ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ใจมันต่างกัน
ว่างๆ อยากให้สมาชิกอ่านบทความวิชาการทางการแพทย์ หรือ หนังสือ ที่เกี่ยวกับระบบการทำงานของร่างกายสักนิด แล้วท่านจะเข้าใจสิ่งที่กำลังจะกล่าวถึงได้เป็นอย่างดี
สภาพของร่างกาย คือธรรมชาติ หรือเป็นจักรวาลเล็กๆ อันหนึ่ง สภาวะที่ธรรมชาตินี้ต้องการหรือคุ้นเคย และไม่มีอันตราย มักจะมีสภาวะที่เป็นกลาง หรือเป็นด่าง ถ้าสังเกตเห็น เราจะพบว่า ในบรรดาสารพันอาหารที่เราทาน ไม่มีตัวไหนเลยที่แช่น้ำกรด นั่นคือภูมิปัญญาแห่งความช่างสังเกตของคนโบราณ หรือพูดง่ายๆ ร่างกายสามารถรับสภาวะที่เป็นด่างได้ ในขณะที่รับสภาวะที่เป็นกรดได้น้อยมาก
ตรรกะในการคิดค้นยาเคมี มีรากฐานมาจากการทำลาย ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ยาเคมีทุกตัว ยิ่งออกฤทธิ์เร็วเท่าไร ก็ยิ่งต้องมีสภาพการทำลายหรือเป็นกรดมากเท่านั้น เพราะเหตุใด ก็เพราะร่างกายมีภูมิต้านทานนั่นเอง ภูมิจะเป็นตัวกั้นสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าไปในอวัยวะ การที่จะนำเคมีเข้าไปได้ จึงต้องทำลายภูมิต้านทานของเราเสียก่อน จึงจะทำได้
สิ่งที่เราต้องรู้คือ การใช้เคมี เมื่อได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง เราจะสูญเสียภูมิต้านทานไป และเสียพื้นที่ให้กากเคมีนี้ทิ้งตัวอยู่ในร่างกาย แลกกับการที่จะอนุญาตให้เคมีเข้าไประงับอาการของเรา นั่นคือสาเหตุที่ทำไม จึงเกิดโรคตามมา หลังจากทานยาเคมีตัวที่หนึ่ง
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีเคมีตัวใดเข้าไปถึงจุดที่โรคเป็นอยู่ เคมีที่ใช้จึงเป็นเคมีเพื่อการระงับอาการ ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์เปรียบให้เห็นภาพคือ ตกอยู่หน้าด่าน เข้าถึงโรคที่อยู่หลังด่านไม่ได้ อันเป็นเหตุที่ว่า ทำไมยาเคมีจึงรักษาโรคไม่ได้
ก็แล้วยาเคมีทำหน้าที่อะไร หน้าที่หลักก็คือระงับอาการที่เกิด วิธีการที่ทำคือ ใช้แนวคิดการทำลาย โดยอาศัยความเป็นกรด เพื่อทำลายหรือมอมเมาประสาท ให้เกิดอาการชา หรือตาย ผลที่ปรากฎ อันเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้เคมี นั่นคือ อาการที่เป็นจะหายไปในทันที โดยแลกกับการตายลงหรือหมดสมรรถภาพของเซลล์ในบริเวณนั้น ที่ละน้อย อุปมา เรากำลังทำลายป่า หรือ ธรรมชาติของเรา ทีละน้อย
ด้วยเหตุแห่งการทำลาย ทำให้เซลล์ไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงโรคได้ จนเมื่อถึงวันที่โรคสุกงอม หรือแข็งแกร่ง เริ่มออกอาละวาด นั่นคือปรากฎการณ์ที่ยาที่เคยกิน และเพิ่มปริมาณขึ้น เอาไม่อยู่แล้ว
ผลที่ปรากฎเด่นชัด คือ โรคแรกยังไม่มีแววจะหาย ระเบิดที่ทิ้งบอมบ์ คือกากเคมีที่ร่างกายขับไม่ได้ หรือ ที่นักเคมีเรียกสารหนัก อันถูกทิ้งในร่างกาย เริ่มจะสะสมทีละเล็กละน้อย ตกลงตรงส่วนใด ส่วนนั้นก็ฉิบหายตามไป ก่อให้เกิดโรคที่สองสามตามมา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงพูดเล่นๆ ว่า สถิติบอกว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีมากขึ้นถล่มทลาย แต่ผู้ตายด้วยโรคเบาหวาน ยังไม่มากนัก ก็ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ เพราะผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานส่วนใหญ่ ไตวาย ตายไปก่อนหน้าแล้ว อันผลจากเคมีที่ทิ้งตัวจากการทานยาเบาหวานนั่นเอง
ด้วยความรู้อันนี้ จึงไม่น่าแปลก ที่ฝรั่งทำการผลิตเครื่องฟอกไต รอไว้อยู่ก่อนแล้ว เฉกเช่นเดียวกัน ฝรั่งก็ผลิต walker และ รถเข็น ไว้รอผู้ทานยาคุมความดัน
และถ้าจะให้ชัดไปกว่านั้น ยาเคมีที่เป็นกรดนั้น เท่ากับไปเร่งสภาวะของเซลล์ ให้กลายเป็นมะเร็ง ก็มียาคีโมมารองรับอีกเช่นกัน
ผู้ที่เดินทางนี้ จึงไม่แปลกเลย ที่จะทำสถิติให้แก่อนามัยโลก สูงขึ้น โดยไม่มีวันที่จะลดลงได้เลย แต่ก็ยังมีผู้เดินตามกันอย่างมากมาย เพราะอะไร เพราะคนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อคนฉลาด
ฝรั่งผลิตยาฉลาด เอาคนที่หัวดีของเราไป แล้วให้ปริญญา กลับมาเป็นเซลล์ ขายผลิตภัณฑ์ โดยโยนเศษเนื้อให้นิดหน่อย ถ้าใครจะเถียง ก็ดูงบที่ใช้จ่ายค่ายาและเวชภัณฑ์ ในแต่ละปี เฉพาะไทยแลนด์ ก็สามแสนกว่าล้านบาทต่อปี แล้วที่คนขายยามันได้ จะสักกี่สิบ หรือ ร้อยล้าน ไม่เห็นหมอเป็นมหาเศรษฐีแม้แต่คนเดียว
เมื่อหันมาดูสมุนไพรของพระพุทธเจ้า มาด้วยความเมตตา หลักการที่ใช้จึงอาศัยความเป็นธรรมชาติ ให้เซลล์เกิดความผ่อนคลาย และได้สารที่จำเป็น เพื่อใช้ในการฟื้นฟู อุปมานักกีฬา ที่ถูกเคี่ยวกรำให้ฝึก หรือตื่นตัว ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยเช่นกัน ที่จะต้องทานอาหารที่หมอห้าม ในแต่ละโรค เพราะนั่นคือสารนำร่องธรรมชาติ ที่ร่างกายคุ้นเคย และเป็นใบเบิก ในการนำเข้าไปให้ถึงจุดที่เป็นโรค ก็ถ้าเราไม่กินไก่ สมุนไพรจะเข้าถึงเก๊าต์ได้โดยวิธีใด ทำไม่ได้เช่นกัน ย่อมถูกภูมิของเราต่อต้าน เหมือนกัน พระพุทธเจ้าเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ แม่ชีเมี้ยนจึงบอกว่า สมุนไพรเป็นองค์ความรู้ ที่อาศัยธรรมชาติของมนุษย์ อันมีอยู่แล้ว เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จึงไม่มีการละเมิด ระบบธรรมชาติ โดยเฉพาะ การกิน และการสกัดอาหาร ด้วยตัวเอง และแยกสารที่ต้องการไปใช้ ตามความต้องการของแต่ละส่วน กระบวนการนี้เป็นกระบวนการธรรมชาติ ที่ร่างกายจะนำสารเบื้องต้นจากสมุนไพร แล้วไปสร้างสารที่ใช้ในการฟื้นฟูตนเอง
สมุนไพรจึงไม่มีการทำลายเซลล์ หรือ ผลข้างเคียงใดๆ เกิดขึ้น เป็นองค์ประกอบที่เกิดมาพร้อมมนุษย์ คู่กับโลก และเรียกได้ว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ แต่ความศักดิ์สิทธิ์นี้ พระพุทธเจ้าบอกว่า เกิดขึ้นได้กับผู้มีคุณธรรมเท่านั้น
ก็ไม่น่าแปลก ในคำที่ว่า "ผู้ใดรู้และทำให้ เจริญแน่ ผู้ใดทำเอาผลประโยชน์ ฉิบหายแน่ เช่นกัน" จึงปรากฎในพงศาวดาร ให้เราได้ยินได้ฟัง และเป็นจริง
ร่องรอยที่พิสูจน์ในสิ่งนี้ได้ชัดเจน คือ การทาแผลด้วยยาเคมี และสมุนไพร หลังจากแผลหาย เมื่อใช้ยาเคมี จะมีร่องรอยแผลเป็นปรากฏทิ้งไว้ และอาจอยู่กับเราจนตาย ในขณะที่ถ้าสมาชิกมีโอกาส ไปขอดูมือคุณธานินทร์ อินทรเทพ ที่ถูกเงี่ยงปลาดุกทิ่มจนเลือดสาด แผลฉกรรจ์ เมื่อครั้งไปช่วยหลวงพ่อย้ายปลา จากบ่อหน้ามูลนิธิไทยกรุณา ไปไว้ด้านในเพื่อทำลานจอดด้านหน้า แล้วหลวงพ่อท่านใช้สมุนไพรทาให้ จะไม่มีร่องรอยเหลืออยู่เลย
ก็ด้วยพื้นฐานที่มาของยา ก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ยิ่งใจของผู้ทำ ยิ่งต่างกันราวกับฟ้ากับดิน จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ผลออกมา จึงต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน
เราจึงขอย้ำคำของหลวงพ่อนิพนธ์ ให้แก่ผู้ที่จะมาหาผลประโยชน์ จากสมุนไพร อีกครั้ง ในคำสาป ของทั้งแม่ชีเมี้ยน และ พระพุทธเจ้า ที่ว่า "ใครมาหาผลประโยชน์ ฉิบหายแน่" อีกครั้ง เชื่อเถอะไม่คุ้มหรอก กับสิ่งที่ได้
ปฐมบทแห่งตำนาน "ธรรมของพระพุทธเจ้า และสมุนไพรของท่าน เขาให้ฟรี ให้ด้วยใจ ด้วยเมตตา" จึงคงความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดนำไปหาผลประโยขน์ แม่ขีเมี้ยนจึงให้สติพระในยุคถ้ำกระบอกว่า "ไม้สูงกว่าแม่ แพ้ลมบน คนสูงกว่าคน ย่อมหักกลางคัน"
ใครจะใช้หลักอะไรก็เลือกตามใจ แต่ถ้าจะเดินตามพระพุทธเจ้า แล้วให้ประสพผล ไม่มีให้เลือก ทุกคนต้องใช้ หลัก "ตนพึ่งตน"
ทิ้งท้าย ด้วยคำของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ชอบพูดให้คิดเล่นๆ ว่า "ทีกินเป๊ปซี่ น้ำอัดลม ทำลายตน กินด้วยความยินดีปรีดา แต่ตอนทานสมุนไพร หน้าตายังกับถูกพาเข้าลานประหาร ก็ปานนั้น" เราเป็นอย่างนั้นหรือปล่าว
โบราณเขาว่า "แพ้ชนะ วัดกันที่ใจ" ทั้งใจผู้ทำและใจผู้ทาน .........
สถานที่นี้ "คนดีทำให้กิน คนกินกินแล้วเป็นคนดี"
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น