ศาสตร์ของพระภูมี ที่หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบาย ทำให้เราท่านรู้ว่า สังขารที่เรามีอยู่ เพื่อเป็นที่สถิตย์ของวิญญาณ
แลการประกอบขึ้นเป็นสังขาร นั้น เราท่านก็อาศัยยืม จาก ธาตุธรรมทั้ง ๔ นั่นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ดังนั้น เหตุแห่งโรค ในศาสตร์นี้ จึงไม่ได้มองว่า เป็นโรคนั้น โรคนี้ เพราะนั่นเป็นเพียงปลายเหตุ แต่มุ่งไปที่ต้นเหตุที่แท้จริง นั่นคือ "กรรม" อันเป็นอำนาจที่ทำให้ สมดุลย์ของดิน น้ำ ลม ไฟ เสียไป จนทำให้เกิดโรคขึ้น
ภาพที่ฉายให้เห็นชัดขึ้น นั่นคือ เมื่อสมดุลย์ของธาตุธรรมเสียไป ก็จะทำให้ความสามารถในการปกป้องและฟื้นฟูตนเสียไป โรคจึงเกิดขึ้นได้
ด้วย การเห็นความจริงนี้เอง พระภูมีจึงทรงบัญญัติสูตรสมุนไพร ที่เรียกได้ว่า ครอบจักรวาล นั่นคือ ไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นโรคอะไร แต่มุ่งเน้นปรับหรือปรุงแต่งธาตุธรรมทั้ง ๔ ให้กลับมาสมดุลย์
หากสมดุลย์กลับมา ความสามารถในการปกป้องและฟื้นฟูตนเอง ก็จะกลับคืนมา
ด้วยเหตุนี้ จึงทรงบัญญัติแนวทางนี้ว่า "ตนพึ่งตน"
ดังนั้น สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราท่าน จึงไม่ต้องสนใจฉายาทางโลก นั่นคือ เป็นโรคอะไร แต่ให้สนใจว่า ปัญหาของเรานั้น สมดุลย์ของธาตุธรรม อะไรที่เสียไปต่างหาก
คำสอนที่เราท่านมักได้ยิน ก็คือ ธรรมชาติต้องอาศัย ธรรมชาติแก้ นั่นคือ ชีวิตต้องใช้ชีวิตต่อ
อันหมายความว่า อาหารที่ร่างกายใช้เพื่อดำรงชีวิต จึงต้องเป็นอาหารที่ยังมีชีวิต ไม่เน่าเสีย เราท่านจึงทานข้าวดี ทานข้าวบูดไม่ได้
ในทำนองเดียวกัน สมุนไพรก็เฉกเช่นเดียวกัน นั่นคือ ต้องเป็นสมุนไพรที่มีชีวิต ไม่ใช่ไปหยิบต้นอะไรมาก็ได้
การวินิจฉัยตนเอง จึงมุ่งเน้นว่า ตัวตนของเรา ขาดสมดุลย์ในด้านใด หากเกิดอาการฉับพลัน จะได้หยิบใช้สมุนไพรได้ถูกต้องกับจังหวะเวลา
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นลมบ่อย จึงต้องพกสมุนไพรธาตุไฟไว้ติดตัว อาทิ ยาลูกกลอนน้ำผึ้ง พอเริ่มรู้สึก ก็รีบชงน้ำอุ่นทาน
คนที่ มักเป็นสิว ผิวไม่ดี น้ำเหลืองไม่ดี ภูมิแพ้ ก็ต้องอาศัยธาตุไฟ จากสมุนไพรมะกรูดเข้าช่วยฟอก
คนที่น้ำท่วม ไตทำงานไม่สมบูรณ์ หากเริ่มมีอาการบวมน้ำ หรือน้ำท่วมปอด หลวงพ่อนิพนธ์ก็มักจะบอกให้รีบวิดน้ำออก โดยการทานสมุนไพรมะพร้าว
คนที่เป็นแผล ไม่ยอมหาย ท่านจะมักเรียกว่า อาการของ "ดินมันเสีย"
คนที่ผอม ขาดอาหาร นั่นก็คือ ธาตุดินมันขาด ต้องทำให้ทานได้ จะได้มีกำลัง ก็จะจัดสมุนไพร ที่ช่วยให้ทานได้มากขึ้น
ดังนั้น การรักษาโรคโดยหลักพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงไม่สนใจโรค แต่ต้องสนใจอาการในขณะนั้นๆ ว่า สมดุลย์ของธาตุธรรมในขณะนั้นๆ อะไรมันขาด อะไรมันเกิน
สิ่งนี้ ก็ต้องอาศัยวินิจฉัยของหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วเตรียมสมุนไพรไว้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
เมื่อทราบแล้ว เราก็ปฏิบัติ หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป สภาวะก็จะเปลี่ยนไป ก็ต้องปรับไปเรื่อยๆ
นั่นหมายความว่า ในกรณีที่เราท่านมีสภาวะวิกฤต สภาพสมดุลย์เปลี่ยนไปมาเร็ว นั่นก็หมายถึง การที่จะต้องสอบถามตำวินิจฉัยจากหลวงพ่อนิพนธ์อย่างใกล้ชิด
หากเมื่อร่างกายเริ่มคงตัว ก็สามารถ่ใช้เพียงการยืนระยะ รอการฟื้นตัว หรือ ปรับสมดุลย์ร่างกายให้เข้าที่ได้
การเรียนรู้ว่า ธาตุใดขาดเกิน มี่ลักษณะเช่นใด จึงต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่ต้องศึกษา และสอบถามสมุนไพรที่ใช้แก้ไข
อันหมายความว่า สิ่งที่เป็นเป็นเรื่องเฉพาะตน ไม่สามารถใช้กับทุกคนได้
นั่นคือ เหตุแห่งสมดุลย์ที่เสียไป กลายเป็นผล ที่หลากหลาย โรคนั้น โรคนี้ การแก้โรค จึงแก้ปลายเหตุ หมดโรคนี้ ก็เป็นโรคอื่นได้
บทสรุปของคำสอนนี้ จะเห็นได้ว่า แทนที่จะคุยกันว่าเป็นโรคอะไร ก็มาเริ่มวินิจฉัยว่า สมดุลย์ของธาตุใดของเราท่านที่เสียไป ปรากฎอาการเช่นไร ต้องใช้สมุนไพร ในช่วงไหน อย่างไร
หากอาการซับซ้อน ก็ต้องอาศัยคำวินิจฉัยของหลวงพ่อนิพนธ์ช่วย
กระบวนการเรียนรู้จึงสำคัญ การฟังครูบาอาจารย์ จึงสำคัญ ทำให้เราท่านไม่ตี่นตระหนก และเตรียมการรับมือ ทั้งสมุนไพร และใจไว้พร้อมสู้กับเหตุที่เกิดได้
เหตุนี้เองก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ ต้องยุยง ว่า "หยุดเคมี" เถิด
อย่าให้ได้ยิน อีกเลย ที่ชอบคุยกัน ละครเรื่องนั้นเรื่องนี้ รู้หมด เรื่องฟุตบอล รู้หมด เรื่องการเมือง เก่งนัก แต่ถามคนข้างๆ อ้ายน้ำเขียวๆ นี่อะไร กินอย่างไร กินเพื่ออะไร และตัวนี้เขาให้เพิ่มมา ไม่รู้ว่า ให้มาทำไม มันคืออะไร ....
อยากชนะ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "ต้องรู้เขา รู้เรา" จึงจะชนะแน่