ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556
โรบินฮู๊ด กลับมาแล้ว
ครั้งอดีตถ้ำกระบอก เมื่อคนไข้ยาเสพติดมากขึ้นเรื่อยๆ หลวงพ่อนิพนธ์จึงถามแม่ชีเมี้ยนว่า จะรับไหวหรือ
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสตอบว่า "ท่านจะลากเอาเงินเมืองนอกมาให้"
หลวงพ่อนิพนธ์จึงถามว่า แล้วไม่ผิดเหรอ รับเงินนอกมาน่ะ
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสตอบว่า "สำหรับคนไทย ต้องให้ฟรี สำหรับต่างชาติ ไม่เป็นไร"
จากนั้นไม่นาน สถานทูตอเมริกัน จึงส่งรถห้องตรวจเคลื่อนที่ พร้อมคนไข้ยาเสพติดชุดแรก จำนวน ๒๕ คน มายังถ้ำกระบอก เพื่อเลิกสารยาเสพติด
หลังจากนั้น อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จึงได้อนุมัติเงินก้อนแรก เพื่อดำเนินกิจกรรมบำบัดรักษายาเสพติด จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท แก่ถ้ำกระบอก
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ยังลังเลในการรับเงิน ท้ายที่สุด เจ้าอาวาสคือ ท่านจำรูญ จึงเสนอตัวเป็นผู้รับเงินช่วยเหลือในครั้งนั้นไว้เอง
การให้เงินช่วยเหลือ ยังตามมาอีกหลายครั้ง
และด้วยเงินนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้วาดหวังว่า โครงการบำบัดรักษายาเสพติด ที่ฝันไว้ ที่จะทำให้คนไข้ยาเสพติด ได้มีสถานที่ดีๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกดีๆ เป็นจริง
แต่ฝันที่วาดไว้ ก็พังทลาย พร้อมกับการต้องลาสิกขา จากถ้ำกระบอก เมื่อท่านจำรูญใช้เงินหมดไป และตั้งกฎเรียกเงินกับคนไข้หัวละ ๕๐๐๐ บาท
แผลครั้งนั้นไม่ได้จางหายไปจากหัวใจ ยังคงทิ้งรอยให้หลวงพ่อนิพนธ์ระวังระไว รอความมั่นคงของจิตใจเรื่อยมา เพราะกลัวซ้ำรอยถ้ำกระบอก
การเสนอเงินจำนวนร้อยล้าน พันล้าน ได้ผ่านเข้ามาลองใจ หลวงพ่อนิพนธ์หลายต่อหลายครั้ง ทั้งจากนักการเมืองใหญ่ จนท้ายที่สุด ยอดก็ไปถึงพันล้าน หลังจากให้การรักษาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหประชาชาติ ที่ตากำลังจะบอด จนหาย ด้วยข้อเสนอ จากสหประชาชาติ ในการมอบเงิน ๑๐๐๐ ล้านบาท แก่หลวงพ่อนิพนธ์ โดยแลกกับยาตา ๑ ล้านขวด เพื่อนำไปแจกในที่ต่างๆ ทั่วโลก ก็ถูกปฏิเสธจากหลวงพ่อนิพนธ์
มาวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เราพร้อมแล้วที่จะสู้ เพิ่งเชิดชูสมุนไพรให้โดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร
ฟ้าก็เตะคนไข้พาร์กินสันชาวสวิส ผู้ซึ่งมาเงียบๆ และเปิดเผยตัวภายหลังว่าตัวเองเป็นเจ้าของธนาคารในสวิส
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกความปรารถนาไป ในความต้องการจัดหาเครื่องมือเพื่อแปรรูปสมุนไพร ให้สามารถจัดเก็บเพื่อมีแจกตลอดปีในปริมาณที่พอเพียง รวมไปถึงแปรรูปให้อยู่ในสถานะที่ทานได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้ฟิมล์ที่ทำจากข้าวเหนียว หรือ ข้าวโพด ห่อหุ้มยาลูกกลอน อันจะทำให้คนไข้ที่ทานสมุนไพรยาก ได้มีโอกาส
ในตอนแรกคนไข้ชาวสวิส มีความคิดที่จะช่วยความปรารถนานี้ให้สำเร็จ หากการรักษาตัวเขาประสพผล แต่ ณ วันนี้ เขาเปลี่ยนใจ และให้ภรรยาแจ้งกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า แม้นตัวเขาจะไม่หายขาด ก็อยากจะทำให้ปรารถนาของหลวงพ่อนิพนธ์สำเร็จ
เขาจึงให้เจ้าหน้าที่ธนาคารที่สวิส โอนเงินเพื่อเป็นทุนในการซื้อเครื่องจักร จำนวน ๔ ล้านบาท เข้าบัญชีมูลนิธิฯ พร้อมกับแจ้งว่า เพื่อนสนิทเขาคนหนึ่ง เป็นเจ้าของบริษัทยาอันดับต้นๆ ของโลก อยากจะช่วยกิจกรรมนี้ โดยมอบทุนเริ่มต้นให้ จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า คนอื่นเขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรา เขาไม่ได้ทานสมุนไพรเรา จะไปรับของเขาได้อย่างไร
คนไข้ชาวสวิสท่านนี้จึงบอก ถ้ายังงั้น เขาจะขอทำเอง โดยจะให้ทุนแก่มูลนิธิเริ่มต้น จำนวน ๒๕ ล้านบาท
และขออนุญาต ดึงเพื่อน คือ ไมเคิล เจ ฟอกส์ เข้ามารักษา ทั้งนี้เพื่อให้เงินจากกองทุนของเพื่อน จะได้ถูกนำมาสนับสนุนกิจกรรม
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า สิ่งที่ฟ้าเตะมาให้ เช่นดั่งถ้ำกระบอกในอดีตนี้ ต่อไป คนไทยก็จะได้มีสมุนไพรทานเต็มที่ และก็เลิกขายข้าวแกง เปลี่ยนเป็นให้กินฟรี จะได้เลิกบ่น แพงฉิบหาย ให้ได้ยินอีก
ม่านละครของศาสนา กำลังจะเปิดแล้ว
เราท่านจะได้เห็นว่า สมุนไพรของพระภูมี นั้นยิ่งใหญ่
แต่ที่ใหญ่กว่า นั่นคือ "ธรรมคำสอน" ที่กำลังพิสูจน์ตนว่า ทำไมคนทั้งโลก จึงต้องยอมรับในบุญญาธิการของพระพุทธเจ้า
และจะได้รู้ว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" ที่แท้จริงเป็นเช่นไร
ของจริงกำลังมาแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ กำลังมาทวงของเขาคืน ของเก๊ทั้งหลายเตรียมตัวให้ดี .....
เราจึงว่า หลวงพ่อนิพนธ์ นี่แหละ โรบินฮู๊ด ตัวจริง
มองต่างมุม
ในขณะที่หลายคน มองกรรมการ หรือที่เรียกว่า คนไข้วีไอพี ด้วยความคิดไปต่างๆ นานา
รวมไปถึงความคิดว่า เป็นกรรมการ ได้สมุนไพรเยอะ ได้กลับบ้านก่อน ได้.... แล้วสรุปว่า อยากเป็นมั่ง
แต่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มาจากตระกูลใหญ่ ที่สำคัญ เป็นตระกูลนักการเมือง ถึงระดับรัฐมนตรี เธอกลับมีความคิดที่สวนทาง
เธอใช้นามสกุลเดิมของแม่ มาสมัคร แม้นจะมีเพื่อนเป็นกรรมการ แต่เธอก็ไปยืนเข้าแถว และยื่นใบสมัครแบบคนทั่วไป
เธอใช้ทุกเศษเสี้ยววินาที พยายามใช้โสตประสาทที่มีทั้งหมด เพื่อเค้นหาความจริง เพื่อที่จะสรุปว่า สถานที่นี้ จะเป็นที่เธอวางใจ แล้วตัดสินว่า ชีวิตที่จะดำเนินต่อไป จะทิ้งยาเคมี ทิ้งหมอ ได้จริงหรือไม่ หรือสถานที่นี้ก็แค่ต้มตุ๋น หลอกคน หากินกับชีวิตมนุษย์
เมื่อเธอพิสูจน์และแน่ใจ เธอจึงเปิดเผยตน แล้วก็มุ่งมั่นที่จะเดินในแนวทางนี้ โดยมีเดิมพันด้วยชีวิตของเธอ
ใครๆ ก็อยากเป็นกรรมการ แต่เธอกับกล่าวว่า การเป็นคนไข้ทั่วไป ทำให้เธอได้เห็นความมหัศจรรย์ ที่เธอไม่เคยพบจากที่ใดในโลก ได้อย่างชัดเจน
เธอจึงซาบซึ้ง และศรัทธาแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ จนเสนอตนเป็นผู้อุปถัมภ์ หากแต่ความตั้งใจของเธอ ได้รับคำตอบจากหลวงพ่อนิพนธ์ว่า "เรื่องอื่นไว้ก่อน ขอให้เธอรักษาตนได้ แล้วค่อยว่ากัน"
นี่ยิ่งทำให้เธองงงัน เพราะไปที่ไหน เมื่อเธอกล่าว มีแต่รีบกุลีกุจอ ต้อนรับ และร้องขอ ..... แผ่นดินอย่างนี้ก็มีด้วยเหรอ
รวมไปถึงความคิดว่า เป็นกรรมการ ได้สมุนไพรเยอะ ได้กลับบ้านก่อน ได้.... แล้วสรุปว่า อยากเป็นมั่ง
แต่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มาจากตระกูลใหญ่ ที่สำคัญ เป็นตระกูลนักการเมือง ถึงระดับรัฐมนตรี เธอกลับมีความคิดที่สวนทาง
เธอใช้นามสกุลเดิมของแม่ มาสมัคร แม้นจะมีเพื่อนเป็นกรรมการ แต่เธอก็ไปยืนเข้าแถว และยื่นใบสมัครแบบคนทั่วไป
เธอใช้ทุกเศษเสี้ยววินาที พยายามใช้โสตประสาทที่มีทั้งหมด เพื่อเค้นหาความจริง เพื่อที่จะสรุปว่า สถานที่นี้ จะเป็นที่เธอวางใจ แล้วตัดสินว่า ชีวิตที่จะดำเนินต่อไป จะทิ้งยาเคมี ทิ้งหมอ ได้จริงหรือไม่ หรือสถานที่นี้ก็แค่ต้มตุ๋น หลอกคน หากินกับชีวิตมนุษย์
เมื่อเธอพิสูจน์และแน่ใจ เธอจึงเปิดเผยตน แล้วก็มุ่งมั่นที่จะเดินในแนวทางนี้ โดยมีเดิมพันด้วยชีวิตของเธอ
ใครๆ ก็อยากเป็นกรรมการ แต่เธอกับกล่าวว่า การเป็นคนไข้ทั่วไป ทำให้เธอได้เห็นความมหัศจรรย์ ที่เธอไม่เคยพบจากที่ใดในโลก ได้อย่างชัดเจน
เธอจึงซาบซึ้ง และศรัทธาแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ จนเสนอตนเป็นผู้อุปถัมภ์ หากแต่ความตั้งใจของเธอ ได้รับคำตอบจากหลวงพ่อนิพนธ์ว่า "เรื่องอื่นไว้ก่อน ขอให้เธอรักษาตนได้ แล้วค่อยว่ากัน"
นี่ยิ่งทำให้เธองงงัน เพราะไปที่ไหน เมื่อเธอกล่าว มีแต่รีบกุลีกุจอ ต้อนรับ และร้องขอ ..... แผ่นดินอย่างนี้ก็มีด้วยเหรอ
คิดถูก แต่ทำไม่ถูก
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนปรารถนา คือการหายจากโรคภัย ที่ตนประสพอยู่
แต่สิ่งที่น้อยคนจะเคยคิด นั่นคือ ภาพย้อนกลับ ว่าสิ่งที่แม่ชีเมี้ยน พระภูมี และหลวงพ่อนิพนธ์ปรารถนา คือ อะไร
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีคนไข้หญิงท่านหนึ่ง นำเงินแสนมาให้ ด้วยความศรัทธา และปรารถนาดี
สอบถามได้ใจความว่า เธอป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม และอาการลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง จนเข้าขั้นวิกฤต และได้รับคำอมตะจากหมอ
เธอได้มาใช้ทางเลือกสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน และรักษาตน จนผ่านไป ๔ ปี ผลการตรวจสุขภาพครั้งล่าสุด สิ่งที่เธอปรารถนาก็เป็นจริง
เธอจึงอยากช่วยสมทบในการดำเนินกิจกรรมกับหลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยความศรัทธา และซาบซื้งในสิ่งที่ได้รับ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สิ่งที่ศาสนาต้องการ หาใช่เงินที่นำมามอบให้ไม่ เพราะสิ่งนั้นนับได้ว่ามีค่าเพียงน้อยนิด แต่สิ่งที่เธอมีและมีค่ามากกว่า อันเป็นสิ่งที่ศาสนาอยากได้ เธอกลับเก็บเอาไว้ ทำให้ไร้ค่า ไร้ประโยชน์อย่างน่าเสียดาย
สิ่งนั้นคือ อัตชีวประวัติของเธอ ที่ควรได้เผยแผ่ให้แก่คนรุ่นหลัง ได้ดูรอย และทำเป็นตัวอย่าง อันหมายถึงหน้าที่ที่คนที่หายแล้วทุกคนควรทำ นั่นคือ การเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์
การเปิดเผยตน และเผยแผ่เรื่องราว ประสพการณ์ ๔ ปี ที่เธอฟันฝ่าต่างหาก สิ่งนี้จะมีค่าอันมหาศาล เป็นกำลังใจ ให้แก่คนไข้ที่มาทีหลัง หรือยังไม่ได้มา ได้เห็นทางเลือก คือ สมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา แล้วเห็นร่องรอย ความเป็นไปได้ จนเกิดกำลังใจ ในการช่วยตนเอง และทำตนเป็นคนดี ตามรอยคำสอนของพระภูมี
การเก็บเงียบ ก็เท่ากับปิดทาง หรือบังทาง ที่จะให้ผู้อื่นได้เดินตาม เรียกได้ว่า ขาดคุณธรรม เพราะเป็นผู้รู้ เห็นคนทุกข์แล้วไม่ช่วยชี้ทางนั่นเอง
หากทุกคนที่หายคิดแบบนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แล้วสมุนไพรเขาจะได้โอกาสเป็นทางเลือกของมนุษย์ได้หรือ เพราะทุกคนคิดแต่จะเอาตัวรอด ปิดไว้ บังไว้ แล้วมองดูคลื่นมนุษย์ที่กำลังเข้าสู่หายนะ ด้วยหลงทางไปในทางที่ผิด แล้วตายตกตามกัน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า เก็บเงินแสนของเธอคืนไป แล้วทำในสิ่งที่ควร อันเป็นเครื่องหมายของคนมีคุณธรรม นั่นคือ การทำหน้าที่ "แม่มาลัยโปรดสัตว์" นั่นแหละสิ่งที่ศาสน์เขาอยากได้ เพราะสมุนไพรเขาจะได้ไม่เป็นสองรองใคร
แต่สิ่งที่น้อยคนจะเคยคิด นั่นคือ ภาพย้อนกลับ ว่าสิ่งที่แม่ชีเมี้ยน พระภูมี และหลวงพ่อนิพนธ์ปรารถนา คือ อะไร
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีคนไข้หญิงท่านหนึ่ง นำเงินแสนมาให้ ด้วยความศรัทธา และปรารถนาดี
สอบถามได้ใจความว่า เธอป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม และอาการลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง จนเข้าขั้นวิกฤต และได้รับคำอมตะจากหมอ
เธอได้มาใช้ทางเลือกสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน และรักษาตน จนผ่านไป ๔ ปี ผลการตรวจสุขภาพครั้งล่าสุด สิ่งที่เธอปรารถนาก็เป็นจริง
เธอจึงอยากช่วยสมทบในการดำเนินกิจกรรมกับหลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยความศรัทธา และซาบซื้งในสิ่งที่ได้รับ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สิ่งที่ศาสนาต้องการ หาใช่เงินที่นำมามอบให้ไม่ เพราะสิ่งนั้นนับได้ว่ามีค่าเพียงน้อยนิด แต่สิ่งที่เธอมีและมีค่ามากกว่า อันเป็นสิ่งที่ศาสนาอยากได้ เธอกลับเก็บเอาไว้ ทำให้ไร้ค่า ไร้ประโยชน์อย่างน่าเสียดาย
สิ่งนั้นคือ อัตชีวประวัติของเธอ ที่ควรได้เผยแผ่ให้แก่คนรุ่นหลัง ได้ดูรอย และทำเป็นตัวอย่าง อันหมายถึงหน้าที่ที่คนที่หายแล้วทุกคนควรทำ นั่นคือ การเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์
การเปิดเผยตน และเผยแผ่เรื่องราว ประสพการณ์ ๔ ปี ที่เธอฟันฝ่าต่างหาก สิ่งนี้จะมีค่าอันมหาศาล เป็นกำลังใจ ให้แก่คนไข้ที่มาทีหลัง หรือยังไม่ได้มา ได้เห็นทางเลือก คือ สมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา แล้วเห็นร่องรอย ความเป็นไปได้ จนเกิดกำลังใจ ในการช่วยตนเอง และทำตนเป็นคนดี ตามรอยคำสอนของพระภูมี
การเก็บเงียบ ก็เท่ากับปิดทาง หรือบังทาง ที่จะให้ผู้อื่นได้เดินตาม เรียกได้ว่า ขาดคุณธรรม เพราะเป็นผู้รู้ เห็นคนทุกข์แล้วไม่ช่วยชี้ทางนั่นเอง
หากทุกคนที่หายคิดแบบนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แล้วสมุนไพรเขาจะได้โอกาสเป็นทางเลือกของมนุษย์ได้หรือ เพราะทุกคนคิดแต่จะเอาตัวรอด ปิดไว้ บังไว้ แล้วมองดูคลื่นมนุษย์ที่กำลังเข้าสู่หายนะ ด้วยหลงทางไปในทางที่ผิด แล้วตายตกตามกัน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า เก็บเงินแสนของเธอคืนไป แล้วทำในสิ่งที่ควร อันเป็นเครื่องหมายของคนมีคุณธรรม นั่นคือ การทำหน้าที่ "แม่มาลัยโปรดสัตว์" นั่นแหละสิ่งที่ศาสน์เขาอยากได้ เพราะสมุนไพรเขาจะได้ไม่เป็นสองรองใคร
วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556
คุณธรรม
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ในคนไข้ชาวไทยและต่างประเทศ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้ดูว่า คนไทยส่วนใหญ๋เมื่อตนรอด ก็จะเพิกเฉย ไม่สนใจคนอื่น เอาเป็นว่า ข้ารอดแล้วใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ส่วนชาวต่างชาติที่ประสพผล มักจะมีคนไข้ใหม่มาจากคำแนะนำของคนเหล่านั้น
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ชี้ให้เห็นซึ่งประวัติของพระพุทธศาสนา เมื่อพระภูมีทรงสร้างสาวก หน้าที่หนึ่งเมื่อสาวกบรรลุอรหันต์ นั่นคือ นำธรรมคำสอนไปเผยแพร่ให้แก่คนทั่วไป เพื่อชักชวนให้มาทำเยี่ยงตน โดยนำสิ่งที่ตนทำได้ไปสอนและบอกกล่าวคนเหล่านั้น อันเป็นเหตุให้วงของผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กว้างไกลออกไป
เฉกเช่นเดียวกัน ในขณะที่เราท่านยังไม่สำเร็จในการช่วยตน การพูดย่อมเป็นเรื่องเสี่ยง เพราะไม่แน่ว่าถูกหรือผิด ดังนั้น การนิ่งเฉย แล้วเรียนรู้ ช่วยตนเองก่อน จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ในทางกลับกัน เมื่อสิ่งที่เราเรียนรู้ ได้ถูกทำ จนช่วยตนได้สำเร็จ สามารถหายจากโรคที่เป็น สถานะก็เปลี่ยนไป การไม่พูด พระภูมีถือว่า คนผู้นั้น จัดได้ว่าเป็นคนใจทมิฬหินชาติ เห็นคนหลงทาง ในขณะที่ตนเองเป็นผู้รุู้ทางรอด กลับเฉยเมยไม่บอกกล่าว ทำตนวางเฉย ข้ารอดแล้ว คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ด้วยเหตุนี้ คนที่ทำตนจนหายแล้ว แม้นปีหนึ่งจะมาเพียงวันเดียว คือวันรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน หากแต่ยังสามารถสร้างบุญเพื่อเลี้ยงตัวได้โดยการทำตนเป็น "พระมาลัยโปรดสัตว์" นั่นคือ ชี้ทางรอดให้สรรพสัตว์ ที่พบเห็นแล้วเชื่อ
ดังนั้น เมื่อตนช่วยตนเองได้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมา หากแต่ก็ยังมีหน้าที่ต้องทำ เพื่อสร้างคุณธรรมเป็นบุญไว้เลี้ยงตน
ใครที่คิดว่าตนรอดแล้ว ไม่สนใจอะไรเลย ใครจะตายก็ช่างไม่เกี่ยวกับตน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า นิสัยจิตใจเช่นนี้น่ากลัวนัก เพราะวันหน้า หากกรรมย้อนมาทำให้เกิดโรคอีก ย่อมไม่สามารถช่วยคนเหล่านี้ได้เลย และแม้นว่าคนเหล่านี้ จะทำเพื่อช่วยตนอีกสักฉันใด เช่นในอดีต ก็ยากจะประสพผลอีกครั้ง ด้วยเหตุที่เขาได้ทำลายคุณธรรม อันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่ง
การที่สามารถช่วยตน แล้วทำตนเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ นั่นคือ การดำรงอยู่ในธรรมหมวด "กตัญญูู" ต่อศาสนา ที่ซึ่งจัดได้ว่าเป็นคุณธรรมที่สูงสุด ขาดเสียไม่ได้ เพราะเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ให้ชีวิต และแสดงซึ่งความเมตตา อันเป็นเครื่องมือที่ใช้ค้ำจุนโลกนี้
จึงไม่แปลก ที่คนไข้สาวชาวอเมริกันกลับไป จะมีคนไข้ชาวอเมริกันที่เป็นโรคสะเก็ดเงินขั้นรุนแรง กลุ่มเล็กๆ กลับมาให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้ช่วยเหลือ
คำถามที่มักพบ "หายแล้วจำเป็นต้องมาไหม" จึงได้คำตอบ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้ดูว่า คนไทยส่วนใหญ๋เมื่อตนรอด ก็จะเพิกเฉย ไม่สนใจคนอื่น เอาเป็นว่า ข้ารอดแล้วใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ส่วนชาวต่างชาติที่ประสพผล มักจะมีคนไข้ใหม่มาจากคำแนะนำของคนเหล่านั้น
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ชี้ให้เห็นซึ่งประวัติของพระพุทธศาสนา เมื่อพระภูมีทรงสร้างสาวก หน้าที่หนึ่งเมื่อสาวกบรรลุอรหันต์ นั่นคือ นำธรรมคำสอนไปเผยแพร่ให้แก่คนทั่วไป เพื่อชักชวนให้มาทำเยี่ยงตน โดยนำสิ่งที่ตนทำได้ไปสอนและบอกกล่าวคนเหล่านั้น อันเป็นเหตุให้วงของผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กว้างไกลออกไป
เฉกเช่นเดียวกัน ในขณะที่เราท่านยังไม่สำเร็จในการช่วยตน การพูดย่อมเป็นเรื่องเสี่ยง เพราะไม่แน่ว่าถูกหรือผิด ดังนั้น การนิ่งเฉย แล้วเรียนรู้ ช่วยตนเองก่อน จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ในทางกลับกัน เมื่อสิ่งที่เราเรียนรู้ ได้ถูกทำ จนช่วยตนได้สำเร็จ สามารถหายจากโรคที่เป็น สถานะก็เปลี่ยนไป การไม่พูด พระภูมีถือว่า คนผู้นั้น จัดได้ว่าเป็นคนใจทมิฬหินชาติ เห็นคนหลงทาง ในขณะที่ตนเองเป็นผู้รุู้ทางรอด กลับเฉยเมยไม่บอกกล่าว ทำตนวางเฉย ข้ารอดแล้ว คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ด้วยเหตุนี้ คนที่ทำตนจนหายแล้ว แม้นปีหนึ่งจะมาเพียงวันเดียว คือวันรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน หากแต่ยังสามารถสร้างบุญเพื่อเลี้ยงตัวได้โดยการทำตนเป็น "พระมาลัยโปรดสัตว์" นั่นคือ ชี้ทางรอดให้สรรพสัตว์ ที่พบเห็นแล้วเชื่อ
ดังนั้น เมื่อตนช่วยตนเองได้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมา หากแต่ก็ยังมีหน้าที่ต้องทำ เพื่อสร้างคุณธรรมเป็นบุญไว้เลี้ยงตน
ใครที่คิดว่าตนรอดแล้ว ไม่สนใจอะไรเลย ใครจะตายก็ช่างไม่เกี่ยวกับตน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า นิสัยจิตใจเช่นนี้น่ากลัวนัก เพราะวันหน้า หากกรรมย้อนมาทำให้เกิดโรคอีก ย่อมไม่สามารถช่วยคนเหล่านี้ได้เลย และแม้นว่าคนเหล่านี้ จะทำเพื่อช่วยตนอีกสักฉันใด เช่นในอดีต ก็ยากจะประสพผลอีกครั้ง ด้วยเหตุที่เขาได้ทำลายคุณธรรม อันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่ง
การที่สามารถช่วยตน แล้วทำตนเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ นั่นคือ การดำรงอยู่ในธรรมหมวด "กตัญญูู" ต่อศาสนา ที่ซึ่งจัดได้ว่าเป็นคุณธรรมที่สูงสุด ขาดเสียไม่ได้ เพราะเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ให้ชีวิต และแสดงซึ่งความเมตตา อันเป็นเครื่องมือที่ใช้ค้ำจุนโลกนี้
จึงไม่แปลก ที่คนไข้สาวชาวอเมริกันกลับไป จะมีคนไข้ชาวอเมริกันที่เป็นโรคสะเก็ดเงินขั้นรุนแรง กลุ่มเล็กๆ กลับมาให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้ช่วยเหลือ
คำถามที่มักพบ "หายแล้วจำเป็นต้องมาไหม" จึงได้คำตอบ
เทียบเชิญ ๒
คนไข้ชาวสวิส ซึ่งได้กล่าวว่า ตัวเขามีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นดาราฮอลีวู๊ด และป่วยด้วยโรคพาร์กินสันเช่นกัน แต่ไม่บอกว่าเป็นใคร
มาวันนี้ เขาได้ส่งรายละเอียด พร้อมเทียบเชิญ จากมูลนิธิของเพื่อนเขา ซึ่งได้แก่ ไมเคิล เจ ฟอกส์
พร้อมกับแจ้งรายละเอียดให้ทราบว่า เพื่อนคนนี้ได้จัดตั้งมูลนิธิ ไมเคิล เจ ฟอกส์ ขึ้น เมื่อสิบปีก่อน เพื่อจัดสรรทุนแก่นักวิจัย และแพทย์ เพื่อค้นหายารักษาโรคพาร์กินสัน จนปัจจุบัน ให้เงินแก่นักวิจัยไปแล้วทั้งสิ้น ๓๒๕ ล้านดอลล่าร์สหรัฐ แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย
จนปัจจุบัน เพื่อนของเขาได้ว่าจ้างหมอ จำนวน ๑๐ คน เดือนละล้านกว่าบาท บินไปทั่วโลก เพื่อตรวจสอบดูว่า มีวิธีใดบ้างในการรักษาโรคพาร์กินสัน แต่ก็คว้าน้ำเหลว
เขาส่งรายงานปีที่แล้วของมูลนิธิ ไมเคิล เจ ฟอกส์ มาให้ทราบรายละเอียดเบื้องต้น ว่า ปีที่แล้ว มีนักวิจัย และหมอ มาร่วมชุมนุมประจำปีของมูลนิธิ จำนวน กว่า ๑๒,๐๐๐ คน เพื่อเสนอผลงาน และขอทุนวิจัย ผลปรากฎว่า มีงานวิจัยเด่น ๔ เรื่อง ที่ได้รับการคัดสรร หากแต่ไม่ใช่ยารักษาโรคพาร์กินสัน เป็นเพียงยาที่ลดอาการ หรือระงับอาการของโรคเท่านั้น
พร้อมกันนี้ เขาได้เน้นให้หลวงพ่อนิพนธ์ทราบว่า จากการประชุมที่ผ่านมา ไม่เคยมีรายงานสมุนไพรไทย ในการรักษาโรคพาร์กินสัน เข้ามาในที่ประชุม ของมูลนิธิ ที่ซานดิเอโก้ ของสหรัฐ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
หมอและเพื่อน จึงได้ลงความเห็น ส่งเทียบเชิญ ให้หลวงพ่อนิพนธ์ เข้าร่วมการประชุมที่จะจัดขึ้นในปีนี้ โดยให้ตัวคนไข้ชาวสวิสท่านนี เป็นผลงานในการนำเสนอ
พร้อมกันนี้ ได้เตรียมจัดเครื่องบิน เพื่อให้หลวงพ่อนิพนธ์และทีมงานล่าม ผู้ติดตาม บินไปฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพื่อร่วมการประชุมนี้
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า อาจจะทำโชว์เล็กๆ ให้ดูก่อนของจริง โดยอาจจะมีการร่วมมือระหว่าง "มูลนิธิไทยกรุณา กับ มูลนิธิ ไมเคิล เจ ฟอกส์ เพื่อโรคพาร์กินสัน"
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า พาร์กินสัน เป็นโรคที่มีความร้ายแรงน้อย เมื่อเทียบกับมะเร็ง และโรคอื่นๆ
หากแต่เมื่อหมอ และนักวิชาการได้เห็น ก็แตกตื่นตกใจ เห็นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ด้วยเหตุที่ไม่เชื่อว่า "สมุนไพรแม่ชีเมี้ยนจะทำได้"
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ต้องรอดูคุณสมบัติของคนไข้ชาวสวิสคนนี้ให้แน่ใจเสียก่อน ในหนึ่งเดือนนี้ หากคุณสมบัติใช้ได้ ก็จะทำให้โลกได้เห็นว่า ทางตันของวิทยาศาสตร์ สำหรับสมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนทรงนำมา เป็นเพียงปัญหาเล็กๆ แก้ได้ไม่ยาก
สิ่งที่สำคัญ คงไม่โลภแล้วกระโดดเข้าไป เพราะไม่อยากให้เป็นถ้ำกระบอก ๒
เหมือนที่เคยปฏิเสธ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหประชาชาติ ที่ขอยาตา ๑ ล้านขวด เพื่อให้สหประชาชาติไปแจก โดยจะให้เงินสนับสนุน นับพันล้านบาท หลังจากที่ตัวเขาหายจากโรคตา ที่หมอระดับโลกลงความเห็นว่า บอดแน่นอน หมดทางรักษา
คนไทยเล่นตัวนัก ฝรั่งเขาจะมาหิ้วตัวท่านไปแล้ว ....
คำร้องขอสุดท้าย ของคนไข้ชาวสวิสนี้ คือ ขอเพื่อนตามมาด้วย ๒ คน ได้ไหม เมื่อครบกำหนด ๑ เดือน
หากหลวงพ่อนิพนธ์อนุุญาต อาจได้เห็น ดาราฮอลีวู๊ด ไมเคิล เจ ฟอกส์ มาเดินที่ชมรมอย่างแน่นอน
เทียบเชิญ
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า คนไทยถูกหล่อหลอมว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องหายตัวมาปรากฎตรงหน้า หรือลอยมาจากฟ้า ซึ่งแม่ชีเมี้ยนทรงตรัสเสมอว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ไม่เป็นเช่นนั้นตอด เพราะหากทำเช่นนั้น ก็จะได้แต่คนโง่เขลา เบาปัญญา เป็นสาวก
แม่ชีเมี้ยน ทรงยกตัวอย่างพระโคดม ที่เป็นตัวอย่างของคนมีปัญญา เมื่อทรงพบนกพูดกับท่าน ก็รู้ได้ทันทีว่า นกนี้ไม่ใช่นก หากแต่เป็นโลกุตระ แปลงตนมาเป็นนก พูดกันตน
ก็ด้วยเหตุที่นกทั่วไปในโลก ไม่มีตัวใดที่จะพูดได้เลยนั่นเอง เมื่อพบเห็นจึงทราบว่า เป็นเรื่องผิดธรรมดาโลก
มายุคนี้ก็เช่นกัน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สิ่งที่เราท่านเห็นตำตา คนเป็นมะเร็งหาย ไตวายหาย กระดูกหาย หัวใจหาย เอดส์หาย เดินกันให้ไขว้ แต่สร้างศรัทธา หรือ การมองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องไม่ธรรมดาในจิตใจไม่ได้เลย
ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ หมอทั้งโลก หรือ คนทั้งโลก ไม่มีใครทำได้
มาวันนี้ คนไข้พาร์กินสันชาวสวิส หลวงพ่อนิพนธ์อนุญาตให้กลับไปจัดการธุรกิจได้ ๑ เดือน พร้อมสั่งกำชับให้ทานสมุนไพรตามที่กำหนดตลอดทั้งเดือนที่กลับไป
หลังจากกลับไป หมอและเพื่อนที่เป็นกลุ่มโรคพาร์กินสันไม่เชื่อว่า เขาจะดีขึ้น เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า คนไข้พาร์กินสัน เมื่อเข้าคอร์สทานยาเคมี นั่นหมายความว่า หยุดทานไม่ได้ เมื่อถึงเวลาต้องทานตามเวลา มิฉะนั้น จะเกิดอาการ เช่นคนไข้ชาวสวิสท่านนี้ ที่อาการเข้าวิกฤติ นั่นคือ เริ่มจากการเข้าคอร์ส ทาน ๑๐ ชม./ครั้ง จนล่าสุดก่อนมา ๒ ชม./ครั้ง และเมื่อถึง ๑ ชม./ครั้งนั่นหมายถึง การเสียชีวิตนั่นเอง
การทดสอบจึงเกิดขึ้นทันทีที่เขากลับถึงสวิส ด้วยสถานะปัจจุบัน เขาไม่ต้องใช้สารยาเสพติด แต่ยังต้องทานยาเคมีอยู่ โดยหลวงพ่อนิพนธ์ยังไม่ให้หักดิบ
ผลของการทดสอบ นั่นคือ ดูอาการที่จะพึงเกิดหลังทานยา นั่นคือ เมื่อถึงเวลาต้องทานยาเคมี คนไข้ท่านนี้ ต้องมีอาการ มือหงิก และขาบิด นั่นคือต้องทานยาแล้ว
ผลที่ปรากฎคือ เขาสามารถอยู่ได้ถึง ๖ ชั่วโมง หลังการทานยาเคมี จึงเกิดอาการ
แต่ที่หมอถึงกับบอกว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในคนไข้โรคพาร์กินสัน อย่างแน่นอน นั่นคือ การพูด ที่เสียไป ไม่สามารถทำให้กลับมาได้อย่างแน่นอน แต่คนไข้ชาวสวิสท่านนี้ พูดได้ชัดขึ้น จนสามารถออกเสียง ตัวเอส ของภาษาอังกฤษได้อย่างชัดเจน
จากคนที่จิตใจหดหู่ รอวันจบของชีวิต
วันนี้ เขาได้กลายเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในหมู่คนเป็นโรคพาร์กินสัน
ดังนั้น เมื่อผ่านไปสามวัน เขาจึงให้ภรรยา โทรมาขอหลวงพ่อนิพนธ์ว่า เขาจะอยู่สวิสแค่สัปดาห์เดียว แล้วจะกลับมาเข้าคอร์สสมุนไพรต่อ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ถ้าเชื่อท่าน ให้อยู่ไปจนครบเดือน แต่ต้องทานสมุนไพรตามที่สั่งให้ครบถ้วน
เชื่อกันง่าย ๆ หรือ
คนไม่ได้โง่ ทุกคนล้วนแต่มีความคิด วิเคราะห์ตรวจตรา สิ่งที่เห็น สิ่งที่สัมผัสได้
ผู้หญิงคนหนึ่ง สัปดาห์ที่แล้วอาการของเธออยู่ในขั้นวิกฤต เรียกได้ว่าแทบจะเอาตัวไม่รอด
เพื่อนของเธอเห็นท่าไม่ดี จึงชักชวนโน้มน้าวให้เธอลองทานยาเขียว ของแม่ชีเมี้ยน
เมื่อยาเคมีที่ใช้ไม่สามารถแก้ปัญหา หรือลดทอนอาการของเธอ ทำให้ในที่สุดเธอก็ยอมลองทานตามคำเว้าวอนของเพื่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อตี่นขึ้นมา อาการของเธอกลับตาลปัตร จนต้องกล่าวกับเพื่อนว่า สิ่งที่นำมาให้ทานนี้มันมหัศจรรย์อย่างที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน จึงคิดตามเพื่อนมาดู มาสังเกต ค้นหาความจริง เพื่อตัดสินใจ
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอจึงตามเพื่อนที่เป็นกรรมการของมูลนิธิไทยกรุณา โดยไม่ให้เพื่อนบอกว่าเธอเป็นใคร และมาทำไม
ตลอดทั้งวัน เธอหาข้อมูล และตรวจสอบค้นหาความจริง จนแน่ใจว่า สิ่งที่เธอได้มาพบเป็นของจริง เจอคนจริง มีคุณธรรม
เมื่อถึงเวลาเย็น เธอจึงให้เพื่อนพาไปพบพูดคุยกับหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกับยื่นนามบัตรของเธอให้
คำกล่าวสั้นๆ ของเธอกับหลวงพ่อนิพนธ์ คือ "ดิฉันเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้าง อันดับต้นๆ ของประเทศ เป็นลูกคนเดียว ไม่ได้แต่งงาน ขอเสนอตัว หากหลวงพ่อนิพนธ์อยากสร้างสิ่งใด จะขอรับผิดชอบ ได้หรือไม่"
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น สิ่งที่ขาดคือ ช่วงนี้งานก่อสร้างมีมากมายทำให้หาคนงานได้ยาก
สิ่งที่อยากขอให้ช่วยคือ ช่วยจัดเครื่องมือและคนงาน มาก่อสร้างอาคารให้คนไข้ โดยทางหลวงพ่อนิพนธ์จะรับผิดชอบวัสดุเอง
เมื่อฟ้าเปิด หลวงพ่อนิพนธ์กล่าว เขาก็เตะส่งคนอย่างนี้มาให้ เพื่อให้กิจกรรมดำเนินไปได้อย่างลุล่วง
ก็เป็นข่าวที่น่ายินดี ที่คนไข้คงจะได้อาคารที่พักหลังใหม่ บริเวณสระน้ำเสียที
คนที่หมดหนทาง หมดทางเลือก และเห็นซึ่งทางตันในทางที่ตนเองเดินอยู่ แสงเพียงเล็กน้อยที่ส่องมา และที่สำคัญเป็นแสงจากทางสว่างของชีวิตตนอย่างแท้จริง เมื่อได้สัมผัส เขาจึงซึ้งและศรัทธาอย่างสุดตัว
คนที่ความจริงแล้ว ก็หมดหนทางเช่นกัน แต่หลอกตัวเองว่ามีทางเลือก สิ่งนี้ช่วยได้ สิ่งนั้นช่วยได้ จึงสร้างศรัทธากับสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนไม่ได้เลย
ให้หลวงพ่อนิพนธ์พูดจนปากฉีกถึงรูหู ก็ทำให้คนพวกนี้ลดอาการและสงบ เมื่อเข้าห้องสวดมนต์ไม่ได้หรอก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า คนประเภทนี้ "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา"
ขยายความให้ฟังว่า "ธรรมโปรดคนเหล่านี้ไม่ได้เลย ต้องกรรมรุมขย้ำจนสาหัสสากรรจ์ คนเหล่านี้จึงอาจจะได้สำนึกบ้าง"
วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556
ประกาศ - สูตรสมุนไพรต้านภัยร้อน
หลวงพ่อนิพนธ์ได้เล็งเห็นว่า สภาพอากาศจะเริ่มวิกฤตแปรปรวนมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น สิ่งที่ต้องเตรียมตัว นั่นคือ เตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม เพื่อรับความแปรปรวนที่จะเกิดอันใกล้นี้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสั่งให้เพิ่มตัวยาสมุนไพรในยาลูกกลอนมากยิ่งขึ้น ตามคำสั่งของแม่ชีเมี้ยนที่ต้องให้ปรับสูตรเพื่อรับสถานการณ์ จึงจะสอดคล้องความแรงของโรค และการแปรเปลี่ยนของอากาศ
นั่นคือร่างกายต้องเริ่มปรับตัว กับอุณหภูมิธาตุของสมุนไพรที่เพิ่มมากขึ้น ผลคือ เมื่อทานแล้วจะรู้สึกร้อนมากกว่าเดิม นานกว่าเดิม หลวงพ่อนิพนธ์จึงแจ้งให้ทราบว่า ไม่ต้องตกใจ และปรับตัวกับอุณหภูมิธาตุของภายนอก จากสมุนไพรในห้องอบตัว
เมื่อร่างกายปรับตัว และสร้างภูมิได้แล้ว หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ไม่ว่าสภาพอากาศจะแปรปรวนสักฉันใด ก็เชื่อได้ว่า ผู้ทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนจะมีภูมิต้านทานสภาวะเช่นนั้นและผ่านได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น สิ่งที่ต้องเตรียมตัว นั่นคือ เตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม เพื่อรับความแปรปรวนที่จะเกิดอันใกล้นี้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสั่งให้เพิ่มตัวยาสมุนไพรในยาลูกกลอนมากยิ่งขึ้น ตามคำสั่งของแม่ชีเมี้ยนที่ต้องให้ปรับสูตรเพื่อรับสถานการณ์ จึงจะสอดคล้องความแรงของโรค และการแปรเปลี่ยนของอากาศ
นั่นคือร่างกายต้องเริ่มปรับตัว กับอุณหภูมิธาตุของสมุนไพรที่เพิ่มมากขึ้น ผลคือ เมื่อทานแล้วจะรู้สึกร้อนมากกว่าเดิม นานกว่าเดิม หลวงพ่อนิพนธ์จึงแจ้งให้ทราบว่า ไม่ต้องตกใจ และปรับตัวกับอุณหภูมิธาตุของภายนอก จากสมุนไพรในห้องอบตัว
เมื่อร่างกายปรับตัว และสร้างภูมิได้แล้ว หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ไม่ว่าสภาพอากาศจะแปรปรวนสักฉันใด ก็เชื่อได้ว่า ผู้ทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนจะมีภูมิต้านทานสภาวะเช่นนั้นและผ่านได้อย่างแน่นอน
บทความที่สาบสูญ
กรรมการท่านหนึ่งที่เป็นวงในด้านการแพทย์ ได้นำบทความต่างประเทศฉบับหนึ่งมาให้หลวงพ่อนิพนธ์
เนื้อหาของบทความ กล่าวถึงการล็อบบี้นักวิชาการทางการแพทย์ของโลก เพื่อให้ปรับเปลี่ยนมาตรฐานของระดับคลอเลสตอเรล ในร่างกาย อันเป็นเหตุวินิจฉัยว่าเป็นโรค
สาระย่อๆ มีใจความว่า จากอดีตที่ผ่านมา วงการแพทย์ ได้ตรวจพบและกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระดับคลอเรสตอเรล ที่คนปกติทั่วไปต้องมี เพื่อนำสารนี้ไปใช้ในการสร้างเยื่อหุ้มสมอง และอื่นๆ ในร่างกาย อันมีเกณฑ์ที่กำหนดว่า คนปกติ คือมีระดับไม่เกิน ๑๕๐
บริษัทยาได้ทำการล็อบบี้ ให้เปลี่ยนมาตรฐานดังกล่าว เหลือ เป็นค่าปกติ คือ ๑๑๐
ผลก็คือ ในคืนเดียว เช้าวันต่อมามีชาวอเมริกัน ที่ต้องกลายเป็นโรค และรับยาควบคุมถึง ๖๕ ล้านคน
ผลจากการล็อบบี้นี้เอง ทำให้บริษัทยา มีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงเดือนเดียว ถึง ๕๐๐๐ ล้านเหรียญ
ทั้งนี้ คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นมหาศาล เมื่อเกณฑ์นี้ถูกนำไปใช้ทั่วโลก
สิ่งนี้แหละที่แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า ยาเคมีไม่มีทางรักษาโรคได้เลย และมนุษย์ไม่มีวันค้นพบยารักษาโรคตายได้ เพราะพื้นฐานที่เริ่ม มันเริ่มมาจากความโลภจากจิตใจของพ่อค้านั่นเอง ที่ใช้ชีวิตมนุษย์เป็นเครื่องมือหาความร่ำรวย
น้ำทิพย์ กับ ยาพิษ
คำพูดที่สะท้อนกลับมา ย่อมเป็นสิ่งที่มีผลต่อจิตใจของผู้ที่ทำ ไม่มากก็น้อย
เสียงสะท้อน ในการเก็บเงินบำรุงสถานที่จอดรถ หรือ การขายน้ำ ขายข้าวแกง ก็เช่นกัน
จุดประสงค์ของสิ่งเหล่านี้ มีบ่อเกิดมาจาก ความที่หลวงพ่อนิพนธ์เป็นห่วง เราท่าน ว่าจะเป็นหนี้ผู้อื่นจนเกินไป หรือตกอยู่ในสถานะชูชกนั่นเอง และแน่นอนท้ายที่สุดก็คงท้องแตกตาย ไม่ประสพผลในการช่วยตน
การออกวินัยเหล่านี้ จึงเป็นช่องทางให้เราท่านได้สร้างคุณสมบัติของผู้ให้ ยกฐานะตนให้กลายเป็นพระเวสสันดร
แต่เสียงสะท้อนกลับมา กลายเป็นว่าถูกบังคับให้ทาน ให้ซื้อ ให้ต้องเสียเงินจอดรถ อันหมายถึง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือที่หลวงพ่อนิพนธ์สร้างทุกข์ให้แก่ผู้ที่มา
คนมีคุณธรรมย่อมทนเสียงเหล่านี้ไม่ได้เป็นธรรมดา
"ก็เลิกไป ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้ยกเลิกเงินบำรุงที่จอดรถ ให้ยกเลิกการขายน้ำ และในไม่ช้าก็อาจจะต้องยกเลิกขายข้าวแกงด้วยเช่นกัน เพราะทนต่อเสียงเหล่านี้ไม่ไหว
มีจดหมายน้อยฉบับหนึ่งส่งมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ จากคนไข้หญิงที่เป็นมะเร็งไทรอยด์ ต้องทำงานหาเลี้ยงแม่ แต่โรคร้ายก็ทำให้เธอต้องหมดตัว และผอมแห้งเหลือแต่กระดูกรอวัน...
มาวันนี้เธอกลับไปทำงานได้ หาเลี้ยงแม่ได้อีกครั้ง เขียนจดหมายน้อยฉบับที่สามมาหาหลวงพ่อนิพนธ์
"จำหนูได้ไหมค่ะ คนที่ซื้อเสื้อให้หลวงพ่อ ๒ ตัว และปีที่แล้วก็ซื้อม้าไม้ให้ เพราะทราบว่าหลวงพ่อเกิดปีม้า"
ตั้งแต่มายังไม่เคยได้เข้ามาฟังหลวงพ่อเทศน์ใกล้ๆ สักครั้ง เพราะไปเป็นจิตอาสาที่โรงยา จนมีโอกาสครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่จัดให้เข้ามาได้ฟังในห้องของหลวงพ่อนิพนธ์ ดีใจจนน้ำตาไหล
เธอได้ยินหลวงพ่อกล่าวถึง คนที่ช่วยค่าขวดสองบาท ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์สงสัยจนต้องตั้งคำถามว่า สิ่งนี้สร้างทุกข์ให้คนเหล่านั้น หรือเบียดบังคนเหล่านั้นมากใช่หรือไม่
เธอจึงเขียนว่า ตัวเธอจะเป็นน้ำทิพย์ให้หลวงพ่อ และขอบริจาคเงินน้ำพักน้ำแรง ๒๐๐๐ บาท เป็นค่าขวด
ท้ายจดหมายนี้ ได้กล่าวขออภัยเพราะรู้ดีว่าเงินจำนวนนี้คงไม่มาก แต่ก็เป็นเพราะเธอความรู้น้อย เงินเดือนไม่มาก ถึงกระนั้นก็เต็มใจ ที่จะนำน้ำพักน้ำแรงอันน้อยนิดนี้มาร่วมกับหลวงพ่อนิพนธ์
พร้อมกราบขอบคุณที่ทำให้เธอได้มีชีวิตใหม่ หาเลี้ยงแม่ได้อีกครั้ง และมุ่งมั่นที่จะทำตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ตลอดไป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า อย่างน้อยเราก็ยังมีน้ำทิพย์ที่วิเศษสุดเช่นนี้มาชโลมหัวใจ ทำให้มีกำลังต่อสู้ แม้ว่าการช่วยชีวิตจะไม่ได้เงินเป็นค่าตอบแทน แถมยังเสียเงินอีกด้วย แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดนั่นคือ เราได้ชีวิตของคนคนหนึ่งมา และได้ช่วยครอบครัวเขา และยังได้คนดีเพิ่มมาอีกคน เป็นคนที่กลัวเวรกลัวกรรม ไม่กล้าทำบาปอีก เป็นกำลังของชาติ นี่แหละมีค่าอันมหาศาล
เสียงสะท้อน ในการเก็บเงินบำรุงสถานที่จอดรถ หรือ การขายน้ำ ขายข้าวแกง ก็เช่นกัน
จุดประสงค์ของสิ่งเหล่านี้ มีบ่อเกิดมาจาก ความที่หลวงพ่อนิพนธ์เป็นห่วง เราท่าน ว่าจะเป็นหนี้ผู้อื่นจนเกินไป หรือตกอยู่ในสถานะชูชกนั่นเอง และแน่นอนท้ายที่สุดก็คงท้องแตกตาย ไม่ประสพผลในการช่วยตน
การออกวินัยเหล่านี้ จึงเป็นช่องทางให้เราท่านได้สร้างคุณสมบัติของผู้ให้ ยกฐานะตนให้กลายเป็นพระเวสสันดร
แต่เสียงสะท้อนกลับมา กลายเป็นว่าถูกบังคับให้ทาน ให้ซื้อ ให้ต้องเสียเงินจอดรถ อันหมายถึง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือที่หลวงพ่อนิพนธ์สร้างทุกข์ให้แก่ผู้ที่มา
คนมีคุณธรรมย่อมทนเสียงเหล่านี้ไม่ได้เป็นธรรมดา
"ก็เลิกไป ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้ยกเลิกเงินบำรุงที่จอดรถ ให้ยกเลิกการขายน้ำ และในไม่ช้าก็อาจจะต้องยกเลิกขายข้าวแกงด้วยเช่นกัน เพราะทนต่อเสียงเหล่านี้ไม่ไหว
มีจดหมายน้อยฉบับหนึ่งส่งมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ จากคนไข้หญิงที่เป็นมะเร็งไทรอยด์ ต้องทำงานหาเลี้ยงแม่ แต่โรคร้ายก็ทำให้เธอต้องหมดตัว และผอมแห้งเหลือแต่กระดูกรอวัน...
มาวันนี้เธอกลับไปทำงานได้ หาเลี้ยงแม่ได้อีกครั้ง เขียนจดหมายน้อยฉบับที่สามมาหาหลวงพ่อนิพนธ์
"จำหนูได้ไหมค่ะ คนที่ซื้อเสื้อให้หลวงพ่อ ๒ ตัว และปีที่แล้วก็ซื้อม้าไม้ให้ เพราะทราบว่าหลวงพ่อเกิดปีม้า"
ตั้งแต่มายังไม่เคยได้เข้ามาฟังหลวงพ่อเทศน์ใกล้ๆ สักครั้ง เพราะไปเป็นจิตอาสาที่โรงยา จนมีโอกาสครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่จัดให้เข้ามาได้ฟังในห้องของหลวงพ่อนิพนธ์ ดีใจจนน้ำตาไหล
เธอได้ยินหลวงพ่อกล่าวถึง คนที่ช่วยค่าขวดสองบาท ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์สงสัยจนต้องตั้งคำถามว่า สิ่งนี้สร้างทุกข์ให้คนเหล่านั้น หรือเบียดบังคนเหล่านั้นมากใช่หรือไม่
เธอจึงเขียนว่า ตัวเธอจะเป็นน้ำทิพย์ให้หลวงพ่อ และขอบริจาคเงินน้ำพักน้ำแรง ๒๐๐๐ บาท เป็นค่าขวด
ท้ายจดหมายนี้ ได้กล่าวขออภัยเพราะรู้ดีว่าเงินจำนวนนี้คงไม่มาก แต่ก็เป็นเพราะเธอความรู้น้อย เงินเดือนไม่มาก ถึงกระนั้นก็เต็มใจ ที่จะนำน้ำพักน้ำแรงอันน้อยนิดนี้มาร่วมกับหลวงพ่อนิพนธ์
พร้อมกราบขอบคุณที่ทำให้เธอได้มีชีวิตใหม่ หาเลี้ยงแม่ได้อีกครั้ง และมุ่งมั่นที่จะทำตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ตลอดไป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า อย่างน้อยเราก็ยังมีน้ำทิพย์ที่วิเศษสุดเช่นนี้มาชโลมหัวใจ ทำให้มีกำลังต่อสู้ แม้ว่าการช่วยชีวิตจะไม่ได้เงินเป็นค่าตอบแทน แถมยังเสียเงินอีกด้วย แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดนั่นคือ เราได้ชีวิตของคนคนหนึ่งมา และได้ช่วยครอบครัวเขา และยังได้คนดีเพิ่มมาอีกคน เป็นคนที่กลัวเวรกลัวกรรม ไม่กล้าทำบาปอีก เป็นกำลังของชาติ นี่แหละมีค่าอันมหาศาล
เกร็ดเล็กๆ จากวันงานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ฝากคำเตือนเล็กน้อยเพื่อเตือนสติ เราท่านที่ทานสมุนไพร
โดยอรรถาธิบายที่มาของสมุนไพรว่า เกิดจากพระภูมี ผู้ซึ่งทรงตรัสรู้รอบครอบจักรวาล อันหมายถึง ดิน น้ำ ลม ไฟ
ดังนั้น สูตรสมุนไพรที่พระภูมีทรงบัญญัติ จึงมีไว้เพื่อปรุงแต่งธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้ได้สัดส่วน
เมื่อธาตุเข้าสู่สมดุลย์ นั่นหมายถึง ความสามารถของร่างกายเราท่าน จะกลับมามีความสามารถในการฟื้นฟูตน และสร้างภูมิ ได้เป็นปกติ จึงเรียกว่า หลักตนพึ่งตน โดยไม่ต้องสนว่าเป็นโรคอะไร
บทสรุปสุดท้าย ที่หลวงพ่อนิพนธ์ทิ้งไว้ให้คือ การล่วงละเมิด พูดกันไป พูดกันมา สมุนไพรตัวนี้ รักษาโรคนั้น ตัวนั้นรักษาโรคนี้ ซึ่งทำให้คนไขว้เขว แล้วไปยึดติดสมุนไพร
การกล่าวเช่นนั้น จึงนับได้ว่าเป็นการทำลายซึ่งบัญญัติของพระภูมี นับว่าเสี่ยงต่อผู้พูดเป็นอย่างยิ่ง มิควรกระทำ
ควรที่เราท่านจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสมุนไพร ดั่งเช่นทานข้าว ไม่ต้องบอกว่า คำนี้ สร้างกระดูก คำนี้สร้างหัวใจ ... หน้าที่เราท่าน จึงมีหน้าที่ ก้มหน้าก้มตาทาน และสร้างคุณสมบัติ เท่านั้นเอง
โดยอรรถาธิบายที่มาของสมุนไพรว่า เกิดจากพระภูมี ผู้ซึ่งทรงตรัสรู้รอบครอบจักรวาล อันหมายถึง ดิน น้ำ ลม ไฟ
ดังนั้น สูตรสมุนไพรที่พระภูมีทรงบัญญัติ จึงมีไว้เพื่อปรุงแต่งธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้ได้สัดส่วน
เมื่อธาตุเข้าสู่สมดุลย์ นั่นหมายถึง ความสามารถของร่างกายเราท่าน จะกลับมามีความสามารถในการฟื้นฟูตน และสร้างภูมิ ได้เป็นปกติ จึงเรียกว่า หลักตนพึ่งตน โดยไม่ต้องสนว่าเป็นโรคอะไร
บทสรุปสุดท้าย ที่หลวงพ่อนิพนธ์ทิ้งไว้ให้คือ การล่วงละเมิด พูดกันไป พูดกันมา สมุนไพรตัวนี้ รักษาโรคนั้น ตัวนั้นรักษาโรคนี้ ซึ่งทำให้คนไขว้เขว แล้วไปยึดติดสมุนไพร
การกล่าวเช่นนั้น จึงนับได้ว่าเป็นการทำลายซึ่งบัญญัติของพระภูมี นับว่าเสี่ยงต่อผู้พูดเป็นอย่างยิ่ง มิควรกระทำ
ควรที่เราท่านจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสมุนไพร ดั่งเช่นทานข้าว ไม่ต้องบอกว่า คำนี้ สร้างกระดูก คำนี้สร้างหัวใจ ... หน้าที่เราท่าน จึงมีหน้าที่ ก้มหน้าก้มตาทาน และสร้างคุณสมบัติ เท่านั้นเอง
วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556
แววดี
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวในวันงานว่า เมื่อฟ้าเข้าเปิดทางให้ อะไรที่เคยเป็นอุปสรรค ก็เริ่มคลี่คลาย
ในอดีต สวนสมุนไพรที่บ่อพลอย อยู่ในแผ่นดินที่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสูบน้ำบาดาล ไม่ต้องเอ่ยเรื่องฝน เพราะเป็นเขตที่แล้งที่สุดของประเทศไทย ปลูกอะไรก็ตายหมด แต่เป็นแหล่งที่สมุนไพรชอบขึ้น
การขาดน้ำ ทำให้สมุนไพรเมื่อพ้นหน้าฝน จึงต้องพึ่งน้ำจากบ่อที่ขุดไว้ ซึ่งไม่เพียงพอ เนื่องจากขาดอุปกรณ์ เครื่้องมือ และทุนในการขุดบ่อให้มาก และกว้างขวางขึ้น
มาวันนี้ ก็มีคนไข้ที่ประสพความสำเร็จในการช่วยตน มาเปิดเผยตน แล้วยื่นมือมาขออาสาช่วยแก้ปัญหานี้ ทำให้ในไม่ช้า สวนสมุนไพรก็จะมีบ่อกักเก็บน้ำ จนพอใช้ได้ทั้งปี อันหมายความว่า ในหน้าแล้ง ยาเขียวก็จะยังคงมีให้ทาน
และในช่วงเวลาเดียวกัน คนไข้ชาวสวิส ที่อาการดีวันดีคืน แม้ยังไม่หาย แต่เขาก็สามารถทิ้งยาเคมี และไม่ต้องใช้ยาเสพติด ในการรักษาอาการ ซึ่งหลายสิบปี เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำได้เลยเสนอตัวที่จะให้ทุนประเดิม ๔ ล้านบาท ในการซื้อเครื่องที่ช่วยในการแปรรูปสมุนไพร ทำให้สามารถเก็บได้ และมีแจกทั้งปี
ยิ่งไปกว่านั้น ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน นั่นคือ ค่าแก๊ส ที่ใช้ในการอบตัว ก็ได้คนไข้ท่านหนึ่ง ที่ผ่านวิกฤตของตน แล้วเสนอตัว ท่านคือ ดร. ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานชีวมวล อันดับต้นๆ ของประเทศไทย ได้ออกแบบและเสนอแก่หลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อให้ได้แก๊สชีวมวล มาใช้ทดแทนการซื้อแก๊ส
อะไรๆ ก็เริ่มเป็นใจ ..
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเน้นให้คนที่มาเดินในแนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ให้มีความมุ่งมั่น และตั้งใจ มีขันติ อดทน เพื่อช่วยตน
ปีนี้ เราท่านก็จะเห็นอะไรเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากยิ่งขึ้น อย่างแน่นอน
ในอดีต สวนสมุนไพรที่บ่อพลอย อยู่ในแผ่นดินที่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสูบน้ำบาดาล ไม่ต้องเอ่ยเรื่องฝน เพราะเป็นเขตที่แล้งที่สุดของประเทศไทย ปลูกอะไรก็ตายหมด แต่เป็นแหล่งที่สมุนไพรชอบขึ้น
การขาดน้ำ ทำให้สมุนไพรเมื่อพ้นหน้าฝน จึงต้องพึ่งน้ำจากบ่อที่ขุดไว้ ซึ่งไม่เพียงพอ เนื่องจากขาดอุปกรณ์ เครื่้องมือ และทุนในการขุดบ่อให้มาก และกว้างขวางขึ้น
มาวันนี้ ก็มีคนไข้ที่ประสพความสำเร็จในการช่วยตน มาเปิดเผยตน แล้วยื่นมือมาขออาสาช่วยแก้ปัญหานี้ ทำให้ในไม่ช้า สวนสมุนไพรก็จะมีบ่อกักเก็บน้ำ จนพอใช้ได้ทั้งปี อันหมายความว่า ในหน้าแล้ง ยาเขียวก็จะยังคงมีให้ทาน
และในช่วงเวลาเดียวกัน คนไข้ชาวสวิส ที่อาการดีวันดีคืน แม้ยังไม่หาย แต่เขาก็สามารถทิ้งยาเคมี และไม่ต้องใช้ยาเสพติด ในการรักษาอาการ ซึ่งหลายสิบปี เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำได้เลยเสนอตัวที่จะให้ทุนประเดิม ๔ ล้านบาท ในการซื้อเครื่องที่ช่วยในการแปรรูปสมุนไพร ทำให้สามารถเก็บได้ และมีแจกทั้งปี
ยิ่งไปกว่านั้น ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน นั่นคือ ค่าแก๊ส ที่ใช้ในการอบตัว ก็ได้คนไข้ท่านหนึ่ง ที่ผ่านวิกฤตของตน แล้วเสนอตัว ท่านคือ ดร. ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานชีวมวล อันดับต้นๆ ของประเทศไทย ได้ออกแบบและเสนอแก่หลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อให้ได้แก๊สชีวมวล มาใช้ทดแทนการซื้อแก๊ส
อะไรๆ ก็เริ่มเป็นใจ ..
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเน้นให้คนที่มาเดินในแนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ให้มีความมุ่งมั่น และตั้งใจ มีขันติ อดทน เพื่อช่วยตน
ปีนี้ เราท่านก็จะเห็นอะไรเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากยิ่งขึ้น อย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิด
เพราะไม่รู้เรื่องศาสนา จึงทำให้ปัญญาทางศาสนามือบอด เราท่านทั้งหลายจึงถูกหลอกให้เชื่อแล้วทำตามสิ่งที่คนหากินกับศาสนา เขาพูดเขากล่าว แล้วก็นั่งรอบุญ
กว่าจะรู้ว่าบุญที่คนเหล่านั้น หลอกให้ทำนั้นมันของเก๊ ชีวิตก็ต้องดับสูญ หรือหายนะไปทั้งที่ทำ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักอุปมาสิ่งนี้เหมือนพระเก๊ ที่มาหลอกขาย เราท่านไม่รู้ ก็เชื่อว่าจริง มีมงคล จะราคาสักเท่าไรก็หาเช่ามา เพื่อช่วยตน กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอก ก็เมื่อชีวิตสิ้นสูญ หรือ หายนะแล้วนั่นเอง
นั่นหมายความว่า คนไทยที่เรียกว่าเป็นเมืองพุทธ จะมีสักกี่คนรู้ว่า เมื่อถึงกำหนด โลกจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาสังคายนาศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์เดิม แล้วเริ่มต้นพุทธศักราชที่ ๑ ใหม่
วัดต่างๆ ในประเทศไทย ไม่มีเรื่องราวเหล่านี้เลย ในขณะที่เราท่านเหลียวมองเมืองพุทธที่อยู่ใกล้เคียง นั่นคือ ประเทศพม่า
ไม่ว่าวัดใหญ่น้อย ประตูสี่ด้านของวัด จะมีพระพุทธเจ้าประจำทิศ อันได้แก่ พระพุทธเจ้าสี่ยุคหลัง หรือเรียก หนึ่งกัป คือ หมื่นปี โดยเริ่มจาก พระกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสปะ จนมาถึงองค์ล่าสุด พระโคดม
สิ่งนี้เป็นเครื่องหมายที่ใช้เตือนใจชาวพุทธ เพื่อให้ทำตนรอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะมาอุบัติ
ด้วยความไม่รู้เรื่องศาสนานี้เอง แม่ชีเมี้ยน จึงต้องขุดเอาศาสนามาให้เราท่าน ได้รู้ในสิ่งที่พระภูมีตรัสรู้ นั่นคือ "กรรมอุปาทาน" หรือ ทุกสรรพสิ่งที่เกิดล้วนแล้วเกิดจากกรรมที่เราท่านทำมาทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นเอง
เมื่อเราท่านไม่เชื่อเรื่องกรรมอุปาทาน หรือที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า ไม่เชื่อเรื่องกรรม เราท่านจึงเชื่อว่า สิ่งอื่นหรือผู้อื่นจะเป็นที่พึ่งแก่ตนของเราท่านได้ โดยดูจากชีวิตประจำวัน เช่น รถ เรือ ทีวี เครื่องบิน ... จนเชื่อว่าเรื่องของชีิวต ก็เช่นกัน
ดังนั้น เมื่อเราได้เรียนรู้เบื้องต้น เราก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไมจึงไม่มีใครค้นคว้ายารักษาโรคได้
และสาเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้เราท่านหยุดยาเคมี
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสรุปให้ฟังว่า การทานสมุนไพร ไม่เพียงแต่ดำเนินตามหลักธรรมชาติ หากยังเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระภูมีหมวดหนึ่งด้วย
นั่นหมายความว่า "การทานสมุนไพร คือ การปฏิบัติตนเพื่อรอรับพระภูมีองค์ใหม่ที่จะมาอุบัตินั่นเอง"
กว่าจะรู้ว่าบุญที่คนเหล่านั้น หลอกให้ทำนั้นมันของเก๊ ชีวิตก็ต้องดับสูญ หรือหายนะไปทั้งที่ทำ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักอุปมาสิ่งนี้เหมือนพระเก๊ ที่มาหลอกขาย เราท่านไม่รู้ ก็เชื่อว่าจริง มีมงคล จะราคาสักเท่าไรก็หาเช่ามา เพื่อช่วยตน กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอก ก็เมื่อชีวิตสิ้นสูญ หรือ หายนะแล้วนั่นเอง
นั่นหมายความว่า คนไทยที่เรียกว่าเป็นเมืองพุทธ จะมีสักกี่คนรู้ว่า เมื่อถึงกำหนด โลกจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาสังคายนาศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์เดิม แล้วเริ่มต้นพุทธศักราชที่ ๑ ใหม่
วัดต่างๆ ในประเทศไทย ไม่มีเรื่องราวเหล่านี้เลย ในขณะที่เราท่านเหลียวมองเมืองพุทธที่อยู่ใกล้เคียง นั่นคือ ประเทศพม่า
ไม่ว่าวัดใหญ่น้อย ประตูสี่ด้านของวัด จะมีพระพุทธเจ้าประจำทิศ อันได้แก่ พระพุทธเจ้าสี่ยุคหลัง หรือเรียก หนึ่งกัป คือ หมื่นปี โดยเริ่มจาก พระกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสปะ จนมาถึงองค์ล่าสุด พระโคดม
สิ่งนี้เป็นเครื่องหมายที่ใช้เตือนใจชาวพุทธ เพื่อให้ทำตนรอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะมาอุบัติ
ด้วยความไม่รู้เรื่องศาสนานี้เอง แม่ชีเมี้ยน จึงต้องขุดเอาศาสนามาให้เราท่าน ได้รู้ในสิ่งที่พระภูมีตรัสรู้ นั่นคือ "กรรมอุปาทาน" หรือ ทุกสรรพสิ่งที่เกิดล้วนแล้วเกิดจากกรรมที่เราท่านทำมาทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นเอง
เมื่อเราท่านไม่เชื่อเรื่องกรรมอุปาทาน หรือที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า ไม่เชื่อเรื่องกรรม เราท่านจึงเชื่อว่า สิ่งอื่นหรือผู้อื่นจะเป็นที่พึ่งแก่ตนของเราท่านได้ โดยดูจากชีวิตประจำวัน เช่น รถ เรือ ทีวี เครื่องบิน ... จนเชื่อว่าเรื่องของชีิวต ก็เช่นกัน
ดังนั้น เมื่อเราได้เรียนรู้เบื้องต้น เราก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไมจึงไม่มีใครค้นคว้ายารักษาโรคได้
และสาเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้เราท่านหยุดยาเคมี
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสรุปให้ฟังว่า การทานสมุนไพร ไม่เพียงแต่ดำเนินตามหลักธรรมชาติ หากยังเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระภูมีหมวดหนึ่งด้วย
นั่นหมายความว่า "การทานสมุนไพร คือ การปฏิบัติตนเพื่อรอรับพระภูมีองค์ใหม่ที่จะมาอุบัตินั่นเอง"
วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ปัจจุบันโรคมะเร็ง เป็นโรคที่คนเป็นกันมาก และที่สำคัญเรียกได้ว่าเป็นงานหนัก หากจะหวังผล จะใช้แต่เพียงสมุนไพรเพียงอย่างเดียว อัตราการหายก็จะน้อย
ดังนั้น จึงมีดำริที่จะใช้ความเข้มข้น หรือ วิธีการที่เต็มรูปแบบเพื่อต่อสู้ อันจะทำให้อัตราการหายเพิ่มสูงขึ้น
นั่นก็คือ ต้องทำตามคำสอนของพระภูมี อย่างครบถ้วน ตามคำขวัญ "สมุนไพรรักษาโรค ธรรมรักษากรรม"
ดังนั้น คนไข้ที่เข้ากลุ่มมะเร็ง และหลวงพ่อนิพนธ์ได้รับดูแลเอง จะมีบุคคลากร ที่จะทำหน้าที่อบรม เพื่อปรับเปลี่ยนอุปนิสัย พฤติกรรม ให้สอดคล้องกับคำสอนของพระภูมี อันจะทำให้ ผลจากการทำนี้ส่งผลให้คุณค่าของสมุนไพรเพิ่มมากขึ้น สามารถสู้ปัญหาที่เกิดได้
เมื่อทำในส่วนนิสัยนี้ ก็จะได้มาซึ่งบุญ เพื่อนำไปชดใช้เจ้ากรรมนายเวร
เมื่อครบสองขาแล้วไซร้ จะทำให้มีน้ำหนัก ฟัดเหวี่ยงสู้กับโรคและกรรมที่ทำมาได้ นั่นจึงทำให้ความหวังในการรักษาตนจากโรคนี้ ย่อมจะประสพผลอย่างแน่นอน นอกเสียจาก พรหมลิขิตของคนนั้นๆ หมดลง...
ดังนั้น จึงมีดำริที่จะใช้ความเข้มข้น หรือ วิธีการที่เต็มรูปแบบเพื่อต่อสู้ อันจะทำให้อัตราการหายเพิ่มสูงขึ้น
นั่นก็คือ ต้องทำตามคำสอนของพระภูมี อย่างครบถ้วน ตามคำขวัญ "สมุนไพรรักษาโรค ธรรมรักษากรรม"
ดังนั้น คนไข้ที่เข้ากลุ่มมะเร็ง และหลวงพ่อนิพนธ์ได้รับดูแลเอง จะมีบุคคลากร ที่จะทำหน้าที่อบรม เพื่อปรับเปลี่ยนอุปนิสัย พฤติกรรม ให้สอดคล้องกับคำสอนของพระภูมี อันจะทำให้ ผลจากการทำนี้ส่งผลให้คุณค่าของสมุนไพรเพิ่มมากขึ้น สามารถสู้ปัญหาที่เกิดได้
เมื่อทำในส่วนนิสัยนี้ ก็จะได้มาซึ่งบุญ เพื่อนำไปชดใช้เจ้ากรรมนายเวร
เมื่อครบสองขาแล้วไซร้ จะทำให้มีน้ำหนัก ฟัดเหวี่ยงสู้กับโรคและกรรมที่ทำมาได้ นั่นจึงทำให้ความหวังในการรักษาตนจากโรคนี้ ย่อมจะประสพผลอย่างแน่นอน นอกเสียจาก พรหมลิขิตของคนนั้นๆ หมดลง...
พระภูมีสอน จะช่วยตน ทำอย่างไร
แม่ชีเมี้ยนนำหลักพระภูมี มาให้สงฆ์ถ้ำกระบอก ได้ปฏิบัติ เมื่อเห็นผล ก็สอนแก่ผู้ที่มาให้ทำตามเพื่อช่วยตน
หลวงพ่อนิพนธ์สรุปให้ฟัง เป็นวลีสั้นๆ ว่า "มีอุปาทาน แล้วตั้งเจตนา ทำตนจนเป็นเจตสิก แล้วอุทิศ"
งานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์จึงได้นำให้พวกเราท่าน ได้ลองทำ แล้วอรรถาธิบายแต่ละขั้นตอนว่าทำเพื่ออะไร เพราะเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้
จากคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ยกการกระทำของพระโคดมมาให้เราท่านได้ฟัง เริ่มจากการที่พระโคดมฟังเหตุและผล ของโลกุตระแล้วเชื่อเรื่องกรรม เป็นอุปาทาน
พระโคดมจึงตั้งเจตนา ที่จะทำตนไม่สร้างกรรมขึ้นอีก
แม่ชีเมี้ยนจึงชี้ให้เห็นการกระทำของคนทั่วไป เมื่อเกิดสิ่งใดก็จะโทษนั่นโทษนี่ เป็นความผิดของผู้อื่น
พระโคดมเมื่อเชื่อเรื่องกรรมอุปาทานแล้ว ก็พยายามสร้างสติ ระวังระไว เมื่อเดินเตะหิน ก็คิดว่า เนื่องจากกรรมของเราไปทำร้ายผู้อื่น เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็จะพิจารณาว่าเป็นเพราะกรรมที่ตนทำมา ทำให้เกิดสติอันมหาศาล ไม่ทำการกระทำใด อันจะก่อให้เกิดกรรมใหม่
เมื่อจะทำสิ่งใด ก็จะวางเจตนา เช่นเดินธุดงค์ ว่าผลบุญที่ได้ทำจากสิ่งนี้ ขออุทิศให้...
ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์นำเราท่านให้วางอุปาทาน ทำสัจธรรมคำสอนของพระภูมี จึงให้ตั้งเจตนา จะไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ว่าผู้ใด ไม่อิจฉา ริษยา ผู้หนึ่งผู้ใด มีกำหนดจนถึง เที่ยงคืนครึ่ง
เมื่อเราท่านตั้งสติ ประคองสัจธรรมอันนี้ จนครบกำหนด ก็เหมือนพระโคดมเดินธุดงค์จนครบตามสัจธรรมที่ให้ไว้แล้ว
สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ นั่นคือ ลาสัจจะ อันหมายถึง ต้องบอกจุดหมายปลายทางของการทำนั้นๆ ว่าทำเพื่ออะไร
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงนำให้เราท่าน ชี้เป้าหมาย นั่นคือ กล่าวบทอุทิศส่วนกุศล จากการทำตามสัจธรรม ที่ได้ตั้งอุปาทาน ได้สำเร็จเสร็จสิ้นว่า
อุทิศแด่ เจ้ากรรม นายเวร ...
ทำไมต้องรอบครอบจักรวาล ท่านอรรถาธิบายว่า โลกเราคือจักรวาล เราท่านไม่สามารถรู้ว่า อดีตชาติเราเกิดตรงส่วนไหน ทำกรรมไว้ ณ ที่ใด ในจักรวาลโลกนี้ ดังนั้น ชาตินี้เมื่อเราเกิดในแผ่นดินไทย ทำตามสัจธรรมได้บุญมา จึงต้องแผ่ให้ไปยังจักรวาลส่วนที่เราทำในอดีตไว้แล้วนั่นเอง
วิมานพรหมยมโลก แท้จริงแล้วก็คือ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง
ก็สัตว์นั้น แท้จริงแล้วก็คือมนุษย์ที่ทำกรรมนั่นเอง เมื่อหมดกรรมก็กลายกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เวียนไปมา ตามกรรมที่ทำมา เราท่านอดีตจึงมีการกระทำเป็นกรรมแก่ สรรพสัตว์ นั่นคือ ทั้งต่อมนุษย์และสัตว์ในโลกนี้ เพราะคนที่เราท่านมีกรรมต่อกัน ชาตินี้เขาอาจไปเกิดเป็นสัตว์ก็ได้
นั่นหมายความว่า หลวงพ่อนิพนธ์สอนให้เราท่านรู้ว่า ต้องทราบว่า จะทำอะไร ทำอย่างไร และเพื่ออะไร
เมื่อพระโคดม มีสติอันมหาศาล จนทุกการกระทำไม่ก่อให้เกิดกรรมใหม่ และเมื่อใช้กรรมเก่าจนหมด หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นั่นหมายถึง พระโคดมจึงไม่มีที่เกิดในจักรวาลใบนี้แล้วนั่นเอง นี่แหละที่เรียกว่า "นิพพาน"
ต้องไป เพราะไม่มีที่เกิดแล้ว อันเป็นคำสอนที่แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า พระภูมีทุกพระองค์ตรัสรู้ว่า "มนุษย์มีกรรมนำเกิด" นั่นเอง
รอยของพระโคดมนี้เอง ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอนหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วชักชวนให้เราท่านทำ เพื่อให้หลีกพ้นจากกรรม ที่ทำให้เกิดโรค
และหลวงพ่อนิพนธ์กำลังใช้รอยที่ทิ้งไว้นี้เอง กับผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อพิสูจน์ ว่าหายมะเร็ง ไม่ใช่เรื่องยาก
ในไม่ช้า เราท่านจะเห็น คนไข้มะเร็ง นั่งทำจิตทำใจ และถูกอบรม ทำตนให้สุขแก่ผู้อื่น เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วมาดูกันว่า มะเร็งมันจะอยู่ไหวกับผู้ทำได้หรือไม่
หลวงพ่อนิพนธ์สรุปให้ฟัง เป็นวลีสั้นๆ ว่า "มีอุปาทาน แล้วตั้งเจตนา ทำตนจนเป็นเจตสิก แล้วอุทิศ"
งานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์จึงได้นำให้พวกเราท่าน ได้ลองทำ แล้วอรรถาธิบายแต่ละขั้นตอนว่าทำเพื่ออะไร เพราะเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้
จากคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ยกการกระทำของพระโคดมมาให้เราท่านได้ฟัง เริ่มจากการที่พระโคดมฟังเหตุและผล ของโลกุตระแล้วเชื่อเรื่องกรรม เป็นอุปาทาน
พระโคดมจึงตั้งเจตนา ที่จะทำตนไม่สร้างกรรมขึ้นอีก
แม่ชีเมี้ยนจึงชี้ให้เห็นการกระทำของคนทั่วไป เมื่อเกิดสิ่งใดก็จะโทษนั่นโทษนี่ เป็นความผิดของผู้อื่น
พระโคดมเมื่อเชื่อเรื่องกรรมอุปาทานแล้ว ก็พยายามสร้างสติ ระวังระไว เมื่อเดินเตะหิน ก็คิดว่า เนื่องจากกรรมของเราไปทำร้ายผู้อื่น เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็จะพิจารณาว่าเป็นเพราะกรรมที่ตนทำมา ทำให้เกิดสติอันมหาศาล ไม่ทำการกระทำใด อันจะก่อให้เกิดกรรมใหม่
เมื่อจะทำสิ่งใด ก็จะวางเจตนา เช่นเดินธุดงค์ ว่าผลบุญที่ได้ทำจากสิ่งนี้ ขออุทิศให้...
ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์นำเราท่านให้วางอุปาทาน ทำสัจธรรมคำสอนของพระภูมี จึงให้ตั้งเจตนา จะไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ว่าผู้ใด ไม่อิจฉา ริษยา ผู้หนึ่งผู้ใด มีกำหนดจนถึง เที่ยงคืนครึ่ง
เมื่อเราท่านตั้งสติ ประคองสัจธรรมอันนี้ จนครบกำหนด ก็เหมือนพระโคดมเดินธุดงค์จนครบตามสัจธรรมที่ให้ไว้แล้ว
สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ นั่นคือ ลาสัจจะ อันหมายถึง ต้องบอกจุดหมายปลายทางของการทำนั้นๆ ว่าทำเพื่ออะไร
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงนำให้เราท่าน ชี้เป้าหมาย นั่นคือ กล่าวบทอุทิศส่วนกุศล จากการทำตามสัจธรรม ที่ได้ตั้งอุปาทาน ได้สำเร็จเสร็จสิ้นว่า
อุทิศแด่ เจ้ากรรม นายเวร ...
ทำไมต้องรอบครอบจักรวาล ท่านอรรถาธิบายว่า โลกเราคือจักรวาล เราท่านไม่สามารถรู้ว่า อดีตชาติเราเกิดตรงส่วนไหน ทำกรรมไว้ ณ ที่ใด ในจักรวาลโลกนี้ ดังนั้น ชาตินี้เมื่อเราเกิดในแผ่นดินไทย ทำตามสัจธรรมได้บุญมา จึงต้องแผ่ให้ไปยังจักรวาลส่วนที่เราทำในอดีตไว้แล้วนั่นเอง
วิมานพรหมยมโลก แท้จริงแล้วก็คือ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง
ก็สัตว์นั้น แท้จริงแล้วก็คือมนุษย์ที่ทำกรรมนั่นเอง เมื่อหมดกรรมก็กลายกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เวียนไปมา ตามกรรมที่ทำมา เราท่านอดีตจึงมีการกระทำเป็นกรรมแก่ สรรพสัตว์ นั่นคือ ทั้งต่อมนุษย์และสัตว์ในโลกนี้ เพราะคนที่เราท่านมีกรรมต่อกัน ชาตินี้เขาอาจไปเกิดเป็นสัตว์ก็ได้
นั่นหมายความว่า หลวงพ่อนิพนธ์สอนให้เราท่านรู้ว่า ต้องทราบว่า จะทำอะไร ทำอย่างไร และเพื่ออะไร
เมื่อพระโคดม มีสติอันมหาศาล จนทุกการกระทำไม่ก่อให้เกิดกรรมใหม่ และเมื่อใช้กรรมเก่าจนหมด หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นั่นหมายถึง พระโคดมจึงไม่มีที่เกิดในจักรวาลใบนี้แล้วนั่นเอง นี่แหละที่เรียกว่า "นิพพาน"
ต้องไป เพราะไม่มีที่เกิดแล้ว อันเป็นคำสอนที่แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า พระภูมีทุกพระองค์ตรัสรู้ว่า "มนุษย์มีกรรมนำเกิด" นั่นเอง
รอยของพระโคดมนี้เอง ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอนหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วชักชวนให้เราท่านทำ เพื่อให้หลีกพ้นจากกรรม ที่ทำให้เกิดโรค
และหลวงพ่อนิพนธ์กำลังใช้รอยที่ทิ้งไว้นี้เอง กับผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อพิสูจน์ ว่าหายมะเร็ง ไม่ใช่เรื่องยาก
ในไม่ช้า เราท่านจะเห็น คนไข้มะเร็ง นั่งทำจิตทำใจ และถูกอบรม ทำตนให้สุขแก่ผู้อื่น เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วมาดูกันว่า มะเร็งมันจะอยู่ไหวกับผู้ทำได้หรือไม่
ง..งง ต้องทำอย่างไร
สมาชิกที่ได้ยาตามา ควรเก็บยาไว้ในตู้เย็น จะทำให้สามารถเก็บได้นาน สามารถเก็บได้เป็นปี
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ยาตาที่ให้ หากตนเองไม่ได้ใช้ สามารถนำไปให้คนอื่นที่มีปัญหาเรื่องตาได้ เน้น ...."นำไปให้"....
การหยอดตาที่ได้ผลดีที่สุด ท่านแนะนำว่า ควรหยอดข้างละหยด ก่อนนอน
ในกรณีที่มีปัญหาตาค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะจำพวกต้อ สิ่งหนึ่งที่อาจจะต้องทำก่อนนอน นั่นคือ การเตรียมผ้าและน้ำใส่ขัน หรือภาชนะไว้ใกล้ๆ พอหยิบถึง
ทั้งนี้เพราะ เมื่อยาทำงาน จะเกิดขี้ตาที่กวาดขยะออกจากตามากมาย ในขณะนอน ทำให้เมื่อตื่น ขี้ตานี้จะแห้งแข็งจนทำให้ลืมตาไม่ขึ้น จนต้องใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดนั่นเอง
ที่สำคัญ ยาตาชุดนี้ ทำมาเต็มสูบ ดังนั้น สรรพคุณจึงมากกว่าปกติที่เคยหยอดกัน อันหมายความว่า อาจมีอาการที่รุนแรง และนานกว่าปกติที่เคยหยอดกันมา ก็ไม่ต้องตกใจ
สำหรับยาต้ม ที่ให้มานั้น เรียกว่า "ยา ๑๐๘" เป็นยาต้มที่ใช้สมุนไพรจำนวนมากมารวมกัน ทำให้มีสรรพคุณครอบจักรวาล ในการช่วยฟื้นฟูตนเอง
ตัวยาสมุนไพร จะมากกว่า ยาปอด และ ยาเบาหวาน มากนัก ด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงไม่ทำให้ทาน เพราะนั่นหมายถึงภาระที่ต้องเพิ่มขึ้นมหาศาล หากแต่วันนี้ถือว่าเป็นวาระพิเศษ จึงมีโอกาส
การเก็บและการทาน ก็เหมือนยาต้มทั่วไป นั่นคือ ทานเหมือนยาปอด ยาเบาหวาน ที่ได้รับไปก่อนหน้านั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ยาตาที่ให้ หากตนเองไม่ได้ใช้ สามารถนำไปให้คนอื่นที่มีปัญหาเรื่องตาได้ เน้น ...."นำไปให้"....
การหยอดตาที่ได้ผลดีที่สุด ท่านแนะนำว่า ควรหยอดข้างละหยด ก่อนนอน
ในกรณีที่มีปัญหาตาค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะจำพวกต้อ สิ่งหนึ่งที่อาจจะต้องทำก่อนนอน นั่นคือ การเตรียมผ้าและน้ำใส่ขัน หรือภาชนะไว้ใกล้ๆ พอหยิบถึง
ทั้งนี้เพราะ เมื่อยาทำงาน จะเกิดขี้ตาที่กวาดขยะออกจากตามากมาย ในขณะนอน ทำให้เมื่อตื่น ขี้ตานี้จะแห้งแข็งจนทำให้ลืมตาไม่ขึ้น จนต้องใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดนั่นเอง
ที่สำคัญ ยาตาชุดนี้ ทำมาเต็มสูบ ดังนั้น สรรพคุณจึงมากกว่าปกติที่เคยหยอดกัน อันหมายความว่า อาจมีอาการที่รุนแรง และนานกว่าปกติที่เคยหยอดกันมา ก็ไม่ต้องตกใจ
สำหรับยาต้ม ที่ให้มานั้น เรียกว่า "ยา ๑๐๘" เป็นยาต้มที่ใช้สมุนไพรจำนวนมากมารวมกัน ทำให้มีสรรพคุณครอบจักรวาล ในการช่วยฟื้นฟูตนเอง
ตัวยาสมุนไพร จะมากกว่า ยาปอด และ ยาเบาหวาน มากนัก ด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงไม่ทำให้ทาน เพราะนั่นหมายถึงภาระที่ต้องเพิ่มขึ้นมหาศาล หากแต่วันนี้ถือว่าเป็นวาระพิเศษ จึงมีโอกาส
การเก็บและการทาน ก็เหมือนยาต้มทั่วไป นั่นคือ ทานเหมือนยาปอด ยาเบาหวาน ที่ได้รับไปก่อนหน้านั่นเอง
เรื่องดีๆ
หลังจากวันงานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยนแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะเน้นกลุ่มโรค โดยเฉพาะมะเร็ง ที่จะได้เป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ในความดูแลของหลวงพ่อนิพนธ์โดยตรง
สำหรับคนไข้กลุ่มต่อไป ที่หลวงพ่อนิพนธ์จะเน้นมากขึ้น นั่นคือ กลุ่มโรคตา โดยจะจัดยาตาให้เป็นพิเศษแก่คนไข้กลุ่มนี้ เพื่อความต่อเนื่อง และได้รับผลที่ดียิ่งขึ้น
เฉกเช่นคนไข้กลุ่มโรคมะเร็ง นั่นคือ ต้องเตรียมเอกสารทางการแพทย์ยืนยันในการเป็นโรคตา มาแสดงด้วย ดังนั้น สมาชิกท่านใดที่มีปัญหา ตาต้อ วุ้นในตาเสื่อม ประสาทตาเสื่อม ... ก็เตรียมเอกสารให้พร้อม
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556
ท้าพิสูจน์
เป็นไปไม่ได้ หมดทางแล้ว นั่นคือคำตอบที่หมอบอกแก่คนไข้ชาวสวิส ได้แต่รอวันเวลาจบ แล้วรักษาตามอาการไป
หากแต่วันนี้ คนไข้ชาวสวิส ผู้ซึ่งเป็นพาร์กินสันรุนแรงกว่าชนิดของ ซุปเปอร์สตาร์ มูฮัมหมัด อาลี เพราะต้องพึ่งสารยาเสพติด เพื่อช่วยบรรเทาอาการที่เกิด จนผสมโลงกลายเป็นทั้งโรค และติดสารยาในที่สุด
แต่ครั้นเล่าอาการของตนให้เพื่อนรัก ๒ คนฟัง ก็ไม่มีใครเชื่อ อยากมาดูเพื่อนให้เห็นกับตา แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ยังไม่อนุญาต หากแต่ความอยากรู้ และไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ ก็ให้เพื่อนเพียรขออนุญาต
จนมาวันนี้ที่หลวงพ่อนิพนธ์อนุญาตให้เพื่อนรักทั้งสองของเขาบินมาดู และมาร่วมงานแม่ชีเมี้ยน ทั้งสองจึงรีบแพ็คกระเป๋ามาพิสูจน์
คนทั่วไปอาจไม่รู้สึกอะไร แต่เราเชื่อว่า เมื่อคนทั้งสองได้พบเจอเพื่อน เขาจะต้องกล่าวว่า "นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ หรือ ที่เราท่านเรียก ปาฏิหารย์" ที่ไม่คิดว่าจะมีจริง
เราจึงเข้าใจได้ว่า สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า ปาฏิหารย์เขาไม่มาโดยลอยลงมาให้เห็นหรอก แต่ต้องใช้ความสังเกตุ ดูสิ่งที่โลกเขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วมันเกิดขึ้น
เราจึงได้เห็นจากคนไข้ชาวสวิสนี้ จากหมอหญิงที่ประสาทตาฉีกขาด ได้เห็นคนไต้หวันที่เป็นมะเร็งปอด นี่คือตัวอย่างปาฏิหาริย์ใช่หรือไม่ เพราะคนเหล่านี้คือหนึ่งในตัวอย่าง ที่ล้วนแล้วแต่ได้รับวาจาอมตะจากสุดยอดแพทย์ในสาขานั้นๆ ทั้งสิ้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงพูดเต็มปากว่า "ที่นี่คือของจริง"
และของจริงก็คือ แม่ชีเมี้ยน และหลักของพระภูมีที่นำมานั่นเอง
วันเวลาที่ผ่านไป กำลังพิสูจน์ว่า ของจริงเป็นเช่นไร และทำอย่างไร ..... และกำลังเสนอตัวมาเป็นทางเลือก (สำหรับคนที่เชื่อ และทำตาม)
หากแต่วันนี้ คนไข้ชาวสวิส ผู้ซึ่งเป็นพาร์กินสันรุนแรงกว่าชนิดของ ซุปเปอร์สตาร์ มูฮัมหมัด อาลี เพราะต้องพึ่งสารยาเสพติด เพื่อช่วยบรรเทาอาการที่เกิด จนผสมโลงกลายเป็นทั้งโรค และติดสารยาในที่สุด
แต่ครั้นเล่าอาการของตนให้เพื่อนรัก ๒ คนฟัง ก็ไม่มีใครเชื่อ อยากมาดูเพื่อนให้เห็นกับตา แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ยังไม่อนุญาต หากแต่ความอยากรู้ และไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ ก็ให้เพื่อนเพียรขออนุญาต
จนมาวันนี้ที่หลวงพ่อนิพนธ์อนุญาตให้เพื่อนรักทั้งสองของเขาบินมาดู และมาร่วมงานแม่ชีเมี้ยน ทั้งสองจึงรีบแพ็คกระเป๋ามาพิสูจน์
คนทั่วไปอาจไม่รู้สึกอะไร แต่เราเชื่อว่า เมื่อคนทั้งสองได้พบเจอเพื่อน เขาจะต้องกล่าวว่า "นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ หรือ ที่เราท่านเรียก ปาฏิหารย์" ที่ไม่คิดว่าจะมีจริง
เราจึงเข้าใจได้ว่า สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า ปาฏิหารย์เขาไม่มาโดยลอยลงมาให้เห็นหรอก แต่ต้องใช้ความสังเกตุ ดูสิ่งที่โลกเขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วมันเกิดขึ้น
เราจึงได้เห็นจากคนไข้ชาวสวิสนี้ จากหมอหญิงที่ประสาทตาฉีกขาด ได้เห็นคนไต้หวันที่เป็นมะเร็งปอด นี่คือตัวอย่างปาฏิหาริย์ใช่หรือไม่ เพราะคนเหล่านี้คือหนึ่งในตัวอย่าง ที่ล้วนแล้วแต่ได้รับวาจาอมตะจากสุดยอดแพทย์ในสาขานั้นๆ ทั้งสิ้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงพูดเต็มปากว่า "ที่นี่คือของจริง"
และของจริงก็คือ แม่ชีเมี้ยน และหลักของพระภูมีที่นำมานั่นเอง
วันเวลาที่ผ่านไป กำลังพิสูจน์ว่า ของจริงเป็นเช่นไร และทำอย่างไร ..... และกำลังเสนอตัวมาเป็นทางเลือก (สำหรับคนที่เชื่อ และทำตาม)
เรียนแล้วรู้
อดีตนางงามสหรัฐ ๔ ตำแหน่ง ที่เป็นคนไทย แต่ประสพเหตุที่มีอาการป่วยโดยหมอไม่สามารถหาเหตุแห่งโรคได้
ดังนั้นอาการของเธอ คือ ตัวจะแข็ง ขยับไม่ได้ หมอจึงให้ยาเคมี และฉีดเสตียรอยด์ จนในที่สุดร่างกายเธอเกิดอาการ ต่อต้านเคมีที่ใช้ ทำให้หมอหมดวิธีที่จะแก้ไข
หลังจากผ่านคอร์สสมุนไพร วันนี้เธอกลับไปอเมริกา พร้อมกับไปทำการตรวจร่างกาย และเก็บข้อมูลทั้งหมด
เธอโทรมาเรียนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า จะบินกลับมาร่วมงานแม่ชีเมี้ยน พร้อมกันนี้จะหอบหลักฐานตั้งแต่เริ่มเป็น จนกระทั่งผลการตรวจล่าสุดมาให้หลวงพ่อนิพนธ์เก็บไว้
พร้อมกับของแถมคือ มีคนไข้อเมริกา เพื่อนของเธออีกสองคน ที่หมอวินิจฉัยแล้วว่า หมดทางรักษา มาเดินตามเธอ นั่นคือ ขอเข้าคอร์สสมุนไพร
สิ่งนี้ทำให้เรานึกฉงน เมื่อคนไข้หลายคน บอกว่าวันงานไม่มาได้ไหม มีธุระ ติดงาน ติดโน่นติดนี่ มันจำเป็นจริงๆ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกคนกลุ่มนี้ว่า เรียนแล้วไม่รู้
เพราะวันนี้แหละคือวันที่สำคัญที่สุด มีผลต่อชีวิต
วันอื่นของปี จะไม่มาเลยก็ไม่เป็นไร หากแต่ในทางกลับกัน มาทุกวันทั้งปี แต่ไม่มาในวันนี้ สิ่งที่ทำไปก็ไร้ค่า
จึงเห็นได้ว่า คนไข้ที่เรียนและรู้ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาประสพผล เพราะไม่ว่าจะอยู่ซึกไหนของโลก วันนี้เขาต้องมาแสดงซึ่งความกตัญญู
อันเป็นการประกาศว่า สิ่งใดในโลก ในเรื่องของชีวิตแล้ว สิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
นั่นจึงเป็นเหตุที่เขาประสพความสำเร็จนั่นเอง เพราะเขาเหล่านั้นได้รู้แล้วว่า หากเป็นเรื่องของชีวิต สิ่งใดที่ช่วยเขาได้ และตัวเขาต้องมีหน้าที่อย่างใด ในการสร้างคุณสมบัติ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกื้อกูลชีวิตเขา
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักเรียกคนเหล่านี้ว่า "คนที่รู้แล้วว่า ชีวิตคือสิ่งมีค่าที่สุด เหนือสิ่งอื่นใด"
ดังนั้นอาการของเธอ คือ ตัวจะแข็ง ขยับไม่ได้ หมอจึงให้ยาเคมี และฉีดเสตียรอยด์ จนในที่สุดร่างกายเธอเกิดอาการ ต่อต้านเคมีที่ใช้ ทำให้หมอหมดวิธีที่จะแก้ไข
หลังจากผ่านคอร์สสมุนไพร วันนี้เธอกลับไปอเมริกา พร้อมกับไปทำการตรวจร่างกาย และเก็บข้อมูลทั้งหมด
เธอโทรมาเรียนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า จะบินกลับมาร่วมงานแม่ชีเมี้ยน พร้อมกันนี้จะหอบหลักฐานตั้งแต่เริ่มเป็น จนกระทั่งผลการตรวจล่าสุดมาให้หลวงพ่อนิพนธ์เก็บไว้
พร้อมกับของแถมคือ มีคนไข้อเมริกา เพื่อนของเธออีกสองคน ที่หมอวินิจฉัยแล้วว่า หมดทางรักษา มาเดินตามเธอ นั่นคือ ขอเข้าคอร์สสมุนไพร
สิ่งนี้ทำให้เรานึกฉงน เมื่อคนไข้หลายคน บอกว่าวันงานไม่มาได้ไหม มีธุระ ติดงาน ติดโน่นติดนี่ มันจำเป็นจริงๆ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกคนกลุ่มนี้ว่า เรียนแล้วไม่รู้
เพราะวันนี้แหละคือวันที่สำคัญที่สุด มีผลต่อชีวิต
วันอื่นของปี จะไม่มาเลยก็ไม่เป็นไร หากแต่ในทางกลับกัน มาทุกวันทั้งปี แต่ไม่มาในวันนี้ สิ่งที่ทำไปก็ไร้ค่า
จึงเห็นได้ว่า คนไข้ที่เรียนและรู้ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาประสพผล เพราะไม่ว่าจะอยู่ซึกไหนของโลก วันนี้เขาต้องมาแสดงซึ่งความกตัญญู
อันเป็นการประกาศว่า สิ่งใดในโลก ในเรื่องของชีวิตแล้ว สิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
นั่นจึงเป็นเหตุที่เขาประสพความสำเร็จนั่นเอง เพราะเขาเหล่านั้นได้รู้แล้วว่า หากเป็นเรื่องของชีวิต สิ่งใดที่ช่วยเขาได้ และตัวเขาต้องมีหน้าที่อย่างใด ในการสร้างคุณสมบัติ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกื้อกูลชีวิตเขา
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักเรียกคนเหล่านี้ว่า "คนที่รู้แล้วว่า ชีวิตคือสิ่งมีค่าที่สุด เหนือสิ่งอื่นใด"
เต็มสูบ
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ยาตา ปกติที่ใช้กันมา มักจะไม่ค่อยทำอย่างเต็มสูตร เนื่องด้วยสมุนไพรบางตัวมีราคาค่อนข้างแพงมาก อันทำให้ประสิทธิภาพที่ได้ ยังไม่เต็มร้อย
แต่ยาตาที่จะแจกในวันงานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน จำนวน ๖๘๐๐ ขวด ในปีนี้นั้น เป็นการทำเต็มสูตรเพื่อแจกครั้งแรก
ก่อนแจก จึงได้จัดให้คนใกล้ชิดได้ทดลอง จึงเลือก คุณอ้อ ผลปรากฎว่า จะมีคุณสมบัติที่เฉียบขาดให้ผลเร็ว
นั่นคือ ปกติแล้วจะแสบ และมีอาการยุบยิบ ไม่นาน แต่ครั้งนี้ จะมีอาการนานขึ้น และปรากฎว่า ในเช้าวันถัดมา เมื่อตื่นขึ้น มีสิ่งที่หลุดออกมาลักษณะคล้ายเส้นด้าย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกคุณอ้อว่า นั่นคือ วุ้นในตาที่เสื่อมแล้วถูกรีดออกมานั่นเอง
ดังนั้น สมาชิกที่ประสงค์จะรับยาตาในครั้งนี้ อย่าลืมบัตร และตรวจสติ๊กเกอร์ แสดงสิทธิในการรับด้วย
แต่ยาตาที่จะแจกในวันงานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน จำนวน ๖๘๐๐ ขวด ในปีนี้นั้น เป็นการทำเต็มสูตรเพื่อแจกครั้งแรก
ก่อนแจก จึงได้จัดให้คนใกล้ชิดได้ทดลอง จึงเลือก คุณอ้อ ผลปรากฎว่า จะมีคุณสมบัติที่เฉียบขาดให้ผลเร็ว
นั่นคือ ปกติแล้วจะแสบ และมีอาการยุบยิบ ไม่นาน แต่ครั้งนี้ จะมีอาการนานขึ้น และปรากฎว่า ในเช้าวันถัดมา เมื่อตื่นขึ้น มีสิ่งที่หลุดออกมาลักษณะคล้ายเส้นด้าย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกคุณอ้อว่า นั่นคือ วุ้นในตาที่เสื่อมแล้วถูกรีดออกมานั่นเอง
ดังนั้น สมาชิกที่ประสงค์จะรับยาตาในครั้งนี้ อย่าลืมบัตร และตรวจสติ๊กเกอร์ แสดงสิทธิในการรับด้วย
วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556
การวินิจฉัยตน
ศาสตร์ของพระภูมี ที่หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบาย ทำให้เราท่านรู้ว่า สังขารที่เรามีอยู่ เพื่อเป็นที่สถิตย์ของวิญญาณ
แลการประกอบขึ้นเป็นสังขาร นั้น เราท่านก็อาศัยยืม จาก ธาตุธรรมทั้ง ๔ นั่นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ดังนั้น เหตุแห่งโรค ในศาสตร์นี้ จึงไม่ได้มองว่า เป็นโรคนั้น โรคนี้ เพราะนั่นเป็นเพียงปลายเหตุ แต่มุ่งไปที่ต้นเหตุที่แท้จริง นั่นคือ "กรรม" อันเป็นอำนาจที่ทำให้ สมดุลย์ของดิน น้ำ ลม ไฟ เสียไป จนทำให้เกิดโรคขึ้น
ภาพที่ฉายให้เห็นชัดขึ้น นั่นคือ เมื่อสมดุลย์ของธาตุธรรมเสียไป ก็จะทำให้ความสามารถในการปกป้องและฟื้นฟูตนเสียไป โรคจึงเกิดขึ้นได้
ด้วย การเห็นความจริงนี้เอง พระภูมีจึงทรงบัญญัติสูตรสมุนไพร ที่เรียกได้ว่า ครอบจักรวาล นั่นคือ ไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นโรคอะไร แต่มุ่งเน้นปรับหรือปรุงแต่งธาตุธรรมทั้ง ๔ ให้กลับมาสมดุลย์
หากสมดุลย์กลับมา ความสามารถในการปกป้องและฟื้นฟูตนเอง ก็จะกลับคืนมา
ด้วยเหตุนี้ จึงทรงบัญญัติแนวทางนี้ว่า "ตนพึ่งตน"
ดังนั้น สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราท่าน จึงไม่ต้องสนใจฉายาทางโลก นั่นคือ เป็นโรคอะไร แต่ให้สนใจว่า ปัญหาของเรานั้น สมดุลย์ของธาตุธรรม อะไรที่เสียไปต่างหาก
คำสอนที่เราท่านมักได้ยิน ก็คือ ธรรมชาติต้องอาศัย ธรรมชาติแก้ นั่นคือ ชีวิตต้องใช้ชีวิตต่อ
อันหมายความว่า อาหารที่ร่างกายใช้เพื่อดำรงชีวิต จึงต้องเป็นอาหารที่ยังมีชีวิต ไม่เน่าเสีย เราท่านจึงทานข้าวดี ทานข้าวบูดไม่ได้
ในทำนองเดียวกัน สมุนไพรก็เฉกเช่นเดียวกัน นั่นคือ ต้องเป็นสมุนไพรที่มีชีวิต ไม่ใช่ไปหยิบต้นอะไรมาก็ได้
การวินิจฉัยตนเอง จึงมุ่งเน้นว่า ตัวตนของเรา ขาดสมดุลย์ในด้านใด หากเกิดอาการฉับพลัน จะได้หยิบใช้สมุนไพรได้ถูกต้องกับจังหวะเวลา
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นลมบ่อย จึงต้องพกสมุนไพรธาตุไฟไว้ติดตัว อาทิ ยาลูกกลอนน้ำผึ้ง พอเริ่มรู้สึก ก็รีบชงน้ำอุ่นทาน
คนที่ มักเป็นสิว ผิวไม่ดี น้ำเหลืองไม่ดี ภูมิแพ้ ก็ต้องอาศัยธาตุไฟ จากสมุนไพรมะกรูดเข้าช่วยฟอก
คนที่น้ำท่วม ไตทำงานไม่สมบูรณ์ หากเริ่มมีอาการบวมน้ำ หรือน้ำท่วมปอด หลวงพ่อนิพนธ์ก็มักจะบอกให้รีบวิดน้ำออก โดยการทานสมุนไพรมะพร้าว
คนที่เป็นแผล ไม่ยอมหาย ท่านจะมักเรียกว่า อาการของ "ดินมันเสีย"
คนที่ผอม ขาดอาหาร นั่นก็คือ ธาตุดินมันขาด ต้องทำให้ทานได้ จะได้มีกำลัง ก็จะจัดสมุนไพร ที่ช่วยให้ทานได้มากขึ้น
ดังนั้น การรักษาโรคโดยหลักพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงไม่สนใจโรค แต่ต้องสนใจอาการในขณะนั้นๆ ว่า สมดุลย์ของธาตุธรรมในขณะนั้นๆ อะไรมันขาด อะไรมันเกิน
สิ่งนี้ ก็ต้องอาศัยวินิจฉัยของหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วเตรียมสมุนไพรไว้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
เมื่อทราบแล้ว เราก็ปฏิบัติ หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป สภาวะก็จะเปลี่ยนไป ก็ต้องปรับไปเรื่อยๆ
นั่นหมายความว่า ในกรณีที่เราท่านมีสภาวะวิกฤต สภาพสมดุลย์เปลี่ยนไปมาเร็ว นั่นก็หมายถึง การที่จะต้องสอบถามตำวินิจฉัยจากหลวงพ่อนิพนธ์อย่างใกล้ชิด
หากเมื่อร่างกายเริ่มคงตัว ก็สามารถ่ใช้เพียงการยืนระยะ รอการฟื้นตัว หรือ ปรับสมดุลย์ร่างกายให้เข้าที่ได้
การเรียนรู้ว่า ธาตุใดขาดเกิน มี่ลักษณะเช่นใด จึงต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่ต้องศึกษา และสอบถามสมุนไพรที่ใช้แก้ไข
อันหมายความว่า สิ่งที่เป็นเป็นเรื่องเฉพาะตน ไม่สามารถใช้กับทุกคนได้
นั่นคือ เหตุแห่งสมดุลย์ที่เสียไป กลายเป็นผล ที่หลากหลาย โรคนั้น โรคนี้ การแก้โรค จึงแก้ปลายเหตุ หมดโรคนี้ ก็เป็นโรคอื่นได้
บทสรุปของคำสอนนี้ จะเห็นได้ว่า แทนที่จะคุยกันว่าเป็นโรคอะไร ก็มาเริ่มวินิจฉัยว่า สมดุลย์ของธาตุใดของเราท่านที่เสียไป ปรากฎอาการเช่นไร ต้องใช้สมุนไพร ในช่วงไหน อย่างไร
หากอาการซับซ้อน ก็ต้องอาศัยคำวินิจฉัยของหลวงพ่อนิพนธ์ช่วย
กระบวนการเรียนรู้จึงสำคัญ การฟังครูบาอาจารย์ จึงสำคัญ ทำให้เราท่านไม่ตี่นตระหนก และเตรียมการรับมือ ทั้งสมุนไพร และใจไว้พร้อมสู้กับเหตุที่เกิดได้
เหตุนี้เองก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ ต้องยุยง ว่า "หยุดเคมี" เถิด
อย่าให้ได้ยิน อีกเลย ที่ชอบคุยกัน ละครเรื่องนั้นเรื่องนี้ รู้หมด เรื่องฟุตบอล รู้หมด เรื่องการเมือง เก่งนัก แต่ถามคนข้างๆ อ้ายน้ำเขียวๆ นี่อะไร กินอย่างไร กินเพื่ออะไร และตัวนี้เขาให้เพิ่มมา ไม่รู้ว่า ให้มาทำไม มันคืออะไร ....
อยากชนะ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "ต้องรู้เขา รู้เรา" จึงจะชนะแน่
แลการประกอบขึ้นเป็นสังขาร นั้น เราท่านก็อาศัยยืม จาก ธาตุธรรมทั้ง ๔ นั่นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ดังนั้น เหตุแห่งโรค ในศาสตร์นี้ จึงไม่ได้มองว่า เป็นโรคนั้น โรคนี้ เพราะนั่นเป็นเพียงปลายเหตุ แต่มุ่งไปที่ต้นเหตุที่แท้จริง นั่นคือ "กรรม" อันเป็นอำนาจที่ทำให้ สมดุลย์ของดิน น้ำ ลม ไฟ เสียไป จนทำให้เกิดโรคขึ้น
ภาพที่ฉายให้เห็นชัดขึ้น นั่นคือ เมื่อสมดุลย์ของธาตุธรรมเสียไป ก็จะทำให้ความสามารถในการปกป้องและฟื้นฟูตนเสียไป โรคจึงเกิดขึ้นได้
ด้วย การเห็นความจริงนี้เอง พระภูมีจึงทรงบัญญัติสูตรสมุนไพร ที่เรียกได้ว่า ครอบจักรวาล นั่นคือ ไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นโรคอะไร แต่มุ่งเน้นปรับหรือปรุงแต่งธาตุธรรมทั้ง ๔ ให้กลับมาสมดุลย์
หากสมดุลย์กลับมา ความสามารถในการปกป้องและฟื้นฟูตนเอง ก็จะกลับคืนมา
ด้วยเหตุนี้ จึงทรงบัญญัติแนวทางนี้ว่า "ตนพึ่งตน"
ดังนั้น สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราท่าน จึงไม่ต้องสนใจฉายาทางโลก นั่นคือ เป็นโรคอะไร แต่ให้สนใจว่า ปัญหาของเรานั้น สมดุลย์ของธาตุธรรม อะไรที่เสียไปต่างหาก
คำสอนที่เราท่านมักได้ยิน ก็คือ ธรรมชาติต้องอาศัย ธรรมชาติแก้ นั่นคือ ชีวิตต้องใช้ชีวิตต่อ
อันหมายความว่า อาหารที่ร่างกายใช้เพื่อดำรงชีวิต จึงต้องเป็นอาหารที่ยังมีชีวิต ไม่เน่าเสีย เราท่านจึงทานข้าวดี ทานข้าวบูดไม่ได้
ในทำนองเดียวกัน สมุนไพรก็เฉกเช่นเดียวกัน นั่นคือ ต้องเป็นสมุนไพรที่มีชีวิต ไม่ใช่ไปหยิบต้นอะไรมาก็ได้
การวินิจฉัยตนเอง จึงมุ่งเน้นว่า ตัวตนของเรา ขาดสมดุลย์ในด้านใด หากเกิดอาการฉับพลัน จะได้หยิบใช้สมุนไพรได้ถูกต้องกับจังหวะเวลา
หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นลมบ่อย จึงต้องพกสมุนไพรธาตุไฟไว้ติดตัว อาทิ ยาลูกกลอนน้ำผึ้ง พอเริ่มรู้สึก ก็รีบชงน้ำอุ่นทาน
คนที่ มักเป็นสิว ผิวไม่ดี น้ำเหลืองไม่ดี ภูมิแพ้ ก็ต้องอาศัยธาตุไฟ จากสมุนไพรมะกรูดเข้าช่วยฟอก
คนที่น้ำท่วม ไตทำงานไม่สมบูรณ์ หากเริ่มมีอาการบวมน้ำ หรือน้ำท่วมปอด หลวงพ่อนิพนธ์ก็มักจะบอกให้รีบวิดน้ำออก โดยการทานสมุนไพรมะพร้าว
คนที่เป็นแผล ไม่ยอมหาย ท่านจะมักเรียกว่า อาการของ "ดินมันเสีย"
คนที่ผอม ขาดอาหาร นั่นก็คือ ธาตุดินมันขาด ต้องทำให้ทานได้ จะได้มีกำลัง ก็จะจัดสมุนไพร ที่ช่วยให้ทานได้มากขึ้น
ดังนั้น การรักษาโรคโดยหลักพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงไม่สนใจโรค แต่ต้องสนใจอาการในขณะนั้นๆ ว่า สมดุลย์ของธาตุธรรมในขณะนั้นๆ อะไรมันขาด อะไรมันเกิน
สิ่งนี้ ก็ต้องอาศัยวินิจฉัยของหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วเตรียมสมุนไพรไว้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
เมื่อทราบแล้ว เราก็ปฏิบัติ หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป สภาวะก็จะเปลี่ยนไป ก็ต้องปรับไปเรื่อยๆ
นั่นหมายความว่า ในกรณีที่เราท่านมีสภาวะวิกฤต สภาพสมดุลย์เปลี่ยนไปมาเร็ว นั่นก็หมายถึง การที่จะต้องสอบถามตำวินิจฉัยจากหลวงพ่อนิพนธ์อย่างใกล้ชิด
หากเมื่อร่างกายเริ่มคงตัว ก็สามารถ่ใช้เพียงการยืนระยะ รอการฟื้นตัว หรือ ปรับสมดุลย์ร่างกายให้เข้าที่ได้
การเรียนรู้ว่า ธาตุใดขาดเกิน มี่ลักษณะเช่นใด จึงต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่ต้องศึกษา และสอบถามสมุนไพรที่ใช้แก้ไข
อันหมายความว่า สิ่งที่เป็นเป็นเรื่องเฉพาะตน ไม่สามารถใช้กับทุกคนได้
นั่นคือ เหตุแห่งสมดุลย์ที่เสียไป กลายเป็นผล ที่หลากหลาย โรคนั้น โรคนี้ การแก้โรค จึงแก้ปลายเหตุ หมดโรคนี้ ก็เป็นโรคอื่นได้
บทสรุปของคำสอนนี้ จะเห็นได้ว่า แทนที่จะคุยกันว่าเป็นโรคอะไร ก็มาเริ่มวินิจฉัยว่า สมดุลย์ของธาตุใดของเราท่านที่เสียไป ปรากฎอาการเช่นไร ต้องใช้สมุนไพร ในช่วงไหน อย่างไร
หากอาการซับซ้อน ก็ต้องอาศัยคำวินิจฉัยของหลวงพ่อนิพนธ์ช่วย
กระบวนการเรียนรู้จึงสำคัญ การฟังครูบาอาจารย์ จึงสำคัญ ทำให้เราท่านไม่ตี่นตระหนก และเตรียมการรับมือ ทั้งสมุนไพร และใจไว้พร้อมสู้กับเหตุที่เกิดได้
เหตุนี้เองก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ ต้องยุยง ว่า "หยุดเคมี" เถิด
อย่าให้ได้ยิน อีกเลย ที่ชอบคุยกัน ละครเรื่องนั้นเรื่องนี้ รู้หมด เรื่องฟุตบอล รู้หมด เรื่องการเมือง เก่งนัก แต่ถามคนข้างๆ อ้ายน้ำเขียวๆ นี่อะไร กินอย่างไร กินเพื่ออะไร และตัวนี้เขาให้เพิ่มมา ไม่รู้ว่า ให้มาทำไม มันคืออะไร ....
อยากชนะ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "ต้องรู้เขา รู้เรา" จึงจะชนะแน่
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556
น่ะจ๊ะ
สิ่งหนึ่งที่ยุคถ้ำกระบอก ครั้งเมื่อแม่ชีเมี้ยนยังคงอยู่ แล้วทำให้คนนับถือและเกรงกลัว นั่นคือ ผลแห่งการกระทำมันมาเร็วนั่นเอง
การกระทำที่ผิด โดยเฉพาะสิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทรงเรียกว่า ไม่ใช่การกระทำของสงฆ์นั้น จึงมักได้รับการเตือนจากฟ้าดินอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดการสำนึกและแก้ไข
หลวงพ่อนิพนธ์เล่าถึงอดีตที่เป็นพระ ขณะที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย หน้าที่หลักอันหนึ่งที่ต้องทำเป็นประจำคือ การโปรดโยม
วันหนึ่ง ท่านเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นในการโปรดโยม นั่นคือ เมื่อพูดกับโยมจะจบประโยคว่า "น่ะจ๊ะ" เพราะท่านคิดว่าจะทำให้รู้สึกนิ่มนวล และเป็นที่ชมชอบ
หลังจากการโปรดโยมในวันนั้น ท่านก็มีอาการปวดหัวไป ๓ วัน ทำให้ต้องหยุดโปรดโยมชั่วคราว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียนถามแม่ชีเมี้ยนว่า อาการที่เป็น มีสาเหตุจากอะไร
แม่ชีเมี้ยนทรงตอบว่า ก็ไอ้น่ะจ๊ะของท่านนั่นแหละ
สงฆ์ของพระภูมีเขาไม่ทำกัน มันไม่ใช่กิริยาของสงฆ์
นับตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงไม่กล้าพูดคำว่าน่ะจ๊ะในการโปรดโยมอีกเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า นี่คือเหตุผลที่ต้องมีครูบาอาจารย์ เพื่อที่จะได้รู้ว่า ผลที่เกิด มันมีเหตุจากอะไร จะได้แก้ได้ตรงจุด
เรามักได้ยิน จิตอาสา หรือ คนไข้ทั่วไป มักจะคิดเอาเองว่าสาเหตุจากนั่นจากโน่น บางทีก็พาลไปถึงสมุนไพร เมื่อประสพกับอาการที่ตนเองไม่เคยเป็นมาก่อน
ท้ายที่สุด ก็เลยเลิกราจากการทานสมุนไพรไป พร้อมกับความผิดหวัง
เราท่านจึงต้องมีครูบาอาจารย์ ไว้สอบถาม ว่าสิ่งที่เกิด มันมาจากอะไร เป็นกรรมเก่า ที่เราต้องรับ หรือเราท่านทำผิด เขามาเตือนให้แก้ไข ....
เราท่านจึงขาดครูบาอาจารย์ไม่ได้ .....
ดูอดีตที่ถ้ำกระบอกขาดแม่ชีเมี้ยน หัวทิ่มยังไงก็แบบนั้น
บทสรุปในคำสอนจึงชี้ให้เห็น สิ่งที่เราคิดว่าดีแล้วทำ อาจจะผิดก็ได้ และผลหรือสภาพเลวร้ายที่เกิด อาจเป็นสิ่งดีก็ได้
สงสัยอะไรให้รีบถามหลวงพ่อนิพนธ์ อย่าทิ้งไว้ให้คาใจ มิฉะนั้น มันจะพาให้เราห่างไปเรื่อยๆ จนกู่ไม่กลับ
การกระทำที่ผิด โดยเฉพาะสิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทรงเรียกว่า ไม่ใช่การกระทำของสงฆ์นั้น จึงมักได้รับการเตือนจากฟ้าดินอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดการสำนึกและแก้ไข
หลวงพ่อนิพนธ์เล่าถึงอดีตที่เป็นพระ ขณะที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย หน้าที่หลักอันหนึ่งที่ต้องทำเป็นประจำคือ การโปรดโยม
วันหนึ่ง ท่านเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นในการโปรดโยม นั่นคือ เมื่อพูดกับโยมจะจบประโยคว่า "น่ะจ๊ะ" เพราะท่านคิดว่าจะทำให้รู้สึกนิ่มนวล และเป็นที่ชมชอบ
หลังจากการโปรดโยมในวันนั้น ท่านก็มีอาการปวดหัวไป ๓ วัน ทำให้ต้องหยุดโปรดโยมชั่วคราว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียนถามแม่ชีเมี้ยนว่า อาการที่เป็น มีสาเหตุจากอะไร
แม่ชีเมี้ยนทรงตอบว่า ก็ไอ้น่ะจ๊ะของท่านนั่นแหละ
สงฆ์ของพระภูมีเขาไม่ทำกัน มันไม่ใช่กิริยาของสงฆ์
นับตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงไม่กล้าพูดคำว่าน่ะจ๊ะในการโปรดโยมอีกเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า นี่คือเหตุผลที่ต้องมีครูบาอาจารย์ เพื่อที่จะได้รู้ว่า ผลที่เกิด มันมีเหตุจากอะไร จะได้แก้ได้ตรงจุด
เรามักได้ยิน จิตอาสา หรือ คนไข้ทั่วไป มักจะคิดเอาเองว่าสาเหตุจากนั่นจากโน่น บางทีก็พาลไปถึงสมุนไพร เมื่อประสพกับอาการที่ตนเองไม่เคยเป็นมาก่อน
ท้ายที่สุด ก็เลยเลิกราจากการทานสมุนไพรไป พร้อมกับความผิดหวัง
เราท่านจึงต้องมีครูบาอาจารย์ ไว้สอบถาม ว่าสิ่งที่เกิด มันมาจากอะไร เป็นกรรมเก่า ที่เราต้องรับ หรือเราท่านทำผิด เขามาเตือนให้แก้ไข ....
เราท่านจึงขาดครูบาอาจารย์ไม่ได้ .....
ดูอดีตที่ถ้ำกระบอกขาดแม่ชีเมี้ยน หัวทิ่มยังไงก็แบบนั้น
บทสรุปในคำสอนจึงชี้ให้เห็น สิ่งที่เราคิดว่าดีแล้วทำ อาจจะผิดก็ได้ และผลหรือสภาพเลวร้ายที่เกิด อาจเป็นสิ่งดีก็ได้
สงสัยอะไรให้รีบถามหลวงพ่อนิพนธ์ อย่าทิ้งไว้ให้คาใจ มิฉะนั้น มันจะพาให้เราห่างไปเรื่อยๆ จนกู่ไม่กลับ
โรคที่น่ากลัวที่สุด
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า โรคภัยไข้เจ็บใดๆ ก็ไม่น่ากลัว และก็มีหนทาง มีโอกาสเสมอ ในการรักษาตนเอง แม้แต่โรคที่ทั้งโลกกลัว ดังเช่นโรคเอดส์ก็ตาม ก็รักษาจนหายมามากหลาย และเดินอยู่ในชมรมนี้เอง
หากแต่โรคที่แม้แต่พระภูมียังกลัว เพราะหมดภูมิที่จะแก้ไข หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า "โรคสันดาน"
แม้จะพูดสักฉันใด ก็ไม่สามารถทำให้คนที่เป็นโรคนี้ สามารถเดินเข้ามาในครรลองของพระภูมีได้ มิหนำซ้ำ เมื่อคนเหล่านี้ ไม่ประสพผล ก็จะตีโพยตีพาย โทษนั่นโทษนี่
สถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า เหมือนไพ่ แบไต๋เล่นกันเลย พูดความจริง ดังนั้น หากไม่คิดจะทำ หรือไม่ทำ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำไม ได้แต่ทำใจกับคนพวกนี้ เพราะไม่มีทางช่วยได้นั่นเอง
คำสอนที่เป็นเส้นขีดให้เดินว่าหนทางของพระภูมี นั่นคือ "ความสงบ" เป็นบันไดก้าวแรกที่จะเดินให้ถึงจุดหมาย
ด้วยวินัยอันนี้เอง จึงก่อให้เกิดทุกข์ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เพื่อแลกกับทุกข์ที่ต้องผจญจากโรคภัยไข้เจ็บ
นั่นหมายถึง ต้องนั่งทนเมื่อย ทนปวด ต้องกล่าววาจาสวดมนต์ แทนคำพูดเพ้อเจ้อ คุยสรรพเพเหระ ต้องทำใจ แม้กายจะร้อน แต่ใจก็ไม่ร้อน ไม่กระวนกระวายไปกับความร้อนของกาย
ความสงบที่เกิดจากวินัย อันพึงกระทำเมื่อเข้าเขตมงคล คือ สถานที่ของแม่ชีเมี้ยนนี้ เป็นทุกข์ที่นำไปใช้แลกกับทุกข์ ที่จะต้องพึงรับจากโรคภัยไข้เจ็บ
จากต้องร้องโอย มาเป็นเสียงสวดมนต์แทน จากต้องเป็นไข้ตัวร้อน ก็มาทนความร้อนในขณะฟัง จากต้องปวดเจ็บร่างกาย ก็มาทนเมื่อยกับการนั่งในขณะฟังแทน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกเสมอว่า สิ่งที่ทำมีผลต่อชีวิต
แต่สิ่งที่ท่านเห็นเสมอ นั่นคือ หลายต่อหลายคน หาความสงบไม่ได้เลย ในห้องสวดมนต์
นี่แหละเป็นสิ่งที่บอกว่าแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง ท่านไม่สามารถช่วยคนเหล่านี้ได้เลย เพราะโรคสันดานนี้นั้น มันทำลายการกระทำอันเป็นมงคลที่ใช้เพื่อกอบกู้ชีวิตไปหมดสิ้นเสียแล้วนั่นเอง
จึงเป็นเรื่องแปลก เพราะคนที่กำลังจะส่งเสริมในการทำลายชีวิตซึ่งกันและกัน มักพูดเสมอว่า รักกันอย่างนั้นอย่างนี้ คนรักกันเขามีแต่ต้องห้ามไม่ให้ทำในสิ่งที่เป็นอัปมงคล หรือ ทำลายเสียซึ่งมงคลของชีวิต
ภาพที่ปรากฏ ในห้องสวดมนต์ ที่เป็นสถานที่ของแม่ชีเมี้ยน อันหลวงพ่อนิพนธ์กำหนดไว้เป็นพื้นที่ที่ใช้กอบกู้ชีวิต จึงทำให้ภาพภาษิต "ปากปราศรับ น้ำใจเชือดคอ" เห็นเด่นชัด
เพราะคนเหล่านั้น พูดไปหัวเราะไปยิ้มไป ในขณะที่ผลของพฤติกรรมที่ทำนั้น คือ "กำลังฆ่าคน หรือ ทำลายชีวิต" ของผู้ที่ตนเองบอกว่ารัก
กระนั้นก็ตาม หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนทำตามที่สอน จึงต้องทำใจ และปลงว่า "ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น"
อ้ายที่จะมาร้องแลกว่า ทำไม่ฉันไม่หาย ก็ไม่ช่วยตนแล้วยังทำลายอีกนั่นเอง
บทสรุป ของโอกาสที่จะรอด จึงมองลอดผ่านความสงบ ในสถานที่ของแม่ชีเมี้ยนนี้เอง
ก็ใครจะแก้โรคสันดานของเราได้ นอกเสียจากเอาเหตุและผลมานำแล้วทำเอง
ต่างฝ่ายต่างมีพลัง ก็ดูกันว่า พลังของผู้ที่สงบ กับพลังของผู้ที่ไม่คิดจะสงบ ใครจะดึงใครไป
หากความสงบเกิดไม่ได้ สถานที่นี้ เรียกได้ว่า มนต์ขลังยังสู้โรงภาพยนต์ไม่ได้เลย เพราะที่นั่นแม้จะให้แค่ความเพลิดเพลิน แต่คนจะกระแอมกระไอ จะคุยโทรศัพท์ หรือส่งเสียง ยังไม่กล้าเลย
ก็แล้วมันจะไปกอบกู้ชีวิตได้อย่างไร ... ยิ่งมา ก็ยิ่งมีแต่ความฝัน ลืมตามาก็เป็นเหมือนเดิม หรือ อาจจะหนักกว่าเดิมอีก
หากแต่โรคที่แม้แต่พระภูมียังกลัว เพราะหมดภูมิที่จะแก้ไข หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า "โรคสันดาน"
แม้จะพูดสักฉันใด ก็ไม่สามารถทำให้คนที่เป็นโรคนี้ สามารถเดินเข้ามาในครรลองของพระภูมีได้ มิหนำซ้ำ เมื่อคนเหล่านี้ ไม่ประสพผล ก็จะตีโพยตีพาย โทษนั่นโทษนี่
สถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า เหมือนไพ่ แบไต๋เล่นกันเลย พูดความจริง ดังนั้น หากไม่คิดจะทำ หรือไม่ทำ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำไม ได้แต่ทำใจกับคนพวกนี้ เพราะไม่มีทางช่วยได้นั่นเอง
คำสอนที่เป็นเส้นขีดให้เดินว่าหนทางของพระภูมี นั่นคือ "ความสงบ" เป็นบันไดก้าวแรกที่จะเดินให้ถึงจุดหมาย
ด้วยวินัยอันนี้เอง จึงก่อให้เกิดทุกข์ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เพื่อแลกกับทุกข์ที่ต้องผจญจากโรคภัยไข้เจ็บ
นั่นหมายถึง ต้องนั่งทนเมื่อย ทนปวด ต้องกล่าววาจาสวดมนต์ แทนคำพูดเพ้อเจ้อ คุยสรรพเพเหระ ต้องทำใจ แม้กายจะร้อน แต่ใจก็ไม่ร้อน ไม่กระวนกระวายไปกับความร้อนของกาย
ความสงบที่เกิดจากวินัย อันพึงกระทำเมื่อเข้าเขตมงคล คือ สถานที่ของแม่ชีเมี้ยนนี้ เป็นทุกข์ที่นำไปใช้แลกกับทุกข์ ที่จะต้องพึงรับจากโรคภัยไข้เจ็บ
จากต้องร้องโอย มาเป็นเสียงสวดมนต์แทน จากต้องเป็นไข้ตัวร้อน ก็มาทนความร้อนในขณะฟัง จากต้องปวดเจ็บร่างกาย ก็มาทนเมื่อยกับการนั่งในขณะฟังแทน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกเสมอว่า สิ่งที่ทำมีผลต่อชีวิต
แต่สิ่งที่ท่านเห็นเสมอ นั่นคือ หลายต่อหลายคน หาความสงบไม่ได้เลย ในห้องสวดมนต์
นี่แหละเป็นสิ่งที่บอกว่าแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง ท่านไม่สามารถช่วยคนเหล่านี้ได้เลย เพราะโรคสันดานนี้นั้น มันทำลายการกระทำอันเป็นมงคลที่ใช้เพื่อกอบกู้ชีวิตไปหมดสิ้นเสียแล้วนั่นเอง
จึงเป็นเรื่องแปลก เพราะคนที่กำลังจะส่งเสริมในการทำลายชีวิตซึ่งกันและกัน มักพูดเสมอว่า รักกันอย่างนั้นอย่างนี้ คนรักกันเขามีแต่ต้องห้ามไม่ให้ทำในสิ่งที่เป็นอัปมงคล หรือ ทำลายเสียซึ่งมงคลของชีวิต
ภาพที่ปรากฏ ในห้องสวดมนต์ ที่เป็นสถานที่ของแม่ชีเมี้ยน อันหลวงพ่อนิพนธ์กำหนดไว้เป็นพื้นที่ที่ใช้กอบกู้ชีวิต จึงทำให้ภาพภาษิต "ปากปราศรับ น้ำใจเชือดคอ" เห็นเด่นชัด
เพราะคนเหล่านั้น พูดไปหัวเราะไปยิ้มไป ในขณะที่ผลของพฤติกรรมที่ทำนั้น คือ "กำลังฆ่าคน หรือ ทำลายชีวิต" ของผู้ที่ตนเองบอกว่ารัก
กระนั้นก็ตาม หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนทำตามที่สอน จึงต้องทำใจ และปลงว่า "ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น"
อ้ายที่จะมาร้องแลกว่า ทำไม่ฉันไม่หาย ก็ไม่ช่วยตนแล้วยังทำลายอีกนั่นเอง
บทสรุป ของโอกาสที่จะรอด จึงมองลอดผ่านความสงบ ในสถานที่ของแม่ชีเมี้ยนนี้เอง
ก็ใครจะแก้โรคสันดานของเราได้ นอกเสียจากเอาเหตุและผลมานำแล้วทำเอง
ต่างฝ่ายต่างมีพลัง ก็ดูกันว่า พลังของผู้ที่สงบ กับพลังของผู้ที่ไม่คิดจะสงบ ใครจะดึงใครไป
หากความสงบเกิดไม่ได้ สถานที่นี้ เรียกได้ว่า มนต์ขลังยังสู้โรงภาพยนต์ไม่ได้เลย เพราะที่นั่นแม้จะให้แค่ความเพลิดเพลิน แต่คนจะกระแอมกระไอ จะคุยโทรศัพท์ หรือส่งเสียง ยังไม่กล้าเลย
ก็แล้วมันจะไปกอบกู้ชีวิตได้อย่างไร ... ยิ่งมา ก็ยิ่งมีแต่ความฝัน ลืมตามาก็เป็นเหมือนเดิม หรือ อาจจะหนักกว่าเดิมอีก
วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556
โอกาสปีละครั้ง
วันงานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน มีสิ่งหนึ่งที่วันปกติทั่วไปแล้ว เราท่านจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสเลย
นั่นคือ เสียงจริงของแม่ชีเมี้ยนที่ได้รับการบันทึกไว้ ขณะทำการสอนพระ เมื่อครั้งถ้ำกระบอก
สิ่งนี้ก็ย่อมเป็นความอัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะเนื้อเทปที่บันทึก ยังคงสภาพเสียงที่สดใส เหมือนใหม่ ในขณะที่เทปอื่นๆ ที่กระจายไปยังพระที่แตกสำนักไป รวมทั้งถ้ำกระบอกเอง ก็เสื่อมสลายไปสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น คำสอนที่แม่ชีเมี้ยนสอนพระนั้น เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้เมื่อครั้งพุทธกาล มาให้เราได้ยินได้ฟัง ว่าสงฆ์หรือสาวกเมื่อครั้งนั้น เขาประพฤติปฏิบัติกันอย่างไร
สิ่งนี้ ไม่มีในพระไตรปิฏก แลหาที่ไหนฟังได้เช่นนี้
เมื่อได้ยินได้ฟังก็เพลิดเพลิน จนทำให้หลายคนลืมไปว่า คนที่กำลังพูด เขียนหนังสือไม่ได้ อ่านไม่ออก แลไม่เคยได้ร่ำเรียนหนังสือจากที่ใดเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ในวาระนี้เอง เราท่านยังมีโอกาสที่จะได้ยินการขยายความจากหลวงพ่อนิพนธ์ ให้ง่ายต่อการเข้าใจ เพราะคำสอนที่สอนพระนั้น มีความลึกซึ้ง และมีรายละเอียด ทำให้คนทั่วไปยากแก่การเข้าใจได้หมด
คำพูดที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวให้เราท่านได้ยินเสมอ นั่นคือ "วันใดที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ปรากฎ จะรู้ว่าแม่ชีเมี้ยนเป็นใคร"
แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ท่านทำ เราเชื่อว่า "มนุษย์ทำไม่ได้" จนคนในยุคถ้ำกระบอกขนานนามท่านว่า "มนุษย์เหนือโลก"
ความหมายของธรรมชาติบำบัด
จากความจริงที่ว่า ธรรมชาติสร้างมนุษย์ ดังนั้น ธรรมชาติจึงสร้างสิ่งหล่อเลี้ยงมนุษย์ให้ดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุข
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายให้เห็นว่า นั่นแปลว่า สิ่งที่ร่างกายจะใช้ในการดำรงชีวิต ย่อมต้องเป็นสิ่งที่มีชีวิต ไม่เน่าเสีย อันเกิดตามธรรมชาติเท่านั้น
เราท่าน จึงไม่สามารถทานแกลบ หิน ดิน ทราย ได้ แลแม้กระทั่ง ของที่เน่าเสีย ร่างกายก็จะปฏิเสธ ก่อให้เกิดการถ่ายท้อง เพื่อขับไล่ไม่ให้เป็นโทษแก่ร่างกาย
แม่ชีเมี้ยน จึงทรงชี้ให้หลวงพ่อนิพนธ์เห็นว่า มนุษย์มีพรหมลิขิต รักษาตน ตามกรรมที่ทำมาอยู่แล้ว นั่นคือ ไม่ว่าจะอย่างไรหากไม่มีอุบัติเหตุของชีวิต ใครจะมาทำลายไม่ได้ ไม่ว่าโรค หรือ คนใด จะแช่งสักฉันใด ก็ทำให้พรหมลิขิตหายไปไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
นอกเสียจาก ตนของเราเองที่ทำลาย จึงทรงเรียกว่า "อุบัติเหตุ" แห่งชีวิต อันมีสาเหตุมาจากสิ่งเดียว นั่นคือ การปฏิเสธไม่ยอมรับกรรม ด้วยการใช้สารเคมีมาเลี่ยงกรรม จนกรรมสะสมมากขึ้น แล้วมาโครมเดียว จนร่างกายรับไม่ไหว
ความข้อนี้ จึงเป็นเหตุให้หลวงพ่อนิพนธ์ ต้องสอนและชี้ให้เห็น โน้มน้าวด้วยเหตุและผล โดยดูจากยอดของตัวเลขผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต จากโรคต่างๆ ที่พึ่งพายาเคมีเหล่านั้น ที่นับวันมีแต่จะสูงขึ้น
เมื่อเห็นภัยอันนี้ จึงเสนอแนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนทรงนำมา อันต่างจากที่อื่นอย่างเด่นชัด และเรียกว่า ธรรมชาติบำบัด อันมีรากฐานจากหลัก "ตนพึ่งตน"
ดังนั้น การมาสถานที่นี้ จึงไม่มีหมอ เพราะความจริงที่พระภูมีทรงตรัสรู้ คือ เรื่องของชีวิต ใครก็ช่วยใครไม่ได้ "อยากได้ ต้องทำเอง"
หากแต่สิ่งที่สถานที่นี้มี คือ ความรู้ในธรรมชาติของสมุนไพร และเตรียมให้ไว้ พร้อมกับสอนวิธีการทาน การปฏิบัติให้สอดคล้อง เพื่อนำไปช่วยตน ตามแนวทางของพระภูมี เท่านั้นเอง
บทท้ายที่สุดอันเป็นเครื่องพิสูจน์ และยืนยัน ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอ นั่นคือ "หายไม่หาย ขึ้นกับตัวผู้ทาน"
อันเป็นการตอกย้ำว่า เหตุที่จะทำให้หาย ไม่ใช่มาจากสมุนไพรเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับพฤติกรรมด้วยนั่นเอง
คำสอนอันเป็นที่มาของภาษิต "ลิงหลอกเจ้า" จึงพบเห็นได้เสมอ จากการเข้าห้องสวดมนต์ ที่หาความสงบไม่ได้เลย ในหลายๆ คน นอกเสียจากเวลาที่หลวงพ่อนิพนธ์จะนั่งอยู่ หรือแม้นจะนั่งอยู่ก็ยังคุย ยังเล่นเกมส์ ยังแชท กันมากมาย
ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่จะได้ยินเสียงคนบ่น "มาตั้งนานไม่เห็นดีขึ้นเลย"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่า ก็พฤติกรรม มันทำลายเสียซึ่งคุณค่าสมุนไพรไปหมดแล้วนั่นเอง จะทานสักฉันใดก็ยากจะประสพผล
"ความสงบ" เป็นกระไดขั้นแรก เหมือนนักเรียน ป.๑ ยังทำไม่ได้ จะหวังปริญญา ก็ได้แต่เป็นความฝัน ยามหลับตา กราบขอพร ลืมตามา ก็พบความจริง คือ ร้องโอยๆ
ก็พร่ำแต่ แม่ชีเมี้ยนช่วยด้วย พระพุทธช่วยด้วย หากแต่เมื่อดูความจริง การกระทำของตน ไม่ช่วยตนของตน อันใดเลย รอแต่ให้ผู้อื่นมาช่วย ..... ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักแสดงให้เห็นเพื่อพิจารณา นั่นคือ พระภูมีทรงมีเมตตามหาศาล หากแต่สาวกที่เชื่อและทำตามเท่านั้น อันมีจำนวนไม่ถึงแสน ที่ไปได้ ก็แล้วชาวอินเดียในยุคนั้น คนเป็นร้อยล้าน ท่านก็ได้แต่มอง ช่วยอะไรไม่ได้เลย....
ก็เพราะคนทั้งหลายทั้งมวลนั้น ชอบที่จะขอพร อยากได้แต่ไม่ทำ .... มันเดินสวนทางกับหลัก "ตนพึ่งตน"
เมื่อไม่คิดทำ ก็ไม่ควรคิดมา ให้เสียเวลา
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงใช้คำว่า "ทางเลือก" นั่นคือ ใช้ไม่ได้กับทุกคน แต่ทุกคนที่ทำได้ ย่อมได้ผลแห่งการทำนี้อย่างแน่นอน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักพูดว่า "หากมีคนเชื่อเราแล้วทำตามร้อย ก็หายแค่ร้อย หากเชื่อเราแล้วทำตามล้าน ก็หายทั้งล้าน หากไม่มีผู้ใดเชื่อและทำตามเลย ก็จักไม่มีคนหายเลย"
นี่เองเป็นเหตุที่ทำให้ท่านต้องมีหน้าที่พูด และไม่รู้จักเบื่อหน่าย เพื่อหาคนที่อยากรอด ฟังแล้วเชื่อแล้วทำตาม "ร้อยได้สักห้าสักสิบ ก็ดีแล้ว"
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายให้เห็นว่า นั่นแปลว่า สิ่งที่ร่างกายจะใช้ในการดำรงชีวิต ย่อมต้องเป็นสิ่งที่มีชีวิต ไม่เน่าเสีย อันเกิดตามธรรมชาติเท่านั้น
เราท่าน จึงไม่สามารถทานแกลบ หิน ดิน ทราย ได้ แลแม้กระทั่ง ของที่เน่าเสีย ร่างกายก็จะปฏิเสธ ก่อให้เกิดการถ่ายท้อง เพื่อขับไล่ไม่ให้เป็นโทษแก่ร่างกาย
แม่ชีเมี้ยน จึงทรงชี้ให้หลวงพ่อนิพนธ์เห็นว่า มนุษย์มีพรหมลิขิต รักษาตน ตามกรรมที่ทำมาอยู่แล้ว นั่นคือ ไม่ว่าจะอย่างไรหากไม่มีอุบัติเหตุของชีวิต ใครจะมาทำลายไม่ได้ ไม่ว่าโรค หรือ คนใด จะแช่งสักฉันใด ก็ทำให้พรหมลิขิตหายไปไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
นอกเสียจาก ตนของเราเองที่ทำลาย จึงทรงเรียกว่า "อุบัติเหตุ" แห่งชีวิต อันมีสาเหตุมาจากสิ่งเดียว นั่นคือ การปฏิเสธไม่ยอมรับกรรม ด้วยการใช้สารเคมีมาเลี่ยงกรรม จนกรรมสะสมมากขึ้น แล้วมาโครมเดียว จนร่างกายรับไม่ไหว
ความข้อนี้ จึงเป็นเหตุให้หลวงพ่อนิพนธ์ ต้องสอนและชี้ให้เห็น โน้มน้าวด้วยเหตุและผล โดยดูจากยอดของตัวเลขผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต จากโรคต่างๆ ที่พึ่งพายาเคมีเหล่านั้น ที่นับวันมีแต่จะสูงขึ้น
เมื่อเห็นภัยอันนี้ จึงเสนอแนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนทรงนำมา อันต่างจากที่อื่นอย่างเด่นชัด และเรียกว่า ธรรมชาติบำบัด อันมีรากฐานจากหลัก "ตนพึ่งตน"
ดังนั้น การมาสถานที่นี้ จึงไม่มีหมอ เพราะความจริงที่พระภูมีทรงตรัสรู้ คือ เรื่องของชีวิต ใครก็ช่วยใครไม่ได้ "อยากได้ ต้องทำเอง"
หากแต่สิ่งที่สถานที่นี้มี คือ ความรู้ในธรรมชาติของสมุนไพร และเตรียมให้ไว้ พร้อมกับสอนวิธีการทาน การปฏิบัติให้สอดคล้อง เพื่อนำไปช่วยตน ตามแนวทางของพระภูมี เท่านั้นเอง
บทท้ายที่สุดอันเป็นเครื่องพิสูจน์ และยืนยัน ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอ นั่นคือ "หายไม่หาย ขึ้นกับตัวผู้ทาน"
อันเป็นการตอกย้ำว่า เหตุที่จะทำให้หาย ไม่ใช่มาจากสมุนไพรเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับพฤติกรรมด้วยนั่นเอง
คำสอนอันเป็นที่มาของภาษิต "ลิงหลอกเจ้า" จึงพบเห็นได้เสมอ จากการเข้าห้องสวดมนต์ ที่หาความสงบไม่ได้เลย ในหลายๆ คน นอกเสียจากเวลาที่หลวงพ่อนิพนธ์จะนั่งอยู่ หรือแม้นจะนั่งอยู่ก็ยังคุย ยังเล่นเกมส์ ยังแชท กันมากมาย
ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่จะได้ยินเสียงคนบ่น "มาตั้งนานไม่เห็นดีขึ้นเลย"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่า ก็พฤติกรรม มันทำลายเสียซึ่งคุณค่าสมุนไพรไปหมดแล้วนั่นเอง จะทานสักฉันใดก็ยากจะประสพผล
"ความสงบ" เป็นกระไดขั้นแรก เหมือนนักเรียน ป.๑ ยังทำไม่ได้ จะหวังปริญญา ก็ได้แต่เป็นความฝัน ยามหลับตา กราบขอพร ลืมตามา ก็พบความจริง คือ ร้องโอยๆ
ก็พร่ำแต่ แม่ชีเมี้ยนช่วยด้วย พระพุทธช่วยด้วย หากแต่เมื่อดูความจริง การกระทำของตน ไม่ช่วยตนของตน อันใดเลย รอแต่ให้ผู้อื่นมาช่วย ..... ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักแสดงให้เห็นเพื่อพิจารณา นั่นคือ พระภูมีทรงมีเมตตามหาศาล หากแต่สาวกที่เชื่อและทำตามเท่านั้น อันมีจำนวนไม่ถึงแสน ที่ไปได้ ก็แล้วชาวอินเดียในยุคนั้น คนเป็นร้อยล้าน ท่านก็ได้แต่มอง ช่วยอะไรไม่ได้เลย....
ก็เพราะคนทั้งหลายทั้งมวลนั้น ชอบที่จะขอพร อยากได้แต่ไม่ทำ .... มันเดินสวนทางกับหลัก "ตนพึ่งตน"
เมื่อไม่คิดทำ ก็ไม่ควรคิดมา ให้เสียเวลา
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงใช้คำว่า "ทางเลือก" นั่นคือ ใช้ไม่ได้กับทุกคน แต่ทุกคนที่ทำได้ ย่อมได้ผลแห่งการทำนี้อย่างแน่นอน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักพูดว่า "หากมีคนเชื่อเราแล้วทำตามร้อย ก็หายแค่ร้อย หากเชื่อเราแล้วทำตามล้าน ก็หายทั้งล้าน หากไม่มีผู้ใดเชื่อและทำตามเลย ก็จักไม่มีคนหายเลย"
นี่เองเป็นเหตุที่ทำให้ท่านต้องมีหน้าที่พูด และไม่รู้จักเบื่อหน่าย เพื่อหาคนที่อยากรอด ฟังแล้วเชื่อแล้วทำตาม "ร้อยได้สักห้าสักสิบ ก็ดีแล้ว"
วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556
ความรู้พื้นฐานของมะเร็ง ที่หมอไม่ยอมบอก
มะเร็ง ถูกหมอและวิทยาการสมัยใหม่ หล่อหลอมให้คนเชื่อว่า เป็น "โรคร้าย" ที่มาคร่าชีวิต
เมื่อเริ่มจากพื้นฐานความเชื่อนี้ คนทั่วไปจึงเชื่อว่า ต้องวิทยาการสมัยใหม่เท่านั้น ที่มีความสามารถในการพิชิตโรคได้
สิ่งนี้เอง ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นความรู้พื้นฐานที่ผิดอย่างมหันต์ และเมื่อเริ่มผิด ทำผิด ผลผิดจึงเกิด เราท่านจึงไม่เห็นผู้หายจากโรคมะเร็งโดยแนวทางนี้เลย
แม่ชีเมี้ยน ทรงตรัสสอน และชี้ให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว มะเร็งไม่ใช่โรค หากแต่เป็นเซลล์ปกติของร่างกายมนุษย์ ที่เกิดความเครียด จึงทำงานผิดปกติ เมื่อมีลักษณะที่โตผิดปกติ วงการแพทย์ก็จะเรียกว่า ก้อนซีส หากแต่ไม่มีลักษณะการทำลาย หรือที่เรียกเนื้อร้าย
แต่เมื่อใดที่เซลล์กลุ่มนี้ มีคุณสมบัติทำลายร่างกาย กลายเป็นเนื้อร้ายขึ้นมา ก็ถูกขนานนามว่่า "มะเร็ง" และชื่อที่ใกล้เคียงความเป็นจริง ก็คือ "เนื้อร้าย" หาใช่ "โรคร้าย" ไม่ เพราะไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคเหมือนโรคทั่วไปนั่นเอง
เมื่อมันเป็นเซลล์ตามธรรมชาติ และธรรมชาติของเซลล์ ย่อมตอบรับแต่สิ่งที่เป็นธรรมชาติ ดังนั้น แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสสอนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า "ยาเคมีเป็นสิ่งที่เซลล์ปฏิเสธ เพราะไม่เป็นธรรมชาติที่พึงรับได้ นั่นคือ ไม่มีทางที่ยาเคมีจะใช้ในการรักษา มีแต่ยิ่งช่วยทำให้เกิดเซลล์มะเร็งมากขึ้น"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักร้องขอ ให้คนไข้มะเร็ง ไม่ใช่ควรจะ แต่ "ต้องหยุด" ยาเคมีทั้งหลายเสียก่อน เพื่อตัดไฟต้นลม อันเป็นเหตุแห่งความเครียดที่ทำให้เซลล์ดี กลายเป็นเซลล์มะเร็งนั่นเอง
ธรรมชาติอันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้เห็นชัด ก็ดูได้จากการทานอาหารนั่นเอง หากไม่ใช่สารธรรมชาติที่มีชีวิต มีคุณ ร่างกายก็จะปฏิเสธ และโดยเฉพาะสารที่ย่อยไม่ได้ กรวด หิน ร่างกายยิ่งไม่รับและขับออก
หากแต่เคมี เป็นสิ่งที่ร่างกายไม่รับ แต่ความสามารถในการกำจัดออกนั้นก็มีจำกัด สิ่งที่เหลือจึงตกค้างในร่างกาย สร้างมลภาวะ ทำให้เซลล์เครียดและกลายเป็นมะเร็งนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า ในอดีตถ้ำกระบอก ที่ยาเคมียังไม่ค่อยเจริญ กว่าจะมีคนไข้มะเร็งมาหาสักคน ก็ยากเต็มที แต่มาวันนี้ วันที่ยาเคมีเจริญ มีขายกันดาษดื่น พอๆ กับท๊อฟฟี่ คนไข้ที่มา เรียกได้ว่า เกือบครึ่ง คือคนไข้มะเร็ง
จำไว้น่ะ "ฆ่าเซลล์มะเร็ง ก็คือฆ่าตัวเรานั่นเอง" คำที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวให้เป็นสติ
แค่เปลี่ยนความคิด ทำจิตใจให้สบาย ทำตัวปกติ หยุดยาเคมี มะเร็งก็เบาไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะไม่มีเหตุที่ก่อให้เกิดใหม่นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็เปรียบเทียบว่า เช่นเดียวกับโรคเอดส์ ซึ่งมันผูกติดกับเซลล์ของเรา ไม่มีทางเลยที่จะใช้เคมีเพื่อรักษาได้
คำพูดเล่นๆ ลอยมา "หากผ่านวันงานนี้ไปได้ และแม่ชีเมี้ยนทรงอนุญาตให้ทำสมุนไพรตัวใหม่ได้ เราจะทำให้โลกตะลึง ในสรรพคุณสมุนไพร"
เมื่อเริ่มจากพื้นฐานความเชื่อนี้ คนทั่วไปจึงเชื่อว่า ต้องวิทยาการสมัยใหม่เท่านั้น ที่มีความสามารถในการพิชิตโรคได้
สิ่งนี้เอง ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นความรู้พื้นฐานที่ผิดอย่างมหันต์ และเมื่อเริ่มผิด ทำผิด ผลผิดจึงเกิด เราท่านจึงไม่เห็นผู้หายจากโรคมะเร็งโดยแนวทางนี้เลย
แม่ชีเมี้ยน ทรงตรัสสอน และชี้ให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว มะเร็งไม่ใช่โรค หากแต่เป็นเซลล์ปกติของร่างกายมนุษย์ ที่เกิดความเครียด จึงทำงานผิดปกติ เมื่อมีลักษณะที่โตผิดปกติ วงการแพทย์ก็จะเรียกว่า ก้อนซีส หากแต่ไม่มีลักษณะการทำลาย หรือที่เรียกเนื้อร้าย
แต่เมื่อใดที่เซลล์กลุ่มนี้ มีคุณสมบัติทำลายร่างกาย กลายเป็นเนื้อร้ายขึ้นมา ก็ถูกขนานนามว่่า "มะเร็ง" และชื่อที่ใกล้เคียงความเป็นจริง ก็คือ "เนื้อร้าย" หาใช่ "โรคร้าย" ไม่ เพราะไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคเหมือนโรคทั่วไปนั่นเอง
เมื่อมันเป็นเซลล์ตามธรรมชาติ และธรรมชาติของเซลล์ ย่อมตอบรับแต่สิ่งที่เป็นธรรมชาติ ดังนั้น แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสสอนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า "ยาเคมีเป็นสิ่งที่เซลล์ปฏิเสธ เพราะไม่เป็นธรรมชาติที่พึงรับได้ นั่นคือ ไม่มีทางที่ยาเคมีจะใช้ในการรักษา มีแต่ยิ่งช่วยทำให้เกิดเซลล์มะเร็งมากขึ้น"
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักร้องขอ ให้คนไข้มะเร็ง ไม่ใช่ควรจะ แต่ "ต้องหยุด" ยาเคมีทั้งหลายเสียก่อน เพื่อตัดไฟต้นลม อันเป็นเหตุแห่งความเครียดที่ทำให้เซลล์ดี กลายเป็นเซลล์มะเร็งนั่นเอง
ธรรมชาติอันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้เห็นชัด ก็ดูได้จากการทานอาหารนั่นเอง หากไม่ใช่สารธรรมชาติที่มีชีวิต มีคุณ ร่างกายก็จะปฏิเสธ และโดยเฉพาะสารที่ย่อยไม่ได้ กรวด หิน ร่างกายยิ่งไม่รับและขับออก
หากแต่เคมี เป็นสิ่งที่ร่างกายไม่รับ แต่ความสามารถในการกำจัดออกนั้นก็มีจำกัด สิ่งที่เหลือจึงตกค้างในร่างกาย สร้างมลภาวะ ทำให้เซลล์เครียดและกลายเป็นมะเร็งนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า ในอดีตถ้ำกระบอก ที่ยาเคมียังไม่ค่อยเจริญ กว่าจะมีคนไข้มะเร็งมาหาสักคน ก็ยากเต็มที แต่มาวันนี้ วันที่ยาเคมีเจริญ มีขายกันดาษดื่น พอๆ กับท๊อฟฟี่ คนไข้ที่มา เรียกได้ว่า เกือบครึ่ง คือคนไข้มะเร็ง
จำไว้น่ะ "ฆ่าเซลล์มะเร็ง ก็คือฆ่าตัวเรานั่นเอง" คำที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวให้เป็นสติ
แค่เปลี่ยนความคิด ทำจิตใจให้สบาย ทำตัวปกติ หยุดยาเคมี มะเร็งก็เบาไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะไม่มีเหตุที่ก่อให้เกิดใหม่นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็เปรียบเทียบว่า เช่นเดียวกับโรคเอดส์ ซึ่งมันผูกติดกับเซลล์ของเรา ไม่มีทางเลยที่จะใช้เคมีเพื่อรักษาได้
คำพูดเล่นๆ ลอยมา "หากผ่านวันงานนี้ไปได้ และแม่ชีเมี้ยนทรงอนุญาตให้ทำสมุนไพรตัวใหม่ได้ เราจะทำให้โลกตะลึง ในสรรพคุณสมุนไพร"
บางขวาง
ชื่อนี้ใครได้ยิน ก็ล้วนแล้วแต่ไม่อยากเข้าไปเยือน หรือไปอยู่
จากการถูกสั่งจับโดยจอมพลสฤษดิ์ และตั้งข้อหา มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ซ่อมสุมผู้คน และอวดอุตริมนุษยธรรม ที่มอบให้แก่พระถ้ำกระบอก และแม่ชีเมี้ยน
หลังจากการสอบสวนแล้วเสร็จ ในที่สุดก็ยกเลิกข้อกล่าวหา และปล่อยตัวกลับ
หากแต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจบางคน นั่นคือ บุญญาธิการของแม่ชีเมี้ยน ที่พวกเขาได้สัมผัส
ดังนั้น หน่วยงานหนึ่งจึงได้เห็นความสำคัญของพระ นั่นคือ กรมราชทัณฑ์
จึงได้คิดโครงการให้พระชั้นสมเด็จ เข้าไปโปรดนักโทษอุฉกรรจ์ หรือ นักโทษร้ายแรง ในยุคนั้น
ผลปรากฎว่า โครงการดังกล่าวไม่สำเร็จ อันเนื่องจาก พระทุกรูปที่เข้าไปโปรด ล้วนแล้วแต่ถูกนักโทษเล่นงานซะจนไม่มีพระกล้าไปเทศน์โปรดอีกเลย
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ยุคนั้น มีความเชื่อมั่นในบุญญาธิการของแม่ชีเมี้ยน จึงได้ส่งหนังสือเชิญให้แม่ชีเมี้ยนส่งพระถ้ำกระบอกเพื่อไปดำเนินกิจกรรมดังกล่าว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเป็นตัวแทน เพื่อไปในกิจการนี้ จึงต้องเดินจากถ้ำกระบอก ใช้เวลา ๓ วัน เพื่อไปโปรดนักโทษเหล่านั้น
ยุคอันธพาลครองเมือง ๒๔๙๙ ล้วนถูกจับมาขังรวมกัน ไม่ว่า แดง ไบเล่ย์ หรือ ใครต่อใครที่มีชื่อเสียง มารวมกัน ณ ที่นี้หมด
หลวงพ่อนิพนธ์เล่าให้ฟังว่า ในการโปรดครั้งนั้น เริ่มด้วยการขอให้ผู้คุมเปิดห้องขังแก่นักโทษทั้งหมด แล้วให้มานั่งรวมกัน ฟังท่าน
จากบทเริ่มของการตาเขียว ตาขวาง กลายเป็นเสียงหัวเราะชอบใจ และตั้งใจฟังอยากสงบของบรรดานักโทษเหล่านั้น พร้อมกับการปรบมือชอบใจเป็นระยะ
จนแม้กระทั่งได้เวลาเลิก เหล่านักโทษที่เคยขู่และไล่ พระชั้นสมเด็จที่ได้มาโปรดก่อนหน้านี้ ล้วนแล้วแต่ร้องขอให้หลวงพ่อนิพนธ์กลับมาใหม่
แต่นั่นก็เป็นครั้งแรก และครั้งเดียว ที่ได้เดินทางไปโปรด
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556
ประกาศ คนไข้มะเร็ง
หากผ่านวันงานแม่ชีเมี้ยนนี้ไปด้วยดี นั่นคือ แม่ชีเมี้ยนยังทรงอนุญาตให้หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ทำกิจกรรมต่อ
อ.อร่าม แจ้งให้ทราบว่า หากเป็นเช่นนั้น จะมีการปรับเปลี่ยนการดูแลคนไข้ โดยเฉพาะคนไข้มะเร็ง
หลังจากที่หลวงพ่อนิพนธ์ ได้รับคนไข้มะเร็ง กลุ่มทดสอบ มาพักรักษาตัว และดูแลอย่างใกล้ชิด ๑๐ คน เป็นระยะเวลาหนึ่งนั้น ผลที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ
ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้โอนคนไข้มะเร็งทั้งหมด มาให้ท่านดูแลเอง โดยจัดแยกออกมาจากกลุ่มคนไข้ทั่วไป
อ.อร่าม จึงได้ประกาศให้คนไข้มะเร็ง ที่ต้องการเข้ามาอยู่ในการดูแลของหลวงพ่อนิพนธ์ ให้จัดเตรียมเอกสาร และแจ้งแก่เจ้าหน้าที่
โดยเอกสาร ประกอบด้วย ๓ สิ่งคือ
๑.ใบผลการวินิจฉัย จากแพทย์แผนปัจจุบัน
๒.บัตรประชาชน
๓.บัตรสมาชิกชมรมคนรักสุขภาพ
โดยให้นำหลักฐานทั้ง ๓ อย่างนี้ ถ่ายเอกสารลงในใบเดียวกัน แล้วยื่นความจำนง ต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อเข้ากลุ่มคนไข้มะเร็ง ที่หลวงพ่อนิพนธ์จะดูแลเองนี้
โดยการยื่นเอกสาร ทางชมรมจะเริ่มเปิดรับ หลังจากผ่านวันงานแม่ชีเมี้ยนไปแล้ว
อนึ่ง อ.อร่าม แจ้งว่า กลุ่มคนไข้มะเร็ง ดังกล่าว จะถูกคัดแยก และรับสมุนไพรโดยตรงจากหลวงพ่อนิพนธ์
หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามได้จากประชาสัมพันธ์ของชมรม (ตู้เหลือง)
อ.อร่าม แจ้งให้ทราบว่า หากเป็นเช่นนั้น จะมีการปรับเปลี่ยนการดูแลคนไข้ โดยเฉพาะคนไข้มะเร็ง
หลังจากที่หลวงพ่อนิพนธ์ ได้รับคนไข้มะเร็ง กลุ่มทดสอบ มาพักรักษาตัว และดูแลอย่างใกล้ชิด ๑๐ คน เป็นระยะเวลาหนึ่งนั้น ผลที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ
ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้โอนคนไข้มะเร็งทั้งหมด มาให้ท่านดูแลเอง โดยจัดแยกออกมาจากกลุ่มคนไข้ทั่วไป
อ.อร่าม จึงได้ประกาศให้คนไข้มะเร็ง ที่ต้องการเข้ามาอยู่ในการดูแลของหลวงพ่อนิพนธ์ ให้จัดเตรียมเอกสาร และแจ้งแก่เจ้าหน้าที่
โดยเอกสาร ประกอบด้วย ๓ สิ่งคือ
๑.ใบผลการวินิจฉัย จากแพทย์แผนปัจจุบัน
๒.บัตรประชาชน
๓.บัตรสมาชิกชมรมคนรักสุขภาพ
โดยให้นำหลักฐานทั้ง ๓ อย่างนี้ ถ่ายเอกสารลงในใบเดียวกัน แล้วยื่นความจำนง ต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อเข้ากลุ่มคนไข้มะเร็ง ที่หลวงพ่อนิพนธ์จะดูแลเองนี้
โดยการยื่นเอกสาร ทางชมรมจะเริ่มเปิดรับ หลังจากผ่านวันงานแม่ชีเมี้ยนไปแล้ว
อนึ่ง อ.อร่าม แจ้งว่า กลุ่มคนไข้มะเร็ง ดังกล่าว จะถูกคัดแยก และรับสมุนไพรโดยตรงจากหลวงพ่อนิพนธ์
หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามได้จากประชาสัมพันธ์ของชมรม (ตู้เหลือง)
ใครทำใครได้
ภาพที่เราท่านมักจะเห็นบ่อยๆ นั่นคือ ภาพที่คนไข้ที่มีอาการค่อนข้างมาก จนแทบจะไม่สามารถช่วยตัวเองได้
และคนที่ใกล้ชิดผูกพัน มีความรัก ก็จะทำหน้าที่ต่างๆ แทน อาทิเช่น มาเป็นจิตอาสาแทนบ้าง มารับสมุนไพรแทนบ้าง
โดยเฉพาะจิตอาสาทีอยากให้คนที่ตนรักได้หายจากโรค ก็มุ่งมั่นทุ่มเท โดยมุ่งหวังว่าสิ่งที่ตนทำนั้นทำแทนคนที่ตนรัก
หากแต่หลักของพระภูมี "ใครทำ ใครได้"
การกระทำแทน ก็มักจะได้เฉพาะคนที่มีกรรมผูกพันใกล้ชิด อาทิเช่น สามีภรรยา หรือ ลูกกับพ่อแม่ เป็นต้น
แต่ผลของการทำ ก็ตกแก่ผู้ทำเป็นส่วนใหญ่ จะส่งทอดถึงกันก็ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักสอนให้ทำด้วยตนเอง
แม้นว่าบุคคลนั้น ยังไม่มีสติ หรือทำด้วยตนเองโดยลำพังไม่ได้ ก็อาศัยคนที่มีสติโตกว่า ช่วยชี้นำ หรือ ช่วยกระทำ
ภาพในยุคก่อนที่เมื่อครั้ง หลวงพ่อนิพนธ์ยังจัดให้มีพระอยู่นั้น เมื่อลูกศิษย์ที่ตั้งท้องครั้งใด ก็แท้ง อยากมีลูก ท่านก็จัดยามะพร้าวให้ทาน จนมีบุตรได้สองคนสมใจ
และเมื่อเด็กคลอดออกมา เมื่อพ่อแม่พามาหาพระ ท่านก็จะจับมือเด็กให้ถือทัพพี เพื่อใส่บาตรพระ
และหากลูกศิษย์คนใด ที่มีญาติป่วยหนัก จนไม่สามารถมาเองได้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็มักกล่าวสอนเสมอว่า แม้นกายทำไม่ได้ แต่วาจา กับใจ ก็ยังใช้ทำบุญได้
นั่นคือ อาศัยสติ และปัญญาของเรา ทำให้เขามีส่วนร่วม อาทิเช่น ถามพ่อแม่ แล้วให้ออกความเห็นว่า พรุ่งนี้จะไปใส่บาตรพระ จะทำอะไรดี
แล้วเราท่าน ก็นำสิ่งนั้นมาทำให้เกิดเป็นผล
เรามักจะได้ยินคนกล่าวอ้างว่า คนไข้ทำอะไรไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วก็ปิดประตูการทำเพื่อช่วยตนนั้นเสีย
หลักของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา .... มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น นั่นคือ "ตนพึ่งตน" หาควรที่จะยืมจมูกผู้อื่นมาหายใจตลอดไม่
บทสรุปของสิ่งนี้ นั่นคือ หากจะช่วยคนที่ตนรัก ต้องให้เขาทำในสิ่งที่ช่วยตน เพราะถึงบทสุดท้าย ความจริงก็ต้องเป็นความจริง ว่าไม่ว่าใคร ก็ช่วยใครไม่ได้ "อยากได้ ต้องทำเอง"
แม้นตัวคนที่เราท่านรัก จะมาไม่ได้ แต่เขายังมีความคิด ยังมีวาจาที่จะทำบุญ เพื่อช่วยตนได้
คนฉลาด ก็จะต้องถามว่า วันนี้จะทำบุญอะไรดี
อีหนูเอ็งซื้อพริกไทยไปทำบุญให้แม่สักโลสิ ... อีหนู เอ็งเอาขวดน้ำที่แม่ทานแล้ว แม่ทำความสะอาดและเก็บไว้ไปให้แม่ด้วยสิ ... อีหนู ซื้อน้ำซื้อขนมของหลวงพ่อมาให้แม่ด้วย .... อีหนูแม่สั่งมะกรูด มะนาวไว้ ช่วยไปรับและเอาไปด้วยน่ะ...
รักจริง อย่าทำเลย ประเภท ... อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร จะทำแทนให้ทั้งหมด
แม้นแต่จะเดินไปทานยามะพร้าว ยังไม่ยอมให้เดินไปเอง ทานเอง ... ใจไม่แข็งพอ หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า ยากจะประสพผล
และคนที่ใกล้ชิดผูกพัน มีความรัก ก็จะทำหน้าที่ต่างๆ แทน อาทิเช่น มาเป็นจิตอาสาแทนบ้าง มารับสมุนไพรแทนบ้าง
โดยเฉพาะจิตอาสาทีอยากให้คนที่ตนรักได้หายจากโรค ก็มุ่งมั่นทุ่มเท โดยมุ่งหวังว่าสิ่งที่ตนทำนั้นทำแทนคนที่ตนรัก
หากแต่หลักของพระภูมี "ใครทำ ใครได้"
การกระทำแทน ก็มักจะได้เฉพาะคนที่มีกรรมผูกพันใกล้ชิด อาทิเช่น สามีภรรยา หรือ ลูกกับพ่อแม่ เป็นต้น
แต่ผลของการทำ ก็ตกแก่ผู้ทำเป็นส่วนใหญ่ จะส่งทอดถึงกันก็ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักสอนให้ทำด้วยตนเอง
แม้นว่าบุคคลนั้น ยังไม่มีสติ หรือทำด้วยตนเองโดยลำพังไม่ได้ ก็อาศัยคนที่มีสติโตกว่า ช่วยชี้นำ หรือ ช่วยกระทำ
ภาพในยุคก่อนที่เมื่อครั้ง หลวงพ่อนิพนธ์ยังจัดให้มีพระอยู่นั้น เมื่อลูกศิษย์ที่ตั้งท้องครั้งใด ก็แท้ง อยากมีลูก ท่านก็จัดยามะพร้าวให้ทาน จนมีบุตรได้สองคนสมใจ
และเมื่อเด็กคลอดออกมา เมื่อพ่อแม่พามาหาพระ ท่านก็จะจับมือเด็กให้ถือทัพพี เพื่อใส่บาตรพระ
และหากลูกศิษย์คนใด ที่มีญาติป่วยหนัก จนไม่สามารถมาเองได้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็มักกล่าวสอนเสมอว่า แม้นกายทำไม่ได้ แต่วาจา กับใจ ก็ยังใช้ทำบุญได้
นั่นคือ อาศัยสติ และปัญญาของเรา ทำให้เขามีส่วนร่วม อาทิเช่น ถามพ่อแม่ แล้วให้ออกความเห็นว่า พรุ่งนี้จะไปใส่บาตรพระ จะทำอะไรดี
แล้วเราท่าน ก็นำสิ่งนั้นมาทำให้เกิดเป็นผล
เรามักจะได้ยินคนกล่าวอ้างว่า คนไข้ทำอะไรไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วก็ปิดประตูการทำเพื่อช่วยตนนั้นเสีย
หลักของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา .... มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น นั่นคือ "ตนพึ่งตน" หาควรที่จะยืมจมูกผู้อื่นมาหายใจตลอดไม่
บทสรุปของสิ่งนี้ นั่นคือ หากจะช่วยคนที่ตนรัก ต้องให้เขาทำในสิ่งที่ช่วยตน เพราะถึงบทสุดท้าย ความจริงก็ต้องเป็นความจริง ว่าไม่ว่าใคร ก็ช่วยใครไม่ได้ "อยากได้ ต้องทำเอง"
แม้นตัวคนที่เราท่านรัก จะมาไม่ได้ แต่เขายังมีความคิด ยังมีวาจาที่จะทำบุญ เพื่อช่วยตนได้
คนฉลาด ก็จะต้องถามว่า วันนี้จะทำบุญอะไรดี
อีหนูเอ็งซื้อพริกไทยไปทำบุญให้แม่สักโลสิ ... อีหนู เอ็งเอาขวดน้ำที่แม่ทานแล้ว แม่ทำความสะอาดและเก็บไว้ไปให้แม่ด้วยสิ ... อีหนู ซื้อน้ำซื้อขนมของหลวงพ่อมาให้แม่ด้วย .... อีหนูแม่สั่งมะกรูด มะนาวไว้ ช่วยไปรับและเอาไปด้วยน่ะ...
รักจริง อย่าทำเลย ประเภท ... อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร จะทำแทนให้ทั้งหมด
แม้นแต่จะเดินไปทานยามะพร้าว ยังไม่ยอมให้เดินไปเอง ทานเอง ... ใจไม่แข็งพอ หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า ยากจะประสพผล
วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556
เรื่องเล่าจากโรงน้ำ
ชายหนุ่มสูงวัยท่านหนึ่ง มักจะมาช่วยทำงานที่โรงทำน้ำของหลวงพ่อเสมอ เมื่อได้มีโอกาสมาสถานที่นี้
หลายคนจะเห็นคุณลุงท่านนี้ ทำงานทั้งวัน โดยไม่เคยบ่นเหนื่อย ไม่เคยท้อ แม้จะเป็นงานที่หนัก จนหลายคนไม่อยากทำ แต่แกก็ทำด้วยความปิติยินดีของแกไปเรื่อยๆ
เสียงร้องชักชวนที่แกได้ยินเสมอทุกครั้้งที่มา นั่นคือ เสียงของผู้ที่มาช่วยทำงานในโรงน้ำ พากันชวนเดินทยอยหนีไป หลังจากได้รับแจกบัตรสวดมนต์
คำพูดที่มักลอยล่องมาเข้าหูแก "จะทำไปทำไมลุง ทำไปก็ได้สมุนไพรเท่ากัน เหนื่อยเปล่าๆ มาทำกันสักพัก พอได้บัตรสวดมนต์ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปนั่งทนในห้องสวดมนต์ ก็พอแล้ว"
ลุงแกก็มักจะตอบคนเหล่านั้นว่า "ไปเถอะ ลุงก็ทำของลุงไปเรื่อยๆ ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์ท่านสอนแหละ ลุงเชื่อของลุง"
คำพูดที่แกเล่าถึงที่มาของความเชื่อในการทำเช่นนี้
คุณลุงเล่าว่า แกเป็นคนเชียงใหม่ พาลูกชายที่ป่วยด้วยโรคไตวาย จนหมอวินิจฉัยว่า ข้างหนึ่งตายไปแล้ว ส่วนอีกข้างหนึ่งเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง
มาแรกๆ ก็มาทุกสัปดาห์ จนครบห้าครั้ง แกก็ขออนุญาตมาเดือนละครั้ง เพราะแกบ้านอยู่ไกล และที่สำคัญ ลูกชายก็ไม่สามารถช่วยตนเองได้ ไม่มีแรง ต้องนอนพักอย่างเดียว
หลังจากฟังคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ แกก็เลยคิดมาเป็นอาสา ลองทำตามคำสอนดู ดีกว่ามานั่งรอเสียเวลาไปเปล่าๆ
แกทำกิจกรรมนี้ อย่างมุ่งมั่น และเชื่อในคำสอน แม้ว่า เริ่มแรกเดิมทีลูกชายแกจะได้รับยาเขียวไปทาน ครั้งละ ๘ ขวด เพื่อทานทั้งเดือน และถูกปรับลดลงมาเรื่อยๆ เนื่องจากปริมาณยาเขียวน้อยลง จนในช่วงหลังๆ ก็ได้รับเพียงครั้งละขวดเดียว
แกเฝ้าสังเกตลูกชาย ที่เริ่มฟื้น และเริ่มมีแรง มาช่วยแกทำงาน จนวันนี้ สามารถช่วยงานได้เต็มที่ไม่มีอาการอ่อนเพลีย แกจึงรู้ว่า สิ่งที่แกทำนั้นถูกทาง และการทานสมุนไพร ไม่ได้ขึ้นกับปริมาณ
ทุกวันนี้ หนึ่งคนแก่ และหนึ่งคนหนุ่ม ก็ยังมาชมรมเดือนละครั้ง และเข้าไปช่วยงานที่โรงทำน้ำตั้งแต่เช้า จนเลิก สองพ่อลูกตั้งใจทำ โดยไม่สนว่า ใครจะมาชวนให้เลิก หรือพูดให้ไขว้เขวว่า ทำไปทำไม
เพราะแกและลูกชาย มีคำตอบในใจ และรู้ว่า วิธีรอดของลูกชาย ทำอย่างไร
จากความกังวลในอาการของลูกชาย อันเนื่องจากสมุนไพรที่ได้ มีปริมาณลดลงในแต่ก่อน มาวันนี้ แกกับลูกชาย ไม่เคยร้องขอเพิ่มสมุนไพรอีกเลย ได้แค่ไหน ก็แค่นั้น แบ่งคนอื่นทาน
เสียงที่ล่องลอยมา ผ่านมาก็ผ่านไป "จะทำให้เหนื่อยไปทำไม"
เราคิดว่า คุณลุงและลูกชาย รู้แล้วแหละว่า ทำไปทำไม จึงมุ่งมั่นทุกครั้งที่มา
หลายคนจะเห็นคุณลุงท่านนี้ ทำงานทั้งวัน โดยไม่เคยบ่นเหนื่อย ไม่เคยท้อ แม้จะเป็นงานที่หนัก จนหลายคนไม่อยากทำ แต่แกก็ทำด้วยความปิติยินดีของแกไปเรื่อยๆ
เสียงร้องชักชวนที่แกได้ยินเสมอทุกครั้้งที่มา นั่นคือ เสียงของผู้ที่มาช่วยทำงานในโรงน้ำ พากันชวนเดินทยอยหนีไป หลังจากได้รับแจกบัตรสวดมนต์
คำพูดที่มักลอยล่องมาเข้าหูแก "จะทำไปทำไมลุง ทำไปก็ได้สมุนไพรเท่ากัน เหนื่อยเปล่าๆ มาทำกันสักพัก พอได้บัตรสวดมนต์ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปนั่งทนในห้องสวดมนต์ ก็พอแล้ว"
ลุงแกก็มักจะตอบคนเหล่านั้นว่า "ไปเถอะ ลุงก็ทำของลุงไปเรื่อยๆ ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์ท่านสอนแหละ ลุงเชื่อของลุง"
คำพูดที่แกเล่าถึงที่มาของความเชื่อในการทำเช่นนี้
คุณลุงเล่าว่า แกเป็นคนเชียงใหม่ พาลูกชายที่ป่วยด้วยโรคไตวาย จนหมอวินิจฉัยว่า ข้างหนึ่งตายไปแล้ว ส่วนอีกข้างหนึ่งเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง
มาแรกๆ ก็มาทุกสัปดาห์ จนครบห้าครั้ง แกก็ขออนุญาตมาเดือนละครั้ง เพราะแกบ้านอยู่ไกล และที่สำคัญ ลูกชายก็ไม่สามารถช่วยตนเองได้ ไม่มีแรง ต้องนอนพักอย่างเดียว
หลังจากฟังคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ แกก็เลยคิดมาเป็นอาสา ลองทำตามคำสอนดู ดีกว่ามานั่งรอเสียเวลาไปเปล่าๆ
แกทำกิจกรรมนี้ อย่างมุ่งมั่น และเชื่อในคำสอน แม้ว่า เริ่มแรกเดิมทีลูกชายแกจะได้รับยาเขียวไปทาน ครั้งละ ๘ ขวด เพื่อทานทั้งเดือน และถูกปรับลดลงมาเรื่อยๆ เนื่องจากปริมาณยาเขียวน้อยลง จนในช่วงหลังๆ ก็ได้รับเพียงครั้งละขวดเดียว
แกเฝ้าสังเกตลูกชาย ที่เริ่มฟื้น และเริ่มมีแรง มาช่วยแกทำงาน จนวันนี้ สามารถช่วยงานได้เต็มที่ไม่มีอาการอ่อนเพลีย แกจึงรู้ว่า สิ่งที่แกทำนั้นถูกทาง และการทานสมุนไพร ไม่ได้ขึ้นกับปริมาณ
ทุกวันนี้ หนึ่งคนแก่ และหนึ่งคนหนุ่ม ก็ยังมาชมรมเดือนละครั้ง และเข้าไปช่วยงานที่โรงทำน้ำตั้งแต่เช้า จนเลิก สองพ่อลูกตั้งใจทำ โดยไม่สนว่า ใครจะมาชวนให้เลิก หรือพูดให้ไขว้เขวว่า ทำไปทำไม
เพราะแกและลูกชาย มีคำตอบในใจ และรู้ว่า วิธีรอดของลูกชาย ทำอย่างไร
จากความกังวลในอาการของลูกชาย อันเนื่องจากสมุนไพรที่ได้ มีปริมาณลดลงในแต่ก่อน มาวันนี้ แกกับลูกชาย ไม่เคยร้องขอเพิ่มสมุนไพรอีกเลย ได้แค่ไหน ก็แค่นั้น แบ่งคนอื่นทาน
เสียงที่ล่องลอยมา ผ่านมาก็ผ่านไป "จะทำให้เหนื่อยไปทำไม"
เราคิดว่า คุณลุงและลูกชาย รู้แล้วแหละว่า ทำไปทำไม จึงมุ่งมั่นทุกครั้งที่มา
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556
ประกาศ
ทางชมรมคนรักสุขภาพ แจ้งให้ทราบว่า จะให้สมาชิกสามารถส่งกระเป๋าและรับบัตรคิวได้ตั้งแต่ เช้าวันอาทิตย์ที่ ๑๗ มีนาคม เป็นต้นไป
ดังนั้น ผู้ที่มางานแม่ชีเมี้ยน สามารถยื่นกระเป๋าได้ตามปกติ และเปิดรับตลอดวัน
อ.อร่าม แจ้งเพิ่มเติมว่า พิธีการในวันอาทิตย์ที่ ๑๗ มีนาคม นี้ จะเริ่มในเวลา ๑๙.๐๙ น. เป็นต้นไป
ผู้ที่เข้าร่วม กรุณาสวมเสื้อขาว และผู้ที่มีสิทธิ์รับยาตา กรุณาตรวจทานสติ๊กเกอร์ ว่าได้รับหรือไม่ ในการยื่นบัตร
สำหรับสมาชิก ที่เป็นมะเร็ง หรืออัมพฤกต์ หากยังไม่แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ ให้รีบแจ้งด้วย เนื่องจากหลวงพ่อนิพนธ์ จะทำการแยกคนไข้สองประเภทนี้ออกต่างหาก และจัดสมุนไพรที่จำเป็นสำหรับคนไข้กลุ่มนี้เป็นการเฉพาะให้ ดังนั้น หลังจากจัดระบบเสร็จ คนไข้ทั้งสองกลุ่มนี้จะถูกแยกให้ไปรับสมุนไพรต่างห่าง
สมุนไพร ๑๐๘ จะกลับมาแล้ว
ใครที่เคยไปถ้ำกระบอก หรือผ่านถ้ำกระบอกมาแล้ว จะพบเห็นสิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ ที่เตะตา นั่นคือ ถังขนาดมหึมา ที่ใช้ต้มสมุนไพร และมีคนป่วยมายืนรอเข้าคิว กรอกเพื่อไปทานกันยาวเหยียด
ยาต้มขนานนี้ แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า เป็นยาต้มครอบจักรวาล จึงให้ชื่อว่า ยา ๑๐๘ เพราะทำหน้าที่ฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ ทุกส่วน รวมถึงเลือดด้วย
อันหมายถึง สรรพคุณที่กว้างขวางกว่า ยาปอด และ ยาเบาหวาน ที่จัดให้เฉพาะโรคนั่นเอง
แม่ชีเมี้ยนทรงให้สูตรยานี้ เพื่อใช้ทดแทนการทำยาต้มเฉพาะโรค ในการรองรับคนไข้ที่มากันอย่างมาย เมื่อครั้งถ้ำกระบอก เพื่อลดภาระของพระลง และได้สรรพคุณที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยาต้มขนานนี้ เป็นที่ชื่นชอบของคนไข้ ก็เนื่องจากมีกลิ่นหอม และมีรสชาติที่ทานง่าย
หากแต่ก็ต้องแลกมาด้วยตัวยาสมุนไพรที่เพิ่มขึ้น กว่าการทำยาเฉพาะ เช่น เบาหวาน และปอด มากนัก อันเป็นสาเหตุที่ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ที่ซึ่งในช่วงแรกของการเปิดชมรม ไม่มีทุนรอนมากพอจะทำแจกได้
สมุนไพรตัวนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จะนำกลับมาทำแจกให้เป็นมงคล ในวันงานแม่ชีเมี้ยน ดังนั้น ผู้ที่เคยได้ยาปอด หรือยาเบาหวาน ก็จะได้สมุนไพรตัวนี้แทน และคนไข้ที่ไม่เคยทานยาต้มเลย ก็จะได้ยาขนานนี้ด้วยเช่นกัน
แต่ก็ยังไม่ทราบว่า หลังจากวันงานไปแล้วนั้น สมุนไพรขนานนี้จะยังคงทำแจกอยู่หรือไม่
ยาต้มขนานนี้ แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า เป็นยาต้มครอบจักรวาล จึงให้ชื่อว่า ยา ๑๐๘ เพราะทำหน้าที่ฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ ทุกส่วน รวมถึงเลือดด้วย
อันหมายถึง สรรพคุณที่กว้างขวางกว่า ยาปอด และ ยาเบาหวาน ที่จัดให้เฉพาะโรคนั่นเอง
แม่ชีเมี้ยนทรงให้สูตรยานี้ เพื่อใช้ทดแทนการทำยาต้มเฉพาะโรค ในการรองรับคนไข้ที่มากันอย่างมาย เมื่อครั้งถ้ำกระบอก เพื่อลดภาระของพระลง และได้สรรพคุณที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยาต้มขนานนี้ เป็นที่ชื่นชอบของคนไข้ ก็เนื่องจากมีกลิ่นหอม และมีรสชาติที่ทานง่าย
หากแต่ก็ต้องแลกมาด้วยตัวยาสมุนไพรที่เพิ่มขึ้น กว่าการทำยาเฉพาะ เช่น เบาหวาน และปอด มากนัก อันเป็นสาเหตุที่ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ที่ซึ่งในช่วงแรกของการเปิดชมรม ไม่มีทุนรอนมากพอจะทำแจกได้
สมุนไพรตัวนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จะนำกลับมาทำแจกให้เป็นมงคล ในวันงานแม่ชีเมี้ยน ดังนั้น ผู้ที่เคยได้ยาปอด หรือยาเบาหวาน ก็จะได้สมุนไพรตัวนี้แทน และคนไข้ที่ไม่เคยทานยาต้มเลย ก็จะได้ยาขนานนี้ด้วยเช่นกัน
แต่ก็ยังไม่ทราบว่า หลังจากวันงานไปแล้วนั้น สมุนไพรขนานนี้จะยังคงทำแจกอยู่หรือไม่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)