ขณะที่ยาเคมีกำลังเริ่มถึงทางตัน คนก็เริ่มหันมาหาสมุนไพร เป็นทางเลือก
ดูข่าว ก็พบเห็นประกาศขายสมุนไพรกันมากมายกลาดเกลือน นับไม่ถ้วน ไม่รู้อะไรเป็นอะไร มากจนจำไม่หมด และสับสน เลือกไม่ถูก
ในขณะที่แม่ชีเมี้ยนทรงสอนหลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า สมุนไพรที่แท้จริง ที่สามารถนำมาใช้ร่วมกัน และสามารถช่วยมนุษย์ มีแค่เพียงกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่สิบชนิดเท่านั้นเอง
ครั้งเมื่อลูกสาวของหลวงพ่อนิพนธ์เรียนจบจาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ไม่ได้ให้ไปทำงาน แต่กลับให้ไปเรียน เภสัชแผนไทย เนื่องด้วยในขณะนั้นกำลังถูกสาธารณสุขเพ่งเล็ง เรียกว่า เป็นหมอเถื่อน จ่ายสมุนไพรโดยไม่มีเภสัชที่ได้รับอนุญาตจากกฎหมาย เป็นการป้องกันปัญหาไว้ก่อนนั่นเอง
ผลจากการไปเรียน ลูกสาวของหลวงพ่อนิพนธ์กลับมาบอกว่า จากที่ไปเรียนมา สมุนไพรของพ่อที่ใช้ ล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรที่มีพิษ ห้ามใช้โดยเด็ดขาด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นี่แหละภูมิปัญญาของพระภูมี ที่ทำให้สมุนไพรที่มีพิษ ทำร้ายต่อร่างกาย เมื่อนำมาเข้าคู่กัน กลับกลายเป็นสมุนไพรที่มีคุณอนันต์
อาทิ สมุนไพรพญามือเหล็ก ที่มีสารสติกนินในเนื้อ ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เป็นสารในการฆ่าหญ้า หากแต่เมื่อนำมาผสมกับคู่ของเขา กลับกลายเป็นสมุนไพรเขียว ที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ ได้เป็นอย่างดี และไม่มีโทษใดๆทั้งสิ้น จึงไม่น่าแปลกว่า ทำไมสมุนไพรของพระภูมี จึงไม่กลัวเชื้อโรค
และเคล็ดลับที่คนทั่วไปไม่รู้ และไม่มีวันรู้ ก็คือ สมุนไพรจะมีสิ่งที่เรียก นางพญาสมุนไพร อันเป็นสมุนไพรที่เคยเล่าให้ฟังว่า มีหมอกพิษปกคลุมตลอดปี หากแต่เมื่อนำสมุนไพรชนิดนี้เข้าไปผสมกับสมุนไพรปกติ จะกลายเป็นตัวช่วยให้ประสิทธิภาพของสมุนไพรนั้นๆ มีฤทธิ์เพิ่มขึ้นอันมหาศาล
นี่จึงเป็นความลับที่มีคนรู้เพียงไม่กี่คนของถ้ำกระบอก ที่เมื่อเปิดรับรักษายาเสพติด ในระยะแรก ก็ทำสมุนไพรตามสูตรปกติ แต่แม่ชีเมี้ยนบอกกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ในการมาทดสอบของอเมริกา และพันธมิตร ๕ ชาตินั้น ให้ใสสมุนไพรชนิดนี้ลงไป จะทำให้ผลของสมุนไพรเฉียบขาด เรียกว่า ที่บอกว่าจะตาย ก็ฟื้นคืนได้ ดังนั้น เมื่อผ่านการทดสอบ อเมริกาจึงไม่ลังเลที่จะให้ทุนแก่ถ้ำกระบอกในสมัยนั้น เป็นเงินถึงร้อยล้านบาทต่อปี
หากแต่การทำสมุนไพร เมื่อครั้งกลับมาเริ่มเปิดอีกครั้งในปี ๓๐ หลวงพ่อนิพนธ์ก็ใช้สมุนไพรชนิดนี้เพียงแค่เดือนแรกของการเปิดตัวเท่านั้น เพื่อแสดงสรรพคุณสมุนไพรให้คนเห็น เรียกว่าใช้เรียกแขกก็ว่าได้ หลังจากนั้นมา ก็ไม่เคยใช้สมุนไพรชนิดนี้ผสมลงในสมุนไพรที่ทำอีกเลย
ในขณะนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเสมอว่า วิกฤติของโรคภัย กำลังมาเยือน มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น หากวันงานที่จะถึงนี้ แม่ชีเมี้ยนอนุญาติ ก็อยากที่จะนำราชินีสมุนไพรนี้ มาเป็นหัวเชื้อสมุนไพรในสูตรต่างๆ เพื่อให้สมุนไพรมีฤทธิ์มากขึ้น สามารถต่อสู้กับความแรงของโรคที่จะมาในเวลาอันใกล้นี้ได้
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำให้พิจารณา คือ สมุนไพรมีเพียงกลุ่มจำกัด ไม่ใช่หลากหลาย ต้องใช้ให้ถูกคุ่ถูกส่วน ดังนั้น อย่าซี้ซั้ว เห็นเป็นสมุนไพรก็ทาน ทานสักฉันใด ก็ไร้ผล ... อย่าไปหลงเชื่อตามคำโฆษณา
คิดจะทานสมุนไพร ก็พึงจำว่า ไม่มีสมุนไพรใดๆ ที่โดดเดี่ยว จะให้สรรพคุณในการช่วยได้ ประการหนึ่ง และที่สำคัญสมุนไพร มีคู่ของเขา ต้องถูกคู่และถูกส่วน เมื่อมนุษย์ไม่มีความสามารถในการหาสูตรที่ลงตัวนี้ การทานก็เรียกได้ว่ามีความเสี่ยง ไม่น้อยกว่าการทานยาเคมีเลย
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ศาสตร์ของธรรมชาติ
ใครที่เรียนรู้ธรรมของพระภูมี ก็จะกลายเป็นปราชญ์ ไม่ถูกหลอกโดยง่าย
เมื่อเราท่านมาเรียนศาสตร์สมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นว่า ในสิ่งที่พระภูมีตรัสรู้ มาเล่าให้ฟังเสมอ โดยเฉพาะ เรื่องของธรรมชาติ ที่ต้องมีเป็นคู่เสมอ
ในธรรมหมวดสมุนไพร ทำให้เราท่านได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ใช้ในการดำเนินชีวิตให้เป็นปกติสุขของมนุษย์ ที่มีคู่มากับอาหาร นั่นคือ สมุนไพร
อาหารให้ความปกติสุขในการเจริญเติบโต เป็นวัตถุดิบที่ร่างกายรับ นั่นหมายความว่า ให้คุณแก่ร่างกาย
ในขณะที่สมุนไพร ให้ความปกติสุขแก่ร่างกาย โดยเป็นวัตถุดิบ ที่ร่างกายใช้ผลิดเป็นสารเพื่อแก้ไขปัญหาของร่างกาย อันเนื่องจากการโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีในอาหาร
หากแต่ความรู้ที่ลึกลงไป หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า ประโยชน์ที่จักพึงได้จากสมุนไพร แม้นรู้ว่ามีสรรพคุณนั้นๆ หากแต่มีข้อจำกัดที่ว่า ไม่มีสมุนไพรตัวใดที่เมื่อใช้โดดๆ จะสามารถให้สรรพคุณนั้นๆได้อย่างเต็มที่เลย
นั่นคือ ต้องนำสมุนไพรอย่างน้อยก็สองชนิดมารวมกัน จึงจะทำให้สรรพคุณนั้นบังเกิดขึ้นได้ นี่จึงเป็นข้อจำกัดที่ว่า ทำไมศาสตร์สมุนไพรจึงไม่เฟื่องฟู ก็เพราะหาคนที่รู้สัดส่วนที่ถูกต้องไม่ได้นั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น สัดส่วนก็เป็นอุปมาดั่งดินที่นำมาปั้นรูปพระ แต่ยังไม่ได้ปลุกเสก ก็ยังหามีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ไม่ เป็นอีกประการหนึ่งที่สำคัญ ที่ทำให้สมุนไพรถูกกลบไว้ตลอดกาล รอจนผู้ที่มีคุณธรรมมาอัญเชิญ และพฤติกรรมของผู้ทาน ร่วมปลุกเสก จึงจักมีฤทธิ์ มีค่า เหมือนพระดินที่ผ่านการปลุกเสก โดยอาจารย์ที่มีบุญบารมีสูง ฉันใดก็ฉันนั้น
และหลวงพ่อนิพนธ์ยังชี้ให้ลึกลงไปอีกว่า ธรรมชาติ ไม่ว่า อาหาร หรือสมุนไพร มีขีดจำกัดในการดำรงคุณค่า นั่นคือ เต็มที่ก็ได้แค่การแปรรูป หากผ่านกรรมวิธีสกัด คุณค่าก็หายไป
จึงไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมนักวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถสกัดอาหารให้อยู่ในรูปแคบซูลให้คนกินแทนข้าว ยิ่งสมุนไพรไม่ต้องพูดถึง ผ่านเครื่องสกัด ยิ่งไร้คุณค่า หามีประโยชน์อันใดไม่
แค่ความรู้ผิวๆ แค่นี้ ก็ทำให้เราท่านเป็นปราชญ์ ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อ ไปซื้อ อาหารสกัด ยาสกัด สมุนไพรสกัด มาทานให้เมื่อยตุ้ม เสียเงินเปล่า ...
ยิ่งอาหารเสริม วิตามินสกัด .... ยิ่งไม่ต้องเสียเงินไปหามาทาน เสียเงินไม่ว่า กลายเป็นโทษกลับร่างกายอีก เพราะร่างกายไม่รับ กลายเป็นสารลอยไปลอยมา แล้วไปอยู่ในที่ไม่ควรอยู่ สร้างมลภาวะให้ร่างกาย เป็นแหล่งก่อเกิดโรคอีกต่างหาก
ใครที่เห็นมายากลแล้วทึ่ง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อได้มาเห็นคู่ตุนาหงันของสมุนไพรยิ่งน่าทึ่งกว่า เพราะจากสีใสๆ ของตัวหนึ่ง เมื่อใส่ตัวหนึ่งไม่ถูกส่วน ก็จักไม่เปลี่ยนแปลงอันใด หากใส่ได้ถูกส่วน จักกลายเป็น สีเหลืองก็มี สีแดงก็มี สีน้ำเงินก็มี ... ยิ่งกว่าเล่นกลเป็นไหนๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างง่ายๆให้เห็น ความฉลาดของสองฝั่งฝ่าย นักวิจัยญี่ปุ่น สามารถวิจัยได้ว่า ต้นพญามือเหล็กมีสรรพคุณในการแก้โรคกระเพาะได้ เพราะเป็นพืชชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติ สามารถเกาะติดในที่ชื้น
นั่นหมายถึงว่า ปัญหาที่วิทยาศาสตร์แก้ไม่ได้ คือ แผลในที่ชื้น เช่นกระเพาะ ลำไส้ แม้นจะมียาทำให้แผลหายได้ แต่ยาก็ไม่สามารถฝ่าเมือก และอุปสรรคต่างๆ ไปถึงแผลได้ จึงแก้ไม่ได้
ผลจากการวิจัย ก็ยังพบอีกว่า เนื้อไม้ของต้นพญามือเหล็ก มีสารสติกนิน หรือสารที่ใช้ทำยาฆ่าหญ้า ผสมอยู่
รู้ทุกอย่างของต้นพญามือเหล็ก แต่ไม่รู้วิธีใช้ ท้ายที่สุด ก็ได้แค่รับซื้อต้นพญามือเหลืก เพื่อไปบดเป็นส่วนผสม แล้วอ้างสรรพคุณโมเมม่อมแม่มไปงั้นเอง
หากแต่ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา รู้ว่าจะต้องนำใบพญามือเหล็กไปผสม่กับสิ่งอื่นใด จึงจักทำให้เกิดสรรพคุณเช่นนี้ กลายเป็นสมุนไพรเขียวให้เราท่านทาน และสารสติกนินในเนื้อไม้ของต้นพญามือเหล็ก ต้องถูกแปรเปลี่ยน แต่งงานกับสมุนไพรชนิดไหน จึงแปรสภาพกลายเป็นคุณอย่างเดียว คือมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา นำไปเป็นส่วนผสมของยาต้ม เช่นสมุนไพรปอด
ด้วยความรู้เหล่านี้ ทำให้เราท่านเดินผ่านไปเลย เมื่อมีคนบอกว่า ทานไอ้โน่น เคี้ยวใบไอ้นี่ แก้โรคนั้น โรคนี้ ... ไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาด...
ใครเบื่อเรียน เบื่อฟัง ก็ช่าง แต่สำหรับเรา คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ฟังไม่รู้เบื่อ ยิ่งฟัง ยิ่งพิจารณา ... ตัวเราก็ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของคนอื่น ...
แค่บอกคีโมแพงและบริสุทธิ์ ช่วยได้ ก็ฮาขำกลิ้งแล้ว แล้วสตีพ จ๊อบส์ มันไม่มีเงินจ่ายรึไง ทำไมถึงตายด้วยโรคมะเร็ง ... นี่ไม่นับคนอีกเป็นแสนในประเทศที่ผลิตคีโมน่ะ หากมีโอกาสจะพูด จะบอกว่า เก็บไว้ให้คนของคุณใช้เถอะ อย่ามาหลอกคนไทยเลย ...
เมื่อเราท่านมาเรียนศาสตร์สมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นว่า ในสิ่งที่พระภูมีตรัสรู้ มาเล่าให้ฟังเสมอ โดยเฉพาะ เรื่องของธรรมชาติ ที่ต้องมีเป็นคู่เสมอ
ในธรรมหมวดสมุนไพร ทำให้เราท่านได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ใช้ในการดำเนินชีวิตให้เป็นปกติสุขของมนุษย์ ที่มีคู่มากับอาหาร นั่นคือ สมุนไพร
อาหารให้ความปกติสุขในการเจริญเติบโต เป็นวัตถุดิบที่ร่างกายรับ นั่นหมายความว่า ให้คุณแก่ร่างกาย
ในขณะที่สมุนไพร ให้ความปกติสุขแก่ร่างกาย โดยเป็นวัตถุดิบ ที่ร่างกายใช้ผลิดเป็นสารเพื่อแก้ไขปัญหาของร่างกาย อันเนื่องจากการโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีในอาหาร
หากแต่ความรู้ที่ลึกลงไป หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า ประโยชน์ที่จักพึงได้จากสมุนไพร แม้นรู้ว่ามีสรรพคุณนั้นๆ หากแต่มีข้อจำกัดที่ว่า ไม่มีสมุนไพรตัวใดที่เมื่อใช้โดดๆ จะสามารถให้สรรพคุณนั้นๆได้อย่างเต็มที่เลย
นั่นคือ ต้องนำสมุนไพรอย่างน้อยก็สองชนิดมารวมกัน จึงจะทำให้สรรพคุณนั้นบังเกิดขึ้นได้ นี่จึงเป็นข้อจำกัดที่ว่า ทำไมศาสตร์สมุนไพรจึงไม่เฟื่องฟู ก็เพราะหาคนที่รู้สัดส่วนที่ถูกต้องไม่ได้นั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น สัดส่วนก็เป็นอุปมาดั่งดินที่นำมาปั้นรูปพระ แต่ยังไม่ได้ปลุกเสก ก็ยังหามีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ไม่ เป็นอีกประการหนึ่งที่สำคัญ ที่ทำให้สมุนไพรถูกกลบไว้ตลอดกาล รอจนผู้ที่มีคุณธรรมมาอัญเชิญ และพฤติกรรมของผู้ทาน ร่วมปลุกเสก จึงจักมีฤทธิ์ มีค่า เหมือนพระดินที่ผ่านการปลุกเสก โดยอาจารย์ที่มีบุญบารมีสูง ฉันใดก็ฉันนั้น
และหลวงพ่อนิพนธ์ยังชี้ให้ลึกลงไปอีกว่า ธรรมชาติ ไม่ว่า อาหาร หรือสมุนไพร มีขีดจำกัดในการดำรงคุณค่า นั่นคือ เต็มที่ก็ได้แค่การแปรรูป หากผ่านกรรมวิธีสกัด คุณค่าก็หายไป
จึงไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมนักวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถสกัดอาหารให้อยู่ในรูปแคบซูลให้คนกินแทนข้าว ยิ่งสมุนไพรไม่ต้องพูดถึง ผ่านเครื่องสกัด ยิ่งไร้คุณค่า หามีประโยชน์อันใดไม่
แค่ความรู้ผิวๆ แค่นี้ ก็ทำให้เราท่านเป็นปราชญ์ ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อ ไปซื้อ อาหารสกัด ยาสกัด สมุนไพรสกัด มาทานให้เมื่อยตุ้ม เสียเงินเปล่า ...
ยิ่งอาหารเสริม วิตามินสกัด .... ยิ่งไม่ต้องเสียเงินไปหามาทาน เสียเงินไม่ว่า กลายเป็นโทษกลับร่างกายอีก เพราะร่างกายไม่รับ กลายเป็นสารลอยไปลอยมา แล้วไปอยู่ในที่ไม่ควรอยู่ สร้างมลภาวะให้ร่างกาย เป็นแหล่งก่อเกิดโรคอีกต่างหาก
ใครที่เห็นมายากลแล้วทึ่ง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อได้มาเห็นคู่ตุนาหงันของสมุนไพรยิ่งน่าทึ่งกว่า เพราะจากสีใสๆ ของตัวหนึ่ง เมื่อใส่ตัวหนึ่งไม่ถูกส่วน ก็จักไม่เปลี่ยนแปลงอันใด หากใส่ได้ถูกส่วน จักกลายเป็น สีเหลืองก็มี สีแดงก็มี สีน้ำเงินก็มี ... ยิ่งกว่าเล่นกลเป็นไหนๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างง่ายๆให้เห็น ความฉลาดของสองฝั่งฝ่าย นักวิจัยญี่ปุ่น สามารถวิจัยได้ว่า ต้นพญามือเหล็กมีสรรพคุณในการแก้โรคกระเพาะได้ เพราะเป็นพืชชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติ สามารถเกาะติดในที่ชื้น
นั่นหมายถึงว่า ปัญหาที่วิทยาศาสตร์แก้ไม่ได้ คือ แผลในที่ชื้น เช่นกระเพาะ ลำไส้ แม้นจะมียาทำให้แผลหายได้ แต่ยาก็ไม่สามารถฝ่าเมือก และอุปสรรคต่างๆ ไปถึงแผลได้ จึงแก้ไม่ได้
ผลจากการวิจัย ก็ยังพบอีกว่า เนื้อไม้ของต้นพญามือเหล็ก มีสารสติกนิน หรือสารที่ใช้ทำยาฆ่าหญ้า ผสมอยู่
รู้ทุกอย่างของต้นพญามือเหล็ก แต่ไม่รู้วิธีใช้ ท้ายที่สุด ก็ได้แค่รับซื้อต้นพญามือเหลืก เพื่อไปบดเป็นส่วนผสม แล้วอ้างสรรพคุณโมเมม่อมแม่มไปงั้นเอง
หากแต่ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา รู้ว่าจะต้องนำใบพญามือเหล็กไปผสม่กับสิ่งอื่นใด จึงจักทำให้เกิดสรรพคุณเช่นนี้ กลายเป็นสมุนไพรเขียวให้เราท่านทาน และสารสติกนินในเนื้อไม้ของต้นพญามือเหล็ก ต้องถูกแปรเปลี่ยน แต่งงานกับสมุนไพรชนิดไหน จึงแปรสภาพกลายเป็นคุณอย่างเดียว คือมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา นำไปเป็นส่วนผสมของยาต้ม เช่นสมุนไพรปอด
ด้วยความรู้เหล่านี้ ทำให้เราท่านเดินผ่านไปเลย เมื่อมีคนบอกว่า ทานไอ้โน่น เคี้ยวใบไอ้นี่ แก้โรคนั้น โรคนี้ ... ไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาด...
ใครเบื่อเรียน เบื่อฟัง ก็ช่าง แต่สำหรับเรา คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ฟังไม่รู้เบื่อ ยิ่งฟัง ยิ่งพิจารณา ... ตัวเราก็ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของคนอื่น ...
แค่บอกคีโมแพงและบริสุทธิ์ ช่วยได้ ก็ฮาขำกลิ้งแล้ว แล้วสตีพ จ๊อบส์ มันไม่มีเงินจ่ายรึไง ทำไมถึงตายด้วยโรคมะเร็ง ... นี่ไม่นับคนอีกเป็นแสนในประเทศที่ผลิตคีโมน่ะ หากมีโอกาสจะพูด จะบอกว่า เก็บไว้ให้คนของคุณใช้เถอะ อย่ามาหลอกคนไทยเลย ...
ดูรอย
ศาสตร์สมุนไพร มีที่มาที่ไป มีประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ยาผีบอก ไม่ใช่นั่งเทียน นึกฝันเอาเอง ไม่ใช่คิดค้น สรุปความว่า ไม่ได้เกิดจากความคิดมนุษย์ทั่วไป ที่อยู่ใต้กรรม หากแต่แม่ชีเมี้ยนกล่าวว่า ศาสตร์อันนี้ มนุษย์เหนือโลก เหนือกรรม คือ พระภูมีทรงบัญญัติขึ้น จึงมีอำนาจชนะกรรม ชนะโรคได้
เพื่อธรรมหลุดพ้น เจ้าชายสิททัตถะ ต้องทิ้งเมีย ทิ้งลูก ทิ้งวัง มานอนกลางดิน กินกลางทราย เสียสละตนอันมหาศาล จึงบรรลุ และเมื่อบัญญัติธรรมหมวดสมุนไพร ก็ทรงสอนให้ แม้นว่าสิ่งที่ให้จะสูงส่ง ก็ให้โดยไม่มีราคาค่างวดแม้นแต่รูปีเดียว
เมื่อแม่ชีเมี้ยนนำมาถ่ายทอด ผู้ที่รับ จักเดินรอยอื่นได้อย่างไร ก็ต้องเสียสละตน และทำให้สถานเดียว จึงจะรักษาซึ่งอำนาจธรรมไว้ได้ เพราะแม้นจะเป็นของให้ แต่แม่ชีเมี้ยนก็ทรงเตือนว่า พระภูมีสาปธรรมของท่านอันมหาศาล นั่นคือ "ผู้ใดทำให้ ผู้นี้นยิ่งเจริญ ผู้ใดทำขาย ยิ่งทำยิ่งฉิบหาย"
แปลกลายๆ ก็หมายความว่า ผู้ที่จะมาเรียนรู้ แล้วนำไปทำ ก็ต้องแลกด้วยชีวิต แบบสุดขั้ว ทำถูกผลถูกมหาศาล ทำผิดฉิบหายแน่ ไม่เว้นแม้นแต่ชีวิตตัวเอง
คำเตือนสุดท้ายที่แม่ชีเมี้ยนทรงสอนหลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า "ให้ดูตัวอย่างพี่ชายเอ็ง"
สัญญา หรือ สัจจะ นี้เอง ที่ทำให้ไม่ต้องเกรงว่า ตำรานี้จะมีใครมาขโมยเรียน หรือ สมุนไพรที่ทำ จะมีคนมาลักขโมย เอาไปขาย
เมื่อมาถึงผู้ทาน ที่จะเป็นผู้ที่รับอำนาจธรรมหมวดสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนให้ทำตัว เป็นเสมือน กิ่งทอง ใบหยก เข้ากันได้ ด้วยการลดพฤติกรรมบางสิ่งบางอย่าง เริ่มต้นจากเอกลักษณ์ของผู้มีธรรม นั่นคือ ความสงบ ไม่ดิ้นไปตามกิเลส ตามความอยากของตน
หากแต่การควบคุมตัวในระยะแรก ก็ย่อมเป็นการยากอยู่ ดังนั้น เพื่อให้ทุกคนได้ทำ ก็ใช้การสวดมนต์ ภาคบังคับ นั่นคือ บังคับให้สงบ บังคับให้ใจนิ่งกับบทสวดมนต์ และบังคับ ให้พูดสิ่งดีๆ นั่นคือ ธรรมคำสอนของพระภูมี
ถึงไม่ได้มาก อย่างน้อย การกระทำก็สำเร็จเป็นตน เป็นมรรคเป็นผล สักช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ยังดี
เพราะจะหวังในการสอน แล้วให้ควบคุมนิสัย ก็ไม่รู้ว่าจะฟัง แล้วไปพิจารณา และทำ เมื่อไหร่ เหมือนข้าวรอฝน ยากจะหวังได้ แม้นว่าผู้ใดทำ จะเกิดผลอันมหาศาลก็ตาม
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราคิดว่า ทำไมพระโคดมจึงคิดอดอาหาร เพราะพิจารณาธรรมของท่านแล้ว ทำได้ยากยิ่ง เฉกเช่นหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ชอบปลีกวิเวก แต่กลับถูกแม่ชีเมี้ยนให้มาทำสมุนไพร ก็ล้วนแล้วแต่ต้องมาหาบุญกับมนุษย์ เพื่อช่วยตน นั่นหมายความว่า ธรรม หรือ ธรรมชาติ ต้องมีคู่ อยู่โดดเดี่ยวจักไม่เกิดผล
เมื่อพิจารณาคำสอนที่ได้ ทางเดินสายธรรมหมวดสมุนไพร จึงเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องทำตนเป็นพระเวสสันดร ให้สุขกับผู้อื่น หากจะหวังผลสุขที่ย้อนกลับมายังตน ด้วยการหายโรค
ความคิดที่ไม่อาจเป็นจริงได้ นั่นคือ การเลือกที่จะมาทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนสิ่งอื่นใด จึงเป็นความคิดที่ผิด แม้นผลจากการทาน จะบังเกิด ก็หาใช่ความปลอดภัยแก่ชีวิตไม่ เพราะท้ายที่สุด ก็ไปไม่รอด ด้วยภาษิต หนีเสือ ปะจรเข้
เราจึงไม่แปลกใจ ในหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ไม่ท้อแท้เบื่อหน่ายในการสอน เพราะอยากให้ผู้ที่มาประสพผล หาใช่เพียงการหายโรค แต่ไกลไปถึงความปลอดภัยของชีวิต นั่นคือ มิใช่จะหวังรอดจากตายห่า แต่ต้องกลับไปตายโหง นั่นเอง
เพราะตัวอย่างนับจากอดีตถ้ำกระบอก มาจนทุกวันนี้ ก็มีนับไม่ถ้วน สำหรับคนที่คิดเช่นนั้น
วิกฤติของชีวิต ย่อมแลกด้วยการใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน ใครที่คิดว่าหายโรคแล้วชีวิตจะปลอดภัย คิดผิดมหันต์
ตัวอย่างของคนไข้ที่หลวงพ่อนิพนธ์ยกมาให้ฟังบ่อยครั้ง ก็คือ จับหยี ผู้ซึงเป็นโรคมะเร็งร้ายแรง นับว่าเป็นผู้มีมานะในการทานสมุนไพรอย่างดีคนหนึ่ง จนประสพผลสำเร็จในการหายมะเร็ง แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็มักกล่าวเตือนว่า ควรทำตนให้สุขแก่ผู้อื่นบ้าง อย่าวางใจในโรคที่หาย แล้วจะไม่เป็นอะไร
จับหยี บอกว่า ผมขอกลับไปทำธุรกิจก่อน ไว้มีเวลาจะมาทำ จะมาช่วย ไม่นาน ครอบครัวจับหยีก็ส่งข่าวมาว่า จับหยีประสบอุบัติเหตุตาย ขณะนั่งรถส่งของไปกับลูกน้อง ปรากฎว่า เมื่อถึงไฟแดง ลูกน้องเลี้ยวรถ จับหยีตกลงจากรถ ด้วยประตูปิดไม่แน่น ตกลงไปศรีษะกระแทกเสียชีวิต
ศาสตร์แห่งธรรมหมวดสมุนไพร มีต้นที่มาทุ่มเทแลกมา ด้วยชีวิต และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นผู้มีธรรม ให้สุขแก่ผู้อื่น ... ไม่ว่าผู้ทำ หรือผู้ทาน จักหนีรอยนี้ไปได้อย่างไร ไม่มีทาง
ดังนั้น บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน จึงมักชี้ให้เห็นว่า กิ่งทอง ใบหยก ที่ว่า นั่นคือ การเปลี่ยนตนเป็นปูชนียบุคคล ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง ที่ดำรง เพื่อให้สุขผู้อื่น
ผู้ใดมีคุณสมบัติดังนี้แล้ว เมือมาทานสมุนไพร หากแม้นยังไม่ถึงพรหมลิขิต แม้นว่าหมอทั้งโลก จะบอกว่าไม่มีทาง ก็รอดได้ ดั่งปาฏิหารย์ ... ไม่สนว่าจะด้วยโรคอะไร
เพราะแม่ชีเมี้ยนทรงชี้ให้เห็นว่า โรคทุกชนิดพระภูมีตรัสรู้แล้วว่าเป็นบริวารของกรรม เมื่อธรรมของพระภูมีชนะกรรมได้ ย่อมหมายความว่าสามารถชนะทุกโรคได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัย ....
ผลแพ้ชนะ จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า ธรรมของพระภูมี เป็นเรื่องเฉพาะตน รู้ได้เฉพาะตน ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ผู้ทำได้ เท่านั้น จึงจักเป็นผู้ชนะ
และการชนะ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการดำรงอยู่ได้โดยปราศจากโรคเท่านั้น หากแม้นพรหมลิขิตถึงกำหนด นั่นก็คือหมดอายุขัย การตายด้วยการไม่มีโรคมาบีบเค้นจนตาย นั่นก็คือการชนะโรค ชนะกรรม เช่นกัน
ศาสตร์อันนี้ จึงมีค่ามหาศาล ควรค่าแก่การทุ่มเททำ เพราะเป็นลาภเพียงอย่างเดียว ที่สามารถนำติดวิญญาณไปได้ หาใช่จบกันชาตินี้ชาติเดียวไม่ ...
ศาสตร์ธรรมหมวดสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นเสมอว่า เป็นการทานเพื่ออนาคต ... ไม่ว่าชาตินี้ หรือ ชาติหน้า ... เป็นการตัดสัญญาโรค ที่ตามติดเรามาทุกภพทุกชาติ เป็นสัญญาใหม่ ที่จะได้สังขารที่บริสุทธิ์ไม่มีโรค รอเราท่านอยู่
สติที่พระภูมีทรงทิ้งไว้ให้พิจารณา ... ในการเดินตามธรรมหมวดนี้ จึงตรัสว่า " ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า อย่าท้อใจ"
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
กว่าจะมาเป็นสมุนไพร
แม่ชีเมี้ยน ทรงเรียก ยาตัด ว่า "ราชาแห่งสมุนไพร" เพราะมีสรรพคุณที่เฉียบขาดในการรักษาโรค แต่ก็แลกมาด้วยความเฉียบขาดในการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ทานเช่นกัน
เป้าหมายของธรรมของพระภูมี มีเพียงอย่างเดียว คือ สร้างปูชนียบุคคล
ดังนั้น แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ธรรมชาติสร้าง มีวิญญาณ มีฟ้าดินเป็นพี่เลี้ยง คนที่จะทำสมุนไพรให้เกิดผล จึงต้องเป็นคนมีคุณธรรม มีความโลภไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักย้อน เมื่อครั้งที่เกิดความดีใจเมื่อแม่ชีเมี้ยนทรงบอกสูตรสมุนไพร และสอนว่าต้นสมุนไพรที่สำคัญ มีราคาแพง เป็นเช่นใดให้รู้
ความคิดแรกๆ ที่ผ่านเข้ามา นั่นคือ สามารถนำไปหากินสร้างความร่ำรวย เมื่อแม่ชีเมี้ยนให้ลองเดินหา ก็ไปด้วยความยินดี หากผลที่ปรากฎหาเท่าไรก็ไม่เจอ
แม่ชีเมี้ยนจึงชี้ทาง และสอนย้ำว่า สิ่งศํกดิ์สิทธิ์ ย่อมรู้เจตนาของผู้ทำ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยู่กับคนที่ไม่มีคุณธรรม ดังนั้น หากอยากจะพบเจอ ก็ต้องตั้งจิตอธิษฐาน ว่า เจตนาในการหาเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ แล้วก็นั่งสำรวมจิต สวดมนต์ในยามเที่ยงคืน เมื่อเสร็จกิจก็ลืมตา
ภาพที่ปรากฎแก่หลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ ต้นไม่ที่ท่านหา ปรากฎเป็นแสงเรืองรอง เนื่องจากเปลือกของมันมีฟอสฟอรัส เป็นประกายเห็นเด่นชัด เหมือนพรายน้ำในนาฬิกา นั่นเอง แม่ชีเมี้ยนจึงกล่าวว่า ท่านก็นำเชือกไปผูกไว้ก่อน เพื่อจะเป็นที่สังเกต
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ต้นสมุนไพรนั้นก็มีสภาพเหมือนต้นไม้อื่นทั่วไป เป็นที่ยากแก่การแยก หรือ พบเห็น จะรู้ก็เพียงแต่เชือกที่ได้ผูกไว้แล้วนั่นเอง
ความมหัศจรรย์ของต้นสมุนไพรที่มีค่าแก่ชีวิตมนุษย์ ล้วนแล้วแต่เกินกว่าความรู้มนุษย์ทั่วไปจะเข้าถึง และรู้คุณค่า กรรมวิธี
ยาตัด ที่เรียกกันว่าเป็นไม้ตาย ของถ้ำกระบอก สร้างชื่อจนโด่งดัง ที่แม่ชีเมี้ยนสอนท่านจำรูญ ก็ยังหาใช่ ยาตัด ที่ครบสูตรไม่
แม่ชีเมี้ยนทรงรู้ล่วงหน้า ดังนั้น เมื่อจะละสังขาร ได้เรียกหลวงพ่อนิพนธ์ไปนำตำราออกมา พร้อมกับสำทับว่า ทุกสิบปี ยาตัด ก็จะเริ่มไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ได้ ดังนั้น จึงกำหนดว่า ในแต่ละสิบปี ต้องเพิ่มสมุนไพรตัวใดเข้าไป เพื่อให้สรรพคุณของยาตัด ทันต่อโรคในสภาวะปัจจุบันนั้นๆ
และที่เราเห็นว่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่หลวงพ่อนิพนธ์เล่าให้ฟัง นั่นคือ แม่ชีเมี้ยน ทรงสอนให้รู้จักสมุนไพรชนิดหนึง ที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า เป็นสมุนไพรชุบชีวิต เลยก็ว่าได้ เมื่อใดที่คิดว่าตนเองพร้อม มีจิตใจแน่วแน่ ก็ให้ไปหามาผสมในสมุนไพร
คุณสมบัติของต้นสมุนไพรดังกล่าว จะมีหมอกพิษปกคลุมต้นตลอดเวลา ในปีหนึ่งจะมีวันเดียว และแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่หมอกพิษนั้นจะหายไป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักบอกเสมอว่า เรื่องสมุนไพรเป็นเรื่องที่ต้องใช้วันเวลา จะใจร้อนไม่ได้ แม้นแต่ตัวผู้ทำ เมื่อรู้สรรพคุณ ก็มักเกิดความโลภ ตัวท่านเองจึงต้องควบคุมจิตใจ หากใจยังไม่นิ่ง ก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะนำสมุนไพรสูตรเด็ด ที่ให้ผลอันเฉียบขาด มาทำให้ เพราะเกรงว่า ตัวเองจะเสียเหมือนพี่ชายนั่นเอง
หลายสิบปีนี้ จึงมักใช้วิธีอ้อมในการช่วยคนป่วย มาตลอด แม้นจะช้าแต่ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน หากคนผู้นั้นเชื่อและทำตาม
แล้วก็รอวันที่จิตใจนิ่ง ... เราคิดว่า เมื่อถึงวันนั้น ก็จะได้เห็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเฉียบขาด เป็นทางเลือกให้แก่มนุษย์ ที่สำคัญ รอดปลอดภัย ทั้งผู้ทำ และผู้ทาน ไม่ล่มสลาย แพ้ภัย กลายเป็นถ้ำกระบอกภาค ๒
ฟังเรื่องสมุนไพร ยังคิดว่า ในโลกเรามีสมุนไพร หรือ ต้นไม้แบบนี้ด้วยหรือ
นั่นจึงเป็นเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์มักสอนว่า ทานยา ทานสมุนไพร อะไรต่ออะไรมากันก็เยอะ แล้วเป็นไง หายไหม เมื่อมาที่นี่ สอนให้ไหว้ ให้กราบ สมุนไพร เทิดไว้ที่สูง ไม่มีที่ไหนเขาสอน เขาทำกัน แต่นี่แหละ คือ สิ่งที่จะช่วยชีวิตได้
วิชาสูงส่งเยี่ยงนี้ พระภูมีให้ แม่ชีเมี้ยนก็นำมาให้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็เดินตาม ทำให้ รออีกอย่างเดียว คือ วัตถุดิบ ที่เกิดมาจาก การให้ ...
หากทุกคนที่มาเข้าใจ อยากให้ประสิทธิภาพของสมุนไพรบังเกิดสูงสุด ก็ต้องมีหน้าที่เป็นผู้ให้ เป็นพระเวสสันดร รับหน้าที่นี้ ... มาครั้งใด มีพริกไทยขีด มะกรูดหน่อย มะพร้าว สักทะลาย ดีปลีสักกำมือ ... ติดไม้ติดมือ มากองกันโรงทาน กินเองส่วนหนึ่ง เหลือนั้นทำทาน
ผลแห่งความบริสุทธิ์ก็จะเกิดอานุภาพเต็มเปี่ยม ด้วยคุณธรรม ตลอดสายที่มาของสมุนไพร ... แต่ก็เป็นเรื่องยาก หลวงพ่อนิพนธ์คงต้องเหนื่อยพูดอีกนาน เพราะมนุษย์มันมีกรรม มิหนำซ้ำอาจพาลไปโน่นนี่ ตามความคิดต่ำๆ ซะอีก
สถานที่นี้ จึงไม่ควรนำเงินมากอง หากแต่นำสมุนไพรวัตถุดิบมากองกันให้เต็มโรงทาน ผลที่เกิด นั่นคือ สามารถทำให้ทุกคนมีสมุนไพรทานเต็มที่ เพียงพอต่อความจำเป็นของแต่ละคน
และเมื่อคุณสมบัติถึง หลังจากการฟื้นฟูด้วยสมุนไพรพื้นฐานแล้ว การจะต่อยอด หรือจบด้วย ยาตัด ก็เป็นเรื่องง่าย เพราะมีการเรียนรู้ มีความเข้าใจ
การจบโรคด้วยการฟื้นฟูร่างกาย เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และปฏิบัติ เมื่อถึงเวลาทานยาตัด หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า การทานก็จักง่าย ไม่เกิดอาการที่รุนแรงมาก และสมบูรณ์ หมดโรค พร้อมกับมีร่างกายที่แข็งแรง
หากแต่สิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ผู้ที่ประสพผล ย่อมรู้จักเรื่องกรรม และยินยอมที่จะเปลี่ยนพฤติกรรม ไปตามจุดประสงค์ของเจ้าของตำรา นั่นคือ เป็นคนดี มีคุณธรรม
เมื่อกรรมเก่าหมด ไม่สร้างกรรมใหม่ที่สาหัสสากรรจ์ นั่นย่อมหมายความว่า ชีวิตของผู้นั้น เดินอยู่บนความไม่ประมาท ย่อมมีสุขตามนิสัยธรม มากน้อยตามที่ตนของตนทำได้
บทสรุปท้ายสุดที่หลวงพ่อนิพนธ์มักสอนเสมอ นั่นคือ สมุนไพรก็เหมือนดิน ที่เราท่านเดินเหยียบกันทุกวัน วันใด ที่ถูกนำมาปั๊มเป็นพระ แล้วปลุกเสก คนก็นำมาแขวนคอ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองตน ฉันใดก็ฉันนั้น พฤติกรรมของผู้ทำ ผู้ทาน ก็คือ การปลุกเสก สมุนไพรนั่นเอง จะมีฤทิธิ์สักฉันใด มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นกับพฤติกรรมนั้นๆ
การทานสมุนไพรโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็เหมือนพระที่ไม่ปลุกเสก ไร้ค่า คุ้มครองอันใดแก่เราไม่ได้เลย จักทานสักฉันใด ย่อมมองไม่เห็นซึ่งความสำเร็จในการช่วยตน ... ยิ่งลักขโมยทานด้วยแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาเผ่นแนบไปก่อนแล้ว .... นี่จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าสมุนไพรที่แท้จริง จักต้องมีวิญญาณ จึงจักมีฤทธิ์ อย่าไปซี้ซั้วทาน และไม่ใข่ว่าใครๆ ก็ทำได้ ... ไม่ใช่ .. ไม่ใช่ .. ขอยืนยัน เพราะถ้ำกระบอก เจ้าของสูตร ยังล้มเลย
เคล็ดของสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า แพ้ชนะอยู่ที่ใจ พฤติกรรมการทานของผู้นั้นนั่นเอง
การจักเดินทางนี้ จึงพึงต้องฟังเหตุและผลที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา ใครไม่ฟัง เบื่อหน่าย ย่อมไม่มีทางประสพผล เพราะทางที่จะเดินไปเพื่อช่วยตน ความรู้ที่ผิด ย่อมพาไปเดินผิดทางอย่างแน่นอน ความรู้ที่ถูกจึงพาตนให้ขึ้นฝั่งได้ โดยเฉพาะทิฐิมานะของตน ย่อมมีด้วยกันทุกคน นี่แหละอุปสรรคใหญ่ หาใช่อาการที่เป็นไม่
เป้าหมายของธรรมของพระภูมี มีเพียงอย่างเดียว คือ สร้างปูชนียบุคคล
ดังนั้น แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ธรรมชาติสร้าง มีวิญญาณ มีฟ้าดินเป็นพี่เลี้ยง คนที่จะทำสมุนไพรให้เกิดผล จึงต้องเป็นคนมีคุณธรรม มีความโลภไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักย้อน เมื่อครั้งที่เกิดความดีใจเมื่อแม่ชีเมี้ยนทรงบอกสูตรสมุนไพร และสอนว่าต้นสมุนไพรที่สำคัญ มีราคาแพง เป็นเช่นใดให้รู้
ความคิดแรกๆ ที่ผ่านเข้ามา นั่นคือ สามารถนำไปหากินสร้างความร่ำรวย เมื่อแม่ชีเมี้ยนให้ลองเดินหา ก็ไปด้วยความยินดี หากผลที่ปรากฎหาเท่าไรก็ไม่เจอ
แม่ชีเมี้ยนจึงชี้ทาง และสอนย้ำว่า สิ่งศํกดิ์สิทธิ์ ย่อมรู้เจตนาของผู้ทำ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยู่กับคนที่ไม่มีคุณธรรม ดังนั้น หากอยากจะพบเจอ ก็ต้องตั้งจิตอธิษฐาน ว่า เจตนาในการหาเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ แล้วก็นั่งสำรวมจิต สวดมนต์ในยามเที่ยงคืน เมื่อเสร็จกิจก็ลืมตา
ภาพที่ปรากฎแก่หลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ ต้นไม่ที่ท่านหา ปรากฎเป็นแสงเรืองรอง เนื่องจากเปลือกของมันมีฟอสฟอรัส เป็นประกายเห็นเด่นชัด เหมือนพรายน้ำในนาฬิกา นั่นเอง แม่ชีเมี้ยนจึงกล่าวว่า ท่านก็นำเชือกไปผูกไว้ก่อน เพื่อจะเป็นที่สังเกต
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ต้นสมุนไพรนั้นก็มีสภาพเหมือนต้นไม้อื่นทั่วไป เป็นที่ยากแก่การแยก หรือ พบเห็น จะรู้ก็เพียงแต่เชือกที่ได้ผูกไว้แล้วนั่นเอง
ความมหัศจรรย์ของต้นสมุนไพรที่มีค่าแก่ชีวิตมนุษย์ ล้วนแล้วแต่เกินกว่าความรู้มนุษย์ทั่วไปจะเข้าถึง และรู้คุณค่า กรรมวิธี
ยาตัด ที่เรียกกันว่าเป็นไม้ตาย ของถ้ำกระบอก สร้างชื่อจนโด่งดัง ที่แม่ชีเมี้ยนสอนท่านจำรูญ ก็ยังหาใช่ ยาตัด ที่ครบสูตรไม่
แม่ชีเมี้ยนทรงรู้ล่วงหน้า ดังนั้น เมื่อจะละสังขาร ได้เรียกหลวงพ่อนิพนธ์ไปนำตำราออกมา พร้อมกับสำทับว่า ทุกสิบปี ยาตัด ก็จะเริ่มไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ได้ ดังนั้น จึงกำหนดว่า ในแต่ละสิบปี ต้องเพิ่มสมุนไพรตัวใดเข้าไป เพื่อให้สรรพคุณของยาตัด ทันต่อโรคในสภาวะปัจจุบันนั้นๆ
และที่เราเห็นว่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่หลวงพ่อนิพนธ์เล่าให้ฟัง นั่นคือ แม่ชีเมี้ยน ทรงสอนให้รู้จักสมุนไพรชนิดหนึง ที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า เป็นสมุนไพรชุบชีวิต เลยก็ว่าได้ เมื่อใดที่คิดว่าตนเองพร้อม มีจิตใจแน่วแน่ ก็ให้ไปหามาผสมในสมุนไพร
คุณสมบัติของต้นสมุนไพรดังกล่าว จะมีหมอกพิษปกคลุมต้นตลอดเวลา ในปีหนึ่งจะมีวันเดียว และแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่หมอกพิษนั้นจะหายไป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักบอกเสมอว่า เรื่องสมุนไพรเป็นเรื่องที่ต้องใช้วันเวลา จะใจร้อนไม่ได้ แม้นแต่ตัวผู้ทำ เมื่อรู้สรรพคุณ ก็มักเกิดความโลภ ตัวท่านเองจึงต้องควบคุมจิตใจ หากใจยังไม่นิ่ง ก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะนำสมุนไพรสูตรเด็ด ที่ให้ผลอันเฉียบขาด มาทำให้ เพราะเกรงว่า ตัวเองจะเสียเหมือนพี่ชายนั่นเอง
หลายสิบปีนี้ จึงมักใช้วิธีอ้อมในการช่วยคนป่วย มาตลอด แม้นจะช้าแต่ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน หากคนผู้นั้นเชื่อและทำตาม
แล้วก็รอวันที่จิตใจนิ่ง ... เราคิดว่า เมื่อถึงวันนั้น ก็จะได้เห็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเฉียบขาด เป็นทางเลือกให้แก่มนุษย์ ที่สำคัญ รอดปลอดภัย ทั้งผู้ทำ และผู้ทาน ไม่ล่มสลาย แพ้ภัย กลายเป็นถ้ำกระบอกภาค ๒
ฟังเรื่องสมุนไพร ยังคิดว่า ในโลกเรามีสมุนไพร หรือ ต้นไม้แบบนี้ด้วยหรือ
นั่นจึงเป็นเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์มักสอนว่า ทานยา ทานสมุนไพร อะไรต่ออะไรมากันก็เยอะ แล้วเป็นไง หายไหม เมื่อมาที่นี่ สอนให้ไหว้ ให้กราบ สมุนไพร เทิดไว้ที่สูง ไม่มีที่ไหนเขาสอน เขาทำกัน แต่นี่แหละ คือ สิ่งที่จะช่วยชีวิตได้
วิชาสูงส่งเยี่ยงนี้ พระภูมีให้ แม่ชีเมี้ยนก็นำมาให้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็เดินตาม ทำให้ รออีกอย่างเดียว คือ วัตถุดิบ ที่เกิดมาจาก การให้ ...
หากทุกคนที่มาเข้าใจ อยากให้ประสิทธิภาพของสมุนไพรบังเกิดสูงสุด ก็ต้องมีหน้าที่เป็นผู้ให้ เป็นพระเวสสันดร รับหน้าที่นี้ ... มาครั้งใด มีพริกไทยขีด มะกรูดหน่อย มะพร้าว สักทะลาย ดีปลีสักกำมือ ... ติดไม้ติดมือ มากองกันโรงทาน กินเองส่วนหนึ่ง เหลือนั้นทำทาน
ผลแห่งความบริสุทธิ์ก็จะเกิดอานุภาพเต็มเปี่ยม ด้วยคุณธรรม ตลอดสายที่มาของสมุนไพร ... แต่ก็เป็นเรื่องยาก หลวงพ่อนิพนธ์คงต้องเหนื่อยพูดอีกนาน เพราะมนุษย์มันมีกรรม มิหนำซ้ำอาจพาลไปโน่นนี่ ตามความคิดต่ำๆ ซะอีก
สถานที่นี้ จึงไม่ควรนำเงินมากอง หากแต่นำสมุนไพรวัตถุดิบมากองกันให้เต็มโรงทาน ผลที่เกิด นั่นคือ สามารถทำให้ทุกคนมีสมุนไพรทานเต็มที่ เพียงพอต่อความจำเป็นของแต่ละคน
และเมื่อคุณสมบัติถึง หลังจากการฟื้นฟูด้วยสมุนไพรพื้นฐานแล้ว การจะต่อยอด หรือจบด้วย ยาตัด ก็เป็นเรื่องง่าย เพราะมีการเรียนรู้ มีความเข้าใจ
การจบโรคด้วยการฟื้นฟูร่างกาย เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และปฏิบัติ เมื่อถึงเวลาทานยาตัด หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า การทานก็จักง่าย ไม่เกิดอาการที่รุนแรงมาก และสมบูรณ์ หมดโรค พร้อมกับมีร่างกายที่แข็งแรง
หากแต่สิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ผู้ที่ประสพผล ย่อมรู้จักเรื่องกรรม และยินยอมที่จะเปลี่ยนพฤติกรรม ไปตามจุดประสงค์ของเจ้าของตำรา นั่นคือ เป็นคนดี มีคุณธรรม
เมื่อกรรมเก่าหมด ไม่สร้างกรรมใหม่ที่สาหัสสากรรจ์ นั่นย่อมหมายความว่า ชีวิตของผู้นั้น เดินอยู่บนความไม่ประมาท ย่อมมีสุขตามนิสัยธรม มากน้อยตามที่ตนของตนทำได้
บทสรุปท้ายสุดที่หลวงพ่อนิพนธ์มักสอนเสมอ นั่นคือ สมุนไพรก็เหมือนดิน ที่เราท่านเดินเหยียบกันทุกวัน วันใด ที่ถูกนำมาปั๊มเป็นพระ แล้วปลุกเสก คนก็นำมาแขวนคอ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองตน ฉันใดก็ฉันนั้น พฤติกรรมของผู้ทำ ผู้ทาน ก็คือ การปลุกเสก สมุนไพรนั่นเอง จะมีฤทิธิ์สักฉันใด มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นกับพฤติกรรมนั้นๆ
การทานสมุนไพรโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็เหมือนพระที่ไม่ปลุกเสก ไร้ค่า คุ้มครองอันใดแก่เราไม่ได้เลย จักทานสักฉันใด ย่อมมองไม่เห็นซึ่งความสำเร็จในการช่วยตน ... ยิ่งลักขโมยทานด้วยแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาเผ่นแนบไปก่อนแล้ว .... นี่จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าสมุนไพรที่แท้จริง จักต้องมีวิญญาณ จึงจักมีฤทธิ์ อย่าไปซี้ซั้วทาน และไม่ใข่ว่าใครๆ ก็ทำได้ ... ไม่ใช่ .. ไม่ใช่ .. ขอยืนยัน เพราะถ้ำกระบอก เจ้าของสูตร ยังล้มเลย
เคล็ดของสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า แพ้ชนะอยู่ที่ใจ พฤติกรรมการทานของผู้นั้นนั่นเอง
การจักเดินทางนี้ จึงพึงต้องฟังเหตุและผลที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา ใครไม่ฟัง เบื่อหน่าย ย่อมไม่มีทางประสพผล เพราะทางที่จะเดินไปเพื่อช่วยตน ความรู้ที่ผิด ย่อมพาไปเดินผิดทางอย่างแน่นอน ความรู้ที่ถูกจึงพาตนให้ขึ้นฝั่งได้ โดยเฉพาะทิฐิมานะของตน ย่อมมีด้วยกันทุกคน นี่แหละอุปสรรคใหญ่ หาใช่อาการที่เป็นไม่
วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ฉายาของยาตัด
เมื่อครั้งถ้ำกระบอก เปิดรับรักษาผู้ป่วยยาเสพติด สมุนไพรที่ใช้ก็มีเพียงไม่กี่ขนาน เพราะใช้ ยาตัด เป็นตัวหลักในการล้างโรค และมีสมุนไพรอีกไม่กี่ตัว ใช้ฟื้นฟูร่างกาย
ภาพที่คนจดจำ มักจะเป็นการอาเจียน หลังจากการทานยาตัด นั่นเอง
หากแต่ความจริงแล้ว ลักษณะของอาการหลังจากการทานยาตัด แยกออกเป็นสองประเภท
ประเภทแรก คือบุคคลที่มีเมือก เสมหะ หรือตะไคร้ อยู่ในร่างกาย เมื่อทานยาตัดแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะถูกขับออกมา มีสภาพเป็นเมือกเหนียว และผู้ทีทานยาตัด ก็จะมีอาการส่ายหน้าไปมา ในขณะที่ฤทธิ์ยากำลังขับ ด้วยเหตุที่เมือกเหนียวไม่ยอมหลุด จึงไหลย้อยเป็นทางยาวและแกว่งไปมา ยาตัดสำหรับคนกลุ่มนี้ จึงได้ฉายาว่า "ช้างสะบัดงวง"
สำหรับคนไข้อีกประเภท ที่เป็นโรค แต่ไม่มีเมือกเหนียว เมื่อทานยาตัด ร่างกายจะรีดโรคมาอยู่ที่กระเพาะ เมื่อได้เวลา พระก็จะให้ทานน้ำ ร่างกายก็จะรีดโรคเหล่านั้นออกโดยการอาเจียน ดังที่เห็นกันทั่วไป ขณะที่อาเจียนก็จะได้ยินเสียงโฮกฮากดังสนั่นแข่งกัน ยาตัดสำหรับคนกลุ่มนี้ จึงได้ฉายาว่า "ราชสีห์คำราม"
คนรุ่นเก่าก็เริ่มจากไป จะเหลือคนรุ่นแรกๆ ในยุคถ้ำกระบอกก็น้อยกว่าน้อย ทำให้รายละเอียดในการทานยาตัด หายไป คงเหลือไว้แต่ภาพการอาเจียน ที่พบเห็นจากหนังเรื่อง "น้ำพุ" ก็เท่านั้น
หลายคนที่ทราบประสิทธิภาพของยาตัด ก็อยากทาน ด้วยความอยากหายโรค หากแต่รายละเอียดที่หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า ผู้ที่จะทานยาตัดนั้น ต้องอาศัยคุณสมบัติ เพราะความเฉียบขาดในการหายโรค นั้นแลกมาด้วยคุณสมบัติ อันหมายถึงชีวิตเป็นเดิมพัน
ผู้ป่วยยาเสพติดในอดีต ก่อนที่จะได้รับการบำบัด จึงต้องทำความเข้าใจ เมื่อตกลงใจ ก็ต้องรับข้อปฏิบัติ ซึ่งในยุคถ้ำกระบอกเรียกสิ่งนี้ว่า "สัจจะ" ที่เล่าลือกันว่าใครทำผิด มีผลถึงตายเลยทีเดียว
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น หลวงพ่อนิพนธ์เล่าว่า แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า บุคคลที่เป็นโรค นั่นหมายถึง เป็นคนมีกรรม และกรรมสรุปแล้วให้หมดความสามารถในการสร้างกรรมเพิ่มขึ้นอีก เมื่อใช้สมุนไพรของพระภูมี เข้าไปสอด นั่นหมายถึง คนๆ นั้น ต้องกลับตัวเป็นคนดี สร้างกรรมอีกไม่ได้ อาทิ คนที่เป็นมือปืน มาทานแล้วหายโรค จะกลับไปเป็นมือปีนอีก คนที่ถูกยิงตาย ก็จะฟ้องฟ้าดินว่า ผู้ให้สมุนไพร ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ฟ้าดินช่วยคนๆนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาหมดความสามารถในการทำบาป แล้วช่วยให้เขาดีขึ้นมายิงคนอีก
ดังนั้น เมื่อสมุนไพรมีฟ้าดินเป็นผู้ดูแล ดังนั้น คุณสมบัติของผู้ทาน ฟ้าดินก็จักเป็นผู้ตัดสิน เมื่อผิดคำมั่นสัญญา หรือ ผิดสัจจะ ก็ย่อมหมายถึงผู้นั้นไม่ตายด้วยโรค แต่ต้องตายด้วยวิธีอื่นแทน
ก็เหมือนในหนังน้ำพุนั่นแหละ เมื่อให้สัจจะว่า จะไม่กลับไปเสพ แล้วไปเสพ ผลจึงเป็นเช่นนั้น ...
ด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์เกรงว่าคนที่มาจะทำไม่ได้ จึงต้องหยุดใช้วิธีนี้ แล้วเลือกวิธีอ้อมแทน แม้นจักช้าหน่อย แต่ก็ทำให้คนได้ปรับตัว ปรับความคิด ปรับพฤติกรรม หากคนผู้นั้นยืนระยะ พิจารณาในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แล้วทำได้ ก็หายโรคเช่นกัน หากไม่ทำ ก็กลับคืนสถานะเดิม ไปอยู่ในโลกของเขา ไม่ต้องมาเสี่ยงกับความแรงของสัจจะของพระภูมี ที่แม้นให้ผลเฉียบขาด แต่โทษก็มหาศาลเช่นกัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่าวิธีหายโรคของพระภูมี จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะจุดประสงค์เดียวของพระภูมีก็คือ เป็นคนดี หากเดินในเส้นทางนี้ ไม่ว่าโรคใดก็หาย หากแต่มีลับลมคมใน โรคมันก็จะลับลมคมในอยู่ในตัว สมุนไพรค้นไม่เจอ นั่นจึงเป็นเหตุที่มาของคำว่า ใครทำ ใครได้ ... หรือ ทำอย่างไรได้อย่างนั้น โดยผู้ที่ทำสมุนไพรไม่ต้องกังวล เพราะถึงผู้ทำให้ไม่รู้ แต่ฟ้าดินเขารู้ สมุนไพรเขารู้
อนาคตอันใกล้ คือ หลังจากวันงาน หากแม่ชีเมี้ยนอนุญาตให้ทำต่อได้ เราท่านอาจจะได้เห็นหลวงพ่อนิพนธ์เรียกผู้ที่มีคุณสมบัติ แล้วไปทานยาตัด เราท่านจะได้เห็นผลอันเฉียบขาดของสมุนไพรพระภูมีว่า เป็นเช่นไร
ภาพเก่าๆ ที่หลวงพ่อนิพนธ์เคยถ่ายเก็บไว้ โดยเฉพาะคนป่วยมะเร็ง ที่เมื่อทานยาตัดจนถึงแก้วสุดท้ายแล้ว สิ่งที่จะหลุดออกมาให้เห็นนั่นคือ รังของมะเร็งที่อยู่ในกระเพาะอาหาร ที่ออกมาเป็นเหมือนวุ้นดำคล้ำ แล้วมีจุด มีขา ที่ฝรั่งให้ฉายาว่าปู นำมาวางบนใบตอง แล้วถ่ายรูปไว้ กว่า ๖๐ ภาพ จะกลับมาให้เห็นอีกครั้ง
ใครคุณสมบัติถึง ก็เตรียมเสื่อผืน หมอนใบ กระโถนใบ กระดาษชำระ และก็เหยือกน้ำรอได้เลย ...
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเล่นๆ ใครอยากทาน เคยด่าเมียก็ต้องให้สัจจะไม่ด่าเมีย เคยทานเหล้าอาละวาด ก็ต้องให้สัจจะไม่ทานเหล้า ... หากกล้าเดิมพัน ก็มา ... ขอย้ำ หากผิด แลกด้วยความฉิบหาย หายนะถึงชีวิต หากทำได้ นอกจากหายโรค ยังเจริญรุ่งเรือง ด้วยความดีที่ทำนั่นเองจะส่งให้
กายวิภาค ภาค ๓
ส่วนของสมองที่เข้าไม่ถึงด้วยวิธีการอื่นใด นอกจากบุญ ก็ต้องไปเรียนรู้ จากการฟังหลวงพ่อนิพนธ์ ว่าต้องทำอย่างไร
อีกส่วนหนึ่งก็คือ อวัยวะ ๓๒ หรือร่างกายเรา คือส่วนที่ใช้สมุนไพร ในการรักษา อันนี้เรียนรู้ ทำความเข้าใจ แล้วปฏิบัติได้เอง
ประเด็นแรกที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวให้ฟังก็คือ อวัยวะ ๓๒ นี้เชื่อมต่อถึงกัน ทำหน้าที่แทนกันได้ในระดับหนึ่ง
หากแต่การแก้ไขโรคโดยสมุนไพร ก็แยกเป็นสองวิธี
วิธีแรก คือ การแก้โรค หรือ ล้างโรคก่อน แล้วค่อยฟื้นฟูร่างกาย ส่วนวิธีที่สองคือ ฟื้นฟูร่างกายก่อน แล้วค่อยล้างโรค
วิธีแรก คือ การใช้สมุนไพรที่มีลักษณะเหมือนสารสำเร็จ อันหมายถึงมีฤทธิ์โดยไม่ต้องผ่านการย่อย ซึ่งแม่ชีเมี้ยน ให้หลวงพ่อนิพนธ์ใช้ในการสร้างชื่อถ้ำกระบอกในอดีต เรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า "ยาตัด"
การใช้สมุนไพรขนานนี้ ให้ผลในการรักษาเร็ว ทานประมาณ ๕ ถึง ๗ แก้ว ก็จบโรค ทำให้ชื่อของถ้ำกระบอกเป็นที่รู้จัก เพราะคำเล่าขานในผลอันเฉียบขาดนี้เอง
หากแต่การใช้วิธีนี้ ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ในขณะทานสมุนไพร เพราะอาจมีอาการปัจจุบันทันด่วนแทรกขึ้นมา ต้องได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะ การเป็นตะคริว
ประการที่สำคัญ คือ สมุนไพรนี้ออกฤทธิ์แรง นั่นคือ อาการที่เกิดจะรุนแรง ในช่วงที่สมุนไพรออกฤทธิ์ แต่ละครั้งก็กินระยะเวลาประมาณสองชั่วโมง
เมื่อผ่านกระบวนการนี้ โรคจะถูกล้างออกจากร่างกายจนหมด หลังจากนั้น ก็ทานสมุนไพรเพื่อฟื้นฟูร่างกายอีกระยะหนึ่ง
แต่วิธีนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็หยุดใช้มากว่าสิบปีแล้ว
วิธีที่สอง เป็นวิธีที่นุ่มนวล หากแต่ใช้เวลาที่มากกว่าวิธีแรก นั่นคือ วิธีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยการทานสมุนไพรเพื่อฟื้นฟูอวัยวะ ๓๒
วิธีนี้ ต้องอาศัยวิกฤตของร่างกายเป็นตัวกระตุ้น ดังนั้น จึงมักได้ยินวิทยากรบอกเสมอว่า อย่างแรก ต้องหยุดยาเคมี เพื่อให้อาการเกิด อย่างที่สอง ต้องทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีผลต่อโรคนั้นๆ ซึ่งจะมีคุณสมบัติ เป็นการกระตุ้นอาการหนึ่ง และเป็นสารนำร่องธรรมชาติที่พาสมุนไพรเข้าถึงจุดที่เป็นหนึ่ง
การใช้วิธีนี้ เป็นการรักษาแบบ ป่าล้อมเมือง นั่นคือ ทำอวัยวะที่แข็งแรงอยู่แล้วให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และค่อยๆล้อมไปช่วยอวัยวะที่อ่อนแอ
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้เห็นภาพ เช่น คนเป็นโรคมะเร็ง ทำไมถึงต้องให้ทานสมุนไพรปอด ก็เพื่อที่จะให้ปอดทำหน้าที่ฟอกเลือดให้มีความบริสุทธิ์มากที่สุด เมื่อผ่านไปเลี้ยงยังเซลล์ที่เป็นมะเร็ง ความบริสุทธิ์ของเลือดก็จักทำให้เซลล์มะเร็งกลับกลายมาเป็นเซลล์ที่ดี หรือ เซลล์ดี ทำหน้าที่แยกเซลล์มะเร็งออก แล้วดันให้หลุดออกมาได้
การใช้วิธีนี้ จึงต้องใช้เวลามาก หากแต่ใช้ได้กับทุกคน และที่สำคัญ อาการที่เกิดหรือกระทบ จะน้อยกว่าวิธีแรกมากนัก
วิธีการนี้ จึงต้องทานสมุนไพรที่ฟื้นฟูอวัยวะ ๓๒ โดยเริ่มจากการฟื้นฟูระบบการย่อย ปูพื้นด้วยสมุนไพรเขียว ฟอกน้ำเหลืองและกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเลือด ด้วยสมุนไพรมะกรูด เสริมสร้างความหยุ่นให้หลอดเลือด ล้างไขมันและทำให้เลือดใส กระตุ้นระบบประสาทสมอง ด้วยสมุนไพรน้ำผึ้ง สร้างเลือดดีด้วยสมุนไพรปอด ฟื้นฟูอวัยวะช่วงท้อง และล้างของเสียที่ค้างในร่างกายด้วยสมุนไพรมะพร้าว เป็นต้น
และเราท่านมักจะได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ ในยามที่สมุนไพรบางตัวขาดแคลน ก็จะกล่าวว่า ก็ทานตัวอื่นแทนไปได้เหมือนกัน ก็ด้วยเหตุที่ว่า อวัยวะ ๓๒ มีการเชื่อมถึงกัน และทำหน้าที่แทนกันได้ระดับหนึ่งนั่นเอง
ปัญหาที่สำคัญที่หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้ให้เห็นก็คือ ความเชื่อของคน โดยเฉพาะการทานอาหาร ที่ขัดหลักธรรมชาติที่ต้องการอาหารครบ ๕ หมู่ บางคนไม่ทานเนื้อ ... ที่วิทยากร อ.อร่าม มักจะใช้คำว่า พวกที่ทาน ชี มัง เจ ทั้งหลาย ความเชื่อนี้เป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง เพราะอวัยวะ ๓๒ ของร่างกาย ต้องการสารอาหาร หากงดไป โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ นั่นหมายความว่า ร่างกายจะขาดแหล่งพลังงาน หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวกับคนไข้ว่า ยังไม่ตายด้วยโรค ก็เป็นโรคขาดสารอาหารตายก่อนแล้ว
ด้วยความรู้นี้ ทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมคนที่ผ่านการผ่าตัด ระบบของร่างกายจึงรวน และฟื้นฟูได้ยากกว่า คนที่ไม่ผ่านการทำใดๆ มาก่อน แล้วมาใช้แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
วิธีหลัง ถึงแม้จะช้า แต่เมื่อสำเร็จหายโรค นั่นหมายความว่า ร่างกายของคนๆนั้น จะมีความแข็งแกร่ง ทุกอวัยวะของร่างกาย
เมื่อเราท่านใช้วิธีหลัง เมื่อใดที่อาการเกิด นั่นย่อมบอกเป็นนัยๆ ว่า ร่างกายมีความพร้อมที่จะรับวิกฤต และเมื่อผ่านวิกฤตได้ อวัยวะจะมีความแข็งแกร่งถึงขีดสุด อาทิเช่น คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ เมื่อผ่านอาการปวดจนถึงที่สุด แล้วร่างกายจะขับเนื้อร้ายและน้ำเหลืองรวมทั้งเลือดที่เสียออก นั่นก็คือ ระบบลำไส้จะแข็งแกร่ง อาการโรคที่จะเกิดกับลำไส้ใดๆ ก็จะไม่มีทางชนะภูมิที่มีนี้ได้อีกเลย นั่นคือลืมไปเลยเรื่องโรคลำไส้ จึงควรดีใจเมื่ออาการเกิด เพราะเราท่านกำลังเดินทางผ่านนรก และเข้าสู่ประตูสวรรค์แล้วนั่นเอง
อีกส่วนหนึ่งก็คือ อวัยวะ ๓๒ หรือร่างกายเรา คือส่วนที่ใช้สมุนไพร ในการรักษา อันนี้เรียนรู้ ทำความเข้าใจ แล้วปฏิบัติได้เอง
ประเด็นแรกที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวให้ฟังก็คือ อวัยวะ ๓๒ นี้เชื่อมต่อถึงกัน ทำหน้าที่แทนกันได้ในระดับหนึ่ง
หากแต่การแก้ไขโรคโดยสมุนไพร ก็แยกเป็นสองวิธี
วิธีแรก คือ การแก้โรค หรือ ล้างโรคก่อน แล้วค่อยฟื้นฟูร่างกาย ส่วนวิธีที่สองคือ ฟื้นฟูร่างกายก่อน แล้วค่อยล้างโรค
วิธีแรก คือ การใช้สมุนไพรที่มีลักษณะเหมือนสารสำเร็จ อันหมายถึงมีฤทธิ์โดยไม่ต้องผ่านการย่อย ซึ่งแม่ชีเมี้ยน ให้หลวงพ่อนิพนธ์ใช้ในการสร้างชื่อถ้ำกระบอกในอดีต เรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า "ยาตัด"
การใช้สมุนไพรขนานนี้ ให้ผลในการรักษาเร็ว ทานประมาณ ๕ ถึง ๗ แก้ว ก็จบโรค ทำให้ชื่อของถ้ำกระบอกเป็นที่รู้จัก เพราะคำเล่าขานในผลอันเฉียบขาดนี้เอง
หากแต่การใช้วิธีนี้ ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ในขณะทานสมุนไพร เพราะอาจมีอาการปัจจุบันทันด่วนแทรกขึ้นมา ต้องได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะ การเป็นตะคริว
ประการที่สำคัญ คือ สมุนไพรนี้ออกฤทธิ์แรง นั่นคือ อาการที่เกิดจะรุนแรง ในช่วงที่สมุนไพรออกฤทธิ์ แต่ละครั้งก็กินระยะเวลาประมาณสองชั่วโมง
เมื่อผ่านกระบวนการนี้ โรคจะถูกล้างออกจากร่างกายจนหมด หลังจากนั้น ก็ทานสมุนไพรเพื่อฟื้นฟูร่างกายอีกระยะหนึ่ง
แต่วิธีนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็หยุดใช้มากว่าสิบปีแล้ว
วิธีที่สอง เป็นวิธีที่นุ่มนวล หากแต่ใช้เวลาที่มากกว่าวิธีแรก นั่นคือ วิธีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยการทานสมุนไพรเพื่อฟื้นฟูอวัยวะ ๓๒
วิธีนี้ ต้องอาศัยวิกฤตของร่างกายเป็นตัวกระตุ้น ดังนั้น จึงมักได้ยินวิทยากรบอกเสมอว่า อย่างแรก ต้องหยุดยาเคมี เพื่อให้อาการเกิด อย่างที่สอง ต้องทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีผลต่อโรคนั้นๆ ซึ่งจะมีคุณสมบัติ เป็นการกระตุ้นอาการหนึ่ง และเป็นสารนำร่องธรรมชาติที่พาสมุนไพรเข้าถึงจุดที่เป็นหนึ่ง
การใช้วิธีนี้ เป็นการรักษาแบบ ป่าล้อมเมือง นั่นคือ ทำอวัยวะที่แข็งแรงอยู่แล้วให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และค่อยๆล้อมไปช่วยอวัยวะที่อ่อนแอ
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้เห็นภาพ เช่น คนเป็นโรคมะเร็ง ทำไมถึงต้องให้ทานสมุนไพรปอด ก็เพื่อที่จะให้ปอดทำหน้าที่ฟอกเลือดให้มีความบริสุทธิ์มากที่สุด เมื่อผ่านไปเลี้ยงยังเซลล์ที่เป็นมะเร็ง ความบริสุทธิ์ของเลือดก็จักทำให้เซลล์มะเร็งกลับกลายมาเป็นเซลล์ที่ดี หรือ เซลล์ดี ทำหน้าที่แยกเซลล์มะเร็งออก แล้วดันให้หลุดออกมาได้
การใช้วิธีนี้ จึงต้องใช้เวลามาก หากแต่ใช้ได้กับทุกคน และที่สำคัญ อาการที่เกิดหรือกระทบ จะน้อยกว่าวิธีแรกมากนัก
วิธีการนี้ จึงต้องทานสมุนไพรที่ฟื้นฟูอวัยวะ ๓๒ โดยเริ่มจากการฟื้นฟูระบบการย่อย ปูพื้นด้วยสมุนไพรเขียว ฟอกน้ำเหลืองและกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเลือด ด้วยสมุนไพรมะกรูด เสริมสร้างความหยุ่นให้หลอดเลือด ล้างไขมันและทำให้เลือดใส กระตุ้นระบบประสาทสมอง ด้วยสมุนไพรน้ำผึ้ง สร้างเลือดดีด้วยสมุนไพรปอด ฟื้นฟูอวัยวะช่วงท้อง และล้างของเสียที่ค้างในร่างกายด้วยสมุนไพรมะพร้าว เป็นต้น
และเราท่านมักจะได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ ในยามที่สมุนไพรบางตัวขาดแคลน ก็จะกล่าวว่า ก็ทานตัวอื่นแทนไปได้เหมือนกัน ก็ด้วยเหตุที่ว่า อวัยวะ ๓๒ มีการเชื่อมถึงกัน และทำหน้าที่แทนกันได้ระดับหนึ่งนั่นเอง
ปัญหาที่สำคัญที่หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้ให้เห็นก็คือ ความเชื่อของคน โดยเฉพาะการทานอาหาร ที่ขัดหลักธรรมชาติที่ต้องการอาหารครบ ๕ หมู่ บางคนไม่ทานเนื้อ ... ที่วิทยากร อ.อร่าม มักจะใช้คำว่า พวกที่ทาน ชี มัง เจ ทั้งหลาย ความเชื่อนี้เป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง เพราะอวัยวะ ๓๒ ของร่างกาย ต้องการสารอาหาร หากงดไป โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ นั่นหมายความว่า ร่างกายจะขาดแหล่งพลังงาน หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวกับคนไข้ว่า ยังไม่ตายด้วยโรค ก็เป็นโรคขาดสารอาหารตายก่อนแล้ว
ด้วยความรู้นี้ ทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมคนที่ผ่านการผ่าตัด ระบบของร่างกายจึงรวน และฟื้นฟูได้ยากกว่า คนที่ไม่ผ่านการทำใดๆ มาก่อน แล้วมาใช้แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
วิธีหลัง ถึงแม้จะช้า แต่เมื่อสำเร็จหายโรค นั่นหมายความว่า ร่างกายของคนๆนั้น จะมีความแข็งแกร่ง ทุกอวัยวะของร่างกาย
เมื่อเราท่านใช้วิธีหลัง เมื่อใดที่อาการเกิด นั่นย่อมบอกเป็นนัยๆ ว่า ร่างกายมีความพร้อมที่จะรับวิกฤต และเมื่อผ่านวิกฤตได้ อวัยวะจะมีความแข็งแกร่งถึงขีดสุด อาทิเช่น คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ เมื่อผ่านอาการปวดจนถึงที่สุด แล้วร่างกายจะขับเนื้อร้ายและน้ำเหลืองรวมทั้งเลือดที่เสียออก นั่นก็คือ ระบบลำไส้จะแข็งแกร่ง อาการโรคที่จะเกิดกับลำไส้ใดๆ ก็จะไม่มีทางชนะภูมิที่มีนี้ได้อีกเลย นั่นคือลืมไปเลยเรื่องโรคลำไส้ จึงควรดีใจเมื่ออาการเกิด เพราะเราท่านกำลังเดินทางผ่านนรก และเข้าสู่ประตูสวรรค์แล้วนั่นเอง
วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
กายวิภาค ภาค ๒
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายเรื่องร่างกายให้ฟัง ทำให้เราท่านทราบว่า กายของเรา พระภูมีชี้ให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่ยืมเขามา เพื่อบรรจุวิญญาณ มีที่มาแบ่งเป็นธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันขึ้น เป็นอวัย ๓๒
และเมื่อตาย ก็ต้องคืน แล้วก็ไปยืมมาใหม่ เพื่อนำไปเป็นสังขารใหม่ ให้วิญญาณบรรจุ เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิด
พระภูมี ตรัสรู้เห็นความจริงที่ว่านี้ จึงตรัสสอนว่า มนุษย์จึงสามารถเลือกเกิดได้ ด้วยอาศัยการกระทำของตนนั่นเอง ในปัจจุบัน เพื่อเขียนพรหมลิขิตของตนในวันข้างหน้า อธิบายสั้นๆ ได้ว่า วันนี้ คือผลจากอดีตที่ทำมา และการกระทำในวันนี้ ก็จะเป็นพรหมลิขิตของเราในวันหน้า
ด้วยกรรมที่ทำมา สำเร็จแล้ว ผลของการกระทำจึงปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น เมื่อผลกรรมปรากฎเป็นโรค ไม่ว่ายาจกหรือเศรษฐี จะทำสักฉันใด ก็ปฏิเสธไม่ได้ ต้องเป็นโรค
ดังนั้น เมื่อพระภูมีตรัสรู้ จึงชี้ทางให้พุทธศาสนิกชน ที่ยังไม่อยากบรรลุธรรม หรืออยากไปนิพพาน ยังอยากอยู่ในโลก จึงบัญญัติธรรมหมวดสมุนไพร เพื่อใช้ในการสังคยานาตน นั่นหมายความว่า ธาตุทั้งสี่ ที่ยิมมาเมื่อตอนเกิด อันเป็นธาตุบริสุทธิ์ ยามคืนก็คืนธาตุที่บริสุทธิ์กลับไป เมื่อมีสังขารใหม่ ก็จะได้ธาตุบริสุทธิ์มาเป็นสังขารอีก นั่นคือ เป็นสังขารที่ไม่มีโรค ผลของธรรมหมวดนี้ จึงตรัสว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" เพราะสามารถตามติดเราท่านไปยังภพหน้าได้นั่นเอง
นอกจากนี้ แม่ชีเมี้ยนยังชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่พระภูมีตรัสรู้ ว่ามูลเหตุแห่งผลที่เกิดกับเราท่าน มีเหตุที่มา คือ "กรรม" ที่เป็นอำนาจดลบันดาล และกรรมก็เกิดจากนิสัย การกระทำของเราท่านนั่นเอง ผลกรรมจึงเป็นผลจากเราท่านทำเอง ไม่มีใครแกล้ง
และสิ่งที่เรียกว่า กรรม ก็ประกอบด้วยลักษณะเช่นเดียวกันกับมนุษย์ นั่นคือ มีรูป มีวิญญาณ
ย้อนกลับมาหาร่างกาย จึงแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือ อวัยวะ ๓๒ ที่สามารถเข้าถึง เรียนรู้ อีกส่วนหนึ่ง คือ สมอง ที่เป็นเสมือนท้องฟ้า ที่มองเห็น แต่เรียนรู้ได้เพียงน้อยนิด เรียกง่ายๆว่า เกินความสามารถของมนุษย์ทั่วไปที่จะเข้าถึง
และส่วนสมองนี้เอง ที่มีอำนาจสองอำนาจอยู่ด้วยกัน อำนาจหนึ่งคือวิญญาณของเราท่าน อีกอำนาจที่จักดลบันดาลผลจากการกระทำของวิญญาณ คือ อำนาจกรรม ที่บันทึกเหมือนการตั้งนาฬิกา ถึงเวลานี้ ผลจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามการกระทำของเจ้าของวิญญาณ
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังง่ายๆว่า ส่วนของอวัยวะ ก็คือส่วนรูป ที่เข้าถึงได้ ส่วนของสมอง เป็นส่วนที่เข้าถึงไม่ได้นั่นเอง ทางเดียวที่จะเข้าถึงส่วนนี้ได้ ที่แม่ชีเมี้ยทรงสอน ก็ด้วยศาสตร์ของพระภูมี แล้วสร้างอำนาจธรรมขึ้นเอง เพื่อใช้ต่อสู้หรือล้างอำนาจกรรม
คุณลักษณะที่เหมือนกัน ไม่ว่าอำนาจกรรม หรือ อำนาจธรรม ก็คือ เราท่านเป็นผู้สร้างเอง เขียนเอง ผู้อื่นทำให้ไม่ได้
ความจริงข้อนี้ จึงเป็นที่มาของบัญญัติ "ธรรมหมวดตนพึ่งตน" นั่นเอง
และด้วยความจริงอันนี้ของร่างกาย จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมอาการหลายๆ อย่าง เมื่อไปให้หมอวินิจฉัย ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร ร่างกายก็ปกติ อันโน้นก็ปกติ แต่ปรากฎโรคขึ้น แก้ไม่ได้ เพราะไม่รู้สาเหตุ
ตัวอย่างง่ายๆ ก็ เจ้าหญิง เจ้าชายนิทรา นั่นเอง
ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมั่นใจ และชี้ให้เห็นว่า ไม่มีทางที่ยาวิทยาศาสตร์ หรือ วิธีการใด จะรักษาโรคได้ เพราะมันเข้าไม่ถึงนั่นเอง
การใช้วิธีการสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงต้องประกอบด้วย สองสิ่ง หนึ่งคือ สมุนไพร เพื่อแก้ไข อวัยวะ ๓๒ และอีกสิ่งคือ ธรรมคำสอนของพระภูมี ที่ต้องเรียนรู้แล้วนำมาทำ สร้างเป็นอำนาจธรรม เพื่อให้เข้าถึงและนำไปแก้ไขอำนาจกรรม
อำนาจธรรม จึงเสมือนกับการไปแก้ไขบันทึกคำสั่ง ที่อยู่ในส่วนสมองนั่นเอง ให้ร้ายกลายเป็นดี จึงเรียกว่า ธรรมล้างกรรม
และด้วยเป็นส่วนสำคัญ การสร้างธรรม จึงต้องกลายมาเป็นภาคบังคับ เพราะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ กิจกรรมการสวดมนต์ การสงบนิ่ง นั่งฟังคำสอน จึงกลายเป็นภาคบังคับที่ทุกคนที่จะใช้แนวทางนี้ ต้องปฏิบัติ
กายวิภาคของศาสตร์พระภูมี ละเอียดอ่อนกว่าทางการแพทย์สมัยใหม่เยอะ ที่สำคัญแก้ตรงจุด เหมือนช่างเป็นงาน ใครเรียนรู้ พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม ผลย่อมบังเกิด
ผลการเรียนรู้อันนี้ ทำให้เข้าใจว่า ทำไมผลของการทานสมุนไพรอย่างเดียว จึงยากที่จะประสพผล เพราะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุนั่นเอง เหมือน ตัดกิ่งต้นไม้ เดี๋ยวก็งอกใหม่อีก เพราะต้นกับรากมันยังอยู่
บทสรุปที่สำคัญ ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะชี้ให้พิจารณา นั่นคือ เป็นความจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการพบความไม่มีโรค ที่จะต้องพัฒนาทั้งกาย และ วิญญาณ และทางเดียวที่จะประสพผล ต้องอาศัยธรรมคำสอนของพระภูมี มานำ เพราะเป็นทางเดียวที่พิสูจน์แล้วว่า ใครทำ ใครได้
ใครบอกว่ามนุษย์เลือกเกิดไม่ได้ นั่นคือ ผู้ไม่รู้ศาสนา ของพระภูมี... ว่าแต่รู้แล้วจะทำหรือไม่ เท่านั้นเอง เพราะมันทำยาก มีเพื่อนน้อย หากแต่มีผลมหาศาล
และเมื่อตาย ก็ต้องคืน แล้วก็ไปยืมมาใหม่ เพื่อนำไปเป็นสังขารใหม่ ให้วิญญาณบรรจุ เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิด
พระภูมี ตรัสรู้เห็นความจริงที่ว่านี้ จึงตรัสสอนว่า มนุษย์จึงสามารถเลือกเกิดได้ ด้วยอาศัยการกระทำของตนนั่นเอง ในปัจจุบัน เพื่อเขียนพรหมลิขิตของตนในวันข้างหน้า อธิบายสั้นๆ ได้ว่า วันนี้ คือผลจากอดีตที่ทำมา และการกระทำในวันนี้ ก็จะเป็นพรหมลิขิตของเราในวันหน้า
ด้วยกรรมที่ทำมา สำเร็จแล้ว ผลของการกระทำจึงปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น เมื่อผลกรรมปรากฎเป็นโรค ไม่ว่ายาจกหรือเศรษฐี จะทำสักฉันใด ก็ปฏิเสธไม่ได้ ต้องเป็นโรค
ดังนั้น เมื่อพระภูมีตรัสรู้ จึงชี้ทางให้พุทธศาสนิกชน ที่ยังไม่อยากบรรลุธรรม หรืออยากไปนิพพาน ยังอยากอยู่ในโลก จึงบัญญัติธรรมหมวดสมุนไพร เพื่อใช้ในการสังคยานาตน นั่นหมายความว่า ธาตุทั้งสี่ ที่ยิมมาเมื่อตอนเกิด อันเป็นธาตุบริสุทธิ์ ยามคืนก็คืนธาตุที่บริสุทธิ์กลับไป เมื่อมีสังขารใหม่ ก็จะได้ธาตุบริสุทธิ์มาเป็นสังขารอีก นั่นคือ เป็นสังขารที่ไม่มีโรค ผลของธรรมหมวดนี้ จึงตรัสว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" เพราะสามารถตามติดเราท่านไปยังภพหน้าได้นั่นเอง
นอกจากนี้ แม่ชีเมี้ยนยังชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่พระภูมีตรัสรู้ ว่ามูลเหตุแห่งผลที่เกิดกับเราท่าน มีเหตุที่มา คือ "กรรม" ที่เป็นอำนาจดลบันดาล และกรรมก็เกิดจากนิสัย การกระทำของเราท่านนั่นเอง ผลกรรมจึงเป็นผลจากเราท่านทำเอง ไม่มีใครแกล้ง
และสิ่งที่เรียกว่า กรรม ก็ประกอบด้วยลักษณะเช่นเดียวกันกับมนุษย์ นั่นคือ มีรูป มีวิญญาณ
ย้อนกลับมาหาร่างกาย จึงแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือ อวัยวะ ๓๒ ที่สามารถเข้าถึง เรียนรู้ อีกส่วนหนึ่ง คือ สมอง ที่เป็นเสมือนท้องฟ้า ที่มองเห็น แต่เรียนรู้ได้เพียงน้อยนิด เรียกง่ายๆว่า เกินความสามารถของมนุษย์ทั่วไปที่จะเข้าถึง
และส่วนสมองนี้เอง ที่มีอำนาจสองอำนาจอยู่ด้วยกัน อำนาจหนึ่งคือวิญญาณของเราท่าน อีกอำนาจที่จักดลบันดาลผลจากการกระทำของวิญญาณ คือ อำนาจกรรม ที่บันทึกเหมือนการตั้งนาฬิกา ถึงเวลานี้ ผลจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามการกระทำของเจ้าของวิญญาณ
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังง่ายๆว่า ส่วนของอวัยวะ ก็คือส่วนรูป ที่เข้าถึงได้ ส่วนของสมอง เป็นส่วนที่เข้าถึงไม่ได้นั่นเอง ทางเดียวที่จะเข้าถึงส่วนนี้ได้ ที่แม่ชีเมี้ยทรงสอน ก็ด้วยศาสตร์ของพระภูมี แล้วสร้างอำนาจธรรมขึ้นเอง เพื่อใช้ต่อสู้หรือล้างอำนาจกรรม
คุณลักษณะที่เหมือนกัน ไม่ว่าอำนาจกรรม หรือ อำนาจธรรม ก็คือ เราท่านเป็นผู้สร้างเอง เขียนเอง ผู้อื่นทำให้ไม่ได้
ความจริงข้อนี้ จึงเป็นที่มาของบัญญัติ "ธรรมหมวดตนพึ่งตน" นั่นเอง
และด้วยความจริงอันนี้ของร่างกาย จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมอาการหลายๆ อย่าง เมื่อไปให้หมอวินิจฉัย ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร ร่างกายก็ปกติ อันโน้นก็ปกติ แต่ปรากฎโรคขึ้น แก้ไม่ได้ เพราะไม่รู้สาเหตุ
ตัวอย่างง่ายๆ ก็ เจ้าหญิง เจ้าชายนิทรา นั่นเอง
ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมั่นใจ และชี้ให้เห็นว่า ไม่มีทางที่ยาวิทยาศาสตร์ หรือ วิธีการใด จะรักษาโรคได้ เพราะมันเข้าไม่ถึงนั่นเอง
การใช้วิธีการสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงต้องประกอบด้วย สองสิ่ง หนึ่งคือ สมุนไพร เพื่อแก้ไข อวัยวะ ๓๒ และอีกสิ่งคือ ธรรมคำสอนของพระภูมี ที่ต้องเรียนรู้แล้วนำมาทำ สร้างเป็นอำนาจธรรม เพื่อให้เข้าถึงและนำไปแก้ไขอำนาจกรรม
อำนาจธรรม จึงเสมือนกับการไปแก้ไขบันทึกคำสั่ง ที่อยู่ในส่วนสมองนั่นเอง ให้ร้ายกลายเป็นดี จึงเรียกว่า ธรรมล้างกรรม
และด้วยเป็นส่วนสำคัญ การสร้างธรรม จึงต้องกลายมาเป็นภาคบังคับ เพราะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ กิจกรรมการสวดมนต์ การสงบนิ่ง นั่งฟังคำสอน จึงกลายเป็นภาคบังคับที่ทุกคนที่จะใช้แนวทางนี้ ต้องปฏิบัติ
กายวิภาคของศาสตร์พระภูมี ละเอียดอ่อนกว่าทางการแพทย์สมัยใหม่เยอะ ที่สำคัญแก้ตรงจุด เหมือนช่างเป็นงาน ใครเรียนรู้ พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม ผลย่อมบังเกิด
ผลการเรียนรู้อันนี้ ทำให้เข้าใจว่า ทำไมผลของการทานสมุนไพรอย่างเดียว จึงยากที่จะประสพผล เพราะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุนั่นเอง เหมือน ตัดกิ่งต้นไม้ เดี๋ยวก็งอกใหม่อีก เพราะต้นกับรากมันยังอยู่
บทสรุปที่สำคัญ ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะชี้ให้พิจารณา นั่นคือ เป็นความจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการพบความไม่มีโรค ที่จะต้องพัฒนาทั้งกาย และ วิญญาณ และทางเดียวที่จะประสพผล ต้องอาศัยธรรมคำสอนของพระภูมี มานำ เพราะเป็นทางเดียวที่พิสูจน์แล้วว่า ใครทำ ใครได้
ใครบอกว่ามนุษย์เลือกเกิดไม่ได้ นั่นคือ ผู้ไม่รู้ศาสนา ของพระภูมี... ว่าแต่รู้แล้วจะทำหรือไม่ เท่านั้นเอง เพราะมันทำยาก มีเพื่อนน้อย หากแต่มีผลมหาศาล
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
น้ำเสีย
ศาสตร์สมุนไพร มีกรอบง่ายๆ ที่พึงพิจารณา ด้วยเพราะมีองค์ประกอบ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ดังนั้น การแก้ปัญหา ก็คือ การเรียนรู้ว่า ปัญหาที่เกิด เกิดจากธาตุใด ขาดเกิน แล้วจักใช้สมุนไพรใด หรือกรรมวิธีใด แก้ ส่วนที่ขาดเกิดนั้น
และที่สำคัญก็คือ จุดใดเป็นวิกฤต ที่ทำให้เสียชีวิตได้ จากโรคที่เป็นอยู่
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกตัวอย่างอาทิเช่น คนเป็นอัมพฤกต์ เหตุแห่งที่ร่างกายเคลื่อนไหวไม่ได้ ผลที่ตามมาก็คือ กล้ามเนื้อส่วนนั้นๆ จะเกิดสภาวะน้ำเสียท่วมขัง
จึงปรากฎให้เห็นว่า เมื่อกล้ามเนื้อถูกน้ำท่วมขัง บริเวณนั้น กล้ามเนื้อจะขาดออกซิเจนมาหล่อเลี้ยง ผลก็คือ ขาดกำลัง จึงเริ่มลีบเล็กลง
เมื่อเราเรียนรู้ทราบเหตุ ก็หาวิธีที่จะไล่น้ำเสียออก นั่นจึงเป็นความจำเป็นที่ว่าคนไข้ประเภทนี้หากจะหวังผล ก็ต้องได้โอกาสที่จะเข้ากระโจมทุกวัน พร้อมกับมีการนวด หลังจากการเข้ากระโจม เพื่อให้น้ำเสียที่ถูกรีดออกไป ถูกแทนที่ด้วยน้ำดี กล้ามเนื้อก็จักฟื้น
คนไข้ประเภทนี้ จึงต้องมีระยะเวลาช่วงหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว โดยการมาพักอาศัย แล้วเข้ากระโจม ทานสมุนไพรให้เต็มที่ อย่างน้อยสักเดือนสองเดือน เมื่อร่างกายฟื้นแล้ว ก็ค่อยรับสมุนไพรกลับไปทานที่บ้าน รอร่างกายฟื้นจนสมบูรณ์
ที่นี่เมืองไทย ทำอย่างนี้ไม่ได้ มันผิดกฎหมาย สาธารณสุขไม่อนุญาติ คนใหญ่ในบ้านในเมืองไม่เหลียวแล
รอโน่น วันใดที่ศูนย์ในพม่าแล้วเสร็จและเปิด ไปพ้กที่นั่นแล้วฟื้นฟูตัว ไม่ว่าโรคอะไรก็มีโอกาส โดยเฉพาะคนที่อาการหนัก จะอาศัยการมาสัปดาห์ละครั้ง พิจารณาแล้วทางมันไกล เวลามันเนื่นนาน ทำให้กัดกร่อน ไปไม่ถึง น่าเสียดาย
ดังนั้น การแก้ปัญหา ก็คือ การเรียนรู้ว่า ปัญหาที่เกิด เกิดจากธาตุใด ขาดเกิน แล้วจักใช้สมุนไพรใด หรือกรรมวิธีใด แก้ ส่วนที่ขาดเกิดนั้น
และที่สำคัญก็คือ จุดใดเป็นวิกฤต ที่ทำให้เสียชีวิตได้ จากโรคที่เป็นอยู่
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกตัวอย่างอาทิเช่น คนเป็นอัมพฤกต์ เหตุแห่งที่ร่างกายเคลื่อนไหวไม่ได้ ผลที่ตามมาก็คือ กล้ามเนื้อส่วนนั้นๆ จะเกิดสภาวะน้ำเสียท่วมขัง
จึงปรากฎให้เห็นว่า เมื่อกล้ามเนื้อถูกน้ำท่วมขัง บริเวณนั้น กล้ามเนื้อจะขาดออกซิเจนมาหล่อเลี้ยง ผลก็คือ ขาดกำลัง จึงเริ่มลีบเล็กลง
เมื่อเราเรียนรู้ทราบเหตุ ก็หาวิธีที่จะไล่น้ำเสียออก นั่นจึงเป็นความจำเป็นที่ว่าคนไข้ประเภทนี้หากจะหวังผล ก็ต้องได้โอกาสที่จะเข้ากระโจมทุกวัน พร้อมกับมีการนวด หลังจากการเข้ากระโจม เพื่อให้น้ำเสียที่ถูกรีดออกไป ถูกแทนที่ด้วยน้ำดี กล้ามเนื้อก็จักฟื้น
คนไข้ประเภทนี้ จึงต้องมีระยะเวลาช่วงหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว โดยการมาพักอาศัย แล้วเข้ากระโจม ทานสมุนไพรให้เต็มที่ อย่างน้อยสักเดือนสองเดือน เมื่อร่างกายฟื้นแล้ว ก็ค่อยรับสมุนไพรกลับไปทานที่บ้าน รอร่างกายฟื้นจนสมบูรณ์
ที่นี่เมืองไทย ทำอย่างนี้ไม่ได้ มันผิดกฎหมาย สาธารณสุขไม่อนุญาติ คนใหญ่ในบ้านในเมืองไม่เหลียวแล
รอโน่น วันใดที่ศูนย์ในพม่าแล้วเสร็จและเปิด ไปพ้กที่นั่นแล้วฟื้นฟูตัว ไม่ว่าโรคอะไรก็มีโอกาส โดยเฉพาะคนที่อาการหนัก จะอาศัยการมาสัปดาห์ละครั้ง พิจารณาแล้วทางมันไกล เวลามันเนื่นนาน ทำให้กัดกร่อน ไปไม่ถึง น่าเสียดาย
กายวิภาค ภาค ๑
ความรู้ที่กล่าวขานกันว่า ทันสมัย ก้าวหน้า โดยเฉพาะในวงการแพทย์ หากแต่ย้อนคำสอนของแม่ชีเมี้ยนที่ถ่ายทอดสอนแก่หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ตรัสสอนไว้มาก่อนหน้านี้แล้วทั้งสิ้น ที่สำคัญ ถูกต้องและลึกซึ้งเกินกว่าวิทยาศาสตร์จะเข้าถึง
หลวงพ่อนิพนธ์ ย้อนอดีตคำสอนถึงที่มาของสมุนไพรให้ฟังเมื่อวิทยาการสมัยนี้กำลังตื่นตัวในเรื่องของอนุมูลอิสระ อันเป็นตัวเหตุ ที่วิทยาการปัจจุบัน คิดกันว่า คือ ต้นเหตุแห่งโรค
ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าอิสระ นั่นหมายความว่า ร่างกายไม่สามารถกำจัดหรือจัดการใดๆ ได้นั่นเอง
สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทรงสอนไว้ว่า เหตุแห่งที่มาที่มนุษย์ต้องทานสมุนไพร ก็เนื่องมาจาก เจ้าสารอนุมูลอิสระนี้เอง
อาหาร คือวัตถุดิบที่ร่างกายมนุษย์ใช้เพื่อการเจริญเติบโต สิ่งที่ร่างกายแยกแร่แปรธาตุจากอาหาร มีข้อจำกัด นั่นคือใช้เพื่อการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากแต่วัตถุดิบคืออาหาร ร่างกายไม่สามารถนำไปสร้างสารที่จำเป็นในการต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นเหตุแห่งโรคได้
ธรรมชาติ จึงให้สมุนไพร ที่มิได้มีคุณสมบัติที่ทานแล้ว จะถูกนำไปใช้ในเฉกเช่นอาหาร แต่เมื่อทานแล้ว มีคุณประโยชน์มหาศาลนั่นคือ ร่างกายสามารถนำไปสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของร่างกายคือโรคได้
นี่จึงเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ เพื่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ หากแต่ล้วนมีกระบวนการเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือ สมุนไพร นั่นคือ ต้องผ่านการย่อยของกระเพาะ และที่สำคัญ มีพื้นฐานองค์ประกอบที่ทำให้ร่างกายยอมรับเฉกเช่นเดียวกัน นั่นคือ ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และเหมือนกับร่างกาย
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า มนุษย์สมัยก่อนนับล้านๆปี ดำรงเผ่าพันธ์มาได้โดยวิธีใด ในเมื่อไม่มียาเคมี ไม่มีหมอ ไม่มีโรงพยาบาล แถมยังอายุยืนยาว กว่าคนที่ทานยาเคมี ในปัจจุบันเสียอีก
ประเด็นปัญหาที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น จากความรู้ที่นักวิทยาศาสตร์ หรือ วงการแพทย์ เมื่อค้นพบมาถึงจุดนี้ จึงพยายามที่จะค้นหาสารต้านอนุมูลอิสระ จากแหล่งต่างๆ แล้วสกัดมา ให้มนุษย์ทาน
แม้นว่าสารที่สกัดนั้น วิเคราะห์แล้วจะเป็นสารที่ร่างกายต้องการ หากแต่เมื่อผ่านกรรมวิธี สกัด และทานเข้าไป ก็จักพบปัญหาที่แก้ไม่ตก นั่นคือ การต่อต้านจากระบบของร่างกาย ที่ปฏิเสธสารเหล่านั้น ซึ่งก็คือ ภูมิของร่างกายนั่นเอง
การจะให้เข้าถึงแหล่งที่ต้องการเมื่อทำไม่ได้ วิทยาศาสตร์ จึงเปลี่ยนเป้าหมายจากการรักษา ไปเป็นการระงับที่ปลายเหตุแทน
ผลที่เกิด ประการแรกจากทางเลือกนี้ที่เห็นชัด คือ การที่ไม่สามารถหยุดใช้ยาเคมี หรือสารสกัดเหล่านี้ได้ เพราะต้นเหตุยังอยู่ ผลที่ตามมาก็คือ การทำลายภูมิด้วยฤทธิ์แห่งความเป็นกรด ทำให้มีผลอาการแทรกซ้อน
หากแต่ปัญหาที่รุนแรงที่สุดที่แม่ชีเมี้ยนทรงย้ำให้หลวงพ่อนิพนธิ์ เพื่อมาชี้ให้เห็นนั่นคือ เมื่อปฏิเสธอาการน้อยๆ เหล่านั้น ก็จะกลายเป็นการสะสม เหมือนกักน้ำไว้ วันใดที่ยาเคมีเอาไม่อยู่ ก็อุปมาเขื่อนแตก อาการที่ปรากฎก็จักรุนแรงสาหัส ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักเรียกว่า เอาถึงตายเลยนั่นเอง
ศาสตร์อันนี้ พระภูมีทรงตรัสรู้ สิ่งที่รู้คือ ความจริงของธรรมชาติ จึงบัญญัติเป็นธรรมหมวดสมุนไพร และบัญญัคิธรรมหมวดแรกที่สำคัญมาก นั่นคือ ธรรมหมวดตน ที่ชี้เป็นทางให้สาวกเดิน นั่นคือ "ตนเป็นที่พึ่งของตน" โดยมีหมายเหตุที่ไม่มีที่ไหนกล่าวถึง เป็นวงเล็บเล็กๆว่า เฉพาะเรื่องของชีวิต
ศาสตร์ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงทรงย้ำให้หลวงพ่อนิพนธ์ว่า จงไปปลุกปั่นพี่น้องคนไทยของเอ็ง ให้รู้ พูดให้เขาพิจารณา และย้ำหนักหนาว่า แม้นศาสตร์ของพระภูมีจักดีสักเพียงใด พระภูมีก็ทรงเล็งเห็นว่ามนุษย์ส่วนใหญ่มีกรรม ดังนั้นอย่างหวังว่าคนที่จะมาเดินตามศาสตร์อันนี้จะมากมายมหาศาล จะมีก็แต่คนเพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ที่สามารถใช้เหตุผลพิจารณา แล้วแหวกธารกระแสกรรม มาเชื่อ และทำตาม จนพ้นโรค
สิ่งที่ต้องเน้น และทรงชี้ให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ซึ่งมีเพียง ธาตุทั้งสี่่ เป็นองค์ประกอบ นั่นคือ สิ่งที่เป็นคุณแก่มนุษย์ จึงต้องมีที่มา จากธาตุทั้งสี่ นั่นคือ อาหาร และสมุนไพร เท่านั้น อันหมายความว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องปลุกปั่นนั่นคือ ภัยที่จะมาหาใช่ทางเดียวคือจากโรคไม่ ปัจจัยที่ห้า คือ สารเคมี จะก่อให้เกิดโทษมหันต์แก่มนุษย์
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายเพิ่มให้ฟังว่า โรคแต่เดิม มาแค่ทำให้เป็นทุกข์ ไม่ถึงตาย เพราะมนุษย์มีพรหมลิขิต มาให้ทุกข์ หมดแล้วก็ผ่านไป หากแต่ยาเคมี จักเป็นตัวปฏิเสธทุกข์เหล่านั้น ก็จะกลายเป็นสะสม แล้วทำลายพรหมลิขิต ด้วยเหตุแห่งการใช้สารเคมีทำบาปแก่ตนเอง นั่นคือ ทำร้ายอวัยวะตน จนทำให้อยู่ไม่ถึงพรหมลิขิต
จากปฐมบทของกายวิภาค เราท่านจึงเห็นได้ว่า ทำไมต้องทานสมุนไพร ทำไมต้องหยุดยาเคมี
แค่เริ่มก็รู้แล้วว่า ทำไมโลกนี้จึงไม่มียารักษาโรค ก็เพราะมันเข้าไม่ถึงต้นเหตุแห่งโรคประการหนึ่ง ร่างกายไม่รับประการหนึ่ง จักทำได้แค่ก็เป็นเพียงระงับอาการเท่านั้นเอง
เราจึงเห็นว่า วิทยาการ ทำได้แค่ศึกษาให้รู้ แต่แก้ไขไม่ได้ ยังห่างจากธรรมชาติเยอะ
แค่เรื่องใกล้ตัว ดูจากการสกัดน้ำตาลจากอ้อย เทียบกับผึ้ง ที่ดูดจากเกสรมาเป็นน้ำผึ้ง คุณค่าก็ผิดกันไกลแล้ว
หลวงพ่อนิพนธ์ ย้อนอดีตคำสอนถึงที่มาของสมุนไพรให้ฟังเมื่อวิทยาการสมัยนี้กำลังตื่นตัวในเรื่องของอนุมูลอิสระ อันเป็นตัวเหตุ ที่วิทยาการปัจจุบัน คิดกันว่า คือ ต้นเหตุแห่งโรค
ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าอิสระ นั่นหมายความว่า ร่างกายไม่สามารถกำจัดหรือจัดการใดๆ ได้นั่นเอง
สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทรงสอนไว้ว่า เหตุแห่งที่มาที่มนุษย์ต้องทานสมุนไพร ก็เนื่องมาจาก เจ้าสารอนุมูลอิสระนี้เอง
อาหาร คือวัตถุดิบที่ร่างกายมนุษย์ใช้เพื่อการเจริญเติบโต สิ่งที่ร่างกายแยกแร่แปรธาตุจากอาหาร มีข้อจำกัด นั่นคือใช้เพื่อการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากแต่วัตถุดิบคืออาหาร ร่างกายไม่สามารถนำไปสร้างสารที่จำเป็นในการต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นเหตุแห่งโรคได้
ธรรมชาติ จึงให้สมุนไพร ที่มิได้มีคุณสมบัติที่ทานแล้ว จะถูกนำไปใช้ในเฉกเช่นอาหาร แต่เมื่อทานแล้ว มีคุณประโยชน์มหาศาลนั่นคือ ร่างกายสามารถนำไปสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของร่างกายคือโรคได้
นี่จึงเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ เพื่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ หากแต่ล้วนมีกระบวนการเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือ สมุนไพร นั่นคือ ต้องผ่านการย่อยของกระเพาะ และที่สำคัญ มีพื้นฐานองค์ประกอบที่ทำให้ร่างกายยอมรับเฉกเช่นเดียวกัน นั่นคือ ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และเหมือนกับร่างกาย
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า มนุษย์สมัยก่อนนับล้านๆปี ดำรงเผ่าพันธ์มาได้โดยวิธีใด ในเมื่อไม่มียาเคมี ไม่มีหมอ ไม่มีโรงพยาบาล แถมยังอายุยืนยาว กว่าคนที่ทานยาเคมี ในปัจจุบันเสียอีก
ประเด็นปัญหาที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น จากความรู้ที่นักวิทยาศาสตร์ หรือ วงการแพทย์ เมื่อค้นพบมาถึงจุดนี้ จึงพยายามที่จะค้นหาสารต้านอนุมูลอิสระ จากแหล่งต่างๆ แล้วสกัดมา ให้มนุษย์ทาน
แม้นว่าสารที่สกัดนั้น วิเคราะห์แล้วจะเป็นสารที่ร่างกายต้องการ หากแต่เมื่อผ่านกรรมวิธี สกัด และทานเข้าไป ก็จักพบปัญหาที่แก้ไม่ตก นั่นคือ การต่อต้านจากระบบของร่างกาย ที่ปฏิเสธสารเหล่านั้น ซึ่งก็คือ ภูมิของร่างกายนั่นเอง
การจะให้เข้าถึงแหล่งที่ต้องการเมื่อทำไม่ได้ วิทยาศาสตร์ จึงเปลี่ยนเป้าหมายจากการรักษา ไปเป็นการระงับที่ปลายเหตุแทน
ผลที่เกิด ประการแรกจากทางเลือกนี้ที่เห็นชัด คือ การที่ไม่สามารถหยุดใช้ยาเคมี หรือสารสกัดเหล่านี้ได้ เพราะต้นเหตุยังอยู่ ผลที่ตามมาก็คือ การทำลายภูมิด้วยฤทธิ์แห่งความเป็นกรด ทำให้มีผลอาการแทรกซ้อน
หากแต่ปัญหาที่รุนแรงที่สุดที่แม่ชีเมี้ยนทรงย้ำให้หลวงพ่อนิพนธิ์ เพื่อมาชี้ให้เห็นนั่นคือ เมื่อปฏิเสธอาการน้อยๆ เหล่านั้น ก็จะกลายเป็นการสะสม เหมือนกักน้ำไว้ วันใดที่ยาเคมีเอาไม่อยู่ ก็อุปมาเขื่อนแตก อาการที่ปรากฎก็จักรุนแรงสาหัส ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักเรียกว่า เอาถึงตายเลยนั่นเอง
ศาสตร์อันนี้ พระภูมีทรงตรัสรู้ สิ่งที่รู้คือ ความจริงของธรรมชาติ จึงบัญญัติเป็นธรรมหมวดสมุนไพร และบัญญัคิธรรมหมวดแรกที่สำคัญมาก นั่นคือ ธรรมหมวดตน ที่ชี้เป็นทางให้สาวกเดิน นั่นคือ "ตนเป็นที่พึ่งของตน" โดยมีหมายเหตุที่ไม่มีที่ไหนกล่าวถึง เป็นวงเล็บเล็กๆว่า เฉพาะเรื่องของชีวิต
ศาสตร์ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงทรงย้ำให้หลวงพ่อนิพนธ์ว่า จงไปปลุกปั่นพี่น้องคนไทยของเอ็ง ให้รู้ พูดให้เขาพิจารณา และย้ำหนักหนาว่า แม้นศาสตร์ของพระภูมีจักดีสักเพียงใด พระภูมีก็ทรงเล็งเห็นว่ามนุษย์ส่วนใหญ่มีกรรม ดังนั้นอย่างหวังว่าคนที่จะมาเดินตามศาสตร์อันนี้จะมากมายมหาศาล จะมีก็แต่คนเพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ที่สามารถใช้เหตุผลพิจารณา แล้วแหวกธารกระแสกรรม มาเชื่อ และทำตาม จนพ้นโรค
สิ่งที่ต้องเน้น และทรงชี้ให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ซึ่งมีเพียง ธาตุทั้งสี่่ เป็นองค์ประกอบ นั่นคือ สิ่งที่เป็นคุณแก่มนุษย์ จึงต้องมีที่มา จากธาตุทั้งสี่ นั่นคือ อาหาร และสมุนไพร เท่านั้น อันหมายความว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องปลุกปั่นนั่นคือ ภัยที่จะมาหาใช่ทางเดียวคือจากโรคไม่ ปัจจัยที่ห้า คือ สารเคมี จะก่อให้เกิดโทษมหันต์แก่มนุษย์
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายเพิ่มให้ฟังว่า โรคแต่เดิม มาแค่ทำให้เป็นทุกข์ ไม่ถึงตาย เพราะมนุษย์มีพรหมลิขิต มาให้ทุกข์ หมดแล้วก็ผ่านไป หากแต่ยาเคมี จักเป็นตัวปฏิเสธทุกข์เหล่านั้น ก็จะกลายเป็นสะสม แล้วทำลายพรหมลิขิต ด้วยเหตุแห่งการใช้สารเคมีทำบาปแก่ตนเอง นั่นคือ ทำร้ายอวัยวะตน จนทำให้อยู่ไม่ถึงพรหมลิขิต
จากปฐมบทของกายวิภาค เราท่านจึงเห็นได้ว่า ทำไมต้องทานสมุนไพร ทำไมต้องหยุดยาเคมี
แค่เริ่มก็รู้แล้วว่า ทำไมโลกนี้จึงไม่มียารักษาโรค ก็เพราะมันเข้าไม่ถึงต้นเหตุแห่งโรคประการหนึ่ง ร่างกายไม่รับประการหนึ่ง จักทำได้แค่ก็เป็นเพียงระงับอาการเท่านั้นเอง
เราจึงเห็นว่า วิทยาการ ทำได้แค่ศึกษาให้รู้ แต่แก้ไขไม่ได้ ยังห่างจากธรรมชาติเยอะ
แค่เรื่องใกล้ตัว ดูจากการสกัดน้ำตาลจากอ้อย เทียบกับผึ้ง ที่ดูดจากเกสรมาเป็นน้ำผึ้ง คุณค่าก็ผิดกันไกลแล้ว
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
เล่าให้ฟัง
หลวงพ่อนิพนธ์มักจะหยิบยก พฤติกรรมของคนไข้ ที่ประสพความสำเร็จ หรือ ประสพความล้มเหลว มาให้ฟังอยู่เสมอๆ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้พิจารณา ดูการกระทำและผลแห่งการกระทำ
คนไข้รายหนึ่งที่เป็นกรรมการ จะเรียกว่ากิติมศักดิ์ ก็ว่าได้ ด้วยความที่เขาเป็นบุคคลที่มีฐานะ ไม่ว่าทางเงินทอง หรือทางสังคม ระดับแนวหน้าของเมืองไทยคนหนึ่ง
ด้วยความเป็นคนเคร่งครัดในพุทธศาสนา ชอบที่จะทำบุญ จึงพยายามแสวงหา และกระทำทุกอย่างที่คนเขาเชื่อกันว่าทำแล้วเป็นบุญใหญ่ โดยเฉพาะการสร้างวัด สร้างโบสถ์ และที่คนสมัยนี้เขานิยมว่าสุดยอดบุญ นั่นคือ การบินไปประเทศอินเดีย เพื่อทำพิธีตามเขาว่ากัน
ด้วยความชอบนี้เอง ทำให้เธอต้องบินไปประเทศอินเดีย เพื่อทำบุญเป็นประจำทุกปี ไม่เคยขาด และอาจจะปีละหลายๆครั้งตามโอกาสที่เอื้ออำนวย จนกระทั่ง สภาพร่างกายของเธอไม่ไหว ด้วยอาการของโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
ความเป็นคนในวงสังคม ก็พยายามดิ้นรนรักษาทุกทางที่มี จนในที่สุด อาการของเธอก็มีแต่ทรงกับทรุด และหมอบอกว่าหมดทางรักษา เธอก็มาถึงหลวงพ่อนิพนธ์
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวกับเธอว่าเป็นทำนองพูดเล่นๆ ขอให้เธอมาทานสมุนไพรทุกสัปดาห์อย่าขาด สัญญาได้ไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิด ก็ต้องมา เธอก็รับปาก
หากแต่การรับปาก อาจจะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม เธอก็เริ่มทานสมุนไพร มาทุกสัปดาห์ จนผ่านไประยะหนึ่ง แม้นสภาพร่างกายจะดีขึ้น แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็เห็นแววกังวลที่ปรากฎจากเธอ
วันหนึ่งหลวงพ่อนิพนธ์จึงเอ่ยถาม เธอก็บอกว่า รู้สึกไม่สบายใจ ที่ไม่ได้บินไปอินเดีย เพื่อทำบุญ เหมือนที่เคย ใจมันก็เลยกังวล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติการสร้างวัตถุเป็นบุญ หากแต่บัญญัติการลดนิสัยเป็นบุญต่างหาก ดังนั้น พระของพระภูมีทุกพระองค์ จึงต้องมีสัญญา เพื่อผูกมัดนิสัย ไม่ให้ทำตามความอยากของตน
แลสัญญานี้เองที่ทำให้ชีวิตเหนียวแน่น รอดพ้นกรรมที่ทำมาได้ ก็ให้ลองไปไตร่ตรองว่าสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะมาทานสมุนไพรทุกสัปดาห์ จนกว่าจะหาย กับการไปอินเดีย จะเลือกอันไหน
ในที่สุดเธอก็ทำใจไม่ไปอินเดีย และมาทานสมุนไพรทุกสัปดาห์ จนบัดนี้ผ่านไปสามปีกว่า เธอก็ยังมีชีวิตปกติสุข ไม่ตายด้วยโรคมะเร็ง ตามที่หมอบอก
บทสรุปของเรื่อง หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่มาที่นี่ ด้วยความพอใจของตนเอง อยากมาก็มา อยากหยุดก็หยุด ไม่มีมาตรฐาน กฎเกณฑ์ สัญญาใดๆ ผูกมัดการกระทำของตน ดังนั้น จึงหามาตรฐานในการหายโรคไม่ได้เลย
อยากจะได้มาตรฐานการหายโรค จึงต้องอาศัยสัญญา ไม่ว่าฟ้าถล่ม ดินทลาย อะไรจะเกิด ก็จะมาเพื่อชีวิต จนกว่าจะพ้นจากวิกฤต ใครเข้ามาตรฐานนี้ได้ ก็ได้เจอมาตรฐานการหายโรค จากการใช้สมุนไพรอย่างแน่นอน
เราจึงเชื่อว่า วันใดที่หลวงพ่อนิพนธ์พร้อม กฎเกณฑ์มาตรฐานอันนี้ จะเป็นบัญญัติที่สมาชิกทุกคนต้องทำ นั่นคือ ในเวลาที่กำหนด หกเดือน หนึ่งปี ห้ามขาด ใครขาด ก็ถือว่าเลิกสัญญาต่อกัน นั่นคือขาดจากการเป็นสมาชิก
และวันนั้น เราท่านจะได้เห็นมาตรฐานของการทานสมุนไพร และมาตรฐานของการหายโรค นั่นคือ ใครทำได้ คนนั้นหายโรคอย่างแน่นอน
คนไข้รายหนึ่งที่เป็นกรรมการ จะเรียกว่ากิติมศักดิ์ ก็ว่าได้ ด้วยความที่เขาเป็นบุคคลที่มีฐานะ ไม่ว่าทางเงินทอง หรือทางสังคม ระดับแนวหน้าของเมืองไทยคนหนึ่ง
ด้วยความเป็นคนเคร่งครัดในพุทธศาสนา ชอบที่จะทำบุญ จึงพยายามแสวงหา และกระทำทุกอย่างที่คนเขาเชื่อกันว่าทำแล้วเป็นบุญใหญ่ โดยเฉพาะการสร้างวัด สร้างโบสถ์ และที่คนสมัยนี้เขานิยมว่าสุดยอดบุญ นั่นคือ การบินไปประเทศอินเดีย เพื่อทำพิธีตามเขาว่ากัน
ด้วยความชอบนี้เอง ทำให้เธอต้องบินไปประเทศอินเดีย เพื่อทำบุญเป็นประจำทุกปี ไม่เคยขาด และอาจจะปีละหลายๆครั้งตามโอกาสที่เอื้ออำนวย จนกระทั่ง สภาพร่างกายของเธอไม่ไหว ด้วยอาการของโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
ความเป็นคนในวงสังคม ก็พยายามดิ้นรนรักษาทุกทางที่มี จนในที่สุด อาการของเธอก็มีแต่ทรงกับทรุด และหมอบอกว่าหมดทางรักษา เธอก็มาถึงหลวงพ่อนิพนธ์
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวกับเธอว่าเป็นทำนองพูดเล่นๆ ขอให้เธอมาทานสมุนไพรทุกสัปดาห์อย่าขาด สัญญาได้ไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิด ก็ต้องมา เธอก็รับปาก
หากแต่การรับปาก อาจจะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม เธอก็เริ่มทานสมุนไพร มาทุกสัปดาห์ จนผ่านไประยะหนึ่ง แม้นสภาพร่างกายจะดีขึ้น แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็เห็นแววกังวลที่ปรากฎจากเธอ
วันหนึ่งหลวงพ่อนิพนธ์จึงเอ่ยถาม เธอก็บอกว่า รู้สึกไม่สบายใจ ที่ไม่ได้บินไปอินเดีย เพื่อทำบุญ เหมือนที่เคย ใจมันก็เลยกังวล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติการสร้างวัตถุเป็นบุญ หากแต่บัญญัติการลดนิสัยเป็นบุญต่างหาก ดังนั้น พระของพระภูมีทุกพระองค์ จึงต้องมีสัญญา เพื่อผูกมัดนิสัย ไม่ให้ทำตามความอยากของตน
แลสัญญานี้เองที่ทำให้ชีวิตเหนียวแน่น รอดพ้นกรรมที่ทำมาได้ ก็ให้ลองไปไตร่ตรองว่าสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะมาทานสมุนไพรทุกสัปดาห์ จนกว่าจะหาย กับการไปอินเดีย จะเลือกอันไหน
ในที่สุดเธอก็ทำใจไม่ไปอินเดีย และมาทานสมุนไพรทุกสัปดาห์ จนบัดนี้ผ่านไปสามปีกว่า เธอก็ยังมีชีวิตปกติสุข ไม่ตายด้วยโรคมะเร็ง ตามที่หมอบอก
บทสรุปของเรื่อง หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่มาที่นี่ ด้วยความพอใจของตนเอง อยากมาก็มา อยากหยุดก็หยุด ไม่มีมาตรฐาน กฎเกณฑ์ สัญญาใดๆ ผูกมัดการกระทำของตน ดังนั้น จึงหามาตรฐานในการหายโรคไม่ได้เลย
อยากจะได้มาตรฐานการหายโรค จึงต้องอาศัยสัญญา ไม่ว่าฟ้าถล่ม ดินทลาย อะไรจะเกิด ก็จะมาเพื่อชีวิต จนกว่าจะพ้นจากวิกฤต ใครเข้ามาตรฐานนี้ได้ ก็ได้เจอมาตรฐานการหายโรค จากการใช้สมุนไพรอย่างแน่นอน
เราจึงเชื่อว่า วันใดที่หลวงพ่อนิพนธ์พร้อม กฎเกณฑ์มาตรฐานอันนี้ จะเป็นบัญญัติที่สมาชิกทุกคนต้องทำ นั่นคือ ในเวลาที่กำหนด หกเดือน หนึ่งปี ห้ามขาด ใครขาด ก็ถือว่าเลิกสัญญาต่อกัน นั่นคือขาดจากการเป็นสมาชิก
และวันนั้น เราท่านจะได้เห็นมาตรฐานของการทานสมุนไพร และมาตรฐานของการหายโรค นั่นคือ ใครทำได้ คนนั้นหายโรคอย่างแน่นอน
สร้างความมั่นใจ
ช่วงต้นสัปดาห์ ปู่น้อย น้องนายกตานส่วย ที่หลังผ่านการทานสมุนไพรมาประมาณ ๔ เดือน บินมาจากย่างกุ้งไม่พอ ยังขับรถเอง เพื่อมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ชวนไปดูที่และโอนที่ให้หลวงพ่อนิพนธ์
พร้อมกับอาคาร ๕ หลัง ที่กำลังจะแล้วเสร็จ โดยกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ชีวิตใหม่ที่ได้มาของตนและครอบครัว ท่านเป็นผู้ให้ ที่ดินนี้และโครงการที่สร้างขึ้นนี้ มีวัตถุประสงค์ อย่างแรกคือ ตระกูลของเขาได้ตอบแทนหลวงพ่อนิพนธ์ ประการที่สองคือ ตระกูลของเขาได้คืนให้กับประชาชนพม่าบ้าง เรียกว่า เงินทองที่ตระกูลของเขาได้มา จะเรียกเงินบาปก็ว่าได้ โครงการนี้ถือว่าเป็นการไถ่บาปของตระกูลเขาที่ทำกับประชาชนพม่า
หากหลวงพ่อนิพนธ์ตัดสินใจมาทำโครงการที่ทวาย คนในตระกูลของเขาได้เดินเรื่องกับกระทรวงสาธารณสุขเป็นที่เรียบร้อย ยินดีที่จะจัดตั้งโรงพยาบาล อย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์มุ่งหวังให้เกิด ที่ไม่สามารถเกิดในประเทศไทยให้
พร้อมกันนี้ หลังจากปู่น้อย พานายทหาร นักการเมือง และนักธุรกิจชั้นนำของพม่า กว่าสี่สิบชีวิต มายืนยันในการสนับสนุนกับโครงการของหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อเดือนก่อนไปแล้วนั้น ก็เกรงว่าหลวงพ่อนิพนธ์อาจยังไม่มั่นใจ
วันพฤหัสที่ผ่านมา ปู่น้อย ขับรถเอง จึงนำพามือขวาของนายกรัฐมนตรี เต็งเส่ง มายืนยันอีกครั้ง ถึงชมรมคนรักสุขภาพ
เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า รัฐบาลพม่าให้การสนับสนุนในการสร้างโรงพยาบาลสมุนไพรอย่างเต็มที่
ฝั่งทางนายกเต็งเส่ง ส่งมือขวามาในวันนี้ หลังจากฝั่งทาง นางอองซาน ส่งคนสนิท ที่เป็น ส.ว.รัฐทวาย มาก่อนหน้า พร้อมทั้ง ช่วงปลายปี ทหารพม่ามีการสับเปลี่ยนกำลัง ก็ให้นายทหารระดับแม่ทัพน้อย ทุกเหล่าทัพ เดินทางมาเยือนถึงชมรมคนรักสุขภาพ เพื่อทำความรู้จักกับหลวงพ่อนิพนธ์ และช่วยทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวก ในการดำเนินกิจกรรม
พม่าเขาทุ่มสุดตัวขนาดนี้ เราก็คิดว่า ถึงวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์คงยากจะปฏิเสธแล้ว
ยิ่งทางพม่ารู้ว่า หลวงพ่อนิพนธ์ดำเนินกิจกรรมอย่างยากลำบากเพียงใดในประเทศไทย ก็ใช้จุดเหล่านี้เป็นจุดแข็งในการเชิญชวน ไม่ว่า ด้านกฎหมาย ด้านนักการเมือง และที่สำคัญ ด้านทรัพยากรที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรม พม่าก็ยื่นเงือนไขที่จะจัดหาให้ โดยหลวงพ่อนิพนธ์ไม่ต้องแสวงหาหรือดิ้นรนใดๆ เช่นที่ดำเนินกิจกรรมในประเทศไทย
เรียกว่าไปแต่ตัว เพราะสถานะตอนนี้ ทางรัฐบาลพม่าเล็งเห็นแล้วว่า หลวงพ่อนิพนธ์จะเป็นผู้ที่สามารถทำให้ สิ่งที่รัฐบาลทำไม่ได้ ประสพความสำเร็จ นั่นคือ สุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะรัฐทวาย ถือว่าเป็นรัฐที่ขาดแคลนที่สุด อันเนื่องมาจากขาดงบประมาณนั่นเอง
ปู่น้อย ยังเรียนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า เมื่อครั้งก่อนที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้ไปเยือนย่างกุ้ง และได้จัดสมุนไพรให้คนสำคัญของพม่าคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อทานแล้วอาการดีขึ้นเป็นลำดับ และได้แจ้งแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า หากต้องการเปิดสาขาที่ย่างกุ้ง เขายินดียกตึกหลังใหญ่ของเขาให้เป็นที่ทำการ แต่หลวงพ่อนิพนธ์รับฟังแล้วก็เฉย
วันนี้ เขาจึงฝากปู่น้อยมาเรียนหลวงพ่อนิพนธ์อีกครั้งว่า เขายังยืนยันความคิดเดิม อยากให้หลวงพ่อนิพนธ์พิจารณาอีกครั้ง
ดูแล้วมันน่าเย้ายวน ชวนให้ไปเสียนี่กะไร หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็มักกล่าวเสมอว่า เสียดายและอยากให้เกิดในประเทศไทย เพราะชาตินี้เกิดบนผืนแผ่นดินไทย และมีคนใกล้ชิด มิตรสหาย ในเมืองไทย หากไปแล้วคนเหล่านี้ก็จะลำบาก
ก็ไม่รู้ว่าจะยื้อได้อีกนานเท่าไหร่ จนคำพ้อนี้ ออกมาจาก อ.อร่าม พูดในห้องสวดมนต์ เพื่อกระตุ้น พี่น้องคนไทย ให้ช่วยกันยื้อ แต่ก็ดูแล้วยาก ... ดั่งคำที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า คนไทยเห็นของสิ่งนี้แล้ว วางเฉย ทำตัวเป็นไทยเฉย ...
ก็อดใจรอ มีนาคมนี้ก็คงรู้ผล ว่าคำพิพากษาจะเป็นเช่นไร ก็เตรียมใจกันเผื่อไว้บ้าง เพราะตอนอยู่ใกล้วางเฉย ทีนี้อยากได้ก็ต้องดิ้นรนไปพม่ากันแล้ว
พร้อมกับอาคาร ๕ หลัง ที่กำลังจะแล้วเสร็จ โดยกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ชีวิตใหม่ที่ได้มาของตนและครอบครัว ท่านเป็นผู้ให้ ที่ดินนี้และโครงการที่สร้างขึ้นนี้ มีวัตถุประสงค์ อย่างแรกคือ ตระกูลของเขาได้ตอบแทนหลวงพ่อนิพนธ์ ประการที่สองคือ ตระกูลของเขาได้คืนให้กับประชาชนพม่าบ้าง เรียกว่า เงินทองที่ตระกูลของเขาได้มา จะเรียกเงินบาปก็ว่าได้ โครงการนี้ถือว่าเป็นการไถ่บาปของตระกูลเขาที่ทำกับประชาชนพม่า
หากหลวงพ่อนิพนธ์ตัดสินใจมาทำโครงการที่ทวาย คนในตระกูลของเขาได้เดินเรื่องกับกระทรวงสาธารณสุขเป็นที่เรียบร้อย ยินดีที่จะจัดตั้งโรงพยาบาล อย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์มุ่งหวังให้เกิด ที่ไม่สามารถเกิดในประเทศไทยให้
พร้อมกันนี้ หลังจากปู่น้อย พานายทหาร นักการเมือง และนักธุรกิจชั้นนำของพม่า กว่าสี่สิบชีวิต มายืนยันในการสนับสนุนกับโครงการของหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อเดือนก่อนไปแล้วนั้น ก็เกรงว่าหลวงพ่อนิพนธ์อาจยังไม่มั่นใจ
วันพฤหัสที่ผ่านมา ปู่น้อย ขับรถเอง จึงนำพามือขวาของนายกรัฐมนตรี เต็งเส่ง มายืนยันอีกครั้ง ถึงชมรมคนรักสุขภาพ
เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า รัฐบาลพม่าให้การสนับสนุนในการสร้างโรงพยาบาลสมุนไพรอย่างเต็มที่
ฝั่งทางนายกเต็งเส่ง ส่งมือขวามาในวันนี้ หลังจากฝั่งทาง นางอองซาน ส่งคนสนิท ที่เป็น ส.ว.รัฐทวาย มาก่อนหน้า พร้อมทั้ง ช่วงปลายปี ทหารพม่ามีการสับเปลี่ยนกำลัง ก็ให้นายทหารระดับแม่ทัพน้อย ทุกเหล่าทัพ เดินทางมาเยือนถึงชมรมคนรักสุขภาพ เพื่อทำความรู้จักกับหลวงพ่อนิพนธ์ และช่วยทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวก ในการดำเนินกิจกรรม
พม่าเขาทุ่มสุดตัวขนาดนี้ เราก็คิดว่า ถึงวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์คงยากจะปฏิเสธแล้ว
ยิ่งทางพม่ารู้ว่า หลวงพ่อนิพนธ์ดำเนินกิจกรรมอย่างยากลำบากเพียงใดในประเทศไทย ก็ใช้จุดเหล่านี้เป็นจุดแข็งในการเชิญชวน ไม่ว่า ด้านกฎหมาย ด้านนักการเมือง และที่สำคัญ ด้านทรัพยากรที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรม พม่าก็ยื่นเงือนไขที่จะจัดหาให้ โดยหลวงพ่อนิพนธ์ไม่ต้องแสวงหาหรือดิ้นรนใดๆ เช่นที่ดำเนินกิจกรรมในประเทศไทย
เรียกว่าไปแต่ตัว เพราะสถานะตอนนี้ ทางรัฐบาลพม่าเล็งเห็นแล้วว่า หลวงพ่อนิพนธ์จะเป็นผู้ที่สามารถทำให้ สิ่งที่รัฐบาลทำไม่ได้ ประสพความสำเร็จ นั่นคือ สุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะรัฐทวาย ถือว่าเป็นรัฐที่ขาดแคลนที่สุด อันเนื่องมาจากขาดงบประมาณนั่นเอง
ปู่น้อย ยังเรียนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า เมื่อครั้งก่อนที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้ไปเยือนย่างกุ้ง และได้จัดสมุนไพรให้คนสำคัญของพม่าคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อทานแล้วอาการดีขึ้นเป็นลำดับ และได้แจ้งแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า หากต้องการเปิดสาขาที่ย่างกุ้ง เขายินดียกตึกหลังใหญ่ของเขาให้เป็นที่ทำการ แต่หลวงพ่อนิพนธ์รับฟังแล้วก็เฉย
วันนี้ เขาจึงฝากปู่น้อยมาเรียนหลวงพ่อนิพนธ์อีกครั้งว่า เขายังยืนยันความคิดเดิม อยากให้หลวงพ่อนิพนธ์พิจารณาอีกครั้ง
ดูแล้วมันน่าเย้ายวน ชวนให้ไปเสียนี่กะไร หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็มักกล่าวเสมอว่า เสียดายและอยากให้เกิดในประเทศไทย เพราะชาตินี้เกิดบนผืนแผ่นดินไทย และมีคนใกล้ชิด มิตรสหาย ในเมืองไทย หากไปแล้วคนเหล่านี้ก็จะลำบาก
ก็ไม่รู้ว่าจะยื้อได้อีกนานเท่าไหร่ จนคำพ้อนี้ ออกมาจาก อ.อร่าม พูดในห้องสวดมนต์ เพื่อกระตุ้น พี่น้องคนไทย ให้ช่วยกันยื้อ แต่ก็ดูแล้วยาก ... ดั่งคำที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า คนไทยเห็นของสิ่งนี้แล้ว วางเฉย ทำตัวเป็นไทยเฉย ...
ก็อดใจรอ มีนาคมนี้ก็คงรู้ผล ว่าคำพิพากษาจะเป็นเช่นไร ก็เตรียมใจกันเผื่อไว้บ้าง เพราะตอนอยู่ใกล้วางเฉย ทีนี้อยากได้ก็ต้องดิ้นรนไปพม่ากันแล้ว
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
รางวัล
รางวัลเทพทอง เป็นรางวัลเกียรติยศของบุคลากรและองค์กรต่างๆในแวดดวงวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ที่มีผลงานดี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศเกียรติคุณแก่บุคคลและองค์กร ในแวดวงวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ที่มีความสำนึกในการจัดรายการ ใช้และพูดภาษาไทยได้ถูกต้อง พร้อมทั้งสนับสนุนการผลิตรายการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ เพื่อคงไว้ซึ่งวัฒนธรรม ประเพณี ตลอดจนการเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเมือง การปกครอง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของสังคมไทย รางวัลเทพทองถือเป็นรางวัลที่เป็นกำลังใจ เพื่อส่งเสริมและยกระดับการจัดและการผลิตรายการ ให้มีคุณค่าต่อสังคม ยิ่งๆ ขึ้นไป
รางวัลเทพทอง เป็นรางวัลที่สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์จัดขึ้นโดยมีสองประเภท คือ
รางวัลเทพทองประเภทบุคคล มอบให้กับนัดจัดรายการ พิธีกร และผู้ผลิตรายการผู้ที่มีผลงานดีเด่นในแต่ละปี
รางวัลเทพทองประเภทองค์กร มอบให้กับองค์กรที่มีผลงานผลิตรายการดีเด่น และองค์กรที่ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ อันก่อให้เกิดการสร้างสรรค์สังคม
วันที่ ๑๓ กุมภา นี้ สมาคมวิทยุกระจายเสียงฯ ร้องขอให้หลวงพ่อนิพนธ์ ไปรับรางวัลเทพทอง ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้ปฏิเสธ เพราะไม่เคยมุ่งหวังในสิ่งนี้
หากแต่ก็เป็นภาคบังคับ เพราะทางสมาคมแจ้งว่า รางวัลนี้เป็นรางวัลพระราชทานจากในหลวงเป็นกรณีพิเศษ จึงทำให้ปฏิเสธไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า รางวัล ไม่มีประโยชน์อันใดแก่คนไทยเลย คนที่ควรมองเห็นและมีอำนาจในการช่วยเหลือคนไทย ให้มีโอกาสได้มีทางเลือก กลับปฏิเสธไม่ยอมมอง ไม่ยอมช่วย ช่างน่าเสียดายสิ่งดีๆที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ทดแทนคุณแผ่นดินยิ่งนัก
ในขณะที่ประเทศพม่า กลับเห็นค่า เร่งเร้า สนับสนุนทุกรูปแบบ และในสัปดาห์นี้ ก็เชิญหลวงพ่อนิพนธ์ไปดูความคืบหน้า การสร้างอาคาร ๕ หลัง ที่ใกล้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์
นอกจากนี้ ก็ใส่ใจรายละเอียด อาทิ พื้นที่ที่จัดให้ เกือบสามพันไร่ ไกลไปไหม เกรงว่าหลวงพ่อนิพนธ์จะไม่ชอบ ก็จัดพื้นที่อีก กว่าห้าร้อยไร่ ที่อยู่ติดถนนของอิตัลไทย มีแหล่งน้ำ เสริมเข้ามาอีก เชื้อเชิญให้ไปดูและรับมอบ ในสัปดาห์นี้ด้วย
ในขณะที่ประเทศไทย ทำได้แค่ให้รางวัล แต่ประเทศพม่า ที่ใครเรียกว่าบ้านป่าเมืองเถื่อน ยอมประชุมสภานัดพิเศษ ทั้งฝ่ายรัฐบาล นายพลเต็งเส่ง และ ฝ่ายค้าน นาง อองซาน เพื่อผ่านกฎหมายพิเศษ เพื่อสนับสนุนโครงการนี้ โดยจัดให้รัฐทวาย ที่รวมจังหวัด ทวาย มะริด เกาะสน เกาะสอง เป็นรัฐนำร่อง ในการรณรงค์ให้ประชาชนใช้ทางเลือกสมุนไพร และจัดทำโครงการฟื้นฟู ทั้งผู้ป่วยยาเสพติด และผู้ป่วยเอดส์ รวมทั้งอนุมัติการตั้งโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย (สมุนไพร)
หากแต่ความอาลัยในพี่น้องชาวไทย หลวงพ่อนิพนธ์ก็พยายามยื้อสิ่งดีๆนี้ให้อยู่ในประเทศไทย แต่ก็คงได้ไม่นาน เพราะเดือนหน้า โครงการที่ทวายก็แล้วเสร็จ
ความเห็นของเรา วันงานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน จึงเป็นวันที่หลวงพ่อนิพนธ์ต้องตัดสินใจว่า จะเดินทางไหน ... ได้แต่ภาวนาว่า แม้นจะต้องข้ามไปทำทีพม่า แผ่นดินไทยที่จักเป็นที่พึ่งผืนนี้ จะยังคงอยู่
เห็นคนไทยรวมหมู่ไปเรียกร้องอะไรต่ออะไรกันมากมาย แต่ไม่เห็นรวมหมู่มารักษาสิ่งดีๆนี้ไว้ในประเทศไทย หรือ รักษาที่ยืนให้คงไว้ในประเทศไทยเลย ... ช่างน่าเสียดายนัก
วันใดที่เสียไป แล้วจะรู้ว่า เราคนไทย เสียสิ่งที่ดีที่สุดในโลกไป ก็สายเสียแล้ว
ประกาศ งานทำบุญแม่ชีเมี้ยน มีนาคม 2557 นี้
ในขณะที่วันอาทิตย์ และวันพฤหัส ก็ยังให้บริการเหมือนเดิม
โดยจะมีการสวดมนต์ในคืนวันจันทร์ที่ ๑๗ มีนาคม และแจกสมุนไพรให้ในวันอังคารที่ ๑๘ มีนาคม
จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
จุดเริ่มแห่งความสำเร็จในการช่วยตน
หากบุคคลใด มีพื้นฐานข้อนี้ หรือสร้างพื้นฐานข้อนี้ได้แล้วไซร้ การมาใช้แนวทางเลือกสมุนไพร ย่อมประสพผลอย่างแน่นอน
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า ด้วยจุดเริ่มนี้เอง จะทำให้ผู้ที่มาใช้ทางเลือกนี้ เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนได้รับ และด้วยแรงแห่งกตัญญูนี้เอง ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงตน เรียนรู้ และทำตาม เพื่อให้ผู้ให้ไม่เสียผลเปล่านั่นเอง
ผู้นำจึงเป็นผู้เริ่ม แสดงตนให้เห็น ด้วยความเสียสละ นั่นคือ เหตุผลที่หลวงพ่อนิพนธ์ต้องพยายามดิ้นรน หาสมุนไพรมาให้เราท่านทาน
หากแต่วันหนึ่ง เมื่อผู้ทานเริ่มมีองค์ความรู้ ความเข้าใจ และรู้ผลแห่งการกตัญญู ภาพของการดำรงอยู่ของกิจกรรม ก็จะเปลี่ยนไป เป็นเฉกเช่นเดียวกับเมื่อครั้งพุทธกาล
นั่นคือ ผู้มา จักเป็นผู้นำวัตถุดิบกันมาใส่ในโรงทาน ให้ทั้งตัวเอง และเหลือเป็นทาน แสดงตนเป็นผู้ให้ และด้วยแรงแห่งความกตัญญู ก็พยายามทำตน มีขันติ มานะ อดทนในการทานสมุนไพร มีการลดพฤติกรรมบางสิ่งบางอย่าง และเปลี่ยนมาทำพฤติกรรมที่พระภูมีบัญญัติ นั่นคือ พยายามช่วยตนให้ถึงฝั่ง เพื่อตอบแทนน้ำใจของผู้ทำ รวมเลยไปถึง แม่ชีเมี้ยนผู้นำแนวทางนี้มา และพระภูมี ผู้บัญญัติหนทางนี้ขึ้น
แรงกตัญญู ที่จะไม่ทำให้ผู้ให้ผิดหวัง ก็จักทำให้เกิดปาฏิหารย์ พ้นโรคภัยได้ ไม่ว่าโรคใด ร้างแรงเพียงไหน และผลที่สุด ผู้มีกตัญญู ก็จะกลายมาเป็นเนื้อเดียวกับพระภูมี นั่นคือ คนดี
คนอกตัญญู จึงเป็นหมู่คนที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียกหาว่า พวกมากินเล่น กินทิ้ง กินขว้าง เบื่อก็เลิก หากใช้คำให้แรงกว่านั้น ก็เรียกว่า พวกอกตัญญู ไม่รู้คุณ ... คนจำพวกนี้ นอกจากช่วยตนไม่ได้ ยังเป็นพวกที่ต้องหลีกรี้ หนีให้ไกล หากอยู่ในหมู่เรา ก็ต้องทำใจ อุเบกขา สถานเดียว
จุดพลิกผันที่จะทำให้หายโรคหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับพฤติกรรม ความนึกคิด สมุนไพรเป็นเพียงองค์ประกอบ
พูดให้ฟังง่าย นั่นคือ การเกิดและหายของโรค ล้วนมีที่มาคือ อำนาจ โรคเป็นผลจากอำนาจกรรม การหายโรคเป็นผลจากอำนาจธรรม
ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักย้ำว่า ยาเคมี จึงไม่มีทางรักษาโรคได้ อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมที่อุปโลกว่าเป็นตามธรรมคำสั่งสอนของพระภูมี ที่กลาดเกลื่อนกัน อ้างว่าเป็นบุญ แท้จริงหาใช่ไม่ ดังนั้น เมื่อทำแล้วจึงไม่มีบุญมาเลี้ยงตน จึงไม่แปลก ที่แม้นแต่พระ ก็ยังเป็นโรค ก็เพราะ ทำผิดพุทธบัญญัตินั่นเอง
คำสอนของแม่ชีเมี้ยนที่ทรงตรัสไว้ในอดีตถ้ำกระบอก ที่ทรงยืนยันว่า พระและสาวกของพระภูมี เมื่อปฏิบัติธรรมของพระภูมีแล้ว ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นดอก เพราะสัญญลักษณ์ของธรรม คือ ความสุข คนเป็นโรคจะสุขได้อย่างไร ผู้ประพฤติธรรม เป็นผู้มีบุญ แลบุญชนะกรรม ซื้อกรรมได้ โรคจะมาเกาะกินผู้ประพฤติธรรมไม่ได้เป็นอันขาด
และด้วยเอกลักษณ์อันนี้ ทำให้คนทั้งโลกแม้นไม่ชอบที่จะทำหลักของพระภูมี ที่ทำยาก แต่ก็ต้องยอมรับ และเล่าขานต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย ส่วนคนที่ทำได้ ก็ไปนิพพานหมดแล้ว ไม่มีมายืนยันให้เห็น
พระของแม่ชีเมี้ยน นับแต่ถ้ำกระบอก มาจนถึงพระของหลวงพ่อนิพนธ์ที่เปิดสำนักอีกครั้งเมื่อปี ๓๐ ส่วนใหญ่ที่มาบวช ล้วนแล้วแต่เป็นพระป่วย ที่มาบวช และหายโรค เป็นเครื่องยืนยัน ในคำตรัสของแม่ชีเมี้ยนได้เป็นอย่างดี
เสียดายก็แต่ ปัจจุบัน หลวงพ่อนิพนธ์ไม่มีเวลาให้ จนต้องตัดภาระในการบวชพระไปก่อน ทำให้ช่องทางคนป่วย ที่จะใช้แนวทางนี้ต้องสะดุดลง หากแต่พระป่วยรุ่นสุดท้าย ที่ใช้แนวทางนี้ ก็ดูได้จากคุณชา หัวหน้าหน่วยสมุนไพร ที่เป็นโรคหัวใจรุนแรง ออกกำลังไม่ได้ หลวงพ่อนิพนธ์ให้บวชและเดินธุดงค์ จนหายโรคหัวใจ ไม่ต้องผ่าตัดใดๆ และสึกออกมาเป็นหัวหน้าแผนกสมุนไพรจนทุกวันนี้
นี่คือจุดตาย ของแนวทางนี้ ... อยากหายแน่นอน ก็เริ่มสร้างตัวกตัญญูขึ้นมาในจิตใจ .... รับรองไม่พลาด
จึงไม่แปลกใจ ว่าทำไมพระภูมีจึงบัญญัติ ธรรมหมวด อุเบกขา ขึ้นมา เพื่อใช้กับคนบางหมู่ ผู้ปฏิบัติ ที่มีใจอยากช่วย จิตใจจะได้ไม่เศร้าหมอง เพราะคนเหล่านั้น ดิบเกิน
วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ฟังรู้
องค์ประกอบที่สำคัญ ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักบอกกล่าวย้ำเตือนเสมอ นั่นคือ การฟัง
เพราะผลผิดถูก หรือแพ้ชนะ ย่อมเกิดจากการกระทำที่ผิดถูก นั่นเอง แลการกระทำที่ทำ ย่อมเป็นผลสืบเนื่องจากความคิดความเข้าใจ และนำไปพิจารณา เพื่อสั่งให้ตนของตนกระทำ
จึงเห็นได้ว่า หลวงพ่อนิพนธ์ไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะพูด แม้นจะพูดหลายๆ รอบก็ตาม และทุกวัน
หลายคนถามว่าทำไมไม่อัดเทป แล้วเปิดให้ฟัง คำอธิบายที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ก็คือ นั่นมันของตาย ของตายไม่มีฤทธิ์ ช่วยอะไรใครไม่ได้ การพูดสด เป็นของเป็นที่เกิดจากความเมตตา คุณธรรม เกิดผลทั้งผู้ให้และผู้รับ
เมื่อจุดเริ่มของผลแพ้ชนะ ผู้ใดไม่ฟัง การกระทำก็ไร้ผล ไม่ต้องใช้หมดดู ก็ทายผลได้เลย เข้าข่ายประเภทที่หลวงพ่อนิพนธ์จัดว่าพวกกินเล่น ทำใจได้เลยว่า เสียเปล่า
หากแต่อยากฟัง อยากรู้ ควรจะทำตนให้มีที่ว่างเปล่าในสมอง เตรียมรับสิ่งใหม่ เหมือน นักเรียนที่มาเรียนนั่นเอง
เมื่อฟังรู้ พฤติกรรมเราท่านก็จะเปลี่ยนไปในแนวทางของพระภูมีทีละน้อย เมื่อเริ่มทำก็จะคุ้นเคย แม้นทำแล้วจะทุกข สติที่เกิดจากเหตุผลก็จะย้ำเตือนให้อดทน
เรียกว่าอุปสรรคใหญ่นั่นคือ การทำใจยอมรับเหตุและผล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่าง คุณหมอ ๒ ท่าน ที่มาฟัง แล้วยอมรับ ก็ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสอนที่ได้ยินได้ฟัง เพื่อช่วยตน นั่นคือ ต้องลดทิฐิมานะของตน ลงอย่างมหาศาล
หมอท่านแรก ที่เป็นหมอรักษามะเร็ง แต่ตัวเองยามเป็นมะเร็ง ก็แก้ไขตัวเองไม่ได้ เมื่อมาใช้แนวทางนี้ ก็ใช้มานะอดทน ยืนหยัดทานสมุนไพร และยังทำตนให้สุขแก่ผู้อื่น ขนมะพร้าวมาให้ทุกสัปดาห์ ตามกำลัง และยังทำหน้าที่เผามะพร้าวให้คนไข้อื่นๆทานด้วย ... ผ่านเดือนปี หมอก็ช่วยตนจนหายมะเร็งจากแนวทางนี้ได้
หมออีกท่าน เป็นหมอจักษุแพทย์มือต้นๆ ของประเทศ ประสพปัญหาตา ก็แก้ให้ตนไม่ได้ ปรึกษาอาจารย์ของตน ที่เป็นจักษุแพทย์ระดับโลก ก็ส่ายหน้า มาวันนี้ หมอมาใช้แนวทางสมุนไพร ก็ทำตนเป็นประโยชน์ ดูแลคนเข้ากระโจม ทำความสะอาดกระโจม สภาพของตนดีขึ้น เห็นคุณค่าในแนวทางนี้ หมอก็เริ่มพาคุณแม่มา ญาติๆมา จนปัจจุบัน นั่งมาเต็มรถ ๖ คน
๑๔ คนฟังรู้ ฟังเข้าใจ นั่นหมายความว่า ทางหลุดพ้นจากโรค ก็คือการทำตนเป็นพระเวสสันดร ให้สุขแก่ผู้อื่น จึงไม่แปลกว่า ทำไมหมอทั้งสอง ยอมเก็บความรู้ของตน ไม่นำมาใช้ที่นี่ แล้วใช้ความรู้พระภูมีที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน และทำตาม ... ผลของการเป็นพระเวสสันดร ทำให้หมอทั้งสอง แก้ไขฟื้นฟูช่วยตนเองได้
ก็ขนาดคนทั้งสองเป็นหมอ ยังลดตนมาล้างกระโจม นั่งปลอกมะพร้าว เผามะพร้าว ให้ใครที่ไม่รู้จักได้
หลายคน เราก็ไม่เห็นว่าจะมีสถานะอันใดมากมาย กลับนิ่งเฉย ...
จึงคิดว่าเหตุแห่งการนิ่งเฉย เพราะคนเหล่านั้น คิดแต่พึ่งผู้อื่น เมื่อมาสถานที่นี้ ก็คิดแต่พึ่งสมุนไพร จึงปิดกั้น ไม่ยอมฟังคำสอน เมื่อไม่ฟัง ก็ไม่มีสิ่งใดให้พิจารณา และต้องทำ เพื่อช่วยตน ...
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงย้อนอดีต แม่ชีเมี้ยน ทรงตรัสให้ฟังว่า เด็กจะรู้หนังสือ ก็ต้องมีครูสอนฉันใด การช่วยตนก็ต้องอาศัยผู้รู้สอนฉันนั้น จะมาแบบรู้ได้ด้วยตนเอง ทำเอง เป็นไปไม่ได้ ... เมื่อไม่มีความรู้ สิ่งทีทำจะมุ่งหวังผลในการทำ ย่อมเป็นไปได้ยากยิ่ง หรือ เป็นไปไม่ได้เลย
นี่จึงเป็นหลักในการเลือกคบคน หรือดูคนอย่างหนึ่งที่ศาสนาสอนไว้ คนใดที่แม้นแต่ตนเองยังไม่คิดช่วยตน ต้องหลีกหนีให้ไกลคนประเภทนี้ จะหวังให้เขามาช่วยเราเป็นไปไม่ได้แน่ คนที่บอกว่ารัก แต่ยามที่เราต้องช่วยตน กลับชักชวนให้กระทำในสิ่งที่ทำลายตน คนนั้นยิ่งน่ากลัว
หากเราท่าน กำลังอยู่ในกรรมฐาน คนที่รักเรา ต้องส่งเสริมเราให้ดำรงกรรมฐานอันนั้นได้ หากแต่มาทำให้กรรมฐานเราแตก ชวนเราคุย ชวนเราเล่น เมื่อกรรมฐานเสีย นั่นคือ ชีวิตที่จะแตกดับตาม จะเรียกคนที่ทำให้ชีวิตเราแตกดับว่าเป็นคนที่รักเราได้หรือ
เราจึงเห็นว่า อ้ายคนที่บอกรักท่าน กำลังฆ่าท่านอย่างเลือดเย็น นั่นคือ เชือดด้วยรอยยิ้ม แล้วพาท่านไปลงนรก
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักให้สติว่า "เวลาทุกข์ ทุกข์คนเดียว เวลาเจ็บ เจ็บคนเดียว ใครก็ช่วยไม่ได้"
หลายคนเบื่อที่จะฟัง แต่สำหรับเราฟังไม่รู้เบื่อ
เพราะผลผิดถูก หรือแพ้ชนะ ย่อมเกิดจากการกระทำที่ผิดถูก นั่นเอง แลการกระทำที่ทำ ย่อมเป็นผลสืบเนื่องจากความคิดความเข้าใจ และนำไปพิจารณา เพื่อสั่งให้ตนของตนกระทำ
จึงเห็นได้ว่า หลวงพ่อนิพนธ์ไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะพูด แม้นจะพูดหลายๆ รอบก็ตาม และทุกวัน
หลายคนถามว่าทำไมไม่อัดเทป แล้วเปิดให้ฟัง คำอธิบายที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ก็คือ นั่นมันของตาย ของตายไม่มีฤทธิ์ ช่วยอะไรใครไม่ได้ การพูดสด เป็นของเป็นที่เกิดจากความเมตตา คุณธรรม เกิดผลทั้งผู้ให้และผู้รับ
เมื่อจุดเริ่มของผลแพ้ชนะ ผู้ใดไม่ฟัง การกระทำก็ไร้ผล ไม่ต้องใช้หมดดู ก็ทายผลได้เลย เข้าข่ายประเภทที่หลวงพ่อนิพนธ์จัดว่าพวกกินเล่น ทำใจได้เลยว่า เสียเปล่า
หากแต่อยากฟัง อยากรู้ ควรจะทำตนให้มีที่ว่างเปล่าในสมอง เตรียมรับสิ่งใหม่ เหมือน นักเรียนที่มาเรียนนั่นเอง
เมื่อฟังรู้ พฤติกรรมเราท่านก็จะเปลี่ยนไปในแนวทางของพระภูมีทีละน้อย เมื่อเริ่มทำก็จะคุ้นเคย แม้นทำแล้วจะทุกข สติที่เกิดจากเหตุผลก็จะย้ำเตือนให้อดทน
เรียกว่าอุปสรรคใหญ่นั่นคือ การทำใจยอมรับเหตุและผล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่าง คุณหมอ ๒ ท่าน ที่มาฟัง แล้วยอมรับ ก็ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสอนที่ได้ยินได้ฟัง เพื่อช่วยตน นั่นคือ ต้องลดทิฐิมานะของตน ลงอย่างมหาศาล
หมอท่านแรก ที่เป็นหมอรักษามะเร็ง แต่ตัวเองยามเป็นมะเร็ง ก็แก้ไขตัวเองไม่ได้ เมื่อมาใช้แนวทางนี้ ก็ใช้มานะอดทน ยืนหยัดทานสมุนไพร และยังทำตนให้สุขแก่ผู้อื่น ขนมะพร้าวมาให้ทุกสัปดาห์ ตามกำลัง และยังทำหน้าที่เผามะพร้าวให้คนไข้อื่นๆทานด้วย ... ผ่านเดือนปี หมอก็ช่วยตนจนหายมะเร็งจากแนวทางนี้ได้
หมออีกท่าน เป็นหมอจักษุแพทย์มือต้นๆ ของประเทศ ประสพปัญหาตา ก็แก้ให้ตนไม่ได้ ปรึกษาอาจารย์ของตน ที่เป็นจักษุแพทย์ระดับโลก ก็ส่ายหน้า มาวันนี้ หมอมาใช้แนวทางสมุนไพร ก็ทำตนเป็นประโยชน์ ดูแลคนเข้ากระโจม ทำความสะอาดกระโจม สภาพของตนดีขึ้น เห็นคุณค่าในแนวทางนี้ หมอก็เริ่มพาคุณแม่มา ญาติๆมา จนปัจจุบัน นั่งมาเต็มรถ ๖ คน
๑๔ คนฟังรู้ ฟังเข้าใจ นั่นหมายความว่า ทางหลุดพ้นจากโรค ก็คือการทำตนเป็นพระเวสสันดร ให้สุขแก่ผู้อื่น จึงไม่แปลกว่า ทำไมหมอทั้งสอง ยอมเก็บความรู้ของตน ไม่นำมาใช้ที่นี่ แล้วใช้ความรู้พระภูมีที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน และทำตาม ... ผลของการเป็นพระเวสสันดร ทำให้หมอทั้งสอง แก้ไขฟื้นฟูช่วยตนเองได้
ก็ขนาดคนทั้งสองเป็นหมอ ยังลดตนมาล้างกระโจม นั่งปลอกมะพร้าว เผามะพร้าว ให้ใครที่ไม่รู้จักได้
หลายคน เราก็ไม่เห็นว่าจะมีสถานะอันใดมากมาย กลับนิ่งเฉย ...
จึงคิดว่าเหตุแห่งการนิ่งเฉย เพราะคนเหล่านั้น คิดแต่พึ่งผู้อื่น เมื่อมาสถานที่นี้ ก็คิดแต่พึ่งสมุนไพร จึงปิดกั้น ไม่ยอมฟังคำสอน เมื่อไม่ฟัง ก็ไม่มีสิ่งใดให้พิจารณา และต้องทำ เพื่อช่วยตน ...
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงย้อนอดีต แม่ชีเมี้ยน ทรงตรัสให้ฟังว่า เด็กจะรู้หนังสือ ก็ต้องมีครูสอนฉันใด การช่วยตนก็ต้องอาศัยผู้รู้สอนฉันนั้น จะมาแบบรู้ได้ด้วยตนเอง ทำเอง เป็นไปไม่ได้ ... เมื่อไม่มีความรู้ สิ่งทีทำจะมุ่งหวังผลในการทำ ย่อมเป็นไปได้ยากยิ่ง หรือ เป็นไปไม่ได้เลย
นี่จึงเป็นหลักในการเลือกคบคน หรือดูคนอย่างหนึ่งที่ศาสนาสอนไว้ คนใดที่แม้นแต่ตนเองยังไม่คิดช่วยตน ต้องหลีกหนีให้ไกลคนประเภทนี้ จะหวังให้เขามาช่วยเราเป็นไปไม่ได้แน่ คนที่บอกว่ารัก แต่ยามที่เราต้องช่วยตน กลับชักชวนให้กระทำในสิ่งที่ทำลายตน คนนั้นยิ่งน่ากลัว
หากเราท่าน กำลังอยู่ในกรรมฐาน คนที่รักเรา ต้องส่งเสริมเราให้ดำรงกรรมฐานอันนั้นได้ หากแต่มาทำให้กรรมฐานเราแตก ชวนเราคุย ชวนเราเล่น เมื่อกรรมฐานเสีย นั่นคือ ชีวิตที่จะแตกดับตาม จะเรียกคนที่ทำให้ชีวิตเราแตกดับว่าเป็นคนที่รักเราได้หรือ
เราจึงเห็นว่า อ้ายคนที่บอกรักท่าน กำลังฆ่าท่านอย่างเลือดเย็น นั่นคือ เชือดด้วยรอยยิ้ม แล้วพาท่านไปลงนรก
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักให้สติว่า "เวลาทุกข์ ทุกข์คนเดียว เวลาเจ็บ เจ็บคนเดียว ใครก็ช่วยไม่ได้"
หลายคนเบื่อที่จะฟัง แต่สำหรับเราฟังไม่รู้เบื่อ
วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
เล่าอดีตให้ฟัง
ประวัติศาสตร์ คือบันทึกเรื่องราว ที่มีความสำคัญ ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ ที่ดีก็จะได้ทำตาม ที่ไม่ดีก็จะได้แก้ไข นั่นคือคุณค่าของประวัติศาสตร์
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเล่าประวัติศาสตร์ครั้งถ้ำกระบอกให้ฟังเสมอๆ โดยมีทั้งคนที่ประสพผล และคนที่ประสพความล้มเหลว เพื่อให้พิจารณา
ตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งถ้ำกระบอก มีคนไข้เศรษฐีใหญ่ท่านหนึ่งมาหาแม่ชีเมี้ยน ชื่อ "หลวงราชเวชพิศาล"
เป็นโรคที่หมอสมัยนั้นรักษาไม่หาย และไม่ว่าจะใช้วิธีใดๆ ก็ไม่ประสพผล ได้ยินชื่อถ้ำกระบอก จึงมาหาแม่ชีเมี้ยน
แม่ชีเมี้ยนทรงวินิจฉัย และตรัสว่า กรณ๊ของคุณหลวง ทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ก็คงช่วยได้ไม่มาก คุณหลวงต้องทำบุญ คู่กันไปจึงจักหายจากโรคที่เป็น
หลวงราชเวชพิศาล ตอบย้อนกลับไปว่า ผมก็ทำบุญมามากหลาย สร้างวัดไปตั้ง ๗ วัด ยังเป็นบุญไม่พอหรือ
แม่ชีเมี้ยนตรัสตอบว่า สิ่งที่คุณหลวงทำ หาเป็นบุญตามพุทธบัญญัติไม่ ดังนั้น จึงไม่มีผลบุญใดๆ มาช่วยตนของคุณหลวง
หลวงราชเวชพิศาล จึงถามแม่ชีเมี้ยนว่า แล้วถ้าจะทำบุญตามคำสอนของพระภูมีต้องทำอย่างไร
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสตอบว่า ก็ให้สุขแก่ผู้อื่น ที่ไม่ใช่คู่คล้องกรรมของเรา
หลวงราชเวชพิศาล จึงถามแม่ชีเมี้ยนว่า แล้วตัวเขาจักต้องทำอย่างไรเล่า
แม่ชีเมี้ยนจึงทรงตรัสว่า ให้หลวงราชเวชพิศาล ไปทำหน้าที่ล้างกระโจมของคนป่วยยาเสพติด ที่เมื่ออบตัวเสร็จแล้ว ล้างกระโจมเสร็จ ก็ให้ผึ่งกระโจมให้แห้ง ประการหนึ่ง
และทุกวันต้องไปทำความสะอาดห้องส้วม ของคนป่วยยาเสพติด
หลวงราชเวชพิศาล ก็ทำตามคำแนะนำของแม่ชีเมี้ยน และไม่นาน โรคที่เป็นมานานรักษาไม่หาย ก็หายสมดั่งใจ
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายเพิ่มเติมให้เห็นว่า ด้วยเหตุแห่งโรคนั้น พระภูมีตรัสว่ามีเหตุแต่กรรมเป็นอำนาจ อำนาจเดียวที่สามารถต่อกรได้ นั่นคือ อำนาจบุญ
แลบุญนั้น เกิดแต่การลดนิสัย หาใช่นำเงินทองไปแลกไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น พระโคดมก็ไม่ต้องทิ้งวัง แล้วนำเงินไปแลกซื้อบุญ ไปนิพพานแทน
หลักของพระภูมี จึงเป็นหลักที่เท่าเทียมกันทุกคน เพราะมีทุนในการสร้างบุญเท่ากัน นั่นคือ นิสัย
การทานสมุนไพรอาจจะช่วยให้พ้นโรคได้ หากกรรมไม่หนักสาหัส แค่ผ่านมา แต่กรรมที่สาหัส ก็ต้องอาศัยบุญเป็นตัวช่วยหักล้างกรรมที่ทำมาอีกทางหนึ่ง จึงจักประสพผล
แนวทางที่ครบถ้วนของพระภูมี หรือ สูตรเบ็ดเสร็จ จึงบัญญัติเป็นสมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม ...
หากคิดจะใช้แนวทางนี้ช่วยตน จึงต้องใช้หลักจับตนค้นตน พิจารณานิสัยตน ที่เป็นโทษอันมหันต์ และลดลง เพื่อเป็นบุญ กลับมาเลี้ยงตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ต้องเป็นภาคบังคับ ให้ทำบุญ บังคับให้นั่งสงบ สวดมนต์ ฟังคำสอน เรียกว่าบังคับให้ทำบุญก็ว่าได้ หากจะให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก็ต้องรักษาความสงบนี้ไว้ ในขณะที่ทำกิจกรรมทุกกิจกรรม ไม่ว่าเข้ากระโจม ทานสมุนไพร จนแม้นกระทั่งรับสมุนไพร ...
ใครทำตามแนวพระภูมีได้สมบูรณ์เท่าไหร่ ผลก็จักมหาศาลเป็นทวีคูณเท่านั้น ไม่ต้องกลัว โรคอะไรก็ไม่เหลืออย่างแน่นอน
การเป็นจิตอาสา จึงเป็นการช่วยตน ตามแนวพระภูมี เพราะทำเพื่อให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วสุขที่ผู้อื่นได้รับ จึงย้อนกลับมาหาตน .... ไม่ใช่แสวงหาสุขใส่ตน หาให้ตาย หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกไม่มีทางเป็นสุขไปได้เลย
ความสับสน ที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักกล่าวเตือนเสมอว่า ธรรมบัญญัติ เป็นเรื่องเฉพาะ ใช้กับการแก้ปัญหาของชีวิต ไม่ใช่ทางโลก เรื่องทางโลกจะทำตามบัญญัติใครก็ได้ แต่เรื่องชีวิต สงวนไว้ การกระทำที่เป็นผลต่อชีวิต ต้องใช้บัญญัติของพระภูมีเท่านั้น จึงเป็นผล
คนที่จะประสพผล จึงต้องทำตนเป็นคนดีของพระภูมี นั่นคือ มุ่งให้สุขแก่ผู้อื่น เพราะหวังในสุขที่จะย้อนมายังตน เป็นพ่อค้า เมื่อหายโรค กลายเป็นคนดี ไม่โกงตาชั่ง ไม่ขายเกินราคา ไม่หลอกขายของไม่ดี เพราะรู้แล้วว่าผลที่ทำนั้นมันจะย้อนมาหาตน ... ก็ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น
สัญญลักษณ์ของศาสนา จึงเป็นคนดี มีสุข สงบ
จึงไม่แปลกที่มาวันนี้ คนที่เคยแต่ใช้คน อย่างบางคน เมื่อมาถึงที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ทานสมุนไพรไป แล้วไปล้างห้องน้ำ ก็หายแล้ว
เพราะโรคมันเกิดจากเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไปนั่นเอง เลยต้องย้อนเกล็ด ให้ไปทำให้ผู้อื่น สวนนิสัยไปเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเล่าประวัติศาสตร์ครั้งถ้ำกระบอกให้ฟังเสมอๆ โดยมีทั้งคนที่ประสพผล และคนที่ประสพความล้มเหลว เพื่อให้พิจารณา
ตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งถ้ำกระบอก มีคนไข้เศรษฐีใหญ่ท่านหนึ่งมาหาแม่ชีเมี้ยน ชื่อ "หลวงราชเวชพิศาล"
เป็นโรคที่หมอสมัยนั้นรักษาไม่หาย และไม่ว่าจะใช้วิธีใดๆ ก็ไม่ประสพผล ได้ยินชื่อถ้ำกระบอก จึงมาหาแม่ชีเมี้ยน
แม่ชีเมี้ยนทรงวินิจฉัย และตรัสว่า กรณ๊ของคุณหลวง ทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ก็คงช่วยได้ไม่มาก คุณหลวงต้องทำบุญ คู่กันไปจึงจักหายจากโรคที่เป็น
หลวงราชเวชพิศาล ตอบย้อนกลับไปว่า ผมก็ทำบุญมามากหลาย สร้างวัดไปตั้ง ๗ วัด ยังเป็นบุญไม่พอหรือ
แม่ชีเมี้ยนตรัสตอบว่า สิ่งที่คุณหลวงทำ หาเป็นบุญตามพุทธบัญญัติไม่ ดังนั้น จึงไม่มีผลบุญใดๆ มาช่วยตนของคุณหลวง
หลวงราชเวชพิศาล จึงถามแม่ชีเมี้ยนว่า แล้วถ้าจะทำบุญตามคำสอนของพระภูมีต้องทำอย่างไร
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสตอบว่า ก็ให้สุขแก่ผู้อื่น ที่ไม่ใช่คู่คล้องกรรมของเรา
หลวงราชเวชพิศาล จึงถามแม่ชีเมี้ยนว่า แล้วตัวเขาจักต้องทำอย่างไรเล่า
แม่ชีเมี้ยนจึงทรงตรัสว่า ให้หลวงราชเวชพิศาล ไปทำหน้าที่ล้างกระโจมของคนป่วยยาเสพติด ที่เมื่ออบตัวเสร็จแล้ว ล้างกระโจมเสร็จ ก็ให้ผึ่งกระโจมให้แห้ง ประการหนึ่ง
และทุกวันต้องไปทำความสะอาดห้องส้วม ของคนป่วยยาเสพติด
หลวงราชเวชพิศาล ก็ทำตามคำแนะนำของแม่ชีเมี้ยน และไม่นาน โรคที่เป็นมานานรักษาไม่หาย ก็หายสมดั่งใจ
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายเพิ่มเติมให้เห็นว่า ด้วยเหตุแห่งโรคนั้น พระภูมีตรัสว่ามีเหตุแต่กรรมเป็นอำนาจ อำนาจเดียวที่สามารถต่อกรได้ นั่นคือ อำนาจบุญ
แลบุญนั้น เกิดแต่การลดนิสัย หาใช่นำเงินทองไปแลกไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น พระโคดมก็ไม่ต้องทิ้งวัง แล้วนำเงินไปแลกซื้อบุญ ไปนิพพานแทน
หลักของพระภูมี จึงเป็นหลักที่เท่าเทียมกันทุกคน เพราะมีทุนในการสร้างบุญเท่ากัน นั่นคือ นิสัย
การทานสมุนไพรอาจจะช่วยให้พ้นโรคได้ หากกรรมไม่หนักสาหัส แค่ผ่านมา แต่กรรมที่สาหัส ก็ต้องอาศัยบุญเป็นตัวช่วยหักล้างกรรมที่ทำมาอีกทางหนึ่ง จึงจักประสพผล
แนวทางที่ครบถ้วนของพระภูมี หรือ สูตรเบ็ดเสร็จ จึงบัญญัติเป็นสมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม ...
หากคิดจะใช้แนวทางนี้ช่วยตน จึงต้องใช้หลักจับตนค้นตน พิจารณานิสัยตน ที่เป็นโทษอันมหันต์ และลดลง เพื่อเป็นบุญ กลับมาเลี้ยงตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ต้องเป็นภาคบังคับ ให้ทำบุญ บังคับให้นั่งสงบ สวดมนต์ ฟังคำสอน เรียกว่าบังคับให้ทำบุญก็ว่าได้ หากจะให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก็ต้องรักษาความสงบนี้ไว้ ในขณะที่ทำกิจกรรมทุกกิจกรรม ไม่ว่าเข้ากระโจม ทานสมุนไพร จนแม้นกระทั่งรับสมุนไพร ...
ใครทำตามแนวพระภูมีได้สมบูรณ์เท่าไหร่ ผลก็จักมหาศาลเป็นทวีคูณเท่านั้น ไม่ต้องกลัว โรคอะไรก็ไม่เหลืออย่างแน่นอน
การเป็นจิตอาสา จึงเป็นการช่วยตน ตามแนวพระภูมี เพราะทำเพื่อให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วสุขที่ผู้อื่นได้รับ จึงย้อนกลับมาหาตน .... ไม่ใช่แสวงหาสุขใส่ตน หาให้ตาย หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกไม่มีทางเป็นสุขไปได้เลย
ความสับสน ที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักกล่าวเตือนเสมอว่า ธรรมบัญญัติ เป็นเรื่องเฉพาะ ใช้กับการแก้ปัญหาของชีวิต ไม่ใช่ทางโลก เรื่องทางโลกจะทำตามบัญญัติใครก็ได้ แต่เรื่องชีวิต สงวนไว้ การกระทำที่เป็นผลต่อชีวิต ต้องใช้บัญญัติของพระภูมีเท่านั้น จึงเป็นผล
คนที่จะประสพผล จึงต้องทำตนเป็นคนดีของพระภูมี นั่นคือ มุ่งให้สุขแก่ผู้อื่น เพราะหวังในสุขที่จะย้อนมายังตน เป็นพ่อค้า เมื่อหายโรค กลายเป็นคนดี ไม่โกงตาชั่ง ไม่ขายเกินราคา ไม่หลอกขายของไม่ดี เพราะรู้แล้วว่าผลที่ทำนั้นมันจะย้อนมาหาตน ... ก็ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น
สัญญลักษณ์ของศาสนา จึงเป็นคนดี มีสุข สงบ
จึงไม่แปลกที่มาวันนี้ คนที่เคยแต่ใช้คน อย่างบางคน เมื่อมาถึงที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ทานสมุนไพรไป แล้วไปล้างห้องน้ำ ก็หายแล้ว
เพราะโรคมันเกิดจากเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไปนั่นเอง เลยต้องย้อนเกล็ด ให้ไปทำให้ผู้อื่น สวนนิสัยไปเลย
ไม่ใช่หนูทดลอง
สมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนทรงนำมา มีประวัติอันยาวนาน ผ่านการพิสูจน์มาแล้วถึงระดับโลก นั่นย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า สามารถวางใจได้ ยิ่งกว่าเคมีใดๆ หรือ แม้นแต่สมุนไพรทั่วไปก็ตาม
ความยาวนานนี้เอง ทำให้เราเห็นความมั่นใจในตัวของหลวงพ่อนิพนธ์ เพราะเรียกได้ว่า ไม่น่าจะมีโรคใดๆ ในโลกนี้ ที่มีปรากฎอยู่ แล้วไม่เคยผ่านมือหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นเอง
ที่สำคัญไปกว่านั้น ทุกโรคก็ปรากฎคนที่ประสพผลให้เห็น มีตัวมีตน บางคนก็อยู่ตั้งแต่ถ้ำกระบอก มาจนทุกวันนี้
โรคที่ปรากฎในอดีต หากแต่แม้นจะผ่านยุคมากว่าครึ่งศตวรรษ ในยุคที่เรียกว่าวิทยาการทันสมัย ไฮเทค คุยกันว่าบินไปยังโลกพระจันทร์ ดาวอังคาร ... แต่ก็ไม่สามารถหาหนทางแก้ไขโรคได้เหมือนเดิม
เมื่อคนเหล่านั้น เวียนมายังหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเรียกว่าหมูในอวย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ปู่น้อย น้องของนายกรัฐมนตรีตานส่วย นั่นเอง
แม้นจะบินไปรักษาทั่วโลก ก็ไม่พบหนทาง จนในที่สุด คณะแพทย์ก็ต้องให้คำแนะนำว่า ห้ามทำอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจ ไม่ว่าโศกเศร้า ดีใจ .... ล้วนแล้วแต่มีผลทำให้ตายได้ในทุกวินาที
ปู่น้อยจึงต้องอยู่แต่ในห้องพระ ไปไหนมาไหนไม่ได้ มาหลายปี
หากแต่ย้อนไปในอดีต เมื่อครั้งถ้ำกระบอก คนไข้รายแรกที่มีอาการเช่นนี้ ถูกส่งมายังถ้ำกระบอก
หน่วยงานที่ส่งมา คือ สำนักพระราชวัง ด้วยคนไข้มียศเป็นนาวาอากาศเอก เป็นนักบินพระที่นั่งมือหนึ่งของประเทศไทยในขณะนั้น
ผ่านเวลาไปไม่นาน นักบินผู้นี้ ก็สามารถกลับไปขับเครื่องบินพระที่นั่งได้อีกครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมั่นใจว่า หากไม่ใช่พรหมลิขิตแล้ว โรคของปู่น้อย ก็สามารถแก้ไขได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่น่าแปลก สำหรับคนไทย นั่นคือการยึดติดใบประกาศ กระดาษที่มีอำนาจเหนือ โดยไม่ดูเหตุและผล นั่นคือ เชื่อในผู้ที่ได้รับประกาศ แม้นว่าจะไม่เคยเห็นผลสำเร็จ จากผู้นั้นเลยก็ตามที ไม่เคยมีข้อสงสัย ใดๆต่อผู้ที่มีประกาศนั้นๆว่า มีความสามารถจริงหรือ หากแต่เชื่อมั่นอย่างหัวปักหัวปำ ฝากชีวิตไว้ให้ อย่างสุดลิ่ม ไม่ลังเลใดๆแม้นแต่น้อย พูดอะไร ทำตามทุกกระเบียดนิ้ว
ผลก็คือ ชีวิตและทรัพย์สินที่เสียไป รายแล้วรายเล่า
หากแต่บุคคลเฉกเช่นหลวงพ่อนิพนธ์ ที่เพื่อนสนิทรุ่นเดียวกันที่เป็นหมอใหญ่ในปัจจุบันของประเทศไทย ตั้งฉายาให้ว่า "หมอผี" ไร้ซึ่งประกาศนียบัตรใดๆ แต่มีผู้คนที่หายจากโรค เดินให้เห็นกลาดเกลื่อน ... จะพูดให้เชื่อ ก็ต้องพูดแล้วพูดอีก
แต่คนเชื่อ และทำตาม คือคนรอด
เพราะคนที่เชื่อ และทำตามในวันนี้ ไม่ใช่คนที่เป็นโรคนั้นๆ คนแรกที่มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นเอง แนวทางและวิธีการปฏิบัติ ของคนที่รอดในอดีต ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า วิธีที่หลวงพ่อนิพนธ์ใช้ คือสูตรพระภูมี ใครทำได้ ก็มีสิทธิ์รอด เฉกเช่นคนก่อนหน้านั่นเอง
ไปหาหมอ หาเจ้า แม้นกระทั่งหมอผี หมอสมุนไพร ที่อื่นๆ ทำหูผึ่ง ตั้งใจฟัง ทำตามทุกกระบวน ครบถ้วน ผลก็คือ เหลว
หากแต่มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พูดเรื่องจริง ช่วยตนเองได้จริง กลับไม่สนใจฟัง .... นี่แหละกรรมมันบังตา บังใจ เป็นอุปสรรคใหญ่ที่จะต้องฝ่า
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ว่า หลวงพ่อนิพนธ์ไม่สนหรอกว่าจะเป็นโรคอะไร ... ไม่วิตก เพราะผ่านมาหมดแล้ว ... กลัวอย่างเดียว ก็คือนิสัยของผู้ที่มา เท่านั้นแล
ความยาวนานนี้เอง ทำให้เราเห็นความมั่นใจในตัวของหลวงพ่อนิพนธ์ เพราะเรียกได้ว่า ไม่น่าจะมีโรคใดๆ ในโลกนี้ ที่มีปรากฎอยู่ แล้วไม่เคยผ่านมือหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นเอง
ที่สำคัญไปกว่านั้น ทุกโรคก็ปรากฎคนที่ประสพผลให้เห็น มีตัวมีตน บางคนก็อยู่ตั้งแต่ถ้ำกระบอก มาจนทุกวันนี้
โรคที่ปรากฎในอดีต หากแต่แม้นจะผ่านยุคมากว่าครึ่งศตวรรษ ในยุคที่เรียกว่าวิทยาการทันสมัย ไฮเทค คุยกันว่าบินไปยังโลกพระจันทร์ ดาวอังคาร ... แต่ก็ไม่สามารถหาหนทางแก้ไขโรคได้เหมือนเดิม
เมื่อคนเหล่านั้น เวียนมายังหลวงพ่อนิพนธ์ จึงเรียกว่าหมูในอวย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ปู่น้อย น้องของนายกรัฐมนตรีตานส่วย นั่นเอง
แม้นจะบินไปรักษาทั่วโลก ก็ไม่พบหนทาง จนในที่สุด คณะแพทย์ก็ต้องให้คำแนะนำว่า ห้ามทำอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจ ไม่ว่าโศกเศร้า ดีใจ .... ล้วนแล้วแต่มีผลทำให้ตายได้ในทุกวินาที
ปู่น้อยจึงต้องอยู่แต่ในห้องพระ ไปไหนมาไหนไม่ได้ มาหลายปี
หากแต่ย้อนไปในอดีต เมื่อครั้งถ้ำกระบอก คนไข้รายแรกที่มีอาการเช่นนี้ ถูกส่งมายังถ้ำกระบอก
หน่วยงานที่ส่งมา คือ สำนักพระราชวัง ด้วยคนไข้มียศเป็นนาวาอากาศเอก เป็นนักบินพระที่นั่งมือหนึ่งของประเทศไทยในขณะนั้น
ผ่านเวลาไปไม่นาน นักบินผู้นี้ ก็สามารถกลับไปขับเครื่องบินพระที่นั่งได้อีกครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมั่นใจว่า หากไม่ใช่พรหมลิขิตแล้ว โรคของปู่น้อย ก็สามารถแก้ไขได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่น่าแปลก สำหรับคนไทย นั่นคือการยึดติดใบประกาศ กระดาษที่มีอำนาจเหนือ โดยไม่ดูเหตุและผล นั่นคือ เชื่อในผู้ที่ได้รับประกาศ แม้นว่าจะไม่เคยเห็นผลสำเร็จ จากผู้นั้นเลยก็ตามที ไม่เคยมีข้อสงสัย ใดๆต่อผู้ที่มีประกาศนั้นๆว่า มีความสามารถจริงหรือ หากแต่เชื่อมั่นอย่างหัวปักหัวปำ ฝากชีวิตไว้ให้ อย่างสุดลิ่ม ไม่ลังเลใดๆแม้นแต่น้อย พูดอะไร ทำตามทุกกระเบียดนิ้ว
ผลก็คือ ชีวิตและทรัพย์สินที่เสียไป รายแล้วรายเล่า
หากแต่บุคคลเฉกเช่นหลวงพ่อนิพนธ์ ที่เพื่อนสนิทรุ่นเดียวกันที่เป็นหมอใหญ่ในปัจจุบันของประเทศไทย ตั้งฉายาให้ว่า "หมอผี" ไร้ซึ่งประกาศนียบัตรใดๆ แต่มีผู้คนที่หายจากโรค เดินให้เห็นกลาดเกลื่อน ... จะพูดให้เชื่อ ก็ต้องพูดแล้วพูดอีก
แต่คนเชื่อ และทำตาม คือคนรอด
เพราะคนที่เชื่อ และทำตามในวันนี้ ไม่ใช่คนที่เป็นโรคนั้นๆ คนแรกที่มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นเอง แนวทางและวิธีการปฏิบัติ ของคนที่รอดในอดีต ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า วิธีที่หลวงพ่อนิพนธ์ใช้ คือสูตรพระภูมี ใครทำได้ ก็มีสิทธิ์รอด เฉกเช่นคนก่อนหน้านั่นเอง
ไปหาหมอ หาเจ้า แม้นกระทั่งหมอผี หมอสมุนไพร ที่อื่นๆ ทำหูผึ่ง ตั้งใจฟัง ทำตามทุกกระบวน ครบถ้วน ผลก็คือ เหลว
หากแต่มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พูดเรื่องจริง ช่วยตนเองได้จริง กลับไม่สนใจฟัง .... นี่แหละกรรมมันบังตา บังใจ เป็นอุปสรรคใหญ่ที่จะต้องฝ่า
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ว่า หลวงพ่อนิพนธ์ไม่สนหรอกว่าจะเป็นโรคอะไร ... ไม่วิตก เพราะผ่านมาหมดแล้ว ... กลัวอย่างเดียว ก็คือนิสัยของผู้ที่มา เท่านั้นแล
วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ปู่น้อย
ปู่น้อย คือคำเรียกที่ ด.ร.สาว ลูกนายกรัฐมนตรีตานส่วย เรียกอาของเขา
ปู่น้อย เป็นนักกีฬายูโดสายดำ เป็นนักกีฬาที่มีร่างกายแข็งแรง แต่ตอนนี้ปู่น้อย ป่วยเป็นโรคที่หมอรักษาไม่ได้ และแนะนำว่า ไม่ควรที่จะให้ได้รับรู้เรื่องใดๆ อันจะมีผลให้กระทบจิตใจ พูดภาษาชาวบ้าน ก็คือ ต้องอยู่ในที่ที่ทำให้ตัวเองสงบเท่านั้น ตื่นเต้นไม่ได้ เศร้าไม่ได้ หัวเราะไม่ได้ เพราะจะมีผลกระทบทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ทุกขณะ
ดังนั้นที่อยู่ของปู่น้อย จึงต้องอยู่เฉพาะแต่ในห้องพระ เดินทางไม่ได้
ความโชคดี ทำให้มีคนมาติดต่อหลวงพ่อนิพนธ์ นำสมุนไพรไปให้ปู่น้อยลองทาน
ผ่านไป ๑ เดือน ปู่น้อยจึงตัดสินใจนั่งเครื่องบิน มายังทวาย และนั่งรถต่อมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ จนถึงมูลนิธิ
ท่ามกลางเสียงคัดค้านของหมอ และคนใกล้ชิด เพราะห่วงว่าจะทำให้หัวใจหยุดเต้น แต่ปู่น้อยก็ดั้นด้นมา หาหลวงพ่อนิพนธ์จนได้ โดยไม่มีอาการใดๆ เลย
เวลาผ่านไป ปู่น้อยมีสภาพดีวันดีคืน จนไปชักชวน พี่สะใภ้ ที่นอนอยู่บนเตียงไปไหนไม่ได้ หลังจากบินตระเวนไปรักษามาทั่วโลกแล้ว
พี่สะใภ้ หรือ ภรรยาของนายกตานส่วย ก็มีสภาพดีวันดีคืน
ลูกสาว มีดีกรีเป็นด๊อกเตอร์จากอังกฤษ เห็นดังนั้น ก็มีความมั่นใจในสมุนไพร
สองคนอาหลาน จึงดำเนินการ อยากให้ประเทศพม่า พ้นจากการเป็นทาสยาเคมี อา คือ ปู่น้อย จึงเดินทางไปหารัฐมนตรีสาธารณสุข เพื่อขอจัดตั้งศูนย์ และโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย
ฝ่ายหลาน ได้นำเงินจากโครงการก่อสร้างของตน มาดำเดินการสร้างศูนย์ไพร ในรัฐทวาย มอบให้หลวงพ่อนิพนธ์
หากแต่สิ่งหนึ่งที่ปู่น้อยมีให้ต่อหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ ความคิดถึง และอยากพบอยากคุย ตรุษจีนที่ผ่านมา ปู่น้อย ก็นั่งเครื่อง ต่อรถ เพื่อมาหาหลวงพ่อนิพนธ์อีกครั้ง
การได้พูดได้คุย ยิ่งทำให้ปู่น้อยมั่นใจในอาการของตน และแนะนำให้คนอื่นๆ มาใช้แนวทางเลือกนี้ จนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ในกรุงเนบิดอร์ และย่างกุ้ง ไปแล้ว
ด.ร.สาว ก็มารายงานความคืบหน้าของโครงการที่ทวายให้ฟัง ว่าอาคารทั้ง ๕ หลัง ใกล้จะแล้วเสร็จ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนมุงกระเบื้องหลังคาแล้ว
ตอนนี้ปู่น้อยกลับไปวิ่งได้ และสามารถกลับไปทำในสิ่งที่ชอบ นั่นคือ การเล่นยูโด อีกครั้ง
จึงไม่น่าแปลกที่ ทำไมทุกภาคส่วนของพม่า จึงให้การสนับสนุน โครงการของหลวงพ่อนิพนธ์ และเห็นความสำคัญ
ปู่น้อยและหลาน กล่าวว่า นี่จะเป็นโอกาสให้ตระกูลของพวกเขา ได้มีโอกาสทำให้แก่ประชาชนของพวกเขา หลังจากที่ได้รับประโยชน์อย่างมากมายมาในอดีต
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หากยังได้สิทธิ์ทำในประเทศไทยอยู่ หลังจากวันงานแม่ชีเมี้ยน ก็จะเริ่มกระบวนการจัดแจกสมุนไพรให้อย่างเต็มที่
ส่วนพม่า นั้นเขาอนุญาตอยู่แล้ว และก็ยังสามารถรองรับคนไข้หนักได้อีกด้วย เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนไข้หนัก ที่จะมีโอกาสได้พักฟื้นฟูชีวิตตน
คิดจะรอประเทศไทย คงมองไม่เห็นฝั่ง ... แต่หลังมีนาคมนี้ แผ่นดินพม่า มีที่หลบภัยให้คนไข้ ที่หมอทิ้งแล้ว
อยากหาย ก็เดินตามรอยปู่น้อย เชื่อมั่น ศรัทธา อย่ามากินเล่น ...
ปู่น้อย เป็นนักกีฬายูโดสายดำ เป็นนักกีฬาที่มีร่างกายแข็งแรง แต่ตอนนี้ปู่น้อย ป่วยเป็นโรคที่หมอรักษาไม่ได้ และแนะนำว่า ไม่ควรที่จะให้ได้รับรู้เรื่องใดๆ อันจะมีผลให้กระทบจิตใจ พูดภาษาชาวบ้าน ก็คือ ต้องอยู่ในที่ที่ทำให้ตัวเองสงบเท่านั้น ตื่นเต้นไม่ได้ เศร้าไม่ได้ หัวเราะไม่ได้ เพราะจะมีผลกระทบทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ทุกขณะ
ดังนั้นที่อยู่ของปู่น้อย จึงต้องอยู่เฉพาะแต่ในห้องพระ เดินทางไม่ได้
ความโชคดี ทำให้มีคนมาติดต่อหลวงพ่อนิพนธ์ นำสมุนไพรไปให้ปู่น้อยลองทาน
ผ่านไป ๑ เดือน ปู่น้อยจึงตัดสินใจนั่งเครื่องบิน มายังทวาย และนั่งรถต่อมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ จนถึงมูลนิธิ
ท่ามกลางเสียงคัดค้านของหมอ และคนใกล้ชิด เพราะห่วงว่าจะทำให้หัวใจหยุดเต้น แต่ปู่น้อยก็ดั้นด้นมา หาหลวงพ่อนิพนธ์จนได้ โดยไม่มีอาการใดๆ เลย
เวลาผ่านไป ปู่น้อยมีสภาพดีวันดีคืน จนไปชักชวน พี่สะใภ้ ที่นอนอยู่บนเตียงไปไหนไม่ได้ หลังจากบินตระเวนไปรักษามาทั่วโลกแล้ว
พี่สะใภ้ หรือ ภรรยาของนายกตานส่วย ก็มีสภาพดีวันดีคืน
ลูกสาว มีดีกรีเป็นด๊อกเตอร์จากอังกฤษ เห็นดังนั้น ก็มีความมั่นใจในสมุนไพร
สองคนอาหลาน จึงดำเนินการ อยากให้ประเทศพม่า พ้นจากการเป็นทาสยาเคมี อา คือ ปู่น้อย จึงเดินทางไปหารัฐมนตรีสาธารณสุข เพื่อขอจัดตั้งศูนย์ และโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย
ฝ่ายหลาน ได้นำเงินจากโครงการก่อสร้างของตน มาดำเดินการสร้างศูนย์ไพร ในรัฐทวาย มอบให้หลวงพ่อนิพนธ์
หากแต่สิ่งหนึ่งที่ปู่น้อยมีให้ต่อหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ ความคิดถึง และอยากพบอยากคุย ตรุษจีนที่ผ่านมา ปู่น้อย ก็นั่งเครื่อง ต่อรถ เพื่อมาหาหลวงพ่อนิพนธ์อีกครั้ง
การได้พูดได้คุย ยิ่งทำให้ปู่น้อยมั่นใจในอาการของตน และแนะนำให้คนอื่นๆ มาใช้แนวทางเลือกนี้ จนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ในกรุงเนบิดอร์ และย่างกุ้ง ไปแล้ว
ด.ร.สาว ก็มารายงานความคืบหน้าของโครงการที่ทวายให้ฟัง ว่าอาคารทั้ง ๕ หลัง ใกล้จะแล้วเสร็จ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนมุงกระเบื้องหลังคาแล้ว
ตอนนี้ปู่น้อยกลับไปวิ่งได้ และสามารถกลับไปทำในสิ่งที่ชอบ นั่นคือ การเล่นยูโด อีกครั้ง
จึงไม่น่าแปลกที่ ทำไมทุกภาคส่วนของพม่า จึงให้การสนับสนุน โครงการของหลวงพ่อนิพนธ์ และเห็นความสำคัญ
ปู่น้อยและหลาน กล่าวว่า นี่จะเป็นโอกาสให้ตระกูลของพวกเขา ได้มีโอกาสทำให้แก่ประชาชนของพวกเขา หลังจากที่ได้รับประโยชน์อย่างมากมายมาในอดีต
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หากยังได้สิทธิ์ทำในประเทศไทยอยู่ หลังจากวันงานแม่ชีเมี้ยน ก็จะเริ่มกระบวนการจัดแจกสมุนไพรให้อย่างเต็มที่
ส่วนพม่า นั้นเขาอนุญาตอยู่แล้ว และก็ยังสามารถรองรับคนไข้หนักได้อีกด้วย เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนไข้หนัก ที่จะมีโอกาสได้พักฟื้นฟูชีวิตตน
คิดจะรอประเทศไทย คงมองไม่เห็นฝั่ง ... แต่หลังมีนาคมนี้ แผ่นดินพม่า มีที่หลบภัยให้คนไข้ ที่หมอทิ้งแล้ว
อยากหาย ก็เดินตามรอยปู่น้อย เชื่อมั่น ศรัทธา อย่ามากินเล่น ...
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
กรรมมันไม่ยอมง่ายๆ หรอก
คนไข้ท่านหนึ่งป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน รักษาตัวด้วยแผนปัจจุบันมาหลายปี จนล่าสุดอาการเข้าขั้นวิกฤต
หลังจากการทุ่มเงินเพื่อรักษาตน สภาพของร่างกายในปัจจุบัน ต้องทานยาควบคุมอาการทุกสองชั่วโมง หากไม่ได้รับยา จะทำให้เกิดอาการเหมือนชัก ตาค้าง
ความรุนแรงของอาการ ทำให้คนไข้และภรรยา วิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่ากลัวอาการ
หากแต่สภาพที่เป็นอยู่ของร่างกาย ก็เข้าขั้นวิกฤต เริ่มจะทนยาเคมีไม่ไหว จึงจำต้องหันมาใช้ทางเลือกสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ตามคำแนะนำของพรรคพวก
ภาพของอาการยามปรากฎ หลอกหลอนสามีภรรยาคู่นี้ จนแม้นได้รับฟังจากหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ควรที่จะหยุดยาเคมี ก็ยังทำใจไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์รู้สภาพนี้ดี จึงแนะนำว่า เพื่อความสบายใจ ก็ค่อยๆ ลด นั่นคือ เริ่มจากปัจจุบันที่ทานทุกสองชั่วโมง เมื่อทานสมุนไพรไประยะหนึ่ง ก็เพิ่มระยะห่างของการทาน
คนไข้ก็ยินยอมปฏิบัติตาม ระยะห่างของการทานยาเคมี ก็เริ่มห่างขึ้น จากสอง เป็น สาม สี่ ห้า หก ชั่วโมงตามลำดับ
เมื่อมาถึงขั้นตอนที่อยู่ได้ครึ่งวันโดยไม่มีอาการ สามีภรรยา ก็ไม่ยอมที่จะปล่อยให้ระยะห่างไปกว่านี้ เพราะกลัวอาการจะลงแดง ไม่ว่าหลวงพ่อนิพนธ์จะกล่าวอย่างไร
ด้วยความกลัวอาการนี้เอง ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้แต่ให้ทานสมุนไพรไปเรื่อยๆ พร้อมกับการทานเคมี
การเป็นลักษณะนี้จนเข้าสู่หน้าหนาวของปีนี้ เมื่อปลายปี จวบจนปัจจุบัน สองสามีภรรยา ก็ตกลงปลงใจที่จะยอมทิ้งเคมี
หลวงพ่อนิพนธ์ถามว่า เพราะเหตุใดจึงยอม พวกเขากล่าวว่า เพราะแต่ไหนแต่ไร เมื่อเจออากาศเย็น ตัวคนไข้เองจะทรมานมาก แม้นจะเป็นเพียงอากาศเย็นเล็กน้อยก็ตาม ในขณะที่ปีนี้อากาศเย็นมาก แต่คนไข้กลับไม่มีอาการดั่งที่เคยเป็นมาก่อนเลย
พวกเขาจึงคิดว่า หากยอมทิ้งเคมี ยอมรับสภาวะลงแดง และผ่านได้ ย่อมเป็นดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าว นั่นคือ เมื่อเดินผ่านนรก นั่นหมายถึงประตูสวรรค์เปิด และสุดท้ายปลายทาง ย่อมหมายถึงความสุขจากการไม่มีโรครออยู่
วันนี้ พวกเขาอยากหายโรคแล้ว จึงเป็นแรงที่เอาชนะความกลัวอาการในอดีต
นี่จึงเป็นสิ่งยืนยันว่า ทางเลือกสายนี้ มีอุปสรรคมากมาย และอุปสรรคที่สำคัญ ที่กรรมมักเลือกใช้นั่นคือ การดลจิตดลใจนั่นเอง ตราบใดที่ยังไม่ยอมเลิกใช้เคมี นั่นย่อมหมายความว่า ประตูการหายโรคไม่มีวันเปิดอย่างแน่นอน
การฟัง เพื่อนำเหตุและผล มาพิจารณา จึงมีความสำคัญ และเมื่อสังเกตความจริงที่เกิดกับตน รับรู้ได้ด้วยตนเอง ก็จะกลายเป็นพลังที่จะมาใช้สร้างขันติ อดทน เพื่อต่อสู้ในการฟื้นฟูตนเอง
จึงเห็นได้ชัดว่า ทางเลือกนี้ ใครก็ช่วยใครไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง และการฟังคำสอน นำมาพิจารณา มีคุณประโยชน์มาก ในการช่วยตน ... นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า ทำไมต้องบังคับให้ฟัง เพราะเมื่อฟังบ่อยเข้า นานๆ เข้า มันก็จะค่อยๆเข้าไปในจิตใจ เมื่อวันใดที่เริ่มพิจารณา แล้วเอาเหตุและผล การช่วยตนก็จะรวดเร็ว และมีโอกาสประสพผลสูง
เมื่อกรรมมันไม่ยอมง่ายๆ ผู้สอนจึงต้องมีมานะ ที่จะอดทนพูดแล้วพูดอีก ด้วยความเมตตา เพราะเห็นความจริงข้อนี้เอง ... แม้นพูดแล้ว คนพันคน มีฟังสักสิบคน ก็โอเคแล้ว เพราะนั่นคือ ในพันคน จะมีคนหายสิบคนแล้วนั่นเอง
หลังจากการทุ่มเงินเพื่อรักษาตน สภาพของร่างกายในปัจจุบัน ต้องทานยาควบคุมอาการทุกสองชั่วโมง หากไม่ได้รับยา จะทำให้เกิดอาการเหมือนชัก ตาค้าง
ความรุนแรงของอาการ ทำให้คนไข้และภรรยา วิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่ากลัวอาการ
หากแต่สภาพที่เป็นอยู่ของร่างกาย ก็เข้าขั้นวิกฤต เริ่มจะทนยาเคมีไม่ไหว จึงจำต้องหันมาใช้ทางเลือกสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ตามคำแนะนำของพรรคพวก
ภาพของอาการยามปรากฎ หลอกหลอนสามีภรรยาคู่นี้ จนแม้นได้รับฟังจากหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ควรที่จะหยุดยาเคมี ก็ยังทำใจไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์รู้สภาพนี้ดี จึงแนะนำว่า เพื่อความสบายใจ ก็ค่อยๆ ลด นั่นคือ เริ่มจากปัจจุบันที่ทานทุกสองชั่วโมง เมื่อทานสมุนไพรไประยะหนึ่ง ก็เพิ่มระยะห่างของการทาน
คนไข้ก็ยินยอมปฏิบัติตาม ระยะห่างของการทานยาเคมี ก็เริ่มห่างขึ้น จากสอง เป็น สาม สี่ ห้า หก ชั่วโมงตามลำดับ
เมื่อมาถึงขั้นตอนที่อยู่ได้ครึ่งวันโดยไม่มีอาการ สามีภรรยา ก็ไม่ยอมที่จะปล่อยให้ระยะห่างไปกว่านี้ เพราะกลัวอาการจะลงแดง ไม่ว่าหลวงพ่อนิพนธ์จะกล่าวอย่างไร
ด้วยความกลัวอาการนี้เอง ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้แต่ให้ทานสมุนไพรไปเรื่อยๆ พร้อมกับการทานเคมี
การเป็นลักษณะนี้จนเข้าสู่หน้าหนาวของปีนี้ เมื่อปลายปี จวบจนปัจจุบัน สองสามีภรรยา ก็ตกลงปลงใจที่จะยอมทิ้งเคมี
หลวงพ่อนิพนธ์ถามว่า เพราะเหตุใดจึงยอม พวกเขากล่าวว่า เพราะแต่ไหนแต่ไร เมื่อเจออากาศเย็น ตัวคนไข้เองจะทรมานมาก แม้นจะเป็นเพียงอากาศเย็นเล็กน้อยก็ตาม ในขณะที่ปีนี้อากาศเย็นมาก แต่คนไข้กลับไม่มีอาการดั่งที่เคยเป็นมาก่อนเลย
พวกเขาจึงคิดว่า หากยอมทิ้งเคมี ยอมรับสภาวะลงแดง และผ่านได้ ย่อมเป็นดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าว นั่นคือ เมื่อเดินผ่านนรก นั่นหมายถึงประตูสวรรค์เปิด และสุดท้ายปลายทาง ย่อมหมายถึงความสุขจากการไม่มีโรครออยู่
วันนี้ พวกเขาอยากหายโรคแล้ว จึงเป็นแรงที่เอาชนะความกลัวอาการในอดีต
นี่จึงเป็นสิ่งยืนยันว่า ทางเลือกสายนี้ มีอุปสรรคมากมาย และอุปสรรคที่สำคัญ ที่กรรมมักเลือกใช้นั่นคือ การดลจิตดลใจนั่นเอง ตราบใดที่ยังไม่ยอมเลิกใช้เคมี นั่นย่อมหมายความว่า ประตูการหายโรคไม่มีวันเปิดอย่างแน่นอน
การฟัง เพื่อนำเหตุและผล มาพิจารณา จึงมีความสำคัญ และเมื่อสังเกตความจริงที่เกิดกับตน รับรู้ได้ด้วยตนเอง ก็จะกลายเป็นพลังที่จะมาใช้สร้างขันติ อดทน เพื่อต่อสู้ในการฟื้นฟูตนเอง
จึงเห็นได้ชัดว่า ทางเลือกนี้ ใครก็ช่วยใครไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง และการฟังคำสอน นำมาพิจารณา มีคุณประโยชน์มาก ในการช่วยตน ... นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า ทำไมต้องบังคับให้ฟัง เพราะเมื่อฟังบ่อยเข้า นานๆ เข้า มันก็จะค่อยๆเข้าไปในจิตใจ เมื่อวันใดที่เริ่มพิจารณา แล้วเอาเหตุและผล การช่วยตนก็จะรวดเร็ว และมีโอกาสประสพผลสูง
เมื่อกรรมมันไม่ยอมง่ายๆ ผู้สอนจึงต้องมีมานะ ที่จะอดทนพูดแล้วพูดอีก ด้วยความเมตตา เพราะเห็นความจริงข้อนี้เอง ... แม้นพูดแล้ว คนพันคน มีฟังสักสิบคน ก็โอเคแล้ว เพราะนั่นคือ ในพันคน จะมีคนหายสิบคนแล้วนั่นเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)