วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่องใกล้ตัวที่ไม่เคยคิด ภาค 1

ความจริงตามธรรมชาติที่ให้กับมนุษย์มา คือ การกิน อุปกรณ์ที่ใช้คือ ท้อง สิ่งที่เราไม่เคยคิด เพราะความใกล้ชิด หรือเห็นทุกเมื่อเชื่อวัน จนทำให้ความวิเศษมหัศจรรย์ กลายเป็นเรื่องธรรมดา คือ กระบวนการทำงานของท้อง และร่างกาย เราร่ำเรียนตำรากันมากมาย แต่ไม่เคยเรียน และรู้ เลยว่า ท้องเราทำงานอย่างไร ทำเรื่องน่าอัศจรรย์ได้อย่างไร จนทำให้เราดูเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ กลายเป็นเรื่องธรรมดา ลองนั่งนึกดู เมื่อเราทานอาหารเข้าไป ท้องสามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งไหนเป็นประโยชน์ ก็จะสกัดไปให้ร่างกายใช้ ที่เหลือก็เก็บไว้ ส่วนที่ร่างกายไม่ต้องการ ก็ถ่ายออกเป็นอุจจาระ สามารถรับรู้ถึงสิ่งที่มีอันตรายแก่ร่างกาย ทำให้เรามีการถ่ายท้อง เพื่อผ่านของเสียออกได้อย่างรวดเร็ว กระบวนการสกัดที่ทำงานอย่างวิเศษนี้ ทำให้อาหาร 5 หมู่ที่เราทานเข้าไป กลายเป็น ผม เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ สมอง และส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างน่าพิศวง แต่เราก็ไม่เคยถามเลยว่า มันทำได้อย่างไร สิ่งที่เราทำประการเดียว คือ ความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เราทานเข้าไป จะทำให้เราเจริญเติบโต มีพละกำลังใช้ในการทำงาน หรือสิ่งต่างๆ ที่ต้องการได้ ไม่เคยมีสักครั้งที่จะสงสัยว่า กินสิ่งนี้เข้าไป แล้วเราจะโตหรือ

นั่นคือความศรัทธาและเชื่่อมั่นอย่างสูง ในกระบวนการของธรรมชาติที่ให้มา ทำให้เราไม่ต้องตามไปดูว่า จากข้าวที่เราทาน ถูกย่อยจะกลายเป็นอะไร ไปเก็บไว้ที่ไหน และมีอันตรายไหม ทั้งๆ ที่คงไม่มีใครรู้ว่า กระบวนการนี้ทำงานอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อร่างกายขาดสารตัวใด ก็ยังสามารถแปลงสารที่มีอยู่ ให้ไปทดแทนสารที่ขาดได้อีก ช่างน่าวิเศษแท้

ยิ่งไปมองวัวควาย ยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่ กินแต่หญ้า ทำไมกล้ามเนื้อถึงใหญ่โตมโหฬารเช่นนั้น ภาพเหล่านี้เราเห็นจนชินตา กลายเป็นเรื่องธรรมดาไม่มหัศจรรย์ และไม่ว่าเป็นมนุษย์ชนชาติไหน กินสิ่งของต่างกันอย่างไร ท้องก็ทำให้คนเติบโต มีอาการ 32 เช่นกัน ดังนั้นเราจึงเรียกการกิน ว่าเป็นธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ จะเก่งกาจสักฉันใด จะคิดมาปลดทุกข์อันเนื่องจากเหตุของการต้องกิน ไม่ได้เลย ดังนั้น เราจึงมีทุกข์ที่ต้องหิว ให้ใช้กันทุกข์วัน และสุขทุกครั้ง ที่ได้กินอิ่ม จะให้เขามาทำยาวิเศษสักฉันใด กินหรือฉีด แทนอาหาร แล้วอยู่ได้ ไม่มีทางโดยเด็ดขาด บางคนอาจเถียงว่า เวลาเราป่วยไม่ทานข้าว อยู่ในโรงพยาบาล ได้น้ำเกลือ แร่ธาตุทางสาย ก็อยู่ได้ สิ่งนั้นเป็นเพียงประทังชั่วคราว เมื่อถึงเวลา ก็ต้องกลับมากินเหมือนเดิม ความเป็นธรรมชาติในการดำรงอยู่ของสรรพสัตว์ ต้องมีทุกข์จากความหิว และสุขเมื่อได้กินอิ่ม ใครที่ว่าแน่จะทำให้สรรพสัตว์ อยู่ได้โดยไม่ต้องกิน ก็ได้แต่ขายฝัน

คำถามที่ควรถาม ในเมื่อกระบวนการธรรมชาติของท้อง มีมาเพื่อย่อยสารที่เป็นธรรมชาติ นำไปใช้ในการดำรงชีวิตยามปกติ ก็แล้วถ้าเจ็บไข้ได้ป่วย ธรรมชาติเขาไม่ได้กำหนดมาหรือว่า เราต้องทานของธรรมชาติอะไรเข้าไป เพื่อช่วยเยียวยารักษาอาการป่วยของเรา ในยุคนี้ บางท่านอาจตอบว่า เจ็บป่วยเราก็ไปหาหมอ นักวิทยาศาสตร์เขามียาดี สิ่งที่ต้องถามอย่างแรกคือ ก็ในอดีต นับแค่สองพันปีที่ผ่านมา เราเคยเห็นซากของโรงพยาบาลที่ไหนบ้างในโลก คำตอบคือไม่มีเลย ก็ถ้าโรงพยาบาล หมอ และยาเคมี มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์จริง เราคงจบประวัติศาสตร์ของมนุษย์ไปตั้งนานแล้ว ยิ่งพวกชาวเขา ชาวดอย ชาวป่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่มีพงศาวดารมาถึงยุคนี้อย่างแน่นอน ทำไมสิ่งเหล่านี้ จึงกลายมามีบทบาท จนบางคนอาจคิดว่า ถ้าไม่มีเราจะอยู่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่พงศาวดารของเราเขาอยู่กันมา โดยไม่มีสิ่งนี้ จนมามีเรา อะไรทำให้เราเชื่อเช่นนั้น

สิ่งนี้หลวงพ่อนิพนธ์ให้อรรถาธิบายว่า ก็ความกลัวไง เมื่อคนฉลาดรู้ว่าคนโง่ ยิ่งโง่ ยิ่งกลัว เราจึงเห็นการตลาดที่ขู่ให้กลัว กันดาษดื่น ถ้าไม่ควบคุมความดัน ไขมัน จะกลายเป็นอัมพฤกต์ จะเส้นเลือดแตก กินไอ้นี่ ทำไอ้นั่น จะเป็นมะเร็ง เบาหวาน บทสุดท้าย ที่ฉาย คือ ตาย ตาย และตาย ทำให้คนโง่ ตกเป็นเหยื่อ และร้องถาม แล้วจะทำอย่างไร ซาตานคราบนักบุญ ก็จะสวมเสื้อกาว แล้วออกมาบอกว่า ต้องทานยาตัวนี้ ตัวนั้น ต้องตรวจร่างกายสม่ำเสมอ ต้อง ....... รณรงค์ส่งเสริม ให้เข้ามาในคอกที่เขาจัดเตรียมไว้ ทำตัวดั่งกระต่ายตื่นตูม แล้วบอกสรรพสัตว์ เหล่าสัตว์ขาดสติพิจารณา ก็วิ่งโกลาหล เข้าไปในคอกที่เขาจัดเตรียมไว้ ผลที่ออกมา คืออะไร เป็นอัมพฤกต์ทั้งที่กินความดัน ตัดขา และตาย ทั้งๆ ที่กินยาคุมน้ำตาล เป็นมะเร็งทั้งๆ ที่คีโม ฉายแสง รายแล้วรายเล่า โดยเริ่มจากแค่ยาแก้ปวด วันละซอง ที่ให้ความประทับใจไม่รู้ลืม กินปุ๊ป หายปั๊บ และก็ติดใจ ฝังใจ ว่า ถ้าเราเป็นอะไร ไม่ว่าสิ่งไหน ก็จะเป็นเช่นนี้ตลอดการ สูตรสำเร็จ ของคนยุคปัจจุบัน จึงกลายเป็น หาตังค์ไว้ ยามป่วยก็จะได้เอาเงินที่มีไปซื้อ และหวังเช่นความฝังใจในยาแก้ปวด หมอต้องทำให้เราหายได้ ในเร็ววัน อย่างใจหวังอย่างแน่นอน แต่ความเป็นจริง ปริมาณที่ตายมันฟ้องออกมาว่า เส้นทางเส้นนี้เป็นทางตัน ไม่เป็นดังหวัง และที่สำคัญ ไม่มีวันสมหวังอย่างแน่นอน เพราะประเทศที่ผลิตเอง คนของเขายังตายด้วยโรคนั้นๆ กันเป็นเบือ ถ้าช่วยได้ เขาคงช่วยคนของเขาไม่ให้ตายกันหมดแล้ว

ก็แล้วธรรมชาติให้อาหารมาดำรงชีวิต แล้วไม่ให้อะไรมาแก้ปัญหานี้หรือ คงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน มิฉะนั้น พงศาวดารของมนุษย์และสรรพสัตว์ คงหมดจากโลกไปนานแล้ว เราจึงเห็นสมุนไพร มีมาคู่กับโลก เช่นกัน เป็นธรรมชาติที่เขาจัดสรรมาให้ ถ้าอุปมาอาหารเป็นสิ่งศํกดิ์สิทธิ์ ที่มนุษย์เชื่อมั่น ว่าทานเข้าไปแล้วทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ ธรรมชาติก็ให้สมุนไพร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ ที่ให้มนุษย์ นำมาใช้แก้ปัญหา เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้เช่นกัน 

แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า สมุนไพรจึงเป็นสิ่งศักสิทธิ์ตามธรรมชาติที่มีมาคู่กับโลก ให้มนุษย์ได้อาศัยยามเจ็บปวด จึงมีความสากลเช่นอาหาร ใช้ได้กับทุกชาติ ทุกภาษา ไม่มีข้อจำกัดเช่นอาหาร ไม่มีผลที่เป็นพิษเป็นภัยต่อคนและสรรพสัตว์ทั้งสิ้น กระบวนการนำมาใช้เฉกเช่นเดียวกับอาหาร ต้องมีสูตรเพื่อให้ได้สรรพคุณตามต้องการ ปัญหาประการเดียวของสมุนไพรคือ เมื่อเขาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีคนมาดูแล ธรรมชาติเขาปลูกและดูแลให้อยู่แล้ว การจะนำมาใช้แล้วเกิดผล ต้องอาศัยคนมีคุณธรรม แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า พระภูมิ มีคุณสมบัติ จึงรับรู้สูตร และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง เมื่อผู้เรียนต้องการรู้และนำไปใช้อย่างถูกต้อง จึงต้องฝึกให้ตนเป็นคนมีคุณธรรม และไม่นำสมุนไพรไปขาย เพื่อรักษาความศํกดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาตินั้นไว้ และบัญญัติในการใช้ ก็เป็นไปตามกฏธรรมชาติ เฉกเช่นเดียวกับอาหาร คือ หลัก "ตนพึ่งตน" ไม่สนใจว่าเป็นโรคอะไร ไม่ต้องตามไปดูว่าทำอย่างไร สมุนไพรจะเข้าได้กับอาหาร และต้องผ่านกระบวนการของท้อง ร่างกายสามารถรับและแยกแยะเอาไปใช้งาน เฉกเช่นอาหาร เพื่อแก้ปัญหาโรค หรือความผิดปกติที่เกิด ดั่งอาหารแก้ปัญหา ให้พลังและการเจริญเติบโต ไม่ต้องอาศัยผู้อื่น มาแก้ปัญหาให้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสความจริงเป็นพุทธพจน์ "ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" ก็ด้วยเห็นในสัจธรรมของธรรมชาตินี้ คำถามก็คือ แล้วทำไมคนจึงเชื่อปัญญาของมนุษย์ธรรมดา ที่แม้กระทั่งตัวเองก็ยังช่วยไม่ได้ เชื่อมั่นในวิทยาการของเขา และปฏิเสธ ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ได้รับการยอมรับว่า "ตรัสรู้ ความจริง ของจักรวาล" และได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ก็ถ้าสิ่งที่ทานตรัสเป็นเท็จ คำถามสุดท้ายของเราคือ พระพุทธเจ้าไปนิพพานได้อย่างไร ในเมื่อท่านตรัสสอนให้มนุษย์เชื่อในสิ่งนี้ ตลอด 40 ปี ในการเผยแพร่คำสอน

ธรรมชาติ ไม่ลำเอียง จัดสรรให้มนุษย์ทุกคนเท่าเทียม เราเชื่อเช่นนั้น จึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่ว่า จะมีผู้ใดแสวงหาทุกทางให้ได้มาซึ่งเงินทอง แล้วจะได้สิทธิ์พิเศษ ในการดำรงอยู่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องเป็นโรค เหมือนคนทั่วไป ยิ่งเราเชื่อว่า สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรม ตามดำรัสของพระพุทธเจ้าด้วยแล้ว เงินยิ่งไม่หนทางแก้กรรมอย่างแน่นอน มิฉะนั้น พระโคดมก็ไม่ต้องไปบำเพ็ญถึงกว่าหกปี เพื่อหาโมกข์ธรรม เอาเงินในท้องพระคลังซื้อนิพพานเลยดีกว่า และก็ไม่สอนสั่งสาวกทั้งหลายว่า "ธรรมเท่านั้นที่ชนะกรรมได้"

คำถามเดียวที่จะถามท่านคือ ก็แล้วยาเคมี ที่เราใช้เงินซื้อมา ถ้าสิ่งนี้ช่วยมนุษย์ได้จริง คุณธรรมค้ำจุนโลก จะเป็นจริงหรือ เพราะว่า สิ่งนี้จะพิสูจน์ว่า เงินคือพระเจ้า ซื้อได้ทุกสรรพสิ่ง เรายังต้องการศาสนาไปอีกทำไม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44