ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556
เชื่อกันง่าย ๆ หรือ
คนไม่ได้โง่ ทุกคนล้วนแต่มีความคิด วิเคราะห์ตรวจตรา สิ่งที่เห็น สิ่งที่สัมผัสได้
ผู้หญิงคนหนึ่ง สัปดาห์ที่แล้วอาการของเธออยู่ในขั้นวิกฤต เรียกได้ว่าแทบจะเอาตัวไม่รอด
เพื่อนของเธอเห็นท่าไม่ดี จึงชักชวนโน้มน้าวให้เธอลองทานยาเขียว ของแม่ชีเมี้ยน
เมื่อยาเคมีที่ใช้ไม่สามารถแก้ปัญหา หรือลดทอนอาการของเธอ ทำให้ในที่สุดเธอก็ยอมลองทานตามคำเว้าวอนของเพื่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อตี่นขึ้นมา อาการของเธอกลับตาลปัตร จนต้องกล่าวกับเพื่อนว่า สิ่งที่นำมาให้ทานนี้มันมหัศจรรย์อย่างที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน จึงคิดตามเพื่อนมาดู มาสังเกต ค้นหาความจริง เพื่อตัดสินใจ
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอจึงตามเพื่อนที่เป็นกรรมการของมูลนิธิไทยกรุณา โดยไม่ให้เพื่อนบอกว่าเธอเป็นใคร และมาทำไม
ตลอดทั้งวัน เธอหาข้อมูล และตรวจสอบค้นหาความจริง จนแน่ใจว่า สิ่งที่เธอได้มาพบเป็นของจริง เจอคนจริง มีคุณธรรม
เมื่อถึงเวลาเย็น เธอจึงให้เพื่อนพาไปพบพูดคุยกับหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกับยื่นนามบัตรของเธอให้
คำกล่าวสั้นๆ ของเธอกับหลวงพ่อนิพนธ์ คือ "ดิฉันเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้าง อันดับต้นๆ ของประเทศ เป็นลูกคนเดียว ไม่ได้แต่งงาน ขอเสนอตัว หากหลวงพ่อนิพนธ์อยากสร้างสิ่งใด จะขอรับผิดชอบ ได้หรือไม่"
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น สิ่งที่ขาดคือ ช่วงนี้งานก่อสร้างมีมากมายทำให้หาคนงานได้ยาก
สิ่งที่อยากขอให้ช่วยคือ ช่วยจัดเครื่องมือและคนงาน มาก่อสร้างอาคารให้คนไข้ โดยทางหลวงพ่อนิพนธ์จะรับผิดชอบวัสดุเอง
เมื่อฟ้าเปิด หลวงพ่อนิพนธ์กล่าว เขาก็เตะส่งคนอย่างนี้มาให้ เพื่อให้กิจกรรมดำเนินไปได้อย่างลุล่วง
ก็เป็นข่าวที่น่ายินดี ที่คนไข้คงจะได้อาคารที่พักหลังใหม่ บริเวณสระน้ำเสียที
คนที่หมดหนทาง หมดทางเลือก และเห็นซึ่งทางตันในทางที่ตนเองเดินอยู่ แสงเพียงเล็กน้อยที่ส่องมา และที่สำคัญเป็นแสงจากทางสว่างของชีวิตตนอย่างแท้จริง เมื่อได้สัมผัส เขาจึงซึ้งและศรัทธาอย่างสุดตัว
คนที่ความจริงแล้ว ก็หมดหนทางเช่นกัน แต่หลอกตัวเองว่ามีทางเลือก สิ่งนี้ช่วยได้ สิ่งนั้นช่วยได้ จึงสร้างศรัทธากับสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนไม่ได้เลย
ให้หลวงพ่อนิพนธ์พูดจนปากฉีกถึงรูหู ก็ทำให้คนพวกนี้ลดอาการและสงบ เมื่อเข้าห้องสวดมนต์ไม่ได้หรอก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า คนประเภทนี้ "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา"
ขยายความให้ฟังว่า "ธรรมโปรดคนเหล่านี้ไม่ได้เลย ต้องกรรมรุมขย้ำจนสาหัสสากรรจ์ คนเหล่านี้จึงอาจจะได้สำนึกบ้าง"