หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้ดูว่า คนไทยส่วนใหญ๋เมื่อตนรอด ก็จะเพิกเฉย ไม่สนใจคนอื่น เอาเป็นว่า ข้ารอดแล้วใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ส่วนชาวต่างชาติที่ประสพผล มักจะมีคนไข้ใหม่มาจากคำแนะนำของคนเหล่านั้น
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ชี้ให้เห็นซึ่งประวัติของพระพุทธศาสนา เมื่อพระภูมีทรงสร้างสาวก หน้าที่หนึ่งเมื่อสาวกบรรลุอรหันต์ นั่นคือ นำธรรมคำสอนไปเผยแพร่ให้แก่คนทั่วไป เพื่อชักชวนให้มาทำเยี่ยงตน โดยนำสิ่งที่ตนทำได้ไปสอนและบอกกล่าวคนเหล่านั้น อันเป็นเหตุให้วงของผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กว้างไกลออกไป
เฉกเช่นเดียวกัน ในขณะที่เราท่านยังไม่สำเร็จในการช่วยตน การพูดย่อมเป็นเรื่องเสี่ยง เพราะไม่แน่ว่าถูกหรือผิด ดังนั้น การนิ่งเฉย แล้วเรียนรู้ ช่วยตนเองก่อน จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ในทางกลับกัน เมื่อสิ่งที่เราเรียนรู้ ได้ถูกทำ จนช่วยตนได้สำเร็จ สามารถหายจากโรคที่เป็น สถานะก็เปลี่ยนไป การไม่พูด พระภูมีถือว่า คนผู้นั้น จัดได้ว่าเป็นคนใจทมิฬหินชาติ เห็นคนหลงทาง ในขณะที่ตนเองเป็นผู้รุู้ทางรอด กลับเฉยเมยไม่บอกกล่าว ทำตนวางเฉย ข้ารอดแล้ว คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ด้วยเหตุนี้ คนที่ทำตนจนหายแล้ว แม้นปีหนึ่งจะมาเพียงวันเดียว คือวันรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน หากแต่ยังสามารถสร้างบุญเพื่อเลี้ยงตัวได้โดยการทำตนเป็น "พระมาลัยโปรดสัตว์" นั่นคือ ชี้ทางรอดให้สรรพสัตว์ ที่พบเห็นแล้วเชื่อ
ดังนั้น เมื่อตนช่วยตนเองได้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมา หากแต่ก็ยังมีหน้าที่ต้องทำ เพื่อสร้างคุณธรรมเป็นบุญไว้เลี้ยงตน
ใครที่คิดว่าตนรอดแล้ว ไม่สนใจอะไรเลย ใครจะตายก็ช่างไม่เกี่ยวกับตน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า นิสัยจิตใจเช่นนี้น่ากลัวนัก เพราะวันหน้า หากกรรมย้อนมาทำให้เกิดโรคอีก ย่อมไม่สามารถช่วยคนเหล่านี้ได้เลย และแม้นว่าคนเหล่านี้ จะทำเพื่อช่วยตนอีกสักฉันใด เช่นในอดีต ก็ยากจะประสพผลอีกครั้ง ด้วยเหตุที่เขาได้ทำลายคุณธรรม อันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่ง
การที่สามารถช่วยตน แล้วทำตนเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ นั่นคือ การดำรงอยู่ในธรรมหมวด "กตัญญูู" ต่อศาสนา ที่ซึ่งจัดได้ว่าเป็นคุณธรรมที่สูงสุด ขาดเสียไม่ได้ เพราะเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ให้ชีวิต และแสดงซึ่งความเมตตา อันเป็นเครื่องมือที่ใช้ค้ำจุนโลกนี้
จึงไม่แปลก ที่คนไข้สาวชาวอเมริกันกลับไป จะมีคนไข้ชาวอเมริกันที่เป็นโรคสะเก็ดเงินขั้นรุนแรง กลุ่มเล็กๆ กลับมาให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้ช่วยเหลือ
คำถามที่มักพบ "หายแล้วจำเป็นต้องมาไหม" จึงได้คำตอบ