ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ในอดีตคนไปถ้ำกระบอกเขาทำอะไรกัน
เนื่องด้วยพระถ้ำกระบอกในยุคต้นๆ ไม่รับเงิน ไปไหนใช้เดิน ดังนั้น ตั้งแต่แรกเริ่มของการรับคนไข้คนแรกของหลวงพ่อนิพนธ์ ซึ่งได้สอนคนไข้เสมอๆ ว่า ทุกอย่างของแม่ชีเมี้ยน อยู่ได้ด้วยคำสัญญา นับตั้งแต่ตัวท่านกับเจ้าอาวาส คือ ท่านจำรูญ สัญญาคือ สิ้้นสุดแม่ชีเมี้ยน ก็คือสิ้นสุดคำสัญญา ที่ท่านจำรูญให้แก่แม่ชีเมี้ยน และเมื่อสิ้นสุดสัญญา ก็สิ้นสุดของคุณค่าสมุนไพร
เมื่อท่านจำรูญ เจ้าอาวาสเปลี่ยนปณิธาน จากไม่รับเงิน เป็นรับเงิน และเริ่มเรียกเก็บค่าบำบัดผู้ป่วยยาเสพติด หัวละห้าพันบาท ก่อให้เกิดการแตกหัก ระหว่างพี่น้อง คือ ท่านจำรูญ และท่านเจริญ ฝ่ายหนึ่ง กับ ท่านนิพนธ์ ซึ่งเป็นน้อง ผลปรากฎ ท่านนิพนธ์ก็ยอมเป็นฝ่ายแพ้ และต้องลาสิกขาบท พร้อมกับออกจากถ้ำกระบอกไปในปี 10 นั้นเอง
ครั้นปี 12 เมื่อแม่ชีเมี้ยนให้คนมาเรียกท่านนิพนธ์ไปพบ และตรัสว่า ท่านต้องการสิ้นสุดสัญญาที่มีต่อท่านจำรูญ เพื่อไม่ให้นำสมุนไพรและคำสอนของท่าน ไปทำในสิ่งที่ผิด นั่นหมายความถึง ท่านต้องสิ้นสุดลมหายใจของท่านเอง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การกระทำของแม่ชีเมี้ยน เพื่อให้ความศักดิ์สิทธิ์ของสมุนไพรสลายจากถ้ำกระบอก และมาอยู่กับตำราที่มอบให้หลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกำคำสั่งเสียสุดท้าย "ให้ดูพี่เอ็งเป็นตัวอย่าง ถ้ารักษาสัญญาที่ให้ไว้ได้ ก็รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของสมุนไพรเขาไว้ได้ วันใดที่ผิดคำสัญญา ก็เป็นอันสิ้นสุดเหมือนพี่เอ็ง ไปทำที่ไหน หรือจะอยู่ในสถานะใดก็แล้วแต่ ขอเพียงรักษาสัญญานี้ไว้ พร้อมคำเตือนสุดท้าย ถ้านำตำราแม่ไปขายกิน ก็จะเป็นแบบพี่ชายเอ็ง แต่ถ้าไม่นำตำราแม่ไปขาย ก็จะได้บุญ ส่งให้ชีวิตมีความสุขความเจริญ"
ด้วยเหตุนี้เองกระมัง การรับคนไข้ของหลวงพ่อนิพนธ์ในยุคถ้ำกระบอก จึงมักจะบอกกล่าวแก่คนไข้ก่อน ให้อธิษฐานก่อน เป็นสัญญาว่า "เมื่อได้ชีวิตใหม่ จะทำตนเช่นไร"
ด้วยเหตุที่ไม่รับเงิน แต่มีคนไข้จำนวนมาก คำสัญญาในยุคนั้น จึงมีตั้งแต่ จะเป็นผู้อุปถัมภ์ หาอาหารหรือเสบียงมาให้ เพื่อให้พระได้ทำกิจกรรม ไปจนกระทั่ง สิ่งที่อ.อร่ามพูดบ่อยๆ ว่า คนที่ชมรมเขาต้องให้สัญญาทุกเช้า คือ "จะอุทิศแรงกาย ทำงานเพื่อศาสนา วันละ เท่านั้น เท่านี้" หรือ การปฏิบัตินิสัยของพระพุทธเจ้า เช่น ไม่โกรธ ไม่ด่าว่าใคร ... เป็นต้น เริ่มจากวันละ หนึ่งชั่วโมง โดยให้เป็นสัจจะ เป็นจำนวนวัน ตามแต่สมควร
ดังนั้น คนไข้ในยุคถ้ำกระบอก จึงจะมีพฤติกรรมที่เห็นเด่นชัดคือ จะไปถ้ำกระบอกในเย็นวันศุกร์ หรือ เช้าวันเสาร์ และร่วมทำกิจกรรสวดมนต์ ที่ขาดไม่ได้คือ นำแรงกายของตนไปทำทาน ตลอดทั้งวันเสาร์ และในเย็นวันเสาร์ ก็จะร่วมสวดมนต์ และฟังหลวงพ่อนิพนธ์เทศน์ เรียกว่า ฟังกันโต้รุ่งเลยก็ว่าได้ และทำการตักบาตรในตอนเช้าวันอาทิตย์ สายๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
การกระทำอย่างนี้ เป็นวิธีที่ใช้กับคนไข้ในยุคนั้น ถ้าทำได้ครบสามเดือน ก็จะมีสมุนไพร พิเศษ ที่กินครบห้าแก้วแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า เป็นอันว่าจบ ในโรคนั้นๆ
เหตุผลที่ท่านอธิบาย คือ การทำเช่นนั้นเป็นการสร้างคุณสมบัติตามคำสอน ของการเป็นคนดีของพระพุทธเจ้านั่นเอง คือ มีทั้งการทำบุญและทำทาน เมื่อทำได้ ย่อมมีคุณสมบัติในการทานสมุนไพร และเมื่อสมมุติฐานว่า "โรคมาจากกรรม" เมื่อเรานำธรรมมาปฏิบัติได้ กรรมย่อมหมด โรคอะไรจะมาเหลือ
ด้วยเหตุที่แผ่นดินที่มีธรรมของพระพุทธเจ้า ย่อมเป็นแผ่นดินที่คนทุกข์มาหวังพึ่ง ดุจร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่ ที่เด่นตระหง่านในท้องทะเลทราย ผู้ใดที่มาช่วยกิจกรรม นั่นคือ การให้สุขแก่คนทุกข์ เขาย่อมได้สุขที่ปรารถนา ตอบแทน คนไข้ในยุคถ้ำกระบอก จึงไม่ย่อท้อแม้จะเดินทางไม่สะดวกเช่นในปัจจุบัน ต้องต่อรถหลายต่อกว่าจะไปถึง และปฏิบัติตามจนทำให้ผู้คนประสพผล มีจำนวนมากมายนับแสน โด่งดังมาจนทุกวันนี้
แต่วันนี้ ด้วยเหตุเพราะคนมองเพียงผ้าเหลือง แม้พฤติกรรมเช่นเดิมจะให้ผลเช่นเดิมก็ตาม หลวงพ่อนิพนธ์จะสอนสักเพียงใด ก็มีคนจำนวนไม่มากที่ปฏิบัติตาม ทำให้เราเกิดความเสียดาย ในบุคคลเหล่านั้น ที่มาพานพบ ร่มโพธิ์ ร่มไทร แล้ว กลับไม่ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา อันเพราะขาดศรัทธา จากรูปภายนอกของท่านนั่นเอง
เราจึงอยากบอกว่า มาลองดูวิธีการที่ถูกกันดีไหม สร้างสัญญา ดั่งเช่นคนในยุคนั้นเขาทำกัน คิดด้วยเหตุผล แล้วลองมาทำสิ่งที่ท่านสอนกัน คือ "ทำบุญและทำทาน" ในแผ่นดินนี้ แล้วเราจะสมปรารถนา ดั่งเช่นในยุคที่ยังมีแม่ชีเมี้ยน คำตรัสของท่าน ยังคงก้องอยู่ และเป็นจริง "ผู้ใดทำได้ ผู้นั้นย่อมสมปรารถนา"
ความแตกต่างของถ้ำกระบอกกับยุคนี้ที่เห็นได้ชัดคือ ยุคถ้ำกระบอก จะแย่งกันปลูกต้นไม้จนเต็มพื้นที่ จะแย่งกันทำกิจกรรมจนต้องรอคิว จะเงียบสงบยามสวดมนต์ จะสงัดเงียบดั่งไร้ผู้คนยามฟังธรรม
ใครจะเลียนแบบอย่างไหนก็เลือกเอา เพราะการมีสัญญา ก็คือการมีข้อผูกมัดตน ย่อมรู้สึก แต่เชือกเส้นนี้แหละที่แม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า หลวงพ่อนิพนธ์ ท่านยืนยัน ว่าจะทำให้เรามีชีวิตที่เหนียวแน่น มีพรหมลิขิตที่แข็งแกร่ง
สัญญาที่หลวงพ่อนิพนธ์ แม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า อยากได้ "เอาธรรมของพระพุทธเจ้าไป เพื่อให้ตนเป็นคนดี" แล้วเราจะรู้ว่า "ธรรมชนะกรรม" เป็นจริง และเข้าใจว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงพูดว่า "โรคน่ะกระจอก ไม่ต้องไปพูดถึง นิสัย สันดาน ต่างหาก ที่ต้องมาว่ากัน แล้วโรคจะเป็นของแถม เมื่อเรากลายเป็นคนดีของพระพุทธเจ้า"
อย่าเลย ท่านใดที่คิดจะเอาเงินมาถมในสถานที่นั่น เพื่อให้สมหวัง เปลี่ยนความคิดมาเป็น เอานิสัยที่ไม่ดีมาถม แล้วเอานิสัยของพระพุทธเจ้าติดตัวกลับไป ท่านจะพบปาฎิหารย์ ที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดถึง นั่นแหละคือหลักการแห่งความสำเร็จของที่นั่น
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น