ความรู้ที่กล่าวขานกันว่า ทันสมัย ก้าวหน้า โดยเฉพาะในวงการแพทย์ หากแต่ย้อนคำสอนของแม่ชีเมี้ยนที่ถ่ายทอดสอนแก่หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ตรัสสอนไว้มาก่อนหน้านี้แล้วทั้งสิ้น ที่สำคัญ ถูกต้องและลึกซึ้งเกินกว่าวิทยาศาสตร์จะเข้าถึง
หลวงพ่อนิพนธ์ ย้อนอดีตคำสอนถึงที่มาของสมุนไพรให้ฟังเมื่อวิทยาการสมัยนี้กำลังตื่นตัวในเรื่องของอนุมูลอิสระ อันเป็นตัวเหตุ ที่วิทยาการปัจจุบัน คิดกันว่า คือ ต้นเหตุแห่งโรค
ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าอิสระ นั่นหมายความว่า ร่างกายไม่สามารถกำจัดหรือจัดการใดๆ ได้นั่นเอง
สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทรงสอนไว้ว่า เหตุแห่งที่มาที่มนุษย์ต้องทานสมุนไพร ก็เนื่องมาจาก เจ้าสารอนุมูลอิสระนี้เอง
อาหาร คือวัตถุดิบที่ร่างกายมนุษย์ใช้เพื่อการเจริญเติบโต สิ่งที่ร่างกายแยกแร่แปรธาตุจากอาหาร มีข้อจำกัด นั่นคือใช้เพื่อการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากแต่วัตถุดิบคืออาหาร ร่างกายไม่สามารถนำไปสร้างสารที่จำเป็นในการต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นเหตุแห่งโรคได้
ธรรมชาติ จึงให้สมุนไพร ที่มิได้มีคุณสมบัติที่ทานแล้ว จะถูกนำไปใช้ในเฉกเช่นอาหาร แต่เมื่อทานแล้ว มีคุณประโยชน์มหาศาลนั่นคือ ร่างกายสามารถนำไปสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของร่างกายคือโรคได้
นี่จึงเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ เพื่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ หากแต่ล้วนมีกระบวนการเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือ สมุนไพร นั่นคือ ต้องผ่านการย่อยของกระเพาะ และที่สำคัญ มีพื้นฐานองค์ประกอบที่ทำให้ร่างกายยอมรับเฉกเช่นเดียวกัน นั่นคือ ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และเหมือนกับร่างกาย
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า มนุษย์สมัยก่อนนับล้านๆปี ดำรงเผ่าพันธ์มาได้โดยวิธีใด ในเมื่อไม่มียาเคมี ไม่มีหมอ ไม่มีโรงพยาบาล แถมยังอายุยืนยาว กว่าคนที่ทานยาเคมี ในปัจจุบันเสียอีก
ประเด็นปัญหาที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น จากความรู้ที่นักวิทยาศาสตร์ หรือ วงการแพทย์ เมื่อค้นพบมาถึงจุดนี้ จึงพยายามที่จะค้นหาสารต้านอนุมูลอิสระ จากแหล่งต่างๆ แล้วสกัดมา ให้มนุษย์ทาน
แม้นว่าสารที่สกัดนั้น วิเคราะห์แล้วจะเป็นสารที่ร่างกายต้องการ หากแต่เมื่อผ่านกรรมวิธี สกัด และทานเข้าไป ก็จักพบปัญหาที่แก้ไม่ตก นั่นคือ การต่อต้านจากระบบของร่างกาย ที่ปฏิเสธสารเหล่านั้น ซึ่งก็คือ ภูมิของร่างกายนั่นเอง
การจะให้เข้าถึงแหล่งที่ต้องการเมื่อทำไม่ได้ วิทยาศาสตร์ จึงเปลี่ยนเป้าหมายจากการรักษา ไปเป็นการระงับที่ปลายเหตุแทน
ผลที่เกิด ประการแรกจากทางเลือกนี้ที่เห็นชัด คือ การที่ไม่สามารถหยุดใช้ยาเคมี หรือสารสกัดเหล่านี้ได้ เพราะต้นเหตุยังอยู่ ผลที่ตามมาก็คือ การทำลายภูมิด้วยฤทธิ์แห่งความเป็นกรด ทำให้มีผลอาการแทรกซ้อน
หากแต่ปัญหาที่รุนแรงที่สุดที่แม่ชีเมี้ยนทรงย้ำให้หลวงพ่อนิพนธิ์ เพื่อมาชี้ให้เห็นนั่นคือ เมื่อปฏิเสธอาการน้อยๆ เหล่านั้น ก็จะกลายเป็นการสะสม เหมือนกักน้ำไว้ วันใดที่ยาเคมีเอาไม่อยู่ ก็อุปมาเขื่อนแตก อาการที่ปรากฎก็จักรุนแรงสาหัส ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักเรียกว่า เอาถึงตายเลยนั่นเอง
ศาสตร์อันนี้ พระภูมีทรงตรัสรู้ สิ่งที่รู้คือ ความจริงของธรรมชาติ จึงบัญญัติเป็นธรรมหมวดสมุนไพร และบัญญัคิธรรมหมวดแรกที่สำคัญมาก นั่นคือ ธรรมหมวดตน ที่ชี้เป็นทางให้สาวกเดิน นั่นคือ "ตนเป็นที่พึ่งของตน" โดยมีหมายเหตุที่ไม่มีที่ไหนกล่าวถึง เป็นวงเล็บเล็กๆว่า เฉพาะเรื่องของชีวิต
ศาสตร์ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงทรงย้ำให้หลวงพ่อนิพนธ์ว่า จงไปปลุกปั่นพี่น้องคนไทยของเอ็ง ให้รู้ พูดให้เขาพิจารณา และย้ำหนักหนาว่า แม้นศาสตร์ของพระภูมีจักดีสักเพียงใด พระภูมีก็ทรงเล็งเห็นว่ามนุษย์ส่วนใหญ่มีกรรม ดังนั้นอย่างหวังว่าคนที่จะมาเดินตามศาสตร์อันนี้จะมากมายมหาศาล จะมีก็แต่คนเพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ที่สามารถใช้เหตุผลพิจารณา แล้วแหวกธารกระแสกรรม มาเชื่อ และทำตาม จนพ้นโรค
สิ่งที่ต้องเน้น และทรงชี้ให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ซึ่งมีเพียง ธาตุทั้งสี่่ เป็นองค์ประกอบ นั่นคือ สิ่งที่เป็นคุณแก่มนุษย์ จึงต้องมีที่มา จากธาตุทั้งสี่ นั่นคือ อาหาร และสมุนไพร เท่านั้น อันหมายความว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องปลุกปั่นนั่นคือ ภัยที่จะมาหาใช่ทางเดียวคือจากโรคไม่ ปัจจัยที่ห้า คือ สารเคมี จะก่อให้เกิดโทษมหันต์แก่มนุษย์
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายเพิ่มให้ฟังว่า โรคแต่เดิม มาแค่ทำให้เป็นทุกข์ ไม่ถึงตาย เพราะมนุษย์มีพรหมลิขิต มาให้ทุกข์ หมดแล้วก็ผ่านไป หากแต่ยาเคมี จักเป็นตัวปฏิเสธทุกข์เหล่านั้น ก็จะกลายเป็นสะสม แล้วทำลายพรหมลิขิต ด้วยเหตุแห่งการใช้สารเคมีทำบาปแก่ตนเอง นั่นคือ ทำร้ายอวัยวะตน จนทำให้อยู่ไม่ถึงพรหมลิขิต
จากปฐมบทของกายวิภาค เราท่านจึงเห็นได้ว่า ทำไมต้องทานสมุนไพร ทำไมต้องหยุดยาเคมี
แค่เริ่มก็รู้แล้วว่า ทำไมโลกนี้จึงไม่มียารักษาโรค ก็เพราะมันเข้าไม่ถึงต้นเหตุแห่งโรคประการหนึ่ง ร่างกายไม่รับประการหนึ่ง จักทำได้แค่ก็เป็นเพียงระงับอาการเท่านั้นเอง
เราจึงเห็นว่า วิทยาการ ทำได้แค่ศึกษาให้รู้ แต่แก้ไขไม่ได้ ยังห่างจากธรรมชาติเยอะ
แค่เรื่องใกล้ตัว ดูจากการสกัดน้ำตาลจากอ้อย เทียบกับผึ้ง ที่ดูดจากเกสรมาเป็นน้ำผึ้ง คุณค่าก็ผิดกันไกลแล้ว