วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

สู้กับอะไร

ความพ่ายแพ้ของคนในการต่อสู้กับโรคที่มีตลอดมา ล้วนแล้วเกิดจากความไม่รู้ ในสิ่งที่ตนเองเป็น ว่าแท้จริงแล้วคู่ต่อสู้คืออะไร

เมื่อไม่รู้ จึงมุ่งมั่นหาหนทางการหายโรคด้วยวิธี พึ่งผู้อื่นมาตลอด ไม่ว่า พึ่งยาเคมี พึ่งหมอผี หมอเข้าทรง องค์เจ้า หรือ พิธีกรรมต่างๆ ... ผลสุดท้าย ก็ไม่มีใครแม้นแต่สักคนเดียวที่ประสพความสำเร็จ

หลายคนจะแย้งว่า ก็แล้วที่หายออกมาหล่ะ รอดตายหล่ะ นั่นไม่ใช่หายหรือ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ไม่ใช่ นั่นเป็นเพราะผู้นั้นยังไม่หมดพรหมลิขิตต่างหาก สิ่งที่เป็นมีวันเวลา เมื่อครบเวลาก็จากไป

หากเป็นช่วงเริ่มต้น ไปทางไหนก็รักษาไม่หาย ก็อ้างหมอไม่ดี หมอไม่เก่ง ไม่ถูกกับยา จนเวลาใกล้จบ บังเอิญไปเจอกับหมอไหนไม่รู้ อาการที่เป็นก็หายไป จิตก็ไปจับเลยว่า หมอนั้นดี หมอนั้นเก่ง ยานั้นดี แล้วผูกพันฝากชีวิตไว้กับหมอผู้นั้น มโนภาพเลยว่า ในอนาคตหากเป็นอะไร หมอผู้นี้ต้องช่วยตนได้อย่างแน่นอน เหมือนครั้งนี้ ... รูปรอยนี้จึงเรียกหมอเหล่านั้นว่า ผู้ที่หากินกับพรหมลิขิตมนุษย์ แต่แท้จริงแล้ว ช่วยไม่ได้เลย

บทสรุปจึงมาดูกันที่คำว่าโรค ในความหมาย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า จำกัดวงเฉพาะโรคตาย คือ เป็นแล้วทำให้ตาย ส่วนโรคอย่างอื่น เรียกว่า โรคผ่าน อย่างไรเสียเมื่อครบวันเวลามันก็ผ่าน เมื่อบรรดาหมอทั้งหลายเจอโรคผ่าน ก็คุยโวได้ทั้งนั้น หากแต่เมื่อเจอโรคตาย ... ก็ไม่สามารถช่วยได้แม้นแต่คนเดียว

เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เพราะภูมิปัญญาของมนุษย์ฺมีจำกัด คิดว่าโรคคือโรค แต่ด้วยภูมิปัญญาของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ชี้ให้เห็นว่า ต้นเหตุที่แท้จริง คือ กรรม ... ต่างหาก

เมื่อไม่มีมนุษย์คนใดรู้เรื่องกรรม จึงไม่มีมนุษย์ผู้ใด ที่จะช่วยให้เราท่านหายโรคได้ สิ่งที่ทำก็เป็นการแก้ปัญหาแบบสุกเอาเผากิน หลอกคนไข้ไปวันๆเท่านั้นเอง

ยกตัวอย่าง เป็นมะเร็ง แล้วปวด ก็ได้แต่ให้กินยาหรือฉีดยาระงับปวด เมื่อไม่ปวด คนไข้ก็นึกว่าดีขึ้น หากแต่ความเป็นจริง มะเร็งก็ยังเหมือนเดิม หรือ อาจจะรุนแรงกว่าเดิม เมื่อหมดฤทธิ์ยา ความปวดจึงกลับมาเหมือนเดิมนั่นเอง

อาศัยภูมิปัญญาของพระภูมี หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เราท่านกำลังเผชิญอยู่ มีอะไรบ้าง นั่นคือ รู้คู่ต่อสู้ก่อน จึงจะสามารถแก้ไขได้ อย่างแรกก็คือ ต้นเหตุที่มาของโรค นั่นก็หนีไม่พ้น กรรมที่เราท่านทำมาในอดีตนั่นเอง

อย่างที่สองที่กำลังเผชิญก็คือ โรคที่เป็นปลายเหตุ หรือ รูปธรรมของกรรม ที่เกิดกับตัวตนของเราท่าน

แถมยังมีดาบซ้ำซ้อนลงรุมกินโต๊ะด้วยความไม่รู้อีก นั่นคือ การทานยาเคมี

แลสิ่งสุดท้ายที่สำคัญยิ่ง ที่เป็นแรงบวกอันมหาศาล นั่นคือนิสัยของเราท่าน ที่กำลังก่อกรรมเพิ่มทวีคูณ

สิ่งเหล่านี้กำลังรุมกินโต๊ะ หากแต่ปัญหาไม่ได้เกิดแต่เพียงกาย ที่กำลังทรุดโทรม กรรมมันมีอำนาจ ชาญฉลาด ยังทำลายใจ ทำลาย วาจา ของผู้เป็นไปหมดสิ้น ก่อนกายเสียอีก

จึงจักเห็นได้ว่า คนบางคนแม้นเพิ่งจะเริ่มมีอาการ หากแต่พอรู้ว่าตนเป็นมะเร็ง ปากก็พร่ำบ่น แย่แล้ว ตายแน่ ไม่รอดแน่ จิตใจก็หดหู่ ห่อเหี่ยว ไม่เป็นอันทำอะไร นั่งซังกะตายรอวันตาย

เมื่อมาเรียนรู้ศาสน์ของพระภูมี นั่นก็หมายความว่า เราท่านติดอาวุธ สามารถสู้ศึกทุกด้านได้อย่างถูกต้อง

ด่านแรก วิทยากรมักอบรมให้ฟังเสมอ แลหลวงพ่อนิพนธ์ก็ย้ำนักย้ำหนา นั่นคือ หยุดมหันตภัย จากยาเคมีลงเสียก่อน ตัดกำลังหลักที่ทำร้ายร่างกายออกเสีย เพราะธรรมชาติของร่างกาย ปฏิเสธสิ่งที่ไม่ใช่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยมันย่อยไม่ได้ กำจัดได้ก็น้อย ส่วนที่เหลือตกค้างในร่างกาย จึงทิ้งปัญหาให้อย่างมากมาย

ด่านที่สอง หยุดพฤติกรรมที่ผิด แล้วหันมาใช้พฤติกรรม หรือ นิสัยพระพุทธเจ้าเป็นบางสิ่งบางอย่าง เช่น ความไม่โกรธ เน้นการให้สุขแก่ผู้อื่น เพื่อให้สุขย้อนกลับมายังตน

ด่านที่สาม ก็เรียนรู้วิธีการสร้างบุญ ด้วยการฟังจากหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วทำตาม ซึ่งมักจะเป็นเรื่องที่ผิดแผกไปจากความรู้เดิมที่มีอันมหาศาล จึงต้องปรับตัวขนานใหญ่

แล้วจึงเหลือคู่ต่อสู้ตัวต่อตัว นั่นคือ โรค โดยสู้ด้วยสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้

องค์ความรู้เท่านั้น จึงจะทำให้เราท่านเดินถูก และชนะได้เมื่อทำตามความรู้ที่ถูก

เมื่อเห็นหนทางชนะ วางชีวิตเชื่อมั่นในพรหมลิขิต จิตใจก็ปลอดโปร่ง ไม่ถึงที่ตาย ไม่วายชีวาวาตแน่ ใจไม่ตก ใครถามว่าเป็นอะไร ปากก็บอก สบายดี หายแล้ว ทำตัวเหมือนปกติ ยืนหยัด รอเวลาด้วยใจเย็น เพราะรู้ว่าถึงเวลาก็ต้องจบ ไม่เร่งวันเร่งคืน ตามใจตน เพราะเร่งให้ตาย มันก็ไม่เร็วขขึ้นตามใจหรอก

หลวงพ่อนิพนธ์เน้นย้ำว่า คู่ต่อสู้คือ กรรม เป็นของจริง มีอำนาจเหนือมนุษย์ การจะต่อสู้ ก็ต้องใช้ทุกสรรพสิ่งที่มี จริงจัง จึงจะกอบกู้ชีวิตกลับมาได้ เพราะถ้ากรรมเขาไม่แน่จริง ก็คงไม่สามารถปกครองมนุษย์ทั้งโลกได้หรอก ผู้ที่จะชนะ จึงต้องมีขันติ อดทน ยืนหยัด ... ถึงจะยาก แต่ก็ทำได้

หากไม่ให้ความสำคัญในการทำตามคำสอน หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกย้ำเสมอว่า อย่ามาเสียเวลาเลย ไม่มีทางหรอก แลถึงแม้นจะโชคดี หายจากโรคที่เป็น แต่เมื่อกรรมมันยังอยู่ หายโรคนี้ก็ไปตายด้วยโรคอื่น หากโรคทำให้ตายช้าไป ก็เล่นให้เกิดอุบัติเหตุแทน ผลก็คือ ไม่รอดอยู่ดี จะมาให้เสียเวลาทำไม ไปในสิ่งที่ตนเองชอบดีกว่า เพราะคนมาก็ไม่ได้ คนทำให้ก็ไม่ได้ ด้วยผลของการทำการช่วยมันไม่เกิดนั่นเอง

อยากจะหายโรค บทสรุป ที่จะต้องพึงมีสำหรับคนผู้นั้น คือ ความกล้าในการหักดิบยาเคมี การฝืนนิสัยตนแล้วทำนิสัยพระพุทธเจ้าบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาแทน การสร้างบุญ และสุดท้าย ก็ต้องมีความขันติ อดทน ยืนระยะในการทานสมุนไพร ... มองแล้วมันยาก แต่ทำได้

หากทำได้ ก็สบายใจได้เลย ไม่ตายแน่ ไม่ว่าโรคอะไร หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ขอเพียงไม่ใช่พรหมลิขิต จบแน่ๆ หายแน่ๆ

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44