วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

วางเฉย

หลวงพ่อนิพนธ์ได้อรรถธิบายว่า คนเรามีสองจำพวก พวกแรกชอบอ่านประวัติศาสตร์ พวกที่สองคือพวกชอบทำตัวเป็นประวัติศาสตร์ ถ้าเปรียบเทียบในพุทธศาสนา คือ พวกแรกก็คือชูชก พวกหลังก็คือพระเวสสันดร

ท่านจึงมักถามคนป่วยบ่อยๆ ว่า ท่านชอบฝ่ายไหน ทุกคนล้วนแล้วแต่อยากเป็นพระเวสสันดร หรือผู้ให้ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ในความจริง เราท่านกำลังทำอะไรอยู่ ท่านจึงอุปมา มีคนปลูกต้นมะม่วง เขาดูแลรดน้ำ พรวนดิน เราก็วางเฉย ครั้นพอต้นมะม่วงโต จนออกผล มีรสชาดดี เราก็ไปเด็ดมากิน ทั้งที่เราไม่เคยเลยแม้แต่จะไปรดน้ำ หรือทำอะไรให้มะม่วงนี้งอกงามเลย ยิ่งมะม่วงทานอร่อย ก็เก็บมาทานเยอะๆ มีความสุข หมายความว่าอย่างไร เรากำลังเสวยสุข บนน้ำเหงื่อน้ำแรงของผู้อื่น อุปมาก็คือ เราเป็นชูชกนั่นเอง ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เมื่อทานเสร็จ ก็ยังทิ้งเปลือกและเมล็ดไว้ ให้เจ้าของมาเก็บกวาดอีก พฤติกรรมเช่นนี้ เห็นกันอยู่ดาษดื่น ในขณะที่เราท่านตอบว่าอยากเป็นพระเวสสันดร

วันนี้ มูลนิธิไทยกรุณา นำโดยหลวงพ่อนิพนธ์ กำลังปลูกต้นมะม่วงอยู่ ต้นเริ่มโต เริ่มมีผลออกมาบ้างแล้ว สิ่งที่เราเห็น คนบางคนแค่หน้าตาดี เสียงดี ผู้คนแห่แหนกันไป อยากดู อยากรู้จัก ซื้อช่อดอกไม้สิ่งของไปให้ ส่งข้อความ กันมากมาย และที่บาดตาบาดใจเรา คือ พวกเขาเหล่านัันมีมานะ ไปจองที่ จองตั๋ว เพื่อดูสิ่งเหล่านั้น รอคอยโดยไม่ปริปาก ลงทุนโดยไม่เสียดาย เพื่ออะไร เพื่อความสุขเพียงเล็กน้อยไม่กี่ชั่วโมงของเขา และรู้สึกปลาบปลื้มมิรู้ลืม กลับมายังคุยไม่หยุด ในขณะที่่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา กำลังเติบใหญ่ จะหาคนเหลียวแล ช่วยกันรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย หรือป้องกันแมลงมาทำลาย แทบจะหาไม่ได้เลย กลายเป็นสิ่งที่คนรับรู้ว่า มะม่วงต้นนี้ พันธุ์พิเศษ มีต้นเดียว กินแล้วอร่อยมาก แล้วก็วางเฉย ปล่อยเจ้าของ ไม่เกี่ยวกับเรา พูดง่ายๆ มีคนรู้ มากมาย แต่ก็วางเฉย ไม่คิดจะทำอะไร กับสิ่งนี้เลย

ไม่น่าแปลกใจ ที่แม้คนมากมายจะรู้ว่ามะม่วงต้นนี้วิเศษ แต่ก็วางเฉย เพราะตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ด้วยคำสั่งของแม่ ทำให้ท่านต้องง้อคนเพื่อให้มาลองชิม คนจะได้รับรู้ว่า มะม่วงต้นนี้มันวิเศษยิ่งนัก นับตั้งแต่รุ่นแรกๆ ที่เริ่ม ไม่ว่า คุณสุเทพ วงศ์กำแหง คุณพิศาล อัครเศรณี อ.อร่าม ศิริพันธ์ อ.สุนทร เฉลิมสันต์ คุณธานินทร์ อินทรเทพ ที่ได้ผ่านมาเมื่อสิบปีก่อน จนมาถึงปัจจุบัน มีผู้ผ่านมาชิมหลายหมื่นคน วันเวลาเปลี่ยน เหตุการณ์ก็เปลี่ยน มะม่วงต้นนี้ ตอนนี้ มีคนรู้ค่าแล้ว ไม่จำเป็นต้องงอนง้อคนมาชิมอีกต่อไป

คำสั่งเสียที่แม่ชีเมี้ยนมีไว้ให้ ในการนำสมุนไพรมาใช้ ท่านได้กล่าวว่า ควรจะใช้กับผู้ที่ไม่มีทางเลือกแล้ว จึงจะทำให้เราสอนเขาได้ง่าย ท่านจึงบอกว่า สมุนไพรของท่านเหมาะแก่คนสองจำพวก หนึ่งคือพวกติดยาเสพติด สองคือพวกที่ติดเชื้อเอดส์ เพราะคนเหล่านี้ เขาไม่มีทางเลือก เมื่อนำมาใช้ และบอกกล่าวสิ่งใด ที่จะทำให้เขาพ้นจากภัยอันนี้ได้ คนเหล่านั้น จะไม่ปฏิเสธ ถ้าเขาต้องการหาย วันนี้ เราจึงไม่แปลกใจที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดเปรยๆ ว่า เราไม่จำเป็นต้องง้อคนป่วยที่ไม่ใช่สองโรคนี้แล้ว เพราะคนป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ๋พูดยาก ทำให้หวังผลได้น้อย พูดง่ายๆ ก็คือ จะหาคนทำตามยาก เพราะเขามีทางเลือก

กระนั้นก็ตาม คำพูดทีเล่นทีจริง ในการเบื่อหน่ายคนป่วยทั่วไป และเบนเข็มกลับไปทำงานหลัก คือ ผู้ป่วยยาเสพติด และเอดส์ ในความคิดเราก็คงขึ้นกับคนป่วยทั่วไปว่ามีพฤติกรรมเช่นไร เพราะหวังพึ่งคนภายนอกคงไม่ได้ เขาอยู่ฝ่ายวางเฉยแน่ชัด ในขณะที่คนป่วยเอง ถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรมมาช่วยกัน รดน้ำพรวนดิน ต้นมะม่วงต้นนี้ก็คงแห้งเฉา ไม่สามารถออกดอกผลได้อย่างแน่นอน สถานที่นี้ไม่มีรัฐเหลียวแล หากคนที่จะมา ไม่ร่วมด้วยช่วยกัน ไม่ต้องนำเงินมาบริจาค เพราะที่นี่ไม่ต้องการ ขอเพียงท่านทำหน้าที่ นำสมุนไพรที่พอหาได้ ติดไม้ติดมือมา คนละนิดหน่อย และสนับสนุนกิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา ช่วยเขาเหมือนช่วยเรา สถานที่นี้ก็จะอยู่ได้ ไม่มีเงินบริจาค ไม่เดือดร้อน ถ้าไม่มีคนทิ้งขยะจนต้องจ้างคนเก็บ ไม่ต้องจ้างคนมาให้บริการ ไม่ต้องจ้างคนมาช่วยทำสมุนไพร และ .... สถานที่นี้อยู่ได้ ถ้ามีพระเวสสันดรเดินกันเกลื่อน ช่วยกันทำ และช่วยกันรอด ไม่ต้องง้อรัฐ ไม่ต้องง้อเศรษฐีมาบริจาก นำหลัก "ตนพึ่งตน" มาใช้ ถ้ามีแต่คนวางเฉย คนนอกเขาวางเฉยก็พอไหว แต่ถ้าผู้ป่วยมาแล้ววางเฉย ไม่ทำอะไรเลย รอสมุนไพรอย่างเดียว วันหนึ่ง คงได้เห็นป้าย "ปิด" เพราะไม่ไหวแล้ว

เราจึงได้แต่คิดเล่นๆ ว่า "อย่าให้หลวงพ่อนิพนธ์ ท่านเลิกรับคนป่วยทั่วไป หันกลับไปสู่ทางที่แม่ชีเมี้ยน คือ รับเฉพาะผู้ป่วยยาเสพติด กับผู้ป่วยเอดส์เลย" แต่ถ้าทุกคน หรือส่วนใหญ่ กลายเป็นชูชก รอแต่รับ เอาแต่วางเฉย เราก็ว่า อย่าให้ท่านลำบากกับคนไม่รู้ค่าเลย ท่านควรกลับไปช่วยคนสองจำพวกนั้นดีกว่า พูดง่าย รักษาง่าย สบายใจสำหรับท่านกว่า และลงทุนลงแรงและเห็นผลแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้

บาดหูบาดใจจริงๆ สำหรับเรา ที่ได้เห็นได้ยิน คนบ่น ว่า รอนาน ในขณะที่ตัวเองนั่งเฉยๆ เขาคงไม่พูดเช่นนั้น ถ้าเขาแค่เดินไปโรงยา เห็นกองสมุนไพรที่ต้องทำให้ ไม่ว่ามะกรูด มะนาว ใบไม้สมุนไพรต่างๆ และกองมหึมาของมะพร้าว รวมทั้งกองขวดนับหมื่นใบที่ต้องรอกรอก เราจึงเข้าใจแล้วว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ไม่ต้องนำเงินมาบริจาค แค่เปลี่ยนนิสัยจากชูชกที่วางเฉยรอคนอื่นทำให้ มาเป็นพระเวสสันดร ทำให้ผู้อื่น แค่นี้โรคก็แทบจะวิ่งป่าราบแล้ว คนหนึ่งคนขวดหมื่นใบ แค่เห็นงานก็ลมจับ แต่คนร้อยคน กับขวดหมื่นใบ ไม่ยากเลย เราจะมานั่งเสวยสุข และกินน้ำเหงื่อน้ำแรงคนอื่น ให้หายโรค มันจะเป็นไปได้หรือ ที่นี่จึงมีโรงทาน และกิจกรรมให้ทุกคนได้แสดงตน ว่ามิใช่แค่อยากเป็นพระเวสสันดร แต่ต้องทำตนให้เป็นพระเวสสันดรด้วย เพราะเชื่อในคำของพระภูมี "ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว" เราท่านเมื่อได้กลายเป็นผู้ให้ สุขที่ได้กลับมา คือ ไม่มีโรค นั่นและคือความจริง และเป็นไปได้ แล้วเราจะวางเฉย....... อยู่ทำไม

ท่านจึงให้สติทุกครั้งว่า "ก็เพราะไอ้วางเฉย พึ่งผู้อื่น เอาเปรียบเขาอยู่ร่ำไป ไม่ใช่หรือ วันนี้มันกลายมาเป็นโรคทำลายเราแล้ว ก็แล้วเราจะใช้วิธีนั้น ในการทำให้หายจากโรค มันจะเป็นไปได้อย่างไร"

ใครสนใจจะมาเขียนประวัติ จารึกไว้ในแผ่นดินของแม่ชีเมี้ยนมั่ง เราเชิญ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44