หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายเรื่องร่างกายให้ฟัง ทำให้เราท่านทราบว่า กายของเรา พระภูมีชี้ให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่ยืมเขามา เพื่อบรรจุวิญญาณ มีที่มาแบ่งเป็นธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันขึ้น เป็นอวัย ๓๒
และเมื่อตาย ก็ต้องคืน แล้วก็ไปยืมมาใหม่ เพื่อนำไปเป็นสังขารใหม่ ให้วิญญาณบรรจุ เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิด
พระภูมี ตรัสรู้เห็นความจริงที่ว่านี้ จึงตรัสสอนว่า มนุษย์จึงสามารถเลือกเกิดได้ ด้วยอาศัยการกระทำของตนนั่นเอง ในปัจจุบัน เพื่อเขียนพรหมลิขิตของตนในวันข้างหน้า อธิบายสั้นๆ ได้ว่า วันนี้ คือผลจากอดีตที่ทำมา และการกระทำในวันนี้ ก็จะเป็นพรหมลิขิตของเราในวันหน้า
ด้วยกรรมที่ทำมา สำเร็จแล้ว ผลของการกระทำจึงปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น เมื่อผลกรรมปรากฎเป็นโรค ไม่ว่ายาจกหรือเศรษฐี จะทำสักฉันใด ก็ปฏิเสธไม่ได้ ต้องเป็นโรค
ดังนั้น เมื่อพระภูมีตรัสรู้ จึงชี้ทางให้พุทธศาสนิกชน ที่ยังไม่อยากบรรลุธรรม หรืออยากไปนิพพาน ยังอยากอยู่ในโลก จึงบัญญัติธรรมหมวดสมุนไพร เพื่อใช้ในการสังคยานาตน นั่นหมายความว่า ธาตุทั้งสี่ ที่ยิมมาเมื่อตอนเกิด อันเป็นธาตุบริสุทธิ์ ยามคืนก็คืนธาตุที่บริสุทธิ์กลับไป เมื่อมีสังขารใหม่ ก็จะได้ธาตุบริสุทธิ์มาเป็นสังขารอีก นั่นคือ เป็นสังขารที่ไม่มีโรค ผลของธรรมหมวดนี้ จึงตรัสว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" เพราะสามารถตามติดเราท่านไปยังภพหน้าได้นั่นเอง
นอกจากนี้ แม่ชีเมี้ยนยังชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่พระภูมีตรัสรู้ ว่ามูลเหตุแห่งผลที่เกิดกับเราท่าน มีเหตุที่มา คือ "กรรม" ที่เป็นอำนาจดลบันดาล และกรรมก็เกิดจากนิสัย การกระทำของเราท่านนั่นเอง ผลกรรมจึงเป็นผลจากเราท่านทำเอง ไม่มีใครแกล้ง
และสิ่งที่เรียกว่า กรรม ก็ประกอบด้วยลักษณะเช่นเดียวกันกับมนุษย์ นั่นคือ มีรูป มีวิญญาณ
ย้อนกลับมาหาร่างกาย จึงแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือ อวัยวะ ๓๒ ที่สามารถเข้าถึง เรียนรู้ อีกส่วนหนึ่ง คือ สมอง ที่เป็นเสมือนท้องฟ้า ที่มองเห็น แต่เรียนรู้ได้เพียงน้อยนิด เรียกง่ายๆว่า เกินความสามารถของมนุษย์ทั่วไปที่จะเข้าถึง
และส่วนสมองนี้เอง ที่มีอำนาจสองอำนาจอยู่ด้วยกัน อำนาจหนึ่งคือวิญญาณของเราท่าน อีกอำนาจที่จักดลบันดาลผลจากการกระทำของวิญญาณ คือ อำนาจกรรม ที่บันทึกเหมือนการตั้งนาฬิกา ถึงเวลานี้ ผลจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามการกระทำของเจ้าของวิญญาณ
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังง่ายๆว่า ส่วนของอวัยวะ ก็คือส่วนรูป ที่เข้าถึงได้ ส่วนของสมอง เป็นส่วนที่เข้าถึงไม่ได้นั่นเอง ทางเดียวที่จะเข้าถึงส่วนนี้ได้ ที่แม่ชีเมี้ยทรงสอน ก็ด้วยศาสตร์ของพระภูมี แล้วสร้างอำนาจธรรมขึ้นเอง เพื่อใช้ต่อสู้หรือล้างอำนาจกรรม
คุณลักษณะที่เหมือนกัน ไม่ว่าอำนาจกรรม หรือ อำนาจธรรม ก็คือ เราท่านเป็นผู้สร้างเอง เขียนเอง ผู้อื่นทำให้ไม่ได้
ความจริงข้อนี้ จึงเป็นที่มาของบัญญัติ "ธรรมหมวดตนพึ่งตน" นั่นเอง
และด้วยความจริงอันนี้ของร่างกาย จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมอาการหลายๆ อย่าง เมื่อไปให้หมอวินิจฉัย ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร ร่างกายก็ปกติ อันโน้นก็ปกติ แต่ปรากฎโรคขึ้น แก้ไม่ได้ เพราะไม่รู้สาเหตุ
ตัวอย่างง่ายๆ ก็ เจ้าหญิง เจ้าชายนิทรา นั่นเอง
ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมั่นใจ และชี้ให้เห็นว่า ไม่มีทางที่ยาวิทยาศาสตร์ หรือ วิธีการใด จะรักษาโรคได้ เพราะมันเข้าไม่ถึงนั่นเอง
การใช้วิธีการสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงต้องประกอบด้วย สองสิ่ง หนึ่งคือ สมุนไพร เพื่อแก้ไข อวัยวะ ๓๒ และอีกสิ่งคือ ธรรมคำสอนของพระภูมี ที่ต้องเรียนรู้แล้วนำมาทำ สร้างเป็นอำนาจธรรม เพื่อให้เข้าถึงและนำไปแก้ไขอำนาจกรรม
อำนาจธรรม จึงเสมือนกับการไปแก้ไขบันทึกคำสั่ง ที่อยู่ในส่วนสมองนั่นเอง ให้ร้ายกลายเป็นดี จึงเรียกว่า ธรรมล้างกรรม
และด้วยเป็นส่วนสำคัญ การสร้างธรรม จึงต้องกลายมาเป็นภาคบังคับ เพราะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ กิจกรรมการสวดมนต์ การสงบนิ่ง นั่งฟังคำสอน จึงกลายเป็นภาคบังคับที่ทุกคนที่จะใช้แนวทางนี้ ต้องปฏิบัติ
กายวิภาคของศาสตร์พระภูมี ละเอียดอ่อนกว่าทางการแพทย์สมัยใหม่เยอะ ที่สำคัญแก้ตรงจุด เหมือนช่างเป็นงาน ใครเรียนรู้ พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม ผลย่อมบังเกิด
ผลการเรียนรู้อันนี้ ทำให้เข้าใจว่า ทำไมผลของการทานสมุนไพรอย่างเดียว จึงยากที่จะประสพผล เพราะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุนั่นเอง เหมือน ตัดกิ่งต้นไม้ เดี๋ยวก็งอกใหม่อีก เพราะต้นกับรากมันยังอยู่
บทสรุปที่สำคัญ ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะชี้ให้พิจารณา นั่นคือ เป็นความจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการพบความไม่มีโรค ที่จะต้องพัฒนาทั้งกาย และ วิญญาณ และทางเดียวที่จะประสพผล ต้องอาศัยธรรมคำสอนของพระภูมี มานำ เพราะเป็นทางเดียวที่พิสูจน์แล้วว่า ใครทำ ใครได้
ใครบอกว่ามนุษย์เลือกเกิดไม่ได้ นั่นคือ ผู้ไม่รู้ศาสนา ของพระภูมี... ว่าแต่รู้แล้วจะทำหรือไม่ เท่านั้นเอง เพราะมันทำยาก มีเพื่อนน้อย หากแต่มีผลมหาศาล