หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า หลายต่อหลายคน มักจะนำตัวท่านไปวางในฐานะผู้ให้ ด้วยเหตุที่เป็นคนมีเมตตานั้นเอง
และยิ่งไปกว่านั้น ก็ยัดเยียดสถานะนี้ไว้ในทุกสรรพสิ่ง อันหมายความว่า ตัวท่านเองต้องเป็นฝ่ายให้ตลอด โดยที่คนอื่นๆ นั้นไม่ต้องทำอะไรเลย
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า นั่นเป็นสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริงอย่างยิ่ง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่าง พระภูมี ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีเมตตาสูงสุด ก็ยังต้องได้รับความเมตตาจากสาวกเฉกเช่นเดียวกัน
เพราะพระภูมี ก็ยังมีสิ่งที่ทรงขาด ต้องการการเติมเต็มเช่นกัน
นั่นคือ เหล่าสาวกก็เมตตาพระภูมี ด้วยเห็นว่า ทรงเหนื่อยกับการสอนมาก ก็พยายามทำตนอยู่ในวินัย เพื่อให้ไม่ต้องทรงเหนื่อยกับการสอนเกินไป
เหล่าสาวก ที่ทำตนได้แล้ว ก็เดินทางไปเผยแพร่คำสอน แทนพระภูมี แสดงเมตตาต่อพระภูมี ที่มิต้องทรมานพระวรกาย ไปทุกที่ทุกแห่ง
เหล่าสาวก ไปที่ใด ก็ใช้วินัยเป็นตัวกำกับ ไม่ทำให้ชาวบ้าน ต้องเดือดร้อน ไม่เบียดเบียนผู้อี่นจนเกินไป อันจะทำให้คนเหล่านั้น ด่าว่ามาถึงพระภูมี ผู้เป็นบรมครูได้
ตัวหลวงพ่อนิพนธ์เองก็เช่นกัน แม้นจะทรงในสถานะผู้ให้ แต่ก็ไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองหมด
นั่นคือ ต้องการผู้ที่มาให้ท่าน แบ่งเบาท่านเช่นกัน
เหล่าสมาชิกเห็นก๊อกน้ำเปิดทิ้ง มีใจไปปิด เห็นไฟเปิดทิ้ง ก็เดินไปปิด เป็นหูเป็นตา ช่วยดูแลสถานที่ ช่วยจัดทำสมุนไพร ช่วยกินข้าวแกง ล้วนแล้วแต่เป็นความเมตตา ที่มีต่อหลวงพ่อนิพนธ์ ทั้งหมดทั้งสิ้น
หลักของพระภูมี คือ ต่างฝ่ายต่างเมตตาซึ่งกันและกัน หากแต่ไม่นำมาตีมูลค่ามากน้อย ถือว่าเจ๊ากัน เสมอกัน ไม่เป็นหนี้ซึ่งกันและกัน
ประเภทที่มักชอบกล่าว หลวงพ่อท่านมีเมตตาสูง พวกเราไม่ต้องทำอะไรให้ท่านหรอก รอรับฝ่ายเดียว นั่นจึงเป็นฐานะของ ชูชก โดยแท้
การจะทำสิ่งไร แม้ด้วยจิตเมตตาที่มีต่อหลวงพ่อนิพนธ์ อาทิ อดทนต่อคำพูดของเจ้าหน้าที่ ที่ไม่เข้าหู เพื่อท่าน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ตัวท่านก็ต้องการความเมตตาจากเราท่านเช่นกัน เพื่อให้กิจกรรมดำเนินอยู่ได้ และอยู่ในครรลองของพระภูมี
อย่านำท่านไปอยู่บนหิ้ง แล้วทำตนเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่สนใจสิ่งใดเลย เพราะจะทำให้เราท่านมีพฤติกรรมขาดเมตตา และที่สำคัญ ขาดกตัญญู