อีกส่วนหนึ่งก็คือ อวัยวะ ๓๒ หรือร่างกายเรา คือส่วนที่ใช้สมุนไพร ในการรักษา อันนี้เรียนรู้ ทำความเข้าใจ แล้วปฏิบัติได้เอง
ประเด็นแรกที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวให้ฟังก็คือ อวัยวะ ๓๒ นี้เชื่อมต่อถึงกัน ทำหน้าที่แทนกันได้ในระดับหนึ่ง
หากแต่การแก้ไขโรคโดยสมุนไพร ก็แยกเป็นสองวิธี
วิธีแรก คือ การแก้โรค หรือ ล้างโรคก่อน แล้วค่อยฟื้นฟูร่างกาย ส่วนวิธีที่สองคือ ฟื้นฟูร่างกายก่อน แล้วค่อยล้างโรค
วิธีแรก คือ การใช้สมุนไพรที่มีลักษณะเหมือนสารสำเร็จ อันหมายถึงมีฤทธิ์โดยไม่ต้องผ่านการย่อย ซึ่งแม่ชีเมี้ยน ให้หลวงพ่อนิพนธ์ใช้ในการสร้างชื่อถ้ำกระบอกในอดีต เรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า "ยาตัด"
การใช้สมุนไพรขนานนี้ ให้ผลในการรักษาเร็ว ทานประมาณ ๕ ถึง ๗ แก้ว ก็จบโรค ทำให้ชื่อของถ้ำกระบอกเป็นที่รู้จัก เพราะคำเล่าขานในผลอันเฉียบขาดนี้เอง
หากแต่การใช้วิธีนี้ ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ในขณะทานสมุนไพร เพราะอาจมีอาการปัจจุบันทันด่วนแทรกขึ้นมา ต้องได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะ การเป็นตะคริว
ประการที่สำคัญ คือ สมุนไพรนี้ออกฤทธิ์แรง นั่นคือ อาการที่เกิดจะรุนแรง ในช่วงที่สมุนไพรออกฤทธิ์ แต่ละครั้งก็กินระยะเวลาประมาณสองชั่วโมง
เมื่อผ่านกระบวนการนี้ โรคจะถูกล้างออกจากร่างกายจนหมด หลังจากนั้น ก็ทานสมุนไพรเพื่อฟื้นฟูร่างกายอีกระยะหนึ่ง
แต่วิธีนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็หยุดใช้มากว่าสิบปีแล้ว
วิธีที่สอง เป็นวิธีที่นุ่มนวล หากแต่ใช้เวลาที่มากกว่าวิธีแรก นั่นคือ วิธีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยการทานสมุนไพรเพื่อฟื้นฟูอวัยวะ ๓๒
วิธีนี้ ต้องอาศัยวิกฤตของร่างกายเป็นตัวกระตุ้น ดังนั้น จึงมักได้ยินวิทยากรบอกเสมอว่า อย่างแรก ต้องหยุดยาเคมี เพื่อให้อาการเกิด อย่างที่สอง ต้องทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีผลต่อโรคนั้นๆ ซึ่งจะมีคุณสมบัติ เป็นการกระตุ้นอาการหนึ่ง และเป็นสารนำร่องธรรมชาติที่พาสมุนไพรเข้าถึงจุดที่เป็นหนึ่ง
การใช้วิธีนี้ เป็นการรักษาแบบ ป่าล้อมเมือง นั่นคือ ทำอวัยวะที่แข็งแรงอยู่แล้วให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และค่อยๆล้อมไปช่วยอวัยวะที่อ่อนแอ
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้เห็นภาพ เช่น คนเป็นโรคมะเร็ง ทำไมถึงต้องให้ทานสมุนไพรปอด ก็เพื่อที่จะให้ปอดทำหน้าที่ฟอกเลือดให้มีความบริสุทธิ์มากที่สุด เมื่อผ่านไปเลี้ยงยังเซลล์ที่เป็นมะเร็ง ความบริสุทธิ์ของเลือดก็จักทำให้เซลล์มะเร็งกลับกลายมาเป็นเซลล์ที่ดี หรือ เซลล์ดี ทำหน้าที่แยกเซลล์มะเร็งออก แล้วดันให้หลุดออกมาได้
การใช้วิธีนี้ จึงต้องใช้เวลามาก หากแต่ใช้ได้กับทุกคน และที่สำคัญ อาการที่เกิดหรือกระทบ จะน้อยกว่าวิธีแรกมากนัก
วิธีการนี้ จึงต้องทานสมุนไพรที่ฟื้นฟูอวัยวะ ๓๒ โดยเริ่มจากการฟื้นฟูระบบการย่อย ปูพื้นด้วยสมุนไพรเขียว ฟอกน้ำเหลืองและกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเลือด ด้วยสมุนไพรมะกรูด เสริมสร้างความหยุ่นให้หลอดเลือด ล้างไขมันและทำให้เลือดใส กระตุ้นระบบประสาทสมอง ด้วยสมุนไพรน้ำผึ้ง สร้างเลือดดีด้วยสมุนไพรปอด ฟื้นฟูอวัยวะช่วงท้อง และล้างของเสียที่ค้างในร่างกายด้วยสมุนไพรมะพร้าว เป็นต้น
และเราท่านมักจะได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ ในยามที่สมุนไพรบางตัวขาดแคลน ก็จะกล่าวว่า ก็ทานตัวอื่นแทนไปได้เหมือนกัน ก็ด้วยเหตุที่ว่า อวัยวะ ๓๒ มีการเชื่อมถึงกัน และทำหน้าที่แทนกันได้ระดับหนึ่งนั่นเอง
ปัญหาที่สำคัญที่หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้ให้เห็นก็คือ ความเชื่อของคน โดยเฉพาะการทานอาหาร ที่ขัดหลักธรรมชาติที่ต้องการอาหารครบ ๕ หมู่ บางคนไม่ทานเนื้อ ... ที่วิทยากร อ.อร่าม มักจะใช้คำว่า พวกที่ทาน ชี มัง เจ ทั้งหลาย ความเชื่อนี้เป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง เพราะอวัยวะ ๓๒ ของร่างกาย ต้องการสารอาหาร หากงดไป โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ นั่นหมายความว่า ร่างกายจะขาดแหล่งพลังงาน หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวกับคนไข้ว่า ยังไม่ตายด้วยโรค ก็เป็นโรคขาดสารอาหารตายก่อนแล้ว
ด้วยความรู้นี้ ทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมคนที่ผ่านการผ่าตัด ระบบของร่างกายจึงรวน และฟื้นฟูได้ยากกว่า คนที่ไม่ผ่านการทำใดๆ มาก่อน แล้วมาใช้แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
วิธีหลัง ถึงแม้จะช้า แต่เมื่อสำเร็จหายโรค นั่นหมายความว่า ร่างกายของคนๆนั้น จะมีความแข็งแกร่ง ทุกอวัยวะของร่างกาย
เมื่อเราท่านใช้วิธีหลัง เมื่อใดที่อาการเกิด นั่นย่อมบอกเป็นนัยๆ ว่า ร่างกายมีความพร้อมที่จะรับวิกฤต และเมื่อผ่านวิกฤตได้ อวัยวะจะมีความแข็งแกร่งถึงขีดสุด อาทิเช่น คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ เมื่อผ่านอาการปวดจนถึงที่สุด แล้วร่างกายจะขับเนื้อร้ายและน้ำเหลืองรวมทั้งเลือดที่เสียออก นั่นก็คือ ระบบลำไส้จะแข็งแกร่ง อาการโรคที่จะเกิดกับลำไส้ใดๆ ก็จะไม่มีทางชนะภูมิที่มีนี้ได้อีกเลย นั่นคือลืมไปเลยเรื่องโรคลำไส้ จึงควรดีใจเมื่ออาการเกิด เพราะเราท่านกำลังเดินทางผ่านนรก และเข้าสู่ประตูสวรรค์แล้วนั่นเอง