หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเล่าประวัติศาสตร์ครั้งถ้ำกระบอกให้ฟังเสมอๆ โดยมีทั้งคนที่ประสพผล และคนที่ประสพความล้มเหลว เพื่อให้พิจารณา
ตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งถ้ำกระบอก มีคนไข้เศรษฐีใหญ่ท่านหนึ่งมาหาแม่ชีเมี้ยน ชื่อ "หลวงราชเวชพิศาล"
เป็นโรคที่หมอสมัยนั้นรักษาไม่หาย และไม่ว่าจะใช้วิธีใดๆ ก็ไม่ประสพผล ได้ยินชื่อถ้ำกระบอก จึงมาหาแม่ชีเมี้ยน
แม่ชีเมี้ยนทรงวินิจฉัย และตรัสว่า กรณ๊ของคุณหลวง ทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ก็คงช่วยได้ไม่มาก คุณหลวงต้องทำบุญ คู่กันไปจึงจักหายจากโรคที่เป็น
หลวงราชเวชพิศาล ตอบย้อนกลับไปว่า ผมก็ทำบุญมามากหลาย สร้างวัดไปตั้ง ๗ วัด ยังเป็นบุญไม่พอหรือ
แม่ชีเมี้ยนตรัสตอบว่า สิ่งที่คุณหลวงทำ หาเป็นบุญตามพุทธบัญญัติไม่ ดังนั้น จึงไม่มีผลบุญใดๆ มาช่วยตนของคุณหลวง
หลวงราชเวชพิศาล จึงถามแม่ชีเมี้ยนว่า แล้วถ้าจะทำบุญตามคำสอนของพระภูมีต้องทำอย่างไร
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสตอบว่า ก็ให้สุขแก่ผู้อื่น ที่ไม่ใช่คู่คล้องกรรมของเรา
หลวงราชเวชพิศาล จึงถามแม่ชีเมี้ยนว่า แล้วตัวเขาจักต้องทำอย่างไรเล่า
แม่ชีเมี้ยนจึงทรงตรัสว่า ให้หลวงราชเวชพิศาล ไปทำหน้าที่ล้างกระโจมของคนป่วยยาเสพติด ที่เมื่ออบตัวเสร็จแล้ว ล้างกระโจมเสร็จ ก็ให้ผึ่งกระโจมให้แห้ง ประการหนึ่ง
และทุกวันต้องไปทำความสะอาดห้องส้วม ของคนป่วยยาเสพติด
หลวงราชเวชพิศาล ก็ทำตามคำแนะนำของแม่ชีเมี้ยน และไม่นาน โรคที่เป็นมานานรักษาไม่หาย ก็หายสมดั่งใจ
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายเพิ่มเติมให้เห็นว่า ด้วยเหตุแห่งโรคนั้น พระภูมีตรัสว่ามีเหตุแต่กรรมเป็นอำนาจ อำนาจเดียวที่สามารถต่อกรได้ นั่นคือ อำนาจบุญ
แลบุญนั้น เกิดแต่การลดนิสัย หาใช่นำเงินทองไปแลกไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น พระโคดมก็ไม่ต้องทิ้งวัง แล้วนำเงินไปแลกซื้อบุญ ไปนิพพานแทน
หลักของพระภูมี จึงเป็นหลักที่เท่าเทียมกันทุกคน เพราะมีทุนในการสร้างบุญเท่ากัน นั่นคือ นิสัย
การทานสมุนไพรอาจจะช่วยให้พ้นโรคได้ หากกรรมไม่หนักสาหัส แค่ผ่านมา แต่กรรมที่สาหัส ก็ต้องอาศัยบุญเป็นตัวช่วยหักล้างกรรมที่ทำมาอีกทางหนึ่ง จึงจักประสพผล
แนวทางที่ครบถ้วนของพระภูมี หรือ สูตรเบ็ดเสร็จ จึงบัญญัติเป็นสมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม ...
หากคิดจะใช้แนวทางนี้ช่วยตน จึงต้องใช้หลักจับตนค้นตน พิจารณานิสัยตน ที่เป็นโทษอันมหันต์ และลดลง เพื่อเป็นบุญ กลับมาเลี้ยงตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ต้องเป็นภาคบังคับ ให้ทำบุญ บังคับให้นั่งสงบ สวดมนต์ ฟังคำสอน เรียกว่าบังคับให้ทำบุญก็ว่าได้ หากจะให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก็ต้องรักษาความสงบนี้ไว้ ในขณะที่ทำกิจกรรมทุกกิจกรรม ไม่ว่าเข้ากระโจม ทานสมุนไพร จนแม้นกระทั่งรับสมุนไพร ...
ใครทำตามแนวพระภูมีได้สมบูรณ์เท่าไหร่ ผลก็จักมหาศาลเป็นทวีคูณเท่านั้น ไม่ต้องกลัว โรคอะไรก็ไม่เหลืออย่างแน่นอน
การเป็นจิตอาสา จึงเป็นการช่วยตน ตามแนวพระภูมี เพราะทำเพื่อให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วสุขที่ผู้อื่นได้รับ จึงย้อนกลับมาหาตน .... ไม่ใช่แสวงหาสุขใส่ตน หาให้ตาย หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกไม่มีทางเป็นสุขไปได้เลย
ความสับสน ที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักกล่าวเตือนเสมอว่า ธรรมบัญญัติ เป็นเรื่องเฉพาะ ใช้กับการแก้ปัญหาของชีวิต ไม่ใช่ทางโลก เรื่องทางโลกจะทำตามบัญญัติใครก็ได้ แต่เรื่องชีวิต สงวนไว้ การกระทำที่เป็นผลต่อชีวิต ต้องใช้บัญญัติของพระภูมีเท่านั้น จึงเป็นผล
คนที่จะประสพผล จึงต้องทำตนเป็นคนดีของพระภูมี นั่นคือ มุ่งให้สุขแก่ผู้อื่น เพราะหวังในสุขที่จะย้อนมายังตน เป็นพ่อค้า เมื่อหายโรค กลายเป็นคนดี ไม่โกงตาชั่ง ไม่ขายเกินราคา ไม่หลอกขายของไม่ดี เพราะรู้แล้วว่าผลที่ทำนั้นมันจะย้อนมาหาตน ... ก็ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น
สัญญลักษณ์ของศาสนา จึงเป็นคนดี มีสุข สงบ
จึงไม่แปลกที่มาวันนี้ คนที่เคยแต่ใช้คน อย่างบางคน เมื่อมาถึงที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ทานสมุนไพรไป แล้วไปล้างห้องน้ำ ก็หายแล้ว
เพราะโรคมันเกิดจากเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไปนั่นเอง เลยต้องย้อนเกล็ด ให้ไปทำให้ผู้อื่น สวนนิสัยไปเลย