก็มีหน้าที่เพียงใช้องค์ความรู้ที่มี เพื่อดำเนินการจัดการให้เป็นไปตามรูปรอยของพระภูมีเท่านั้นเอง
หากแต่คำปรารภที่เรามักได้ยินเสมอ ก็คือ เมื่อชีวิตนี้เกิดมาในแผ่นดินไทย ก็อยากให้สิ่งดีๆนี้ สถิตย์ในเมืองไทย ให้เป็นที่พึ่ง ของพี่น้องคนไทย
หากแต่ความปรารถนานี้ ก็ต้องทำให้พี่น้องคนไทย เห็นคุณค่า แล้วสร้างคุณสมบัติแสดงให้เห็นว่า อยากได้ อยากให้คงอยู่เป็นที่พึ่ง
แต่เมื่อวันเวลามาถึง เหมือนเด็กนักเรียน ก็ต้องสอบ หลังจากใช้เวลาสอนมาเนิ่นนาน แสดงให้เห็น ทำให้เห็น สิ่งที่โลกทำไม่ได้ มาก็มากมายหลายคน ผลที่ได้คือ คนไทย ไม่รู้สึกอะไรเลย
ภาพที่สะท้อนออกมา จนเป็นคำพูดที่อาจจะเรียกว่าน้อยใจก็ได้ นั่นคือ กองสมุนไพร ที่ไม่เคยแม้แต่สักครั้งสักครา ที่จะกองเป็นภูเขา เพื่อให้ท่านได้ทำให้คนทาน สมบูรณ์ เพียงพอ ในการต่อสู้ฟื้นฟูตัวคนไข้
กลับกลายเป็นสภาพที่ผู้ให้ ต้องกล่าวเชิญชวน อ้อนวอน แทบจะเรียกว่า ทำตนเป็นขอทาน เพื่อให้คนที่มา ได้สร้างคุณสมบัติ คือ การให้
ความเป็นนักสู้ในสายเลือด แม้นจะสู้จนถึงหยดสุดท้าย หากแต่วันเวลามีกำหนด มีอายุขัย เมื่อถึงเวลาแล้ว สิ่งดีๆที่นำมาให้ ไม่สามารถสร้างได้ในเมืองไทย ก็ต้องถึงวันสิ้นสุด
เราไม่อยากคาดเดา แต่คิดว่าหากภาพกองมะพร้าว กองพริกไทย กองมะกรูด กองมะนาว กองขิง กองดีปลี ... ยังไม่ปรากฎ เพื่อแสดงคุณสมบัติว่า สิ่งดีๆนี้ คนไทยยังต้องการ เมื่ออาคารของพม่าแล้วเสร็จ ภาพนี้ไปปรากฎที่พม่าแทน นั่นคือ วันที่คนไทย จะสูญเสียสิ่งดีๆนี้ไปอย่างแน่นอน
และก็เมื่อสูญเสียไป จะเรียกร้องกลับ ไม่ว่าจะทำฉันใด ก็ไม่มีทางได้คืน อุปมาดังถ้ำกระบอก สูญเสีย ฉันใด ก็ฉันนั้น
ก็เป็นแผ่นดินของผู้ให้ เริ่มต้นพงศาวดาร ล้วนแล้วมาจากการให้ ไม่ว่าจะสูตรหรือธรรมคำสอน พระภูมีก็ให้ แม่ชีเมี้ยนนำมาสอน ก็ให้ ผู้ทำก็ทำให้ เหลือแต่วัตถุดิบเท่านั้น ... รอว่ามาจากการให้ของคนในกลุ่ม เท่านั้นเอง นั่นคือ ผลสุทธิที่ได้ ไม่มีใครเป็นหนี้ใคร
หากกลไกพึ่งตนเองในกลุ่ม เกิดไม่ได้ นั่นหมายความว่า เราท่านก็ยังก่อหนี้ ยิ่งทานก็ยิ่งเป็นหนี้ แล้วอะไรจะเกิด หนี้เก่าตามมาทวงยังใช้ไม่หมด หนี้ใหม่มาอีกแล้ว
ภาพกองสมุนไพร ในโรงทาน จึงเป็นตัวตัดสินว่า คนที่มา เรียนรู้ และทำหน้าที่ เพื่อสร้างคุณสมบัติหรือไม่ ... นั่นก็เป็นตัวทำนายทายทักได้ว่า ผลของการดำเนินกิจกรรมจักเป็นเช่นไร
พุทธประวัติ จึงไม่มีโบสถ์ ไม่มีวิหาร หากแต่มีโรงทานที่ใหญ่ยิ่ง มีสถานที่รองรับคนทุกข์ เป็นแหล่งรวมคนทุกข์ ที่มารวมตัวกันทำ และปฏิบัติตามธรรมคำสอน จนพ้นทุกข์
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่หลวงพ่อนิพนธ์เดินผ่านคนไข้ บางคนกล่าวว่า "หลวงพ่อค่ะ อย่าทิ้งพวกเราน่ะค่ะ" คำตอบที่ได้คือ ไม่ใช่ท่านทิ้ง หากแต่เป็นเราท่านตากหากที่ทิ้งท่าน
พิจารณาเอาเองกันเถิด เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ ภาพที่ปรากฎ จะบอกท่านเองว่า สถานที่นี้จะคงอยู่หรือดับสูญจากแผ่นดินไทย
คำว่าอยากได้ของเราท่าน มีแต่เพียงคำพูด อยากพบอยากเจอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากช่วยตนให้พ้นทุกข์ หากแต่เขาดูที่คุณสมบัติ ดูที่พฤติกรรม
ความจริงมันฟ้อง ม็อบราชดำเนิน พูดระดมทุน วันเดียว ได้ ๘ ล้านกว่าบาท คนระดมทุนผู้ใจบุญหาข้าวเลี้ยงหมา ไม่กี่วัน ได้ ยี่สิบกว่าล้าน พระสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ร้อยล้าน พันล้าน ... ช่วยกันทำ สิ่งเหล่านั้น หามีประโยชน์กับสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลก คือมนุษย์ ไม่ แม้แต่สักนิด
หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ พูดแล้วพูดอีก เชิญแล้วเชิญอีก กองบริจาคสมุนไพรก็ไม่เคยสูง เหมือนกองของโลงที่มูลนิธิขุนรัตนาวุธ ที่ตั้งอยู่ใกล้กันได้เลย
สิ่งศํกดิ์สิทธิ์ พระภูมีทรงตรัสว่า ขอไม่ให้ แต่ใครทำ ใครได้ ใครมีคุณสมบัติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ไปอยู่กับผู้นั้น ... เมื่อวันสอบมาถึง ไม่ต้องรอฟ้า รอเทวดา มาบอก ก็รู้ผลว่าคุณสมบัติของคนไทย ผ่านหรือตก
สถานที่นี้ ไม่ใช่รอของบริจาค เพราะไม่ได้ทำตนเป็นชูชก เป็นขอทาน หากแต่เป็นสถานที่เชิญคนมาร่วมทำตนเป็นพระเวสสันดร คือ ผู้ให้ นั่นคือ นำสิ่งของมาร่วม สิ่งที่รับ ก็เป็นน้ำเหงื่อของเรา ไม่เป็นหนี้ใคร ส่วนที่เกิน ก็แบ่งปันให้คนยากไร้ ที่ไม่มี
เราท่านจึงได้ยินท่านเปรยบ่อยๆว่า มาถึงวันนี้ สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำมา น่าจะเห็นเป็นรูปธรรม ชัดเจน นั่นคือ เป็นทางเลือกแก่คนที่อยากฉีกพรหมลิขิต จากเคมีลิขิต มาเป็นธรรมชาติลิขิต เดินตามรอยพระภูมี ก็เนื่องด้วยปริมาณที่มากขึ้นของผู้ประสพผลสำเร็จในแนวทางนี้นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ กิจกรรมต่อไปเพื่อจรรโลง สมุนไพรและธรรมคำสอนของพระภูมีให้โดดเด่น จึงต้องเข้ารูปเข้ารอย นั่นคือ แต่ละภาคส่วนต้องรู้หน้าที่ของตน
และปัจจัยนี้เอง ที่ใช้เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติว่า กิจกรรมจะไปได้ตลอดหรือไม่
ไม่ว่าด้วยเหตุอันใด ทางฝั่งพม่า ได้แสดงคุณสมบัตินี้ นั่นคือ หน้าที่ในการรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ วัตถุดิบ รวมไปถึง ข้อกฎหมาย มาเชิญชวน นั่นหมายถึงหากเลือกพม่า หลวงพ่อนิพนธ์ก็มีหน้าที่เพียงใช้องค์ความรู้ที่มี เพื่อดำเนินการจัดการให้เป็นไปตามรูปรอยของพระภูมีเท่านั้นเอง
หากแต่คำปรารภที่เรามักได้ยินเสมอ ก็คือ เมื่อชีวิตนี้เกิดมาในแผ่นดินไทย ก็อยากให้สิ่งดีๆนี้ สถิตย์ในเมืองไทย ให้เป็นที่พึ่ง ของพี่น้องคนไทย
หากแต่ความปรารถนานี้ ก็ต้องทำให้พี่น้องคนไทย เห็นคุณค่า แล้วสร้างคุณสมบัติแสดงให้เห็นว่า อยากได้ อยากให้คงอยู่เป็นที่พึ่ง
แต่เมื่อวันเวลามาถึง เหมือนเด็กนักเรียน ก็ต้องสอบ หลังจากใช้เวลาสอนมาเนิ่นนาน แสดงให้เห็น ทำให้เห็น สิ่งที่โลกทำไม่ได้ มาก็มากมายหลายคน ผลที่ได้คือ คนไทย ไม่รู้สึกอะไรเลย
ภาพที่สะท้อนออกมา จนเป็นคำพูดที่อาจจะเรียกว่าน้อยใจก็ได้ นั่นคือ กองสมุนไพร ที่ไม่เคยแม้แต่สักครั้งสักครา ที่จะกองเป็นภูเขา เพื่อให้ท่านได้ทำให้คนทาน สมบูรณ์ เพียงพอ ในการต่อสู้ฟื้นฟูตัวคนไข้
กลับกลายเป็นสภาพที่ผู้ให้ ต้องกล่าวเชิญชวน อ้อนวอน แทบจะเรียกว่า ทำตนเป็นขอทาน เพื่อให้คนที่มา ได้สร้างคุณสมบัติ คือ การให้
ความเป็นนักสู้ในสายเลือด แม้นจะสู้จนถึงหยดสุดท้าย หากแต่วันเวลามีกำหนด มีอายุขัย เมื่อถึงเวลาแล้ว สิ่งดีๆที่นำมาให้ ไม่สามารถสร้างได้ในเมืองไทย ก็ต้องถึงวันสิ้นสุด
เราไม่อยากคาดเดา แต่คิดว่าหากภาพกองมะพร้าว กองพริกไทย กองมะกรูด กองมะนาว กองขิง กองดีปลี ... ยังไม่ปรากฎ เพื่อแสดงคุณสมบัติว่า สิ่งดีๆนี้ คนไทยยังต้องการ เมื่ออาคารของพม่าแล้วเสร็จ ภาพนี้ไปปรากฎที่พม่าแทน นั่นคือ วันที่คนไทย จะสูญเสียสิ่งดีๆนี้ไปอย่างแน่นอน
และก็เมื่อสูญเสียไป จะเรียกร้องกลับ ไม่ว่าจะทำฉันใด ก็ไม่มีทางได้คืน อุปมาดังถ้ำกระบอก สูญเสีย ฉันใด ก็ฉันนั้น
ก็เป็นแผ่นดินของผู้ให้ เริ่มต้นพงศาวดาร ล้วนแล้วมาจากการให้ ไม่ว่าจะสูตรหรือธรรมคำสอน พระภูมีก็ให้ แม่ชีเมี้ยนนำมาสอน ก็ให้ ผู้ทำก็ทำให้ เหลือแต่วัตถุดิบเท่านั้น ... รอว่ามาจากการให้ของคนในกลุ่ม เท่านั้นเอง นั่นคือ ผลสุทธิที่ได้ ไม่มีใครเป็นหนี้ใคร
หากกลไกพึ่งตนเองในกลุ่ม เกิดไม่ได้ นั่นหมายความว่า เราท่านก็ยังก่อหนี้ ยิ่งทานก็ยิ่งเป็นหนี้ แล้วอะไรจะเกิด หนี้เก่าตามมาทวงยังใช้ไม่หมด หนี้ใหม่มาอีกแล้ว
ภาพกองสมุนไพร ในโรงทาน จึงเป็นตัวตัดสินว่า คนที่มา เรียนรู้ และทำหน้าที่ เพื่อสร้างคุณสมบัติหรือไม่ ... นั่นก็เป็นตัวทำนายทายทักได้ว่า ผลของการดำเนินกิจกรรมจักเป็นเช่นไร
พุทธประวัติ จึงไม่มีโบสถ์ ไม่มีวิหาร หากแต่มีโรงทานที่ใหญ่ยิ่ง มีสถานที่รองรับคนทุกข์ เป็นแหล่งรวมคนทุกข์ ที่มารวมตัวกันทำ และปฏิบัติตามธรรมคำสอน จนพ้นทุกข์
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่หลวงพ่อนิพนธ์เดินผ่านคนไข้ บางคนกล่าวว่า "หลวงพ่อค่ะ อย่าทิ้งพวกเราน่ะค่ะ" คำตอบที่ได้คือ ไม่ใช่ท่านทิ้ง หากแต่เป็นเราท่านตากหากที่ทิ้งท่าน
พิจารณาเอาเองกันเถิด เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ ภาพที่ปรากฎ จะบอกท่านเองว่า สถานที่นี้จะคงอยู่หรือดับสูญจากแผ่นดินไทย
คำว่าอยากได้ของเราท่าน มีแต่เพียงคำพูด อยากพบอยากเจอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากช่วยตนให้พ้นทุกข์ หากแต่เขาดูที่คุณสมบัติ ดูที่พฤติกรรม
ความจริงมันฟ้อง ม็อบราชดำเนิน พูดระดมทุน วันเดียว ได้ ๘ ล้านกว่าบาท คนระดมทุนผู้ใจบุญหาข้าวเลี้ยงหมา ไม่กี่วัน ได้ ยี่สิบกว่าล้าน พระสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ร้อยล้าน พันล้าน ... ช่วยกันทำ สิ่งเหล่านั้น หามีประโยชน์กับสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลก คือมนุษย์ ไม่ แม้แต่สักนิด
หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ พูดแล้วพูดอีก เชิญแล้วเชิญอีก กองบริจาคสมุนไพรก็ไม่เคยสูง เหมือนกองของโลงที่มูลนิธิขุนรัตนาวุธ ที่ตั้งอยู่ใกล้กันได้เลย
สิ่งศํกดิ์สิทธิ์ พระภูมีทรงตรัสว่า ขอไม่ให้ แต่ใครทำ ใครได้ ใครมีคุณสมบัติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ไปอยู่กับผู้นั้น ... เมื่อวันสอบมาถึง ไม่ต้องรอฟ้า รอเทวดา มาบอก ก็รู้ผลว่าคุณสมบัติของคนไทย ผ่านหรือตก
สถานที่นี้ ไม่ใช่รอของบริจาค เพราะไม่ได้ทำตนเป็นชูชก เป็นขอทาน หากแต่เป็นสถานที่เชิญคนมาร่วมทำตนเป็นพระเวสสันดร คือ ผู้ให้ นั่นคือ นำสิ่งของมาร่วม สิ่งที่รับ ก็เป็นน้ำเหงื่อของเรา ไม่เป็นหนี้ใคร ส่วนที่เกิน ก็แบ่งปันให้คนยากไร้ ที่ไม่มี
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
หนูช่วยราชสีห์
การกระทำไม่หวังผล ทำให้แก่ทุกชนชั้น ของหลวงพ่อนิพนธ์ ผลแห่งการทำที่ย้อนมา ไม่ใช่ตัวเงิน หากแต่จะใหญ่เล็กก็คาดเดาไม่ได้
คนไข้มะเร็งขั้นสุดท้าย ที่หมอกำหนดวันมาให้แล้ว เธอทราบข่าว และบินมาจากอเมริกา เพื่อมาฟื้นฟูตน โดยการลางานมา ๔ เดือน เมื่อครบกำหนดก็บินกลับ
ก่อนที่เธอจะครบกำหนด เธอได้ทำการตรวจร่างกาย และนำผลมาเรียนให้หลวงพ่อนิพนธ์ทราบ ด้วยความดีใจว่า ไม่พบเชื้อมะเร็ง และร่างกายของเธอแข็งแรงเป็นปกติ
เธอมาลากลับอเมริกา พร้อมกับฝากคนไข้มะเร็งต่อมลูกหมากอีกคน นั่นคือสามีเธอ
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ยินดีในผลอันนั้น และก็ไม่ได้คิดสิ่งใด ไม่เคยเรียกร้องอันใด
การกลับอเมริกาของเธอ ได้พบหน้าลูกอีกครั้ง และเพื่อความมั่นใจ ลูกชายของเธอได้พาแม่ไปตรวจร่างกาย ที่โรงพยาบาลของอเมริกาอีกครั้ง ผลการตรวจยืนยันผลตรงกัน
ความยินดีของลูกชาย ในการหายจากโรคมะเร็งของแม่ และการที่จะไม่สูญเสียแม่ไป ทำให้ลูกชายครุ่นคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะช่วยสถานที่นี้ได้
ความคิดหนึ่งจึงบังเกิด จากความที่ตัวเขาเองทำงานอยู่ที่องค์การสหประชาติ ที่อเมริกา ทราบว่า องค์กรเอกชน ได้ให้องค์การของเขาเป็นผู้สืบเสาะค้นหา องค์กรหรือบุคคลใด ที่มีผลงานดีเด่นในด้านการช่วยเหลือมนุษย์ ในภาคพื้นเอเชียแบซิฟิก แล้วคัดมาประกวด เพื่อรับรางวัลสนับสนุน
โดยปีที่แล้ว องค์กรสงเคราะห์เด็กกำพร้าของอินเดีย ได้รับรางวัลไป เขาจึงคิดว่า หากทำโครงการของหลวงพ่อนิพนธ์เสนอไป โดยนำข้อมูลของแม่ ย่อมมีโอกาสรับรางวัลสูง
เขาจึงคุยกับแม่ และติดต่อผ่านพ่อของเขา เพื่อเรียนขออนุญาต ทั้งนี้หลวงพ่อนิพนธ์ก็เห็นดีด้วย เพราะคิดว่า หากจะรอการสนับสนุนจากประเทศไทย คงไม่มีทาง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า อยู่ดีๆ ก็มีช่องทางที่จะได้เงินมา เพื่อที่จะจัดซื้อเครื่องสเปรย์ดาย ที่ใช้ในการแปรรูปสมุนไพร เพื่อให้จัดเก็บได้เป็นปี เหมือนฟ้าส่งมาให้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า นี่และผลของการให้ด้วยคุณธรรม ทำให้คนรับซาบซึ้ง และผูกพันธ์
หากหัวข้อที่เสนอได้รับการตอบรับ เพื่อเป็นโครงการส่งเข้าประกวด ในไม่ช้า สหประชาชาติก็จะจัดส่งตัวแทน เพื่อมาทำเป็นสารคดี เพื่อเข้าประกวด
หากประสพผล ในปีหน้า เมื่อได้เครื่องจักรมา และหากมีวัตถุดิบสมบูรณ์ นั่นหมายความว่า สามารถจัดสมุนไพรให้คนไข้ทานได้เต็มที่ ไม่มีขาด สัดส่วนของผู้ประสพผลย่อมมากขึ้นอย่างแน่นอน
นับว่าเป็นข่าวดีไม่น้อย และคาดไม่ถึง
ท้ายนี้ ลูกชายของเขาแจ้งหลวงพ่อนิพนธ์ทราบว่า หากโครงการนี้ได้รับชนะเลิศ นอกจากเงินรางวัลแล้ว จักได้รับการอนุเคราะห์ให้การสนับสนุน จากมูลนิธิอีก ๕ แห่ง ผู้ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการประกวดด้วย
เสือสมุนไพรตัวนี้ กำลังจะได้ปีกแล้ว...
รวยไม่ดี
หลายคนเมื่อเห็นคนเหล่านี้ ก็มีความรู้สึกแบ่งแยก และมักจะวิพากษ์วิจารณ์ ตามที่ตาตนเห็น นั่นคือ คนเหล่านี้มักจะได้สมุนไพรเยอะ กลับก่อน พูดง่ายๆ ก็เรียกว่าแบ่งชนชั้น ว่างั้นเถอะ
หากแต่ความจริง การฟื้นฟูตนจักประสพผล ปัจจัยหลัก ไม่ได้อยู่ที่สมุนไพร แต่เป็นความเชื่อ ตามเหตุและผลที่ได้ยินได้ฟัง จากคำสอน เกิดศรัทธา แล้วทำตาม ต่างหาก
แม้นคนเหล่านี้จะดูว่าได้เปรียบ หรือ มีอภิสิทธิ์ จนบางคนอิจฉา แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ ก็ความมีเงิน มีฐานะทางสังคมนั่นเอง
คนไข้ท่านนี้ก็เช่นกัน อุปสรรคใหญ่ คือ ความมีเพื่อน มีคนรู้จัก เป็นหมอใหญ่ หมอดัง มากมาย และมีฐานะ ที่หมอเหล่านั้นยินดีต้อนรับ ให้บริการอย่างเต็มที่
แต่ที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด นั่นคือ ความผูกพันธ์และความเชื่อที่มีต่อหมอ อันแสดงให้เห็นจาก ความเชื่อที่มีต่อคำพูดที่หมอกล่าว
เมื่อมาพบหลวงพ่อนิพนธ์ ทานสมุนไพร ด้วยโรคที่ปรากฎในปัจจุบัน โรคที่เป็นก็เบาบางลง หากแต่โรคที่แฝงเร้น ซ่อนไว้ยังไม่ปรากฎ ก็ถูกสมุนไพรคุ้ย ปรากฎอาการให้เห็น
นั่นคือ วันหนึ่งอยู่ดีๆ ก็มีอาการขาอ่อนแรง เขาจึงวิ่งไปให้หมอตรวจวินิจฉัย คำวินิจฉัยที่ได้จากหมอ กล่าวว่า ตัวเขาเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง ต้องทำการกายภาพบำบัด หรือ นวดนั่นเอง เพื่อให้ร่างกายฟื้นกลับมาแข็งแรง
เขาก็เอาคำหมอมาบอกหลวงพ่อนิพนธ์ และยึดติดกับคำนั้น และทราบว่าหลวงพ่อนิพนธ์มีสมุนไพรที่ใช้นวดกล้ามเนื้อ เพื่อฟื้นฟู จึงเอ่ยปากขอ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงวินิจฉัยโรคของเขาให้ฟังว่า อาการที่เกิดไม่ใช่กล้ามเนื้ออ่อนล้า ดังนั้นสมุนไพรที่ขอจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เพราะอาการของอัมพฤกต์ที่ปรากฎ แท้จริงแล้วเป็นอาการของสมอง ที่ไม่สั่งการ ดังนั้นต้องฟื้นฟูประสาทสั่งการ ด้วยการทานสมุนไพรดำ หรือ ลูกกลอนน้ำผึ้งก่อน
คนไข้ท่านนั้น เมื่อไม่ได้สมุนไพรนวดตามต้องการ ก็จากไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เพราะเชื่อในคำหมอ และไม่มาอีกเลย เปลี่ยนไปเป็นให้หมอทำกายภาพบำบัดแทน
ผ่านไปสองสามเดือนของการกายภาพบำบัด ลูกของเขามาหาหลวงพ่อนิพนธ์และแจ้งให้ทราบว่า บิดาของเขาตอนนี้เกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตก อยู่ในห้องไอซียู
หากแต่หมอสงสัยว่า ปกติคนไข้ประเภทนี้ จะมีอัตราการฟื้นตัวช้ามาก ในขณะที่บิดาของเขา สามารถฟื้นตัวได้เร็ว
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวกับลูกของเขาว่า นั่นคือผลของการทานสมุนไพรที่ยังคงมีอยู่ ตามระยะเวลาที่มา หากแต่การช่วยก็ไม่รู้ว่าจะฟื้นคืนมาได้ในระดับใด เพราะปัจจัยหลักคือ ความเชื่อ ... และทำตาม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นกระบวนการในการฟื้นฟูคนพวกนี้ เริ่มจากวินิจฉัยว่า คนจำพวกนี้เป็นพวกติดที่นอน ที่อยู่ ประการหนึ่ง มักพึ่งผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นเกินไป ประการหนึ่ง
ดังนั้นหากคิดฟื้นฟู ต้องเปลี่ยนที่อยู่ที่กิน ต้องมีความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งใดๆ ด้วยตนเอง หากไม่ถึงที่สุดหรือเกินความสามารถตนแล้ว จักไม่ให้ใครช่วยหรือทำให้เด็ดขาด
ในกระบวนการสมุนไพร ก็ต้องทานสมุนไพรน้ำผึ้ง หรือลูกกลอนดำ ให้มากเพื่อกระตุ้นประสาทให้ฟื้นกลับมา หลังจากนั้น ก็ต้องทานสมุนไพรให้ได้ปริมาณ เมื่อสมุนไพรที่ฟื้นฟูร่างกายเริ่มทำงาน ก็ต้องช่วยด้วยสมุนไพรที่คั้นจากยางไม้ มาช่วยนวด หลังจากนวดเสร็จ ก็ต้องนำไปเข้ากระโจม เพื่อให้กระดูก เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ฟื้นตัว และขับไล่สารเคมีออกให้หมด
แม้นอยากจะช่วยคนเหล่านี้สักปานใด แต่ความเป็นคนติดที่นอน ที่กิน และนิสัย ทำให้ยาก
ตอนนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็เปิดโอกาสให้มาลงชื่อ แต่ก็ไม่ได้การตอบรับ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หากจะใช้วิธีแบบปัจจุบัน ผลมันก็ช้าจนท้อ เลิกรากันไปหมด ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ...
รอพม่าสร้างอาคารเสร็จ จะเปิดรับอย่างเป็นทางการ รับคนที่อยากหายมาสู้กัน..
ดูๆไป ผลของการทานสมุนไพร ก็จะไปพ้องคำตรัสของแม่ชีเมี้ยน ที่ตรัสว่า หลักของพระภูมี จะทำให้เห็น ผู้ดีเดินตรอก ขี้คลอกเดินถนน
คนที่ประสพผล ล้วนแล้วแต่ต้องมีน้ำอดน้ำทน นั่นเอง ... ใครที่อิจฉาคนในห้อง เห็นนั่งห้องแอร์ หิ้วสมุนไพรไปเยอะๆ มาสาย กลับก่อน ... เฮ้อ .. จะมีสักกี่คนในนั้นที่ประสพผล ท้ายสุดหมอก็คาบไปแดกหมด
วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
เกร็ดความรู้
คำถามที่หลายคนสงสัย ว่า ทำไมที่นี่จึงห้ามกินสารสกัดทั้งหลายแหล่
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ศาสตร์อันหนึ่งแห่งร่างกายมนุษย์ ที่หลายคนไม่รู้ นั่นคือ กระบวนการของร่างกาย ในการนำอาหาร หรือ วัตถุดิบ เข้าสู่ร่างกาย
เมื่อคนเราทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะหลั่งน้ำกลั่นบริสุทธิ์ เข้ามาคลุกเคล้ากับอาหารนั้น กระบวนการนี้ มีหน้าที่คล้ายกับกระบวนการสั่งซึือนั่นเอง โดยอุปมาเหมือนการใส่รหัสเข้าไปในอาหาร หรือเรียกว่า บอกความต้องการว่า จากวัตถุดิบที่เข้ามา ร่างกายต้องการอะไร และที่สำคัญ เมื่อได้สารนั้นออกมา จะนำไปไหน
กระบวนการนี้เอง ที่ใช้ได้กับวัตถุดิบธรรมชาติ พูดง่ายๆก็คือ ย่อยได้ เมื่อวัตถุดิบที่เข้ามาแล้วนั้น ย่อยไม่ได้ อาทิ แกลบ ทราย สารเคมี หรือสารที่สกัด กระบวนการนี้จะไม่ทำงาน
ผลที่เกิดกับสารเหล่านี้ มีสองประการนั่นคือ ร่างกายจักต้องกำจัดสารนั้นออกไป และสารนั้นจะไม่มีการเข้ารหัส
หากแต่สิ่งที่ร่างกายกำจัดออกได้ ก็ไม่มีปัญหา หากแต่สารเคมีส่วนเกิน และสารสกัด จะถูกดูดซึมเข้าระบบ
ปัญหาของสารเคมีส่วนเกิน นั่นคือ หากไปตกอยู่ที่ใด นั่นคือ จุดเริ่มของหายนะของร่างกาย
ปัญหาของสารสกัด คือ หลอกร่างกาย ทำให้เซลล์ของอวัยวะที่ผลิตสารนั้น ไม่ทำงาน อ่อนแอลง จนถึงขั้นหยุดทำงาน
ยกตัวอย่างเช่น เบาหวาน หากคนที่มีอาการเบาหวานในระยะเริ่มแรก เมื่อทราบ ก็ดูแลตน ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อร่างกายทราบวิกฤติจากสภาวะเบาหวานที่เกิด ตับอ่อนก็จะทำงาน เพื่อให้ร่างกายพ้นจากวิกฤตนั้น
หากคนผู้นั้น ทานอินซูลินสังเคราะห์ ร่างกายก็ไม่รับรู้วิกฤติ ตับอ่อนก็ไม่ต้องทำงาน ในที่สุด การสร้างอินซูลินจากตับอ่อน ก็จะทำได้น้อยลง จนทำไม่ได้เลย นั่นคือ การเป็นเบาหวานถาวร
ท้ายที่สุด เมื่อทานไม่พอ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นฉีด จนร่างกายปฏิเสธอินซูลินสังเคราะห์ นั่นคือ หมอปฏิเสธการรักษา
วันนี้ เห็นคนมากมายให้วิตามินเม็ดลูกทานตั้งแต่เด็ก ... ก็ไม่น่าแปลกใจว่าคนสมัยนี้ หนุ่มสาวก็โรคถามหาแล้ว
ขนาดเครื่องดื่มชูกำลัง ยังใส่ให้กิน และคนก็กินหน้าตาเฉย ... ระวังเน้อ
สารสกัดทุกชนิด จึงเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ไม่มีความจำเป็น และที่สำคัญ รังแต่ทำให้อวัยวะของเราท่านอ่อนแอลง ขึ้เกียจทำงาน ถึงเวลาคับขัน กว่าจะรู้ ก็สายเสียแล้ว ฟื้นฟูกลับมาไม่ทัน
คนสมัยก่อนหาไตวายยากยิ่ง คนสมัยนี้ ก็กินกันจนไตพังให้เห็นมากมาย ผ่าออกมาดู แข็งเป็นหิน สารเคมีทั้งนั้น
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ศาสตร์อันหนึ่งแห่งร่างกายมนุษย์ ที่หลายคนไม่รู้ นั่นคือ กระบวนการของร่างกาย ในการนำอาหาร หรือ วัตถุดิบ เข้าสู่ร่างกาย
เมื่อคนเราทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะหลั่งน้ำกลั่นบริสุทธิ์ เข้ามาคลุกเคล้ากับอาหารนั้น กระบวนการนี้ มีหน้าที่คล้ายกับกระบวนการสั่งซึือนั่นเอง โดยอุปมาเหมือนการใส่รหัสเข้าไปในอาหาร หรือเรียกว่า บอกความต้องการว่า จากวัตถุดิบที่เข้ามา ร่างกายต้องการอะไร และที่สำคัญ เมื่อได้สารนั้นออกมา จะนำไปไหน
กระบวนการนี้เอง ที่ใช้ได้กับวัตถุดิบธรรมชาติ พูดง่ายๆก็คือ ย่อยได้ เมื่อวัตถุดิบที่เข้ามาแล้วนั้น ย่อยไม่ได้ อาทิ แกลบ ทราย สารเคมี หรือสารที่สกัด กระบวนการนี้จะไม่ทำงาน
ผลที่เกิดกับสารเหล่านี้ มีสองประการนั่นคือ ร่างกายจักต้องกำจัดสารนั้นออกไป และสารนั้นจะไม่มีการเข้ารหัส
หากแต่สิ่งที่ร่างกายกำจัดออกได้ ก็ไม่มีปัญหา หากแต่สารเคมีส่วนเกิน และสารสกัด จะถูกดูดซึมเข้าระบบ
ปัญหาของสารเคมีส่วนเกิน นั่นคือ หากไปตกอยู่ที่ใด นั่นคือ จุดเริ่มของหายนะของร่างกาย
ปัญหาของสารสกัด คือ หลอกร่างกาย ทำให้เซลล์ของอวัยวะที่ผลิตสารนั้น ไม่ทำงาน อ่อนแอลง จนถึงขั้นหยุดทำงาน
ยกตัวอย่างเช่น เบาหวาน หากคนที่มีอาการเบาหวานในระยะเริ่มแรก เมื่อทราบ ก็ดูแลตน ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อร่างกายทราบวิกฤติจากสภาวะเบาหวานที่เกิด ตับอ่อนก็จะทำงาน เพื่อให้ร่างกายพ้นจากวิกฤตนั้น
หากคนผู้นั้น ทานอินซูลินสังเคราะห์ ร่างกายก็ไม่รับรู้วิกฤติ ตับอ่อนก็ไม่ต้องทำงาน ในที่สุด การสร้างอินซูลินจากตับอ่อน ก็จะทำได้น้อยลง จนทำไม่ได้เลย นั่นคือ การเป็นเบาหวานถาวร
ท้ายที่สุด เมื่อทานไม่พอ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นฉีด จนร่างกายปฏิเสธอินซูลินสังเคราะห์ นั่นคือ หมอปฏิเสธการรักษา
วันนี้ เห็นคนมากมายให้วิตามินเม็ดลูกทานตั้งแต่เด็ก ... ก็ไม่น่าแปลกใจว่าคนสมัยนี้ หนุ่มสาวก็โรคถามหาแล้ว
ขนาดเครื่องดื่มชูกำลัง ยังใส่ให้กิน และคนก็กินหน้าตาเฉย ... ระวังเน้อ
สารสกัดทุกชนิด จึงเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ไม่มีความจำเป็น และที่สำคัญ รังแต่ทำให้อวัยวะของเราท่านอ่อนแอลง ขึ้เกียจทำงาน ถึงเวลาคับขัน กว่าจะรู้ ก็สายเสียแล้ว ฟื้นฟูกลับมาไม่ทัน
คนสมัยก่อนหาไตวายยากยิ่ง คนสมัยนี้ ก็กินกันจนไตพังให้เห็นมากมาย ผ่าออกมาดู แข็งเป็นหิน สารเคมีทั้งนั้น
จักรวาล
จักรวาล เป็นสิ่งที่มนุษย์นับแต่โบราณกาล พยายามค้นคว้าศึกษา หากแต่สิ่งที่ได้กลับมา น้อยนิด จักรวาลจึงเป็นความมืดดำตลอดมา
หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า เช่นกัน ศาสตร์แห่งมนุษย์ที่พระภูมีทรงตรัสรู้ และแม่ชีเมี้ยนนำมาสอน ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถหยั่งรู้ หรือเรียนรู้ได้ สิ่งที่ทราบก็มีเพียงผิวเผิน ดุจดั่งจักรวาล นั่นก็คือ สมองของมนุษย์นั่นเอง
กลไกจักรวาล หรือวัฐจักร ที่มาที่ไป หารู้ไม่ สมองก็เช่นเดียวกัน หามีนักวิทยาศาสตร์คนใด หรือ องค์กรใด ที่จะเจาะเข้าไปเรียนรู้ ทั้งที่ทราบดีว่า สมองคือส่วนบัญชาการ ให้ทำสิ่งต่างๆ แต่โดยวิธีใดเล่า
แม่ชีเมี้ยนทรงสอนว่า สิ่งที่พระภูมีทรงตรัสรู้ นั่นคือ รู้แจ้งเห็นจริง เกี่ยวกับมนุษย์นั่นเอง หรือพูดภาษาพระ ก็คือ รู้เรื่องกรรม และสรุปมาให้สาวกฟังว่า "มนุษย์มีกรรมเป็นอำนาจ และมีกรรมนำเกิด มนุษย์จึงเป็นไปตามกรรมที่ทำมา เรียกว่า พรหมลิขิต นั่นเอง"
ด้วยความรู้นี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อมนุษย์คนใดมีพรหมลิขิต ทำให้เกิด อาทิเช่นคนเป็นอัมพฤกษ์ ก็จะเกิดทันทีตามพรหมลิขิตนั้นๆ ไม่มีทางหยุด และเห็นภาพแห่งพรหมลิขิตชัดเจนว่า "หญิงซ้าย ชายขวา"
ต้นเหตุแห่งการเกิด จึงไม่ใช่เกิดจากกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ที่หมอแผนปัจจุบัน พยายามให้คนไข้ไปทำกายภาพบำบัด ทำเท่าไร ผลจึงไม่เกิด
หากแต่ต้นเหตุที่แท้จริง คือ พรหมลิขิต อันเนื่องจากอำนาจกรรม ดลบันดาล ให้ประสาทในสมอง ไม่ทำงานต่างหาก
คนที่เป็นโรคนี้ จึงมีส่วนสัมพันธ์อย่างมากกับประสาท และเมื่อเป็น จึงมีผลต่ออาการประสาทตามมา เป็นโรคซึมเศร้า อารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย และค่อยๆ กัดกินจิตวิญญาณ ให้หงอยเหงาลงเรื่อยๆ
ดังนั้น การกระตุ้นประสาท จึงมีความจำเป็นในการฟื้นฟูคนไข้ประเภทนี้ การทานสมุนไพรเฉพาะ โดยเฉพาะสมุนไพรลูกกลอนน้ำผึ้ง ที่ทำพิเศษเฉพาะผู้ป่วยประเภทนี้ และการอาศัยพฤติกรรมที่เป็นบุญ เพื่อให้ประสาทฟื้นคืนกลับมา ประกอบกับ การกระตุ้นจิตใจให้หึกเหิม และควบคุมอารมณ์ จึงเป็นปฐมบทแห่งการฟื้นฟู
เมื่อสามารถฟื้นฟูประสาทได้ จึงจะถึงกรรมวิธีกายภาพบำบัด ด้วยการใช้สมุนไพรเฉพาะที่ทำมาจากยางต้นไม้ อันเป็นสมุนไพรที่ทำมาเพื่อกระตุ้น กล้ามเนื้อเส้นเอ็น ให้ฟื้นขึ้น แล้วจึงเริ่มหัดช่วยตน
ดังนั้น คนไข้อัมพฤกต์ พาร์กินสัน หรือ ที่เกี่ยวกับประสาท จึงต้องเรียนรู้ และทำตน โดยเฉพาะด้านจิตใจ อารมณ์ ให้ได้ก่อน การฟื้นฟูตนจึงจักมีโอกาส
ด้วยเหตุนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมวงการแพทย์ จึงไม่สามารถฟื้นฟูผู้ป่วยเหล่านี้ได้ มีแต่ถอยหลัง เริ่มจากชาเป็นครั้งคราว ก้าวไปสู้อัมพฤกต์ และจบด้วยอัมพาต และก็รอวันหมดลมบนเตียง
เมื่อมองย้อนกลับไปยังต้นเหตุแห่งกรรมที่ทำให้เกิด หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า ก็ด้วยนิสัยเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป เมื่อถึงวันบั้นปลายชีวิต กรรมเบียดเบียน ก็ตามมา ทำให้เกิดกรรมเบียดเบียนต่อไป เรียกว่า เขียนพรหมลิขิต อัมพฤกต์ อัมพาต ต่อไปยังชาติหน้าอีกนั่นเอง
คนที่เป็นพี่เลี้ยงคนไข้เหล่านี้ จึงมีความจำเป็นต้องใช้คนที่ใจแข็ง ใจหิน ประเภทเดินต้องประคอง กินข้าวต้องป้อน ทานยาต้องหยิบให้ .... โลกอาจมองว่ากตัญญู แต่ฟ้าดินบอกว่า การกระทำเช่นนี้ คือการทำร้ายคนไข้ และปิดประตูหาย เพราะรังแต่ทำให้กรรมเบียดเบียนเพิ่มขึ้น กดทับตัวเองจนเรือจม
หลายคนอาจจะได้ยินว่า เจ้าหน้าที่บางคน ไม่ยินยอมให้ พี่เลี้ยง ประคองเดินเข้าทานสมุนไพรมะพร้าว หรือที่เขากล่าวว่า เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง ก็ด้วยเหตุประการฉะนี้นั่นเอง
ภาพของคุณสมศํกดิ์ เมื่อครั้งที่หลวงพ่อให้คนดูแล ตักข้าวใส่จาน แล้วให้ทานเอง ในขณะที่มือยังสั่น ตักข้าวใส่ปากไม่ได้ ทานแต่ละครั้ง หกมากกว่าครึ่ง หลายคนที่พบเห็นบอกว่า ทำไมถึงโหดขนาดนี้ ไม่ให้คนป้อน กว่าจะทานข้าวเสร็จแต่ละครั้ง ก็เป็นชั่วโมง ... เวลาเดิน ก็เดินหน้าสองก้าว ถอยหลังหนึ่งก้าว แต่ให้ไปอยู่บนเขา และบังคับให้เดินไปฟังพระ ถวายข้าวพระบนเขา กว่าจะเดินถึง เป็นชั่วโมง แม้นระยะทางจะไม่ไกลนัก สำหรับคนธรรมดา ๕ นาทีก็ถึง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ถ้าไม่ทำเช่นนี้ในวันนั้น มาวันนี้ คุณสมศักดิ์ จะกลับมาเป็นปกติ และมาลาขออนุญาตกลับไปแต่งเมียได้อีกหรือ
รักกันจริง อย่าตามใจ แต่ควรให้เหตุผล กระตุ้นจิตใจคนไข้ให้หึกเหิม ใครจะว่าอกตัญญู ในวันนี้ หากแต่ผลในวันหน้าต่างหากที่เป็นตัวดัดสิน ว่าสิ่งที่ทำ แบบไหน คือ เรียกอกตัญญู
และก็ไม่ต้องแปลกใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า หากสมุนไพรและธรรมของพระภูมี ช่วยไม่ได้ ให้เร่ไปทั่วโลก ก็ไม่มีทาง เพราะเรื่องของสมอง เป็นความดำมืดของมนุษย์ มีแต่พระภูมีเท่านั้น ที่ตรัสรู้ทราบ...
วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ศาสน์ที่เหนือมนุษย์
สิ่งดีๆ ในโลก เมื่อมีมนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใดคิดค้น และเป็นที่ชื่นชอบของคนทั้งโลก ในไม่ช้าสิ่งที่ตามมานั่นคือ การลอกเลียนแบบ
เช่นกัน ครั้งเมื่อหลวงพ่อนิพนธ์เรียนตำราสมุนไพรกับแม่ชีเมี้ยน คำถามหนึ่งที่ถามแก่แม่ชีเมี้ยน จึงหนีไม่พ้นว่า คนนั้น คนนี้ ก็ล้วนแต่รู้สูตรสมุนไพร กันทั้งหมดทั้งปวง ไม่กลัวเขาเอาไปทำหรือ
แม่ชีเมี้ยนตรัสตอบว่า ไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะถึงรู้สูตรก็ไปทำไม่ได้ ด้วยปัจจัยหลายประการ
ประการที่หนึ่ง สูตรที่นำมา เป็นของพระภูมี ที่มาพร้อมคำพร และคำสาป "ใครทำให้ ยิ่งให้ ยิ่งเจริญ ใครทำขาย ยิ่งขาย ยิ่งฉิบหาย" เป็นประการแรก
ประการที่สอง สมุนไพรที่นำมาเป็นธรรมหมวดหนึ่งของพระภูมีที่ทรงบัญญัติ หากแต่สมุนไพรแต่เพียงอย่างเดียว ก็อุปมาเหมือนกายมนุษย์ จะหามีฤทธิ์เดช สร้างบุญสร้างบาปไม่ได้เลย หากไม่มีวิญญาณ สิงสถิตย์ในกายนั้น แลวิญญาณของสมุนไพร ก็คือ การปฏิบัติธรรมของพระภูมีนั่นเอง
ด้วยชนักอันนี้ จึงทำให้ผู้ทาน ต้องมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เป็นบางสิ่งบางอย่าง โดยต้องน้อมนำธรรมมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่จะทานสมุนไพรแล้วประสพผล ต้องเป็น "คนดี" นั่นเอง
หากแม้นคนใดที่อวดตนว่าชาญฉลาด เมื่อพ้นกรรมเดิมที่ทำมา ก็เลิกเสียพฤติกรรมที่ทำดี ที่ช่วยตนมาจนหมดสิ้น หันไปมีพฤติกรรมทำบาปอีก เรียกว่ามีพฤติกรรม ลิงหลอกเจ้า แม้นจะหลบตาของผู้ทำให้ได้ หากแต่หลบกรรมไม่ได้ วันหนึ่ง ก็ต้องตำรา "หนีเสือปะจรเข้" พ้นมะเร็ง ก็ไปเจออุบัติเหตุ ตายเหมือนกัน ... เป็นต้น
ประการที่สาม คือสิ่งที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ผู้ใดรู้ และทำได้ นั่นคือ พระภูมีทรงตรัสรู้ว่า มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม จักมีเขี้ยวที่ทำหน้าที่สองอย่าง อันมีหน้าที่หลั่งสารที่กำหนดคุณโทษ เมื่ออาหารผ่านเข้าสู่ร่างกาย ยามใดที่อยู่ในปล้องบุญ ไม่ว่าจะทานอะไรก็ให้คุณ ยามใดที่อยู่ในปล้องบาป ไม่ว่าทานอะไรก็จักเป็นโทษ ไม่ว่าจะทำความสะอาด อนามัย ฆ่าเชื้อโรคสักฉันใดก็ตาม
สูตรของพระภูมี จึงจักทำแล้วสัมฤทธิ์ผล ก็ต้องอาศัยผู้มีคุณธรรมเท่านั้นเอง ซึ่งมองแล้วทำยาก เพราะทำให้ผู้อื่นไม่พอ แถมยังต้องทำฟรีอีกต่างหาก ดังนั้น คนไม่ดีก็ไม่สามารถดำเนินตามรอย เพือทำให้สมุนไพรมีฤทธิ์ได้ จึงไม่ต้องกลัวคนแย่งทำ
คนที่เอาแต่สมุนไพรไป ไม่สนธรรมของพระภูมี จึงหาความประสพผลในการช่วยฟื้นฟูไม่ได้เลย
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมที่ชมรมคนรักสุขภาพ จึงแจกฟรี และต้องบังคับให้สวดมนต์ นั่งสงบอยู่ในกรรมฐาน ที่ดัดนิสัย อยากทำตามใจตน เพราะอย่างน้อย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การทำเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าเดินตามรอยธรรมของพระภูมี ฝืนนิสัย แม้นจะเป็นชั่วครู่ชั่วยาม ก็เข้าตำรา "กำขี้ ดีกว่ากำตด" เพื่อผลในการฟื้นฟูตน จะมากน้อยก็แล้วแต่การกระทำของแต่ละบุคคล อย่างน้อยก็ให้ผลในระดับหนึ่งแน่นอน
และด้วยเหตุนี้ คนที่จะกล่าวอ้างว่า สมุนไพรดี ต้องช่วยให้หายโรคทุกคน จึงใช้ไม่ได้กับที่นี่ เพราะสมุนไพรที่นี่ ช่วยใครไม่ได้เลย หากแต่คนที่ทานเท่านั้นเอง ที่จักต้องช่วยตนให้พ้นจากโรคภัย ด้วยการเรียนรู้ ธรรมคำสอนของพระภูมีที่แท้จริง นำไปปฏิบัติ ควบคู่กับการทาน มาตรฐานของสมุนไพรจึงวัดกันที่ คำว่า "ใครทำ ใครได้" ต่างหาก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงตอกย้ำเสมอ ผู้ใดเชื่อ ฟังเหตุและผล และทำตาม ย่อมประสพผลในการหายโรคอย่างแน่นอน แม้นจักถึงพรหมลิขิต ก็ไม่ตายด้วยโรค หากแต่จะจากไปเหมือนคนแก่ ที่ตะเกียงหมดน้ำมัน ถึงเวลาง่วงนอน แล้วก็จากไป นี่จึงเป็นลาภที่พระภูมี ทรงตรัสสอนและทิ้งไว้ให้ ให้มนุษย์ผู้ที่อยากได้ นำไปทำ
เพราะฉะนั้น ต้องยอมรับความจริงที่ว่า แนวทางของพระภูมี ทำได้ยาก ผู้นิยมน้อย จึงไม่กะเกณฑ์อยู่แล้วว่า ต้องเป็นที่นิยมกันในคนหมู่มาก เพราะพุทธประวัติเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นแล้วว่า ธรรมของพระภูมีที่เลอเลิศ พาไปนิพพานได้ คนอินเดียเป็นร้อยล้านคน ยังมีคนชอบไม่ถึงแสนเลย
นั่นหมายความว่า ผู้ที่จะผ่านเข้ามาในวังวนนี้ ย่อมต้องทวนกระแสโลก กระแสสังคม ฝ่าคำด่า คำเสียดสี ไม่มากก็น้อย เป็นธรรมดา
ตัวอย่างอาทิเช่น คนไข้ที่มีดีกรีด๊อกเตอร์ทางกฎหมาย ที่ป่วยด้วยโรคไตวาย ขั้นสุดท้าย หมอกล่าวคำอมตะว่า มีชีวิตได้สูงสุดไม่เกินสามเดือน ที่ตัดสินใจมาหาทางเลือกสมุนไพร และเมื่อฟังคำสอนจากหลวงพ่อนิพนธ์ครั้งแรก ก็ตัดสินใจเด็ดขาดในทางเลือกนี้ ผลก็คือ คำด่าจากญาติทั่วสารทิศ คำอ้อนวอนจากบิดา ที่ชักชวนให้ไปใช้ในหนทางอื่นที่ตัวเองเชื่อ คำติติงจากหมอ เพื่อน... ผู้ซึ่งล้วนแต่ทางโลกเรียกว่าผู้หวังดี มีความรักใคร่ หรือ...
คำตอบจากเขาที่มีให้แก่คนเหล่านั้น แม้นว่าตัวเขาจะอายุเพิ่งวัยกลางคน คือ การนำคำสอนไปตอบว่า หากคำพยากรณ์ของหมอเป็นจริง นั่นก็หมายความว่า พรหมลิขิตของเขามีมาแค่นี้ ตัวเขาเองจะไม่โทษใคร ไม่อุทธรณ์ใดๆ หากแต่สิ่งที่ทำให้ผล ทุกวันที่เกินจากสามเดือนนี้ไป ก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิต และเป็นการเริ่มต้นที่จะเป็นคนดี ตามคำสอนของพระภูมี ที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้สอน
วันนี้ของด๊อกเตอร์ กลายเป็นจิตอาสา และมีอายุผ่านสามเดือนมาปีกว่าแล้ว โดยไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นอายุขัยเลย แข็งแรง ทำงานได้ และมาเป็นจิตอาสาให้ชมรมทุกวันพฤหัส
ก็แล้วจะมีสักกี่คนที่ฝ่าด่าน ทวนกระแสเหล่านั้น มาได้ตั่งด๊อกเตอร์ท่านนี้
ใครที่จะมาเดินแนวทางนี้ แล้วนำความคิดเอาเปรียบผู้อื่น เห็นแก่ตนมาใช้ในสถานที่นี้ สมุนไพรฟรี น้ำฟรี ไฟฟรี .... เอามือซุกกระเป๋า ไม่ยอมแม้นแต่รับผิดชอบในส่วนของตนใดๆเลย ขวดสักใบก็ไม่เคยหิ้วมา มะพร้าวสักลูกก็ไม่เคยแล พริกไทยสักขีด ... ทุกอย่างล้วนแต่วางเฉย คิดว่าตนได้ ... ท่านคิดผิดแล้ว และไม่มีวันประสพผล เพราะทางที่ท่านเดิน ... มันเป็นทางของชูชก มีแต่รอท้องแตกตาย
ห้องแลปของฝรั่ง อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ที่ตรวจแล้วตรวจอีก ก็ทำเลียนไม่ได้ ล่าสุด ห้องแลปของจีน ที่นำยาตาไปตรวจ ก็ต้องยอมรับว่า ทำไม่ได้ เขาจึงต้องยอมไง
ที่สำคัญ สมุนไพรและธรรมของพระภูมี ยิ่งไม่มีผลต่อมนุษย์ ที่พึ่งหาแต่พระเจ้า ให้ช่วยตน และปฏิเสธสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส นั่นคือ เรื่องกรรม ที่ทำให้ได้รู้ว่า ตายแล้วต้องเกิด คนเหล่านั้นจึงไม่สน ชีวิตนี้ทำอย่างไรก็ได้ ตายแล้วแล้วกัน .... พระพุทธเจ้าจึงให้ผู้ปฏิบัติ เป็นทางเลือกสำหรับคนเหล่านี้ นั่นคือ "อุเบกขา"
หมูไม่กลัวน้ำร้อน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงดำริว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า นับจากนี้ไปท่านก็จะมีทางหนีทีไล่ ดังนั้น จึงตัดสินใจ รับคนไข้เข้ามาฟื้นฟูสุขภาพ เต็มตัว
หลังจากเริ่มรับคนไข้มะเร็ง คนไข้อัมพฤกต์ ชุดแรกเข้ามา สาธารณสุขอำเภอก็เริ่มเข้ามาป้วนเปี้ยน ให้เห็นดังเช่นเคย
แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ตอนนี้ไม่สน หากจะโดนดำเนินคดีตามกฎหมาย ที่รับคนไข้โดยไม่มีใบอนุญาตจัดตั้งสถานพยาบาล เพราะเมื่อถึงวันนั้น ทางรัฐบาลพม่าก็เปิดรับ รออยู่แล้ว
ดังนั้น วันอาทิตย์ที่ผ่านมา คนไข้หนัก โดยเฉพาะคนไข้อัมพฤกต์ที่ต้องการฟื้นฟูตน หากมีช่วงเวลา และมีพี่เลี้ยง ก็ให้มายื่นความจำนงค์ที่เจ้าหน้าที่ เพื่อขอเข้ารับการฟื้นฟูได้
รายล่าสุดที่หลวงพ่อนิพนธ์รับไว้ ก็จัดว่าเป็นคนมีฐานะ หากแต่ด้วยความมีฐานะนี้เอง ทำให้สภาพของเขาที่พึ่งวิทยาศาสตร์ ความทันสมัยของทางการแพทย์ จนอาการเบาหวานของเขาอยู่ในขั้นวิกฤต และถูกหมอทิ้ง พร้อมกับคำกล่าวสุดท้ายว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป คนไข้ไม่สามารถทานอะไรได้อีก นอกจากมันต้มวันละประมาณ ๖ ชิ้น เท่านั้น แล้วก็รอวัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเน้นย้ำว่า มาถึงวันนี้ ไม่จำเป็นต้องง้อคนไข้อีกแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกรงกฎหมายอีก นั่นคือ การประกาศจุดเริ่มที่จะเน้นให้สมุนไพรโดดเด่น คนไข้ใดที่หมอทิ้ง คุยกันรู้เรื่อง แล้วทำตาม เชื่อในแนวทางนี้ จากเหตุและผลที่ให้ มาสู้กัน
ในทางกลับกัน คนไข้ที่มาแล้วไม่คิดจะทำตาม ด้วยประการใดๆก็ตาม ถึงเวลาแล้วที่จะต้องโละออกไป เพราะเป็นภาระที่สิ้นเปลือง และสูญเปล่า ทั้งผู้มาและผู้ให้
กติกาที่ตั้ง โดยเฉพาะห้องสวดมนต์ที่ต้องการความสงบ อันเป็นแนวทางของพระภูมีที่บัญญัติขึ้นเพื่อช่วยตน ก็จะไม่มีเจ้าหน้าที่คอยเตือนให้รำคาญ หากแต่จะมีกรรมการดูจากกล้อง แล้วทำหน้าที่คัดกรองคนที่ไม่มีคุณสมบัติ ออกไปแทน
ทั้งนี้เพื่อให้เหลือแต่แก่น หากแม้นจะมีคนเหลือไม่มาก ก็ไม่เป็นไร แต่เชื่อได้ว่า คนที่เหลือ เมื่อเชื่อ และทำตาม ต้องประสพผลในการช่วยตนอย่างแน่นอน ไม่สนว่าจะเป็นโรคอะไร
และด้วยความไม่เอื้ออำนวยของกฎหมายไทยนี้เอง ทำให้การจัดตั้งศูนย์ชุมพร มีความเป็นไปได้ยากในขณะนี้ หากแต่ก็โชคดี ที่คณะกรรมการสายอีสาน ร่วมกับสมาชิกเก่าที่ประสพผลในการฟื้นฟูตน ที่เป็นเชื้อสายเจ้าของประเทศลาว กำลังรวมตัวกันจัดตั้งศูนย์ขึ้นที่ชายแดนไทยลาว ในเขตประเทศลาวขึ้น
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า หากโครงการนี้เกิด ก็จะให้ชื่อว่า "บ้านมุทิตา"
วันนี้ฟังข่าวแล้วยิ่งห่อเหี่ยว คนไทยแบ่งฝ่ายกันสร้างม๊อบ หากแต่เพื่อใคร เพื่ออะไร กลับมาถามใจตนกันบ้างหรือไม่
สำหรับเรา ประเทศที่ใครๆดูถูกว่าล้าหลัง ป่าเถื่อน กำลังรวมตัว เพราะเห็นสิ่งดีๆที่อยู่ในประเทศไทย ไปไว้ในบ้านตน กลับไม่มีม๊อบคนไทย ที่จะหวงแหนสิ่งนี้เลย รอวันให้กฎหมายดีดสิ่งดีงามนี้ไปยังเพื่อนบ้าน .... ยิ่งดูก็ยิ่งเศร้า อะไรบังตาคนไทยกันหนอ
จึงอยากเตือนว่า คนที่ท่านกำลังไปต่อสู้ ฝ่ายรัฐบาลเก่า ออกกฎหมายทำให้วัตถุดิบที่นำมาทำสมุนไพรกลายเป็น วัตถุต้องห้าม ฝ่ายรัฐบาลใหม่ ก็สนับสนุนแต่แผนปัจจุบัน หามีใครเหลียวแลสิ่งดีนี้ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ไม่ ดังนั้น ตอนนี้ยังมีโอกาสที่สมุนไพรแม่ชีเมี้ยนยังอยู่ในประเทศไทย ก็รีบทาน รีบฟื้นฟูตนให้รอดปลอดภัย เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานเท่าใด หากถึงวันที่แผ่นดินนี้ไม่มีใครเอา หรือ คนทำเขาเบื่อแผ่นดินไทย อยากทานก็ไปพม่า ไปลาว แทนน่ะพี่น้อง
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
แบบนี้ดีกว่า
ความยากลำบากในการฟื้นฟูสุขภาพของคนไข้ ไม่ได้อยู่ที่โรค หากแต่เป็นนิสัย และพฤติกรรมเป็นสำคัญ
การเปิดกว้าง ทำให้คนไข้ที่ยังมีทางเลือก เมื่อทานสมุนไพรไประยะหนึ่ง ก็มีโอกาสหันเหไปในทางเลือกที่มีได้โดยง่าย โดยเฉพาะ ประเภทที่ยังมีเงินพอสำหรับทางเลือกนั้นๆ
ความล้มเหลว หรือเสียเปล่า จึงเกิดขึ้นมากมาย ในช่วงเวลาที่ผ่านมา และที่สำคัญนั่นคือ คนเหล่านั้นมักจะไม่ให้ความสำคัญ ในสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์อยากให้ทำ ในการสร้างคุณสมบัติ
ข้อพิสูจน์ที่เด่นชัด นั่นก็ดูจากกองสมุนไพร หรือแม้กระทั่งขวดน้ำ ที่เก็บคืนมาเพื่อใส่สมุนไพร ไม่มีวี่แววจะเข้าเป้า ตามหลักตนพึ่งตน ก็ยังต้องอาศัยน้ำเลี้ยงพิเศษอยู่ดี
มาวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า น่าจะถึงเวลาที่จะเลือกและคัดคนไข้ เพื่อให้เหลือเฉพาะคนที่เชื่อ คนที่ทำตาม เน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ
สัปดาห์ที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงรับคนไข้หนัก ที่ทุกคนมีคุณสมบัติข้อหนึ่งเหมือนกัน คือ หมดทางเลือก
รายแรกเป็นชาวต่างชาติ ติดยาเสพติดและเหล้าอย่างหนัก พร้อมกับมีโรคประจำตัว เคยผ่านการฆ่าตัวตายสองครั้ง แต่ก็ถูกช่วยไว้ จนได้ข่าวถ้ำกระบอก ก็เดินทางมาเมืองไทย ติดต่อกับเพื่อนของพ่อที่เมืองไทย หากแต่เผอิญเพื่อนของพ่อ เป็นกรรมการของมูลนิธิไทยกรุณา จึงชักชวนมาหาหลวงพ่อนิพนธ์
รายที่สอง มารดาเป็นมะเร็งปอด อาการเข้าขั้นวิกฤต ลูกสาวเป็นทหาร ขอลาหัวหน้าเพื่อพาแม่มาเข้าคอร์ส ก็ได้รับความอนุเคราะห์ให้ลาได้ แต่มีข้อแม้ว่า เงินเดือนต้องให้หัวหน้า เธอจึงมาพร้อมกับบอกว่า หลวงพ่อค่ะ หนูไม่มีเงิน เพราะหมดไปกับการรักษาแม่ และก็ตอนนี้เงินเดือนก็ไม่ได้ด้วย
รายที่สามสองสามีภรรยา ภรรยาเป็นโรคเก๊าต์ มีอาการปวดข้อรุนแรง แต่ก็่จำต้องทำหน้าที่คนขับ ให้สามี เพราะสามีของเธอ เป็นโรคที่หมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ อาการที่ปรากฎคือ สามารถวูบได้ทุกวินาที จนสามีทนอาการไม่ไหว ขออนุญาตภรรยาฆ่าตัวตาย เธอจึงต้องทำหน้าที่ประกบสามีตลอด
คนไข้เหล่านี้ จึงเป็นคนที่เหมาะสมกับแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน เพราะหมดทางเลือก เมื่อทำความเข้าใจ ยอมรับ ก็พูดง่าย ว่าอย่างไรก็ทำตาม
นับจากวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นโยบายต่อจากนี้ คือ ปล่อยตามอิสระ เมื่อเข้าห้องสวดมนต์ ก็จะไม่เจ้าหน้าที่ไปคอยจ้ำจี้จำไช ให้เสียอารมณ์อีก แต่จะมีกรรมการที่เฝ้าดูคุณสมบัติของสมาชิก และตัดสินใจ ในการที่จะขอสงวนสิทธิ์ไม่ให้บริการ สำหรับผู้ที่พิจารณาแล้วว่า คุณสมบัติไม่ได้ ซึ่้งจะเป็นการสูญเปล่าทั้งตัวสมาชิกเองและชมรม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงฝากทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ท่านสอน นำไปพิจารณา แล้วตัดสินใจ ไม่ชอบ หรือรับไม่ได้ ก็ไม่ต้องมา ไม่ว่ากัน ให้เหลือเฉพาะคนที่ชอบ เชื่อ และทำตาม มาพิสูจน์หลักพระภูมี เดินไปด้วยกัน แล้วให้วันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ภาพที่จะเห็นในอนาคตอันใกล้ นั่นคือ จำนวนคนที่จะเริ่มลดลง จนเหลือแต่คนที่อยากได้ อยากเดินตามจริงๆ แล้ว ก็จะเริ่มเพิ่มจำนวนอีกครั้งอย่างทวีคูณ เมื่อการหายของคนเหล่านี้ เพิ่มจำนวนมากขึ้น เสียงก็ยิ่งดังขึ้น
ภาพคนเดินตัวเปล่ามา ภาพคนนั่งคุย ภาพคนนิ่งดูดาย ก็จะเลือนหายไป เพราะคนที่มารู้หน้าที่ของตน และรู้ว่าหากจะช่วยตนต้องทำอย่างไร
ก็ดูอย่างอัมพฤกตที่นอนแข็งกระดิกพลิกตัวเองไม่ได้ ฟังหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ตัวเราเหลือสิ่งใด ก็นำสิ่งนั้นมาทำประโยชน์ ยังคิดได้ ขอให้คนต่อเก้าอี้ไม้ แล้วไปตั้ง เพื่อที่จะนั่งดูเป็นหูเป็นตาแทนหลวงพ่อนิพนธ์ ในสวนสมุนไพร .... ทำตนเป็นคนมีค่า วันนี้ ลุกขึ้นมาใช้ไม้เท้าเดินได้แล้ว
ชีวิตตน หากหาคุณค่าอะไรไม่ได้ ... ฟ้าเขาก็ต้องถาม แล้วจะกู้มาทำไม ยิ่งถ้ากู้มาทำชั่ว ทำพฤติกรรมเหมือนเดิมที่ผิดจนผลผิดเกิด .... ฟ้าคงไม่ช่วยกู้เป็นแน่แท้
การเปิดกว้าง ทำให้คนไข้ที่ยังมีทางเลือก เมื่อทานสมุนไพรไประยะหนึ่ง ก็มีโอกาสหันเหไปในทางเลือกที่มีได้โดยง่าย โดยเฉพาะ ประเภทที่ยังมีเงินพอสำหรับทางเลือกนั้นๆ
ความล้มเหลว หรือเสียเปล่า จึงเกิดขึ้นมากมาย ในช่วงเวลาที่ผ่านมา และที่สำคัญนั่นคือ คนเหล่านั้นมักจะไม่ให้ความสำคัญ ในสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์อยากให้ทำ ในการสร้างคุณสมบัติ
ข้อพิสูจน์ที่เด่นชัด นั่นก็ดูจากกองสมุนไพร หรือแม้กระทั่งขวดน้ำ ที่เก็บคืนมาเพื่อใส่สมุนไพร ไม่มีวี่แววจะเข้าเป้า ตามหลักตนพึ่งตน ก็ยังต้องอาศัยน้ำเลี้ยงพิเศษอยู่ดี
มาวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า น่าจะถึงเวลาที่จะเลือกและคัดคนไข้ เพื่อให้เหลือเฉพาะคนที่เชื่อ คนที่ทำตาม เน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ
สัปดาห์ที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงรับคนไข้หนัก ที่ทุกคนมีคุณสมบัติข้อหนึ่งเหมือนกัน คือ หมดทางเลือก
รายแรกเป็นชาวต่างชาติ ติดยาเสพติดและเหล้าอย่างหนัก พร้อมกับมีโรคประจำตัว เคยผ่านการฆ่าตัวตายสองครั้ง แต่ก็ถูกช่วยไว้ จนได้ข่าวถ้ำกระบอก ก็เดินทางมาเมืองไทย ติดต่อกับเพื่อนของพ่อที่เมืองไทย หากแต่เผอิญเพื่อนของพ่อ เป็นกรรมการของมูลนิธิไทยกรุณา จึงชักชวนมาหาหลวงพ่อนิพนธ์
รายที่สอง มารดาเป็นมะเร็งปอด อาการเข้าขั้นวิกฤต ลูกสาวเป็นทหาร ขอลาหัวหน้าเพื่อพาแม่มาเข้าคอร์ส ก็ได้รับความอนุเคราะห์ให้ลาได้ แต่มีข้อแม้ว่า เงินเดือนต้องให้หัวหน้า เธอจึงมาพร้อมกับบอกว่า หลวงพ่อค่ะ หนูไม่มีเงิน เพราะหมดไปกับการรักษาแม่ และก็ตอนนี้เงินเดือนก็ไม่ได้ด้วย
รายที่สามสองสามีภรรยา ภรรยาเป็นโรคเก๊าต์ มีอาการปวดข้อรุนแรง แต่ก็่จำต้องทำหน้าที่คนขับ ให้สามี เพราะสามีของเธอ เป็นโรคที่หมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ อาการที่ปรากฎคือ สามารถวูบได้ทุกวินาที จนสามีทนอาการไม่ไหว ขออนุญาตภรรยาฆ่าตัวตาย เธอจึงต้องทำหน้าที่ประกบสามีตลอด
คนไข้เหล่านี้ จึงเป็นคนที่เหมาะสมกับแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน เพราะหมดทางเลือก เมื่อทำความเข้าใจ ยอมรับ ก็พูดง่าย ว่าอย่างไรก็ทำตาม
นับจากวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นโยบายต่อจากนี้ คือ ปล่อยตามอิสระ เมื่อเข้าห้องสวดมนต์ ก็จะไม่เจ้าหน้าที่ไปคอยจ้ำจี้จำไช ให้เสียอารมณ์อีก แต่จะมีกรรมการที่เฝ้าดูคุณสมบัติของสมาชิก และตัดสินใจ ในการที่จะขอสงวนสิทธิ์ไม่ให้บริการ สำหรับผู้ที่พิจารณาแล้วว่า คุณสมบัติไม่ได้ ซึ่้งจะเป็นการสูญเปล่าทั้งตัวสมาชิกเองและชมรม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงฝากทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ท่านสอน นำไปพิจารณา แล้วตัดสินใจ ไม่ชอบ หรือรับไม่ได้ ก็ไม่ต้องมา ไม่ว่ากัน ให้เหลือเฉพาะคนที่ชอบ เชื่อ และทำตาม มาพิสูจน์หลักพระภูมี เดินไปด้วยกัน แล้วให้วันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ภาพที่จะเห็นในอนาคตอันใกล้ นั่นคือ จำนวนคนที่จะเริ่มลดลง จนเหลือแต่คนที่อยากได้ อยากเดินตามจริงๆ แล้ว ก็จะเริ่มเพิ่มจำนวนอีกครั้งอย่างทวีคูณ เมื่อการหายของคนเหล่านี้ เพิ่มจำนวนมากขึ้น เสียงก็ยิ่งดังขึ้น
ภาพคนเดินตัวเปล่ามา ภาพคนนั่งคุย ภาพคนนิ่งดูดาย ก็จะเลือนหายไป เพราะคนที่มารู้หน้าที่ของตน และรู้ว่าหากจะช่วยตนต้องทำอย่างไร
ก็ดูอย่างอัมพฤกตที่นอนแข็งกระดิกพลิกตัวเองไม่ได้ ฟังหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ตัวเราเหลือสิ่งใด ก็นำสิ่งนั้นมาทำประโยชน์ ยังคิดได้ ขอให้คนต่อเก้าอี้ไม้ แล้วไปตั้ง เพื่อที่จะนั่งดูเป็นหูเป็นตาแทนหลวงพ่อนิพนธ์ ในสวนสมุนไพร .... ทำตนเป็นคนมีค่า วันนี้ ลุกขึ้นมาใช้ไม้เท้าเดินได้แล้ว
ชีวิตตน หากหาคุณค่าอะไรไม่ได้ ... ฟ้าเขาก็ต้องถาม แล้วจะกู้มาทำไม ยิ่งถ้ากู้มาทำชั่ว ทำพฤติกรรมเหมือนเดิมที่ผิดจนผลผิดเกิด .... ฟ้าคงไม่ช่วยกู้เป็นแน่แท้
วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
เซอร์ไพรส์
ในวันที่ ๑๘ - ๑๙ พฤศจิกายน ศกนี่้ หลวงพ่อนิพนธ์ได้รับปากที่จะให้การช่วยเหลือในวัสดุอุปกรณ์ที่ขาดแคลน แก่โรงเรียนของพม่า ที่บ้านมิต้า รัฐทวาย ในเขตพื้นที่ที่จะจัดตั้งศูนย์
ดังนั้นในระหว่างนี้ คณะกรรมการและสมาชิกที่ได้รับรู้ ก็ได้จัดหาสิ่งของที่โรงเรียนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์การเรียน เครื่่องกีฬา ที่สำคัญที่หลวงพ่อนิพนธ์เล็งเห็นนั่นคือ เด็กนักเรียนที่นั่นเกือบทั้งหมด ไม่มีรองเท้า
หลังจากรวบรวมได้ ก็แจ้งวันให้แก่โรงเรียนพม่าได้ทราบถึงหมายกำหนดการในการนำสิ่งของไปให้
ความข้อนี้ รู้ไปถึงหูของฝ่ายบริหารของพม่า และข้าราชการ ทำให้รู้สึกยินดี และตอบรับในน้ำใจของหลวงพ่อนิพนธ์ หน่วยเหนือจึงสั่งการให้หัวหน้าตำรวจที่คุมพื้นที่ในรัฐทวาย มาอำนวยความสะดวกให้ อีกแรงหนึ่ง ร่วมกับทหาร
ทั้งนี้ได้ให้ท่าน ส.ว.แจ้งแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่ารัฐบาลพม่าได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก จึงอยากจะทำเซอร์ไพรส์แก่หลวงพ่อนิพนธ์แสดงให้เห็นว่ารัฐบาล ข้าราชการและเอกชน พร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนกิจกรรมทุกอย่างของหลวงพ่อนิพนธ์ โดยประการแรก ในกิจกรรมครั้งนี้ จะมีหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ และทีวีทุกช่องของพม่า มาทำข่าว
และทางพม่าขออุบเซอไพรส์ อีกประการหนึ่งไว้ก่อน แต่แย้มๆ ว่า ในกิจกรรมครั้งนี้ของหลวงพ่อนิพนธ์ จักมีดาราของพม่า และบุคคลสำคัญของพม่าหลายท่านมาเข้าร่วมกิจกรรม แต่ยังไม่ขอบอกว่าเป็นใคร
ของสิ่งเดียวกัน อยู่แผ่นดินหนึ่ง ถูกมองว่าเป็นผู้ที่ดำเนินการเพื่อทำผิดกฎหมาย รอจ้องจับ จ้องล้ม แต่อยู่อีกแผ่นดินหนึ่ง ดั่งของวิเศษ มหัศจรรย์ ที่ต้องให้ความเทิดทูน รักษา ดูแลอย่างสุงสุด ... นี่แหละที่เราว่า เซอไพรส์ ของจริง
จึงอยากเชิญชวน ใครมีเวลา ไปดูพม่าเขามองสิ่งดีๆ ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้อย่างไร ที่พม่ากันดีกว่า
ก็ไม่ต้องแปลกใจ ที่ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเปลี่ยนมาใช้มาตราการดั่งเช่นครั้งถ้ำกระบอก เฟ้นหาคนที่อยากหายโรคและทำตาม มาใช้ในวันนี้ .... อีกไม่นาน เราท่านจักเห็นคนหายโรค ออกมาโชว์ให้คนไทยอยาก และเสียดาย กว่าจะรู้ตัวว่าเสียสิ่งมีค่าที่สุดในแผ่นดินให้พม่าไปเสียแล้ว ก็สายไปแล้ว
คำเตือนเล็กๆ จากหลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ตอนนี้แม่ชีเมี้ยนสร้างบ้านใหม่ให้แล้ว คนไทยอย่าดื้อกันนัก หากเกิดอารมณ์หมั่นไส้ ก็จักปิดศูนย์ที่นี่ ถ้าอยากทาน ตามไปพม่าโน่นแทนก็แล้วกัน ... วันนี้ยังมีให้ทาน ก็รีบทาน รีบทำ รีบหายซะ
ดังนั้นในระหว่างนี้ คณะกรรมการและสมาชิกที่ได้รับรู้ ก็ได้จัดหาสิ่งของที่โรงเรียนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์การเรียน เครื่่องกีฬา ที่สำคัญที่หลวงพ่อนิพนธ์เล็งเห็นนั่นคือ เด็กนักเรียนที่นั่นเกือบทั้งหมด ไม่มีรองเท้า
หลังจากรวบรวมได้ ก็แจ้งวันให้แก่โรงเรียนพม่าได้ทราบถึงหมายกำหนดการในการนำสิ่งของไปให้
ความข้อนี้ รู้ไปถึงหูของฝ่ายบริหารของพม่า และข้าราชการ ทำให้รู้สึกยินดี และตอบรับในน้ำใจของหลวงพ่อนิพนธ์ หน่วยเหนือจึงสั่งการให้หัวหน้าตำรวจที่คุมพื้นที่ในรัฐทวาย มาอำนวยความสะดวกให้ อีกแรงหนึ่ง ร่วมกับทหาร
ทั้งนี้ได้ให้ท่าน ส.ว.แจ้งแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่ารัฐบาลพม่าได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก จึงอยากจะทำเซอร์ไพรส์แก่หลวงพ่อนิพนธ์แสดงให้เห็นว่ารัฐบาล ข้าราชการและเอกชน พร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนกิจกรรมทุกอย่างของหลวงพ่อนิพนธ์ โดยประการแรก ในกิจกรรมครั้งนี้ จะมีหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ และทีวีทุกช่องของพม่า มาทำข่าว
และทางพม่าขออุบเซอไพรส์ อีกประการหนึ่งไว้ก่อน แต่แย้มๆ ว่า ในกิจกรรมครั้งนี้ของหลวงพ่อนิพนธ์ จักมีดาราของพม่า และบุคคลสำคัญของพม่าหลายท่านมาเข้าร่วมกิจกรรม แต่ยังไม่ขอบอกว่าเป็นใคร
ของสิ่งเดียวกัน อยู่แผ่นดินหนึ่ง ถูกมองว่าเป็นผู้ที่ดำเนินการเพื่อทำผิดกฎหมาย รอจ้องจับ จ้องล้ม แต่อยู่อีกแผ่นดินหนึ่ง ดั่งของวิเศษ มหัศจรรย์ ที่ต้องให้ความเทิดทูน รักษา ดูแลอย่างสุงสุด ... นี่แหละที่เราว่า เซอไพรส์ ของจริง
จึงอยากเชิญชวน ใครมีเวลา ไปดูพม่าเขามองสิ่งดีๆ ที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้อย่างไร ที่พม่ากันดีกว่า
ก็ไม่ต้องแปลกใจ ที่ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเปลี่ยนมาใช้มาตราการดั่งเช่นครั้งถ้ำกระบอก เฟ้นหาคนที่อยากหายโรคและทำตาม มาใช้ในวันนี้ .... อีกไม่นาน เราท่านจักเห็นคนหายโรค ออกมาโชว์ให้คนไทยอยาก และเสียดาย กว่าจะรู้ตัวว่าเสียสิ่งมีค่าที่สุดในแผ่นดินให้พม่าไปเสียแล้ว ก็สายไปแล้ว
คำเตือนเล็กๆ จากหลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ตอนนี้แม่ชีเมี้ยนสร้างบ้านใหม่ให้แล้ว คนไทยอย่าดื้อกันนัก หากเกิดอารมณ์หมั่นไส้ ก็จักปิดศูนย์ที่นี่ ถ้าอยากทาน ตามไปพม่าโน่นแทนก็แล้วกัน ... วันนี้ยังมีให้ทาน ก็รีบทาน รีบทำ รีบหายซะ
ปวดของมะเร็ง
คนไข้ท่านหนึ่งสอบถามอาการมะเร็งของพ่อ กับหลวงพ่อนิพนธ์ โดยเฉพาะอาการปวด และการปรากฎขึ้นที่ใหม่ ในขณะที่ที่เดิมนั้นมีสภาพที่ดีขึ้น
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ความล่าช้าในการมา ทำให้สภาพร่างกายที่ฟื้นตัว ไม่สามารถทำให้กลายสภาพเนื้อร้ายเป็นเนื้อดีได้
และเหตุที่มะเร็งเป็นเซลล์ที่ดำรงอยู่ได้ด้วยเลือดของผู้ป่วย เมื่อถึงระยะสุดท้ายของมะเร็ง ผู้ป่วยที่มามักจะอยู่ในสภาวะวิกฤต นั่นคือ เลือดไม่พอ หรือเลือดน้อย ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรงขึ้นไปตามปริมาณเลือดที่ลดลง
การทานอาหาร และสมุนไพร จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับอย่างเพียงพอ เพื่อสร้างกำลัง และฟื้นฟูร่างกาย โดยเฉพาะเลือด แต่ด้วยเหตุที่สมุนไพรมาทีหลัง ดังนั้น การปฏิเสธที่จะไม่ปวดเลย จึงเป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุที่โรคเป็นสิ่งมีชีวิต จึงมีอายุขัยเช่นกัน ในสภาวะเช่นนี้ การทานสมุนไพร ร่างกายจะใช้วิธีการสร้างภูมิต้านทาน และรองรับอาการ โดยอาศัย การปวดนั้นๆเป็นตัวกระตุ้น ให้ร่างกายรับรู้และฟื้นตัวได้เร็ว
คนไข้ระยะสุดท้าย จึงจำต้องมีอาการปวดเป็นระยะ และต้องทานสมุนไพรให้ได้ปริมาณ ร่างกายจึงจะเริ่มสร้างภูมิไว้รับอาการปวด และสร้างเลือด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า ช่วงนี้ โรคก็จะค่อยๆ เริ่มแสดงความโตเต็มที่ ในขณะที่ร่างกายก็ค่อยๆอาศัยอาหารและสมุนไพร สร้างภูมิ ตามระยะวันเวลาในการทานเช่นกัน ผลก็ไปวัดกันตอนวันสุดท้ายของโรค หรือครบอายุขัยของโรค ที่เรียกันว่าวันลงแดง ที่โรคจะแสดงพลังครั้งสุดท้าย ในการทำหน้าที่
อันหมายความว่า หากเป็นพรหมลิขิต วันที่โรคดับอายุขัย เจ้าของร่างกายก็ดับด้วย ในลักษณะเช่นนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ร่างกายก็จะใช้ภูมิต่อสู้ ทำให้อาการปวดไม่ถึงกับขั้นทุรนทุรายทนไม่ได้ หรือถ้ามีวันเวลาในการทานนานพอ ก็อาจจะแทบไม่ปวดเลย แต่ท้ายที่สุดก็ต้องตาย เพราะถึงกำหนดพรหมลิขิตแล้วนั่นเอง
หากแต่การตาย ก็ไม่ได้ตายเพราะโรค แต่ด้วยเหตุแห่งถึงพรหมลิขิต ภาษาพระเรียกว่า ตายดี ตายสงบ นั่นเอง
หากแต่เมื่อยังไม่ถึงพรหมลิขิต เมื่อถึงวันลงแดง ก็จะมีอาการปวดเช่นกัน หากแต่ร่างกายจะรับได้ และเพื่อพ้นก็จะฟื้นฟูกลับมาได้เร็ว ดั่งเช่นจิตอาสาผู้หญิงที่เป็นมะเร็งลำไส้ นอนดิ้นไปมา สองวันเต็มๆ และเมื่อร่างกายทนได้ วันที่สามเมื่อถ่ายเป็นมูกเลือดออกมาประมาณกระโถนหนึ่ง อาการปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง นั่นคือการหายโรค
หากแต่ในช่วงวิกฤตเหล่านี้ สำหรับคนไข้มะเร็งที่อยู่ในระยะสุดท้าย ต้องการสมุนไพรที่เพียงพอในการฟื้นฟูตน เรียกได้ว่า บางคนต้องทานสมุนไพรเขียว วันละสามขวดเลยก็ว่าได้ ต้องทานสมุนไพรมะพร้าวทุกวัน และบางท่านอาจต้องเข้ากระโจมทุกวัน เพื่อรีดน้ำออกจากตัวไม่ให้ท่วมปวด ในขณะที่อวัยวะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่
และในช่วยสุดท้ายในการดิ้นรนของโรคมะเร็งนี้เอง หากคนไข้ไปตรวจร่างกาย ก็อาจจะพบปรากฎการณ์การดิ้นรนนี้ ในการพยายามของโรคมะเร็งที่จะไปเกิดในที่ใหม่ แทนที่เดิม ที่ถูกสมุนไพรบล๊อคเอาไว้ ผลก็คือ วิตกจริตที่ทำให้คนไข้กังวล
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า อยู่ดีไม่ว่าดี แกว่งตีนหาเสี้ยน ทำให้จิตวิตกเปล่าๆ เพราะการไปตรวจ ถึงแม้นหมอจักพบ แล้วทำอะไรได้ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หากแต่การวิตกจริตก็จักทำให้ไปเข้าคอร์ส ใช้ยาเคมี จนกลายเป็นดาบสองดาบสาม ทำร้ายร่างกาย จนไม่สามารถฟื้นฟูได้อีก
หลายคนมาเจอเรา ถามว่าอาการวิกฤตอยากปรึกษาหลวงพ่อนิพนธ์ แต่ไม่กล้า ... ก็ด้านได้ อายอด ชีวิตเราเอง ... หลวงพ่อนิพนธ์เป็นพระ สิ่งที่ทำให้เราท่านกลัวพระ ก็คือผีกรรมนั่นเอง
คำปรึกษา และสมุนไพรที่พอเพียง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล เกินกว่าเจ้าหน้าที่คนใดๆ จะตอบแทนได้ .... ไม่กล้าเข้าหาพระ แล้วเมื่อไหร่ผีจะออก ...
หากบรรยายวิธีการชนะโรคร้ายแรง ที่อยู่ในขั้นวิกฤต ก็เฉกเช่นเดียวกัน กับหนังหุ่นยนต์ชกมวย ที่หุ่นอะตอม ใช้ต่อสู้กับซุส หุ่นยักษ์ ที่ทรงพลัง นั่นคือ ต้องใช้สติ ความขันติ อดทน รอเวลาและยืนให้ได้ จนกว่าพลังของคู่ต่อสู้จะหมดลงนั่นเอง
ภาษาที่หลวงพ่อนิพนธ์ใช้ ก็คือ ทำให้โรคตายก่อนเรา
ดังนั้น การปวดก็คือตัวกระตุ้น ดั่งคำ ศัตรูคือยากำลัง ที่ทำให้ร่างกายตื่นตัว สร้างภูมิ มีประโยชน์หลายประการ ได้ใช้ทั้งกรรม ได้สร้างภูมิให้แข็งแกร่งเหมือนนักกีฬา
ด้วยความรู้นี้ ทำให้เราท่านสงบอยู่ในกรรมฐาน แม้นร่างกายจะปวดสักฉันใด ก็ยังยิ้มได้ เพราะเราท่านเดินตามรอยพระภูมี กรรมของเรา เราทำมา เรายอมใช้ เมื่อใช้ย่อมมีวันหมด และเมื่อหมดวันใด นั่นแหละคือการหายโรค และจะไม่กลับมาปวดอีกเลย
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ความล่าช้าในการมา ทำให้สภาพร่างกายที่ฟื้นตัว ไม่สามารถทำให้กลายสภาพเนื้อร้ายเป็นเนื้อดีได้
และเหตุที่มะเร็งเป็นเซลล์ที่ดำรงอยู่ได้ด้วยเลือดของผู้ป่วย เมื่อถึงระยะสุดท้ายของมะเร็ง ผู้ป่วยที่มามักจะอยู่ในสภาวะวิกฤต นั่นคือ เลือดไม่พอ หรือเลือดน้อย ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรงขึ้นไปตามปริมาณเลือดที่ลดลง
การทานอาหาร และสมุนไพร จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับอย่างเพียงพอ เพื่อสร้างกำลัง และฟื้นฟูร่างกาย โดยเฉพาะเลือด แต่ด้วยเหตุที่สมุนไพรมาทีหลัง ดังนั้น การปฏิเสธที่จะไม่ปวดเลย จึงเป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุที่โรคเป็นสิ่งมีชีวิต จึงมีอายุขัยเช่นกัน ในสภาวะเช่นนี้ การทานสมุนไพร ร่างกายจะใช้วิธีการสร้างภูมิต้านทาน และรองรับอาการ โดยอาศัย การปวดนั้นๆเป็นตัวกระตุ้น ให้ร่างกายรับรู้และฟื้นตัวได้เร็ว
คนไข้ระยะสุดท้าย จึงจำต้องมีอาการปวดเป็นระยะ และต้องทานสมุนไพรให้ได้ปริมาณ ร่างกายจึงจะเริ่มสร้างภูมิไว้รับอาการปวด และสร้างเลือด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า ช่วงนี้ โรคก็จะค่อยๆ เริ่มแสดงความโตเต็มที่ ในขณะที่ร่างกายก็ค่อยๆอาศัยอาหารและสมุนไพร สร้างภูมิ ตามระยะวันเวลาในการทานเช่นกัน ผลก็ไปวัดกันตอนวันสุดท้ายของโรค หรือครบอายุขัยของโรค ที่เรียกันว่าวันลงแดง ที่โรคจะแสดงพลังครั้งสุดท้าย ในการทำหน้าที่
อันหมายความว่า หากเป็นพรหมลิขิต วันที่โรคดับอายุขัย เจ้าของร่างกายก็ดับด้วย ในลักษณะเช่นนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ร่างกายก็จะใช้ภูมิต่อสู้ ทำให้อาการปวดไม่ถึงกับขั้นทุรนทุรายทนไม่ได้ หรือถ้ามีวันเวลาในการทานนานพอ ก็อาจจะแทบไม่ปวดเลย แต่ท้ายที่สุดก็ต้องตาย เพราะถึงกำหนดพรหมลิขิตแล้วนั่นเอง
หากแต่การตาย ก็ไม่ได้ตายเพราะโรค แต่ด้วยเหตุแห่งถึงพรหมลิขิต ภาษาพระเรียกว่า ตายดี ตายสงบ นั่นเอง
หากแต่เมื่อยังไม่ถึงพรหมลิขิต เมื่อถึงวันลงแดง ก็จะมีอาการปวดเช่นกัน หากแต่ร่างกายจะรับได้ และเพื่อพ้นก็จะฟื้นฟูกลับมาได้เร็ว ดั่งเช่นจิตอาสาผู้หญิงที่เป็นมะเร็งลำไส้ นอนดิ้นไปมา สองวันเต็มๆ และเมื่อร่างกายทนได้ วันที่สามเมื่อถ่ายเป็นมูกเลือดออกมาประมาณกระโถนหนึ่ง อาการปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง นั่นคือการหายโรค
หากแต่ในช่วงวิกฤตเหล่านี้ สำหรับคนไข้มะเร็งที่อยู่ในระยะสุดท้าย ต้องการสมุนไพรที่เพียงพอในการฟื้นฟูตน เรียกได้ว่า บางคนต้องทานสมุนไพรเขียว วันละสามขวดเลยก็ว่าได้ ต้องทานสมุนไพรมะพร้าวทุกวัน และบางท่านอาจต้องเข้ากระโจมทุกวัน เพื่อรีดน้ำออกจากตัวไม่ให้ท่วมปวด ในขณะที่อวัยวะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่
และในช่วยสุดท้ายในการดิ้นรนของโรคมะเร็งนี้เอง หากคนไข้ไปตรวจร่างกาย ก็อาจจะพบปรากฎการณ์การดิ้นรนนี้ ในการพยายามของโรคมะเร็งที่จะไปเกิดในที่ใหม่ แทนที่เดิม ที่ถูกสมุนไพรบล๊อคเอาไว้ ผลก็คือ วิตกจริตที่ทำให้คนไข้กังวล
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า อยู่ดีไม่ว่าดี แกว่งตีนหาเสี้ยน ทำให้จิตวิตกเปล่าๆ เพราะการไปตรวจ ถึงแม้นหมอจักพบ แล้วทำอะไรได้ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หากแต่การวิตกจริตก็จักทำให้ไปเข้าคอร์ส ใช้ยาเคมี จนกลายเป็นดาบสองดาบสาม ทำร้ายร่างกาย จนไม่สามารถฟื้นฟูได้อีก
หลายคนมาเจอเรา ถามว่าอาการวิกฤตอยากปรึกษาหลวงพ่อนิพนธ์ แต่ไม่กล้า ... ก็ด้านได้ อายอด ชีวิตเราเอง ... หลวงพ่อนิพนธ์เป็นพระ สิ่งที่ทำให้เราท่านกลัวพระ ก็คือผีกรรมนั่นเอง
คำปรึกษา และสมุนไพรที่พอเพียง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล เกินกว่าเจ้าหน้าที่คนใดๆ จะตอบแทนได้ .... ไม่กล้าเข้าหาพระ แล้วเมื่อไหร่ผีจะออก ...
หากบรรยายวิธีการชนะโรคร้ายแรง ที่อยู่ในขั้นวิกฤต ก็เฉกเช่นเดียวกัน กับหนังหุ่นยนต์ชกมวย ที่หุ่นอะตอม ใช้ต่อสู้กับซุส หุ่นยักษ์ ที่ทรงพลัง นั่นคือ ต้องใช้สติ ความขันติ อดทน รอเวลาและยืนให้ได้ จนกว่าพลังของคู่ต่อสู้จะหมดลงนั่นเอง
ภาษาที่หลวงพ่อนิพนธ์ใช้ ก็คือ ทำให้โรคตายก่อนเรา
ดังนั้น การปวดก็คือตัวกระตุ้น ดั่งคำ ศัตรูคือยากำลัง ที่ทำให้ร่างกายตื่นตัว สร้างภูมิ มีประโยชน์หลายประการ ได้ใช้ทั้งกรรม ได้สร้างภูมิให้แข็งแกร่งเหมือนนักกีฬา
ด้วยความรู้นี้ ทำให้เราท่านสงบอยู่ในกรรมฐาน แม้นร่างกายจะปวดสักฉันใด ก็ยังยิ้มได้ เพราะเราท่านเดินตามรอยพระภูมี กรรมของเรา เราทำมา เรายอมใช้ เมื่อใช้ย่อมมีวันหมด และเมื่อหมดวันใด นั่นแหละคือการหายโรค และจะไม่กลับมาปวดอีกเลย
วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ถึงเวลาหาแก่น
หลังจากผ่านการอดทนมาตลอด ๒๕ ปี เพื่องอนง้อคน ให้มาใช้แนวทางสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา
ณ.วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ประกาศว่า หลังจากการวางศิลาฤกษ์ เป็นต้นไป นั่นหมายความว่า การดำเนินกิจกรรมไม่ว่าฝั่งไทย หรือฝั่งพม่า นั่นคือ ต้องเดินทางตามแนวพระภูมี แสดงเอกลักษณ์ให้โดดเด่น เพื่อให้ผลพึงบังเกิด
นั่นหมายความว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีการง้อคนโดยเด็ดขาด กฎกติกาที่กำหนด หากใครไม่ทำ หรือไม่พร้อมจะทำ ทางชมรมจะคัดออก เหลือไว้แต่เฉพาะคนที่เชื่อและทำตาม เพื่อให้ผลเกิดเป็นรูปธรรมที่เด่นชัด และรวดเร็วไม่ยืดเยื้อ
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา จึงประกาศว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้องแสดงเอกลักษณ์ของพระภูมี นั่นคือ ความสงบ โดยเฉพาะในห้องสวดมนต์ ผู้ใดไม่ทำ หรือทำไม่ได้ ก็จะถูกคัดออกไปจากการเป็นสมาชิก จะให้เหลือแต่ผู้ทำได้ ไม่จำเป็นต้องมีปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลทั้งแก่ผู้ทำให้และคนไข้
วันเวลาเปลี่ยนไป ความแรงแห่งกรรมที่มาเยือน ก็ต้องเผชิญความแรงแห่งการกระทำ หรือความเคร่ง ของผู้ปฏิบัติ ให้สมน้ำสมเนื้อกัน ... ท่านใดที่เคยชินกับพฤติกรรมของตนแบบเดิมๆ ก็พึงระวัง ... เพราะถึงวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ประกาศแล้วว่า .... คัดเฉพาะคนทำได้ เพราะใครทำ ใครได้ จะไม่เสียเวลา เสียสมุนไพร กับคนที่มาแล้วไม่ทำอีกเป็นอันขาด
แล้วมาดูกันว่า โรคอะไรจะเหลือ ... ทั้งสองฝ่ายจะมาร่วมกันทำสิ่งที่โลกทำไม่ได้ นั่นคือ การหายโรค
ขอเตือนอีกครั้ง .... รักษาความสงบ อันเป็นเอกลักษณ์ของศาสน์พระภูมี ที่กรรมมันกลัว ... หากทำไม่ได้ ไม่ต้องมา เสียเวลาเปล่า โดยเฉพาะห้องสวดมนต์ และระหว่างกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่า ห้องอบ ทานสมุนไพรมะพร้าว หาไม่แล้ว ท่านอาจจะถูกตัดสิทธิ์ในการให้บริการ ....
หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเอาคุณภาพ มิใช่ปริมาณ เพราะไม่ได้ทำเพื่อหาเงิน แต่ทำหาบุญ หมดเวลากับการสูญเปล่าแล้ว
ณ.วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ประกาศว่า หลังจากการวางศิลาฤกษ์ เป็นต้นไป นั่นหมายความว่า การดำเนินกิจกรรมไม่ว่าฝั่งไทย หรือฝั่งพม่า นั่นคือ ต้องเดินทางตามแนวพระภูมี แสดงเอกลักษณ์ให้โดดเด่น เพื่อให้ผลพึงบังเกิด
นั่นหมายความว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีการง้อคนโดยเด็ดขาด กฎกติกาที่กำหนด หากใครไม่ทำ หรือไม่พร้อมจะทำ ทางชมรมจะคัดออก เหลือไว้แต่เฉพาะคนที่เชื่อและทำตาม เพื่อให้ผลเกิดเป็นรูปธรรมที่เด่นชัด และรวดเร็วไม่ยืดเยื้อ
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา จึงประกาศว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้องแสดงเอกลักษณ์ของพระภูมี นั่นคือ ความสงบ โดยเฉพาะในห้องสวดมนต์ ผู้ใดไม่ทำ หรือทำไม่ได้ ก็จะถูกคัดออกไปจากการเป็นสมาชิก จะให้เหลือแต่ผู้ทำได้ ไม่จำเป็นต้องมีปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลทั้งแก่ผู้ทำให้และคนไข้
วันเวลาเปลี่ยนไป ความแรงแห่งกรรมที่มาเยือน ก็ต้องเผชิญความแรงแห่งการกระทำ หรือความเคร่ง ของผู้ปฏิบัติ ให้สมน้ำสมเนื้อกัน ... ท่านใดที่เคยชินกับพฤติกรรมของตนแบบเดิมๆ ก็พึงระวัง ... เพราะถึงวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ประกาศแล้วว่า .... คัดเฉพาะคนทำได้ เพราะใครทำ ใครได้ จะไม่เสียเวลา เสียสมุนไพร กับคนที่มาแล้วไม่ทำอีกเป็นอันขาด
แล้วมาดูกันว่า โรคอะไรจะเหลือ ... ทั้งสองฝ่ายจะมาร่วมกันทำสิ่งที่โลกทำไม่ได้ นั่นคือ การหายโรค
ขอเตือนอีกครั้ง .... รักษาความสงบ อันเป็นเอกลักษณ์ของศาสน์พระภูมี ที่กรรมมันกลัว ... หากทำไม่ได้ ไม่ต้องมา เสียเวลาเปล่า โดยเฉพาะห้องสวดมนต์ และระหว่างกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่า ห้องอบ ทานสมุนไพรมะพร้าว หาไม่แล้ว ท่านอาจจะถูกตัดสิทธิ์ในการให้บริการ ....
หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเอาคุณภาพ มิใช่ปริมาณ เพราะไม่ได้ทำเพื่อหาเงิน แต่ทำหาบุญ หมดเวลากับการสูญเปล่าแล้ว
มองต่างมุม
นับจากวันที่เริ่มนำตำราของแม่ชีเมี้ยนมาเปิดช่วยคนอีกครั้ง ในปี ๒๕๓๐ ณ จุดเริ่มคือ บ้านตาชม ซึ่งเป็นบิดาของหลวงพ่อนิพนธ์ ในพื้นที่ประมาณ ๖ ไร่ มาวันนี้ เผลอนิดเดียว ก็ย่างเข้าเลยเบญจเพศของคนไทย คือ ๒๖ ปี เข้าไปแล้ว
ความเพียรพยายามในการสร้างผลงาน ให้เป็นที่ประจักษ์ แก่คนไทย นับว่าสูญเปล่าก็ว่าได้ ไม่ว่าจะมีผู้ประสพผลสำเร็จให้เห็นเป็นตัวเป็นตน ไม่ว่าคนนั้นจะมีชื่อเสียง หรือมีฐานะทางสังคมสักเท่าใด หามีเสียงตอบรับจากสังคมไทย ที่จะหันมามองและเห็นคุณค่า ร่วมกันส่งเสริมให้เป็นทางเลือกไม่
การที่ปรากฎ คือ คำเตือนจากสาธารณสุขทุกเมื่อเชื่อวัน ว่า ให้ทำตามกฎหมาย นั่นคือ ไม่อนุญาตให้รับคนไข้ที่ต้องพักรักษาเพื่อฟื้นฟู โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
และการที่ยิ่งไปกว่านั้น ที่เราแปลกใจหรืออัศจรรย์ใจในคนไทยอย่างยิ่ง ที่ตั้งหน้าตั้งตาห่ำหั่น ยุยงให้ก่อม๊อบ ไม่ว่าสีใดฝ่ายใด ส่งเสริมความฉิบหายให้ประเทศกันมากมาย แต่ไม่มีเลย ที่จะส่งเสริมให้ก่อม็อบ เมื่อสาธารณสุขของประเทศนี้ ประกาศว่า ขอยึดใบอนุญาติในการบำบัดรักษายาเสพติด คืน แม้นว่าท่านจำรูญแห่งถ้ำกระบอก จะยืนยันและร้องขอให้หลวงพ่อนิพนธ์ ใช้สิทธิ์นี้ในการช่วยเพื่อนมนุษย์นี้ต่อไปแทนตัว หลังจากละสังขาร
ก็ไหนบอกว่ายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ของชาติ ก็ไหนบอกว่าให้ช่วยกัน ไม่มีแม้แต่เสียงใดๆที่มาส่งเสียงเรียกร้องให้กับหลวงพ่อนิพนธ์แม้แต่เสียงเดียว เพื่อให้เป็นทางเลือกแก่ลูกหลานที่หลงไปในเส้นทางนี้แล้วได้มีโอกาสกลับตัว มาเป็นพลเมืองดีของชาติ
กลับกลายเป็นคนอยากช่วย ต้องโดนสาธารณสุขเล่นงาน ห้ามดำเนินการโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย (เฮงซวย) ของประเทศนี้อีกเช่นเคย
ม๊อบอย่างนี้ไม่ก่อ แต่ม๊อบที่สร้างความฉิบหายแก่บ้านเมือง ยุยงกันเข้าไป ... คิดแล้วเสียงเพลงที่ครั้งหนึ่งเคยฟัง ก็แค่รู้สึกเศร้าใจ แต่วันนี้ เพลงเดียวกันมันเริ่มจะบาดลึก และยิ่งกินใจ เพราะมันคงใกล้จะเกิดในแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่อ้างเอ่ยว่าเป็นเมืองพุทธ แต่การกระทำหาความสงบ ดั่งคำสอนไม่ได้เลย แผ่นดินที่ดีแต่พูดให้ดูดี หาการกระทำอันใดตามคำพูดไม่ได้เลย
เสียงเพลงแว่วมาด้วยสำเนียงโหยหวนบาดลึก นั่นคือ ... เรฟูจี ... อีกหน่อย ไม่ใช่เรือที่ลอยลำจะเป็นโรฮิงยา แต่จะกลายเป็นคนไทย ที่ทำลายเมืองกันจนพินาศ ต้องเร่ร่อนแทนกันแน่แล้ว
สิ่งที่น่าแปลกแต่จริง นั่นคือ เมืองไทย เมืองพุทธ เมืองที่เต็มไปด้วยคำสอน อันเป็นเหตุและผล แต่ผู้คนกลับเชื่อคำพูด เชื่อถือใบประกาศ ยอมรับได้แม้นจักไม่เคยมีสักครั้งที่ทำได้ หรือ มีตัวตนจริงให้สัมผัส นั่นคือ เชื่อหมอ เชื่อดีกรี ทั้งๆที่แม้นแต่ตัวหมอเอง ยังไม่รอดจากโรคที่ตัวเองเป็นเลย ส่งเสริมสร้างโรงพยาบาลใหญ่โต ที่มีคำขวัญว่า "ยามเข้าเดินมาอย่างผ่าเผย ยามออกหามไปอย่างเศร้าสร้อย"
วันนี้คงถึงเวลาแล้ว ที่แม่ชีเมี้ยนทรงเห็นว่า คนไทยยากเกินจะสอน จึงเปิดทางให้ คนกลุ่มที่ถูกมองว่าบ้านป่าเมืองเถือน ได้เห็นบ้าง แล้วดูผล
เพียงแค่ไม่กี่เดือน กับผลงานที่หลวงพ่อนิพนธ์ไปสร้างในแดนดินของพม่า คนทุกระดับชั้นของพม่าต่างตื่นตัว และมองเห็นค่าในสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์มี
การขยายตัวของความตื่นตัวนี้ รวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ วันนี้ พม่าได้เชิญให้หลวงพ่อนิพนธ์ไปเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารของศูนย์ ที่ได้จัดสร้างขึ้นที่ บ้านมิต้า รัฐทวาย ของพม่า
ทางรัฐบาลพม่าแจ้งกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ที่เดิมที่เอกชนยกให้ในการจัดสร้างศูนย์ จำนวน ๑๖๐๐ ไร่นั้น รัฐบาลได้กันพื้นที่อีกประมาณ ๕๐๐๐ ไร่รอบบริเวณศูนย์ เพื่อจัดเตรียมให้หลวงพ่อนิพนธ์ใช้ และพร้อมสร้างเมืองใหม่เพื่อรองรับกิจกรรม ตามแต่หลวงพ่อนิพนธ์ดำริ
แม้นว่ารัฐบาลพม่าจะไม่มีงบประมาณ โดยเฉพาะที่ผ่านมา รัฐทวายถือได้ว่าเป็นรัฐที่มีการจัดสรรงบประมาณน้อยที่สุด และมีความเจริญค่อนข้างน้อย ดังนั้น ฝ่ายรัฐบาลสนับสนุนในด้านพื้นที่ และจะออกกฎหมายเป็นกรณีพิเศษสำหรับกิจกรรมของหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมทั้งออกใบอนุญาตในการจัดตั้ง โรงพยาบาล และใบอนุญาตทางการแพทย์
ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมด พ่อค้าและผู้มีฐานะของพม่า ได้รวมตัวกันรับผิดชอบทั้งหมด โดยจะไม่ให้หลวงพ่อนิพนธ์และคณะต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย
ทางพม่าแจ้งว่า เพื่อความสะดวกแก่หลวงพ่อนิพนธ์และคณะ จึงขออนุญาตสร้างอาคาร ๓ ชั้น เพื่อที่จะให้ใช้เป็นที่พักอาศัย เมื่อพำนักในพม่า
และเมื่อประกาศโครงการนี้ไปให้แก่ประชาชนในรัฐทวายทราบ ก็มีจิตอาสาที่เป็นคนรุ่นหนุ่มสาวมาสมัครเป็นจิตอาสากันอย่างมากมาย จนโครงการที่จะส่งจิตอาสาเหล่านี้มาฝึกงานและดูงานที่ชมรมคนรักสุขภาพที่ตั้งไว้แต่เดิม ต้องปรับเปลี่ยนแบ่งกลุ่มเป็นรุ่นๆ ถึง ๗ รุ่น
หลังจากวันนี้ไป ทางพม่าแจ้งให้ทราบว่า จะเร่งรีบดำเนินโครงการให้เร็วที่สุด และขณะนี้ได้รับการสนับสนุนกำลังพลจากทหาร ในการพัฒนาผืนดินเพื่อดำเนินการปลูกสมุนไพร ทั้งนี้กำลังพลที่มาได้พร้อมใจกล่าวว่า จะไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ไม่ยอม อย่างน้อยก็ต้องขอรับผิดชอบในด้านอาหารการกินบ้าง
การวางศิลาฤกษ์วันนี้ จึงวางพร้อม มะพร้าวน้ำหอม ดีปลี พริกไทย ขีง อย่างละประมาณพันต้น เป็นปฐมฤกษ์ ในแผ่นดินนั้น ....
ความแตกต่าง ... ที่เจ้าหน้าที่รัฐไทยกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ คือ ห้ามดำเนินการใดๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้นจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย และเจ้าหน้าที่รัฐที่สนับสนุนกิจกรรมของหลวงพ่อนิพนธ์ ก็จะถูกโยกย้ายทันที เพราะท่านไม่มีใบอนุญาต ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของพม่า กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ผมไม่รู้ว่าท่านทำได้อย่างไร แต่ผมเห็นแล้วว่าสิ่งที่ท่านทำไม่ธรรมดา คนอื่นทำไม่ได้ ผมอยากขอให้ท่านมาทำให้คนของผมบ้างจะได้หรือไม่
สำหรับเรา คนไทยสมัยนี้ ชวนเพื่อนฝูงพี่น้อง ตั้งม๊อบตีกัน หาสาระไม่ได้เลย คนพม่าสมัยนี้ ชวนศัตรูที่รบกันมานมนาน หยุดตีกัน มาตั้งม๊อบปนึกกำลังสร้างความผาสุขให้แก่คนในชาติ
ภาพผู้นำทหารพม่าและผู้นำทหารกะเหรี่ยง ที่วางปืนไว้ด้านนอก แล้วจับมือกันมาร่วมพูดคุย เพื่อสร้างกิจกรรมนี้ จึงเป็นภาพมหัศจรรย์ที่หาดูไม่ได้ หากไม่มีสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ไม่มีธรรมคำสอนของพระภูมี
มุมมองของสิ่งเดียวกัน จากคนไทย และจากคนพม่า ทำไมจึงแตกต่างกันนัก ... ไม่ผิดจากคำตัดพ้อของแม่ชีเมี้ยน ที่ทรงตรัสไว้ในยุคนั้นว่า .. กรรมอะไรของคนไทยเล่า ช่างโง่เง่าเบาปัญญาน่าใจหาย สิ่งดีๆมาอุบัติในแผ่นดิน กลับมองไม่เห็น และทำลายสิ้น...
ความเพียรพยายามในการสร้างผลงาน ให้เป็นที่ประจักษ์ แก่คนไทย นับว่าสูญเปล่าก็ว่าได้ ไม่ว่าจะมีผู้ประสพผลสำเร็จให้เห็นเป็นตัวเป็นตน ไม่ว่าคนนั้นจะมีชื่อเสียง หรือมีฐานะทางสังคมสักเท่าใด หามีเสียงตอบรับจากสังคมไทย ที่จะหันมามองและเห็นคุณค่า ร่วมกันส่งเสริมให้เป็นทางเลือกไม่
การที่ปรากฎ คือ คำเตือนจากสาธารณสุขทุกเมื่อเชื่อวัน ว่า ให้ทำตามกฎหมาย นั่นคือ ไม่อนุญาตให้รับคนไข้ที่ต้องพักรักษาเพื่อฟื้นฟู โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
และการที่ยิ่งไปกว่านั้น ที่เราแปลกใจหรืออัศจรรย์ใจในคนไทยอย่างยิ่ง ที่ตั้งหน้าตั้งตาห่ำหั่น ยุยงให้ก่อม๊อบ ไม่ว่าสีใดฝ่ายใด ส่งเสริมความฉิบหายให้ประเทศกันมากมาย แต่ไม่มีเลย ที่จะส่งเสริมให้ก่อม็อบ เมื่อสาธารณสุขของประเทศนี้ ประกาศว่า ขอยึดใบอนุญาติในการบำบัดรักษายาเสพติด คืน แม้นว่าท่านจำรูญแห่งถ้ำกระบอก จะยืนยันและร้องขอให้หลวงพ่อนิพนธ์ ใช้สิทธิ์นี้ในการช่วยเพื่อนมนุษย์นี้ต่อไปแทนตัว หลังจากละสังขาร
ก็ไหนบอกว่ายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ของชาติ ก็ไหนบอกว่าให้ช่วยกัน ไม่มีแม้แต่เสียงใดๆที่มาส่งเสียงเรียกร้องให้กับหลวงพ่อนิพนธ์แม้แต่เสียงเดียว เพื่อให้เป็นทางเลือกแก่ลูกหลานที่หลงไปในเส้นทางนี้แล้วได้มีโอกาสกลับตัว มาเป็นพลเมืองดีของชาติ
กลับกลายเป็นคนอยากช่วย ต้องโดนสาธารณสุขเล่นงาน ห้ามดำเนินการโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย (เฮงซวย) ของประเทศนี้อีกเช่นเคย
ม๊อบอย่างนี้ไม่ก่อ แต่ม๊อบที่สร้างความฉิบหายแก่บ้านเมือง ยุยงกันเข้าไป ... คิดแล้วเสียงเพลงที่ครั้งหนึ่งเคยฟัง ก็แค่รู้สึกเศร้าใจ แต่วันนี้ เพลงเดียวกันมันเริ่มจะบาดลึก และยิ่งกินใจ เพราะมันคงใกล้จะเกิดในแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่อ้างเอ่ยว่าเป็นเมืองพุทธ แต่การกระทำหาความสงบ ดั่งคำสอนไม่ได้เลย แผ่นดินที่ดีแต่พูดให้ดูดี หาการกระทำอันใดตามคำพูดไม่ได้เลย
เสียงเพลงแว่วมาด้วยสำเนียงโหยหวนบาดลึก นั่นคือ ... เรฟูจี ... อีกหน่อย ไม่ใช่เรือที่ลอยลำจะเป็นโรฮิงยา แต่จะกลายเป็นคนไทย ที่ทำลายเมืองกันจนพินาศ ต้องเร่ร่อนแทนกันแน่แล้ว
สิ่งที่น่าแปลกแต่จริง นั่นคือ เมืองไทย เมืองพุทธ เมืองที่เต็มไปด้วยคำสอน อันเป็นเหตุและผล แต่ผู้คนกลับเชื่อคำพูด เชื่อถือใบประกาศ ยอมรับได้แม้นจักไม่เคยมีสักครั้งที่ทำได้ หรือ มีตัวตนจริงให้สัมผัส นั่นคือ เชื่อหมอ เชื่อดีกรี ทั้งๆที่แม้นแต่ตัวหมอเอง ยังไม่รอดจากโรคที่ตัวเองเป็นเลย ส่งเสริมสร้างโรงพยาบาลใหญ่โต ที่มีคำขวัญว่า "ยามเข้าเดินมาอย่างผ่าเผย ยามออกหามไปอย่างเศร้าสร้อย"
วันนี้คงถึงเวลาแล้ว ที่แม่ชีเมี้ยนทรงเห็นว่า คนไทยยากเกินจะสอน จึงเปิดทางให้ คนกลุ่มที่ถูกมองว่าบ้านป่าเมืองเถือน ได้เห็นบ้าง แล้วดูผล
เพียงแค่ไม่กี่เดือน กับผลงานที่หลวงพ่อนิพนธ์ไปสร้างในแดนดินของพม่า คนทุกระดับชั้นของพม่าต่างตื่นตัว และมองเห็นค่าในสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์มี
การขยายตัวของความตื่นตัวนี้ รวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ วันนี้ พม่าได้เชิญให้หลวงพ่อนิพนธ์ไปเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารของศูนย์ ที่ได้จัดสร้างขึ้นที่ บ้านมิต้า รัฐทวาย ของพม่า
ทางรัฐบาลพม่าแจ้งกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ที่เดิมที่เอกชนยกให้ในการจัดสร้างศูนย์ จำนวน ๑๖๐๐ ไร่นั้น รัฐบาลได้กันพื้นที่อีกประมาณ ๕๐๐๐ ไร่รอบบริเวณศูนย์ เพื่อจัดเตรียมให้หลวงพ่อนิพนธ์ใช้ และพร้อมสร้างเมืองใหม่เพื่อรองรับกิจกรรม ตามแต่หลวงพ่อนิพนธ์ดำริ
แม้นว่ารัฐบาลพม่าจะไม่มีงบประมาณ โดยเฉพาะที่ผ่านมา รัฐทวายถือได้ว่าเป็นรัฐที่มีการจัดสรรงบประมาณน้อยที่สุด และมีความเจริญค่อนข้างน้อย ดังนั้น ฝ่ายรัฐบาลสนับสนุนในด้านพื้นที่ และจะออกกฎหมายเป็นกรณีพิเศษสำหรับกิจกรรมของหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมทั้งออกใบอนุญาตในการจัดตั้ง โรงพยาบาล และใบอนุญาตทางการแพทย์
ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมด พ่อค้าและผู้มีฐานะของพม่า ได้รวมตัวกันรับผิดชอบทั้งหมด โดยจะไม่ให้หลวงพ่อนิพนธ์และคณะต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย
ทางพม่าแจ้งว่า เพื่อความสะดวกแก่หลวงพ่อนิพนธ์และคณะ จึงขออนุญาตสร้างอาคาร ๓ ชั้น เพื่อที่จะให้ใช้เป็นที่พักอาศัย เมื่อพำนักในพม่า
และเมื่อประกาศโครงการนี้ไปให้แก่ประชาชนในรัฐทวายทราบ ก็มีจิตอาสาที่เป็นคนรุ่นหนุ่มสาวมาสมัครเป็นจิตอาสากันอย่างมากมาย จนโครงการที่จะส่งจิตอาสาเหล่านี้มาฝึกงานและดูงานที่ชมรมคนรักสุขภาพที่ตั้งไว้แต่เดิม ต้องปรับเปลี่ยนแบ่งกลุ่มเป็นรุ่นๆ ถึง ๗ รุ่น
หลังจากวันนี้ไป ทางพม่าแจ้งให้ทราบว่า จะเร่งรีบดำเนินโครงการให้เร็วที่สุด และขณะนี้ได้รับการสนับสนุนกำลังพลจากทหาร ในการพัฒนาผืนดินเพื่อดำเนินการปลูกสมุนไพร ทั้งนี้กำลังพลที่มาได้พร้อมใจกล่าวว่า จะไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ไม่ยอม อย่างน้อยก็ต้องขอรับผิดชอบในด้านอาหารการกินบ้าง
การวางศิลาฤกษ์วันนี้ จึงวางพร้อม มะพร้าวน้ำหอม ดีปลี พริกไทย ขีง อย่างละประมาณพันต้น เป็นปฐมฤกษ์ ในแผ่นดินนั้น ....
ความแตกต่าง ... ที่เจ้าหน้าที่รัฐไทยกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ คือ ห้ามดำเนินการใดๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้นจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย และเจ้าหน้าที่รัฐที่สนับสนุนกิจกรรมของหลวงพ่อนิพนธ์ ก็จะถูกโยกย้ายทันที เพราะท่านไม่มีใบอนุญาต ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของพม่า กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ผมไม่รู้ว่าท่านทำได้อย่างไร แต่ผมเห็นแล้วว่าสิ่งที่ท่านทำไม่ธรรมดา คนอื่นทำไม่ได้ ผมอยากขอให้ท่านมาทำให้คนของผมบ้างจะได้หรือไม่
สำหรับเรา คนไทยสมัยนี้ ชวนเพื่อนฝูงพี่น้อง ตั้งม๊อบตีกัน หาสาระไม่ได้เลย คนพม่าสมัยนี้ ชวนศัตรูที่รบกันมานมนาน หยุดตีกัน มาตั้งม๊อบปนึกกำลังสร้างความผาสุขให้แก่คนในชาติ
ภาพผู้นำทหารพม่าและผู้นำทหารกะเหรี่ยง ที่วางปืนไว้ด้านนอก แล้วจับมือกันมาร่วมพูดคุย เพื่อสร้างกิจกรรมนี้ จึงเป็นภาพมหัศจรรย์ที่หาดูไม่ได้ หากไม่มีสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ไม่มีธรรมคำสอนของพระภูมี
มุมมองของสิ่งเดียวกัน จากคนไทย และจากคนพม่า ทำไมจึงแตกต่างกันนัก ... ไม่ผิดจากคำตัดพ้อของแม่ชีเมี้ยน ที่ทรงตรัสไว้ในยุคนั้นว่า .. กรรมอะไรของคนไทยเล่า ช่างโง่เง่าเบาปัญญาน่าใจหาย สิ่งดีๆมาอุบัติในแผ่นดิน กลับมองไม่เห็น และทำลายสิ้น...
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ไม่รู้ว่าข่าวดีหรือข่าวร้าย
ในที่สุดหลวงพ่อนิพนธ์ก็ตอบตกลงในการจัดตั้งศูนย์ที่ทวาย และทางพม่าก็ไม่รอช้า เร่งรัดการดำเนินงานเต็มที่
จากพื้นที่ทั้งหมดที่ยกให้หลวงพ่อนิพนธ์เพื่อเริ่มต้นโครงการ ประมาณ ๑๖๐๐ ไร่ มีเขา มีลำธาร มีน้ำตกอยู่ในพื้นที่่
และในขณะนี้ ก็กำลังดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิ หลังจากได้ชื่อจากหลวงพ่อนิพนธ์ และเริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารทันที โดยใช้ต้นแบบจากชมรมคนรักสุขภาพ
โดยในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ศกนี้ ทางพม่าได้เชิญให้หลวงพ่อนิพนธ์ไปเป็นประธานในการวางศิลาฤกษ์อาคาร และรับปากว่า จะทำอาคารให้แล้วเสร็จพร้อมใช้ ภายใน ๓ เดือน
อนึ่งจากข้อจำกัดของประเทศไทย ที่อนุญาตให้หลวงพ่อนิพนธ์ เฉพาะใบประกอบโรคศิลป์ และเวชกรรม นั่นคือ วินิจฉัย และจ่ายสมุนไพรให้ได้ แต่ไม่อนุญาตให้รับคนไข้ไว้เพื่อการฟื้นฟูหรือรักษา ทางพม่าจึงได้เสนอจัดสร้างอาคารเพิ่มขึ้นอีกสองอาคาร เพื่อรับคนไข้หนักที่เป็นคนไทยที่มีความจำเป็นต้องพักฟื้นฟู หรือที่เรียกว่าเข้าคอร์สในช่วงวิกฤต
หลวงพ่อนิพนธ์ได้ตั้งชื่ออาคารทั้งสองหลัง ที่จะจัดสร้างเชื่อมต่อกับอาคารแรกว่า บ้านเมตตา และบ้านกรุณา
นั่นหมายความ ในอนาคตอันใกล้ แผ่นดินพม่าก็จะกลายเป็นทางเลือกของคนไทย ที่มีสภาพวิกฤตและต้องการฟื้นฟูตน
และหลังจากการจัดตั้งศูนย์แล้วเสร็จ ทางพม่าก็จัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติด และศุนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยเอดส์ ตามด้วยโครงการจัดตั้งโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย
โครงการทั้งหมด ไม่ว่าพื้นที่ อาคาร วัตถุดิบ ทางพม่าจะเป็นผู้รับผิดชอบ และจัดหาให้หลวงพ่อนิพนธ์ทั้งหมด
ข่าวนี้ ก็เลยไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี ของดีที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้คนไทย ไม่มีคนใดเหลียวแลและหวงแหน เป็นตัวตั้งตัวตีให้อยู่ในแผ่นดีนนี้ กลับกลายเป็นคนชาติอื่น ที่ถูกดูถูกว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน คว้าสิ่งดีๆนี้ เรียกว่าเห็นค่า และรีบไขว่ขว้า
วันหนึ่งลูกหลานจะถามว่า ทำไมโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย แต่กลับไปอยู่ในแผ่นดินพม่า .... เตรียมคำตอบไว้น่ะ...
มองอย่างคนมักน้อย อย่างน้อย คนที่เลือกทางเลือกสายนี้ ก็จะได้โอกาสอันดี จากความพร้อมของปริมาณสมุนไพร สถานที่ที่ดีที่มีอากาศบริสุทธิ์ และได้สัมผัสฤทธิ์ของสมุนไพร ที่แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า ความสมบูรณ์ จักบังเกิดเมื่อ เริ่มจากต้นทางยังปลายทาง มาจากการให้ ...
ถึงแม้จะต้องไปไกลอีกหน่อย ร้อยกว่ากิโลเท่านั้นเอง ก็ยังดีกว่ารอความหวังลมๆแล้งๆ ว่าวันหนึ่งคนใหญ่คนโตในเมืองไทยจักเห็นค่า และให้การสนับสนุน
และก็เป็นบทพิสูจน์ว่า คำกล่าว "ต้องช่วยกันสนับสนุนคนดี" มันเป็นเพียงวาจาที่ดูดีเท่านั้นเอง
เราจึงย้อนนึกว่า บ้านเมืองไหนที่มันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนกันแน่
จากพื้นที่ทั้งหมดที่ยกให้หลวงพ่อนิพนธ์เพื่อเริ่มต้นโครงการ ประมาณ ๑๖๐๐ ไร่ มีเขา มีลำธาร มีน้ำตกอยู่ในพื้นที่่
และในขณะนี้ ก็กำลังดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิ หลังจากได้ชื่อจากหลวงพ่อนิพนธ์ และเริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารทันที โดยใช้ต้นแบบจากชมรมคนรักสุขภาพ
โดยในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ศกนี้ ทางพม่าได้เชิญให้หลวงพ่อนิพนธ์ไปเป็นประธานในการวางศิลาฤกษ์อาคาร และรับปากว่า จะทำอาคารให้แล้วเสร็จพร้อมใช้ ภายใน ๓ เดือน
อนึ่งจากข้อจำกัดของประเทศไทย ที่อนุญาตให้หลวงพ่อนิพนธ์ เฉพาะใบประกอบโรคศิลป์ และเวชกรรม นั่นคือ วินิจฉัย และจ่ายสมุนไพรให้ได้ แต่ไม่อนุญาตให้รับคนไข้ไว้เพื่อการฟื้นฟูหรือรักษา ทางพม่าจึงได้เสนอจัดสร้างอาคารเพิ่มขึ้นอีกสองอาคาร เพื่อรับคนไข้หนักที่เป็นคนไทยที่มีความจำเป็นต้องพักฟื้นฟู หรือที่เรียกว่าเข้าคอร์สในช่วงวิกฤต
หลวงพ่อนิพนธ์ได้ตั้งชื่ออาคารทั้งสองหลัง ที่จะจัดสร้างเชื่อมต่อกับอาคารแรกว่า บ้านเมตตา และบ้านกรุณา
นั่นหมายความ ในอนาคตอันใกล้ แผ่นดินพม่าก็จะกลายเป็นทางเลือกของคนไทย ที่มีสภาพวิกฤตและต้องการฟื้นฟูตน
และหลังจากการจัดตั้งศูนย์แล้วเสร็จ ทางพม่าก็จัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติด และศุนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยเอดส์ ตามด้วยโครงการจัดตั้งโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย
โครงการทั้งหมด ไม่ว่าพื้นที่ อาคาร วัตถุดิบ ทางพม่าจะเป็นผู้รับผิดชอบ และจัดหาให้หลวงพ่อนิพนธ์ทั้งหมด
ข่าวนี้ ก็เลยไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี ของดีที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้คนไทย ไม่มีคนใดเหลียวแลและหวงแหน เป็นตัวตั้งตัวตีให้อยู่ในแผ่นดีนนี้ กลับกลายเป็นคนชาติอื่น ที่ถูกดูถูกว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน คว้าสิ่งดีๆนี้ เรียกว่าเห็นค่า และรีบไขว่ขว้า
วันหนึ่งลูกหลานจะถามว่า ทำไมโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย แต่กลับไปอยู่ในแผ่นดินพม่า .... เตรียมคำตอบไว้น่ะ...
มองอย่างคนมักน้อย อย่างน้อย คนที่เลือกทางเลือกสายนี้ ก็จะได้โอกาสอันดี จากความพร้อมของปริมาณสมุนไพร สถานที่ที่ดีที่มีอากาศบริสุทธิ์ และได้สัมผัสฤทธิ์ของสมุนไพร ที่แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า ความสมบูรณ์ จักบังเกิดเมื่อ เริ่มจากต้นทางยังปลายทาง มาจากการให้ ...
ถึงแม้จะต้องไปไกลอีกหน่อย ร้อยกว่ากิโลเท่านั้นเอง ก็ยังดีกว่ารอความหวังลมๆแล้งๆ ว่าวันหนึ่งคนใหญ่คนโตในเมืองไทยจักเห็นค่า และให้การสนับสนุน
และก็เป็นบทพิสูจน์ว่า คำกล่าว "ต้องช่วยกันสนับสนุนคนดี" มันเป็นเพียงวาจาที่ดูดีเท่านั้นเอง
เราจึงย้อนนึกว่า บ้านเมืองไหนที่มันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนกันแน่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)