ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
บุญญาธิการของศาสนา
สิ่งหนึ่งที่เราได้ยินได้ฟัง ไม่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่ ก็คือ เราไม่ได้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว ในศาสนาพุทธ ดังนั้น สิ่งที่ท่านทิ้งไว้ให้มนุษย์รับรู้ รับทราบ ที่พระพุทธเจ้าตรัสทิ้งไว้ คือ จะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ มาอุบัติต่อพระพุทธศาสนาของท่าน
แม่ชีเมี้ยน ได้ย้อนยุคของพระพุทธเจ้า มาให้เราฟัง ลำดับกันมา ใน ๔ พระองค์หลังสุด คือ พระกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสปะ พระโคดม และตรัสว่า พระพุทธเจ้าทุกยุค มีอายุ ๒๕๐๐ ปี เมื่อครบแล้วจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาอุบัติ เพื่อต่อพระพุทธศาสนา
ท่านจึงยืนยันว่า และพยากรณ์ก่อนลาสังขาร แก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า ในอีกไม่กี่ปีนี้ จะต้องมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นอย่างแน่นอน
ในพยากรณ์ของท่าน ยังได้กล่าวถึงภัยพิบัติที่จะบังเกิดขึ้นแก่โลกว่า เหตุมาจากมนุษย์ขาดศาสนามานาน ทำให้กรรมเฟื่องฟู จนผลกรรม กลายเป็น "กรรมสามัคคี"
ด้วยกรรมอันนี้ จะบีบให้มนุษย์ถึงทางตัน เพราะสิ่งที่มี สิ่งที่เชื่อ ไม่สามารถช่วยป้องกันภัยเหล่านี้ได้เลย เทคโนโลยีที่ทันสมัย ความแข็งแกร่งทางวัตถุ เมื่อถูกธรรมชาติลงโทษ จะอ่อนยุ่ย เหล็กที่ว่าหนา แข็งแกร่ง ถูกฉีกราวกระดาษ โรคภัยจะระบาดฟุ้งไปในอากาศ สภาวะเช่นนี้ จะทำให้มนุษย์ต้องดิ้นรนหา ศาสนาที่แท้จริง ที่สามารถปกป้องภัยได้ ไม่ใช่ ศาสนาที่มนุษย์สร้าง หรือ วัตถุที่มนุษย์สร้าง ภัยนี้จะเป็นตัวชี้ให้เห็นว่า อะไรคือที่พึ่งของมนุษย์ที่แท้จริง
เมื่อมีผู้ทำตนจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยอำนาจธรรมของท่าน และบุญญาบารมีของท่าน จะทำให้ภัยพิบัติหายไป ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะชอบหรือไม่ชอบพระพุทธศาสนา ก็ต้องยอมรับในอำนาจธรรมของท่าน เพราะประจักษ์ในสิ่งนี้เอง
เมื่อนั้น คนจะหันมาทำความดีตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับธรรมมาปฏิบัติมากบ้างน้อยบ้าง ตามความปรารถนาของตน แต่ผู้ที่จะเดินตามท่าน แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ก็มีไม่มากนัก ดังเช่นในอดีต คนที่ปรารถนาจนถึง นิพพานสมบัติ ก็แค่ แปดหมื่นกว่าคน เท่านั้นเอง
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงทราบดีในเรื่องนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนทั้งโลกไปนิพพาน ท่านจึงต้องเฟ้นหาบุคคลที่สามารถฝึกได้เท่านั้น ที่เหลือ ก็รับธรรมบางหมวด บางตอน ไปปฏิบติ เพื่อความสงบสุข ร่มเย็นของเขา เท่านั้น
ดังนั้น จึงเกิดภาวะที่ กลุ่มคนต่างๆ ในโลก ส่งตัวแทนไปรับธรรมของท่าน เพื่อกลับมาให้หมู่ของตนปฏิบัติ แม่ชีเมี้้ยนจึงตรัสว่า ศาสนาพุทธ คือ รากเหง้า ของทุกศาสนาในโลกนี้ นั่นเอง
แลด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า ตัวท่านไม่ใช่ต้นแห่งอำนาจ บุญบารมี แต่หากเป็น พระธรรมคำสั่งสอนต่างหากที่เป็นต้นแห่งอำนาจ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวย้ำทุกครั้งว่า แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงไม่สร้างวัตถุ แต่เน้นสร้างคน โดยท่านมีหน้าที่สอนธรรม ให้คนนำไปปฏิบัติ
เราจึงไม่เห็นโบราณสถาน วัตถุใดๆ ทิ้งไว้เลย สิ่งที่พระพุทธเจ้าสร้าง จึงมีเพียงอย่างเดียวคือ "โรงทาน" เพราะเมื่อมีพระพุทธเจ้า จะมีคนทุกข์แห่แหนกันมาพึ่งพิง และธรรมหมวดหนึ่งที่ท่านสอนคือ "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว" การหาบุญ ต้องหากับคนทุกข์ ดังนั้น โรงทานจึงเป็นสถานที่เพื่อทำบุญแก่คนทุกข์ที่มาพึ่งพิงพระพุทธเจ้า นั่นเอง
แม่ชีเมี้ยน จึงตรัสว่า "เอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา คือแหล่งรวมคนทุกข์ และด้วยบุญญาธิการของพระพุทธเจ้า ที่ทรงเมตตา จะทรงแสดงธรรม และให้คนนำไปปฏิบัติ เพื่อพ้นทุกข์ ศาสนาของพระพุทธเจ้า จึงเป็น "ศาสนาทำ" และไม่สามารถหลีกลี้หนีจากคนได้เลย ก็ด้วยเหตุ "คนทุกข์ นั่นแหละคือแหล่งบุญ ของเรา"
เมื่อพระพุทธเจ้าสอนคนให้พ้นทุกข์ เป็นพระอรหันต์ ท่านจึงนำบุญนั้น เป็นพาหะไปนิพพาน
ในอดีต เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ยังอยู่ในเพศบรรพชิต มีความคิด ที่จะนั่งกรรมฐาน ในยุคนั้น เรียก นั่งธูป บำเพ็ญเพียร เพื่อสำเร็จมรรคผล แม่ชีเมี้ยนจึงให้สติว่า ในยุคของพระโคดม มีคนเหล่านี้เต็มอินเดีย นั่งปลีกวิเวก ไม่สนใจใคร และบางคน เคร่งกว่าพระโคดมเสียอีก ทานแต่ผลไม้ ในขณะที่พระโคดม ทานวันละมื้อ ปนคาวหวาน ผลที่ปรากฎ ไม่เห็นคนเหล่านั้น สำเร็จแม้แต่คนเดียว ด้วยสติอันนี้ ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ มักเล่าให้ฟังพร้อมหัวเราะเสมอว่า "เราจึงมีมานะอดทนทำสมุนไพร และไม่เลยมนุษย์" เฉกเช่นพระโคดม ที่ต้องหันกลับมาทานโภชนาอาหาร แม้สาวกปัญจวัตคีย์จะเข้าใจผิด ก็เพราะ "การหาบุญ ต้องทำกับมนุษย์ และสัตว์ โดยใช้ธรรมที่ท่านตรัสรู้เป็นเครื่องมือนั่่นเอง"
ไม่ว่าจะอุปโลกสักฉันใด ว่าสิ่งนั้นศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ มีบุญญาธิการ สักฉันใด ภัยพิบัตินี้แหละ จะเป็นเครื่องชี้วัดว่า สิ่งเรายึดถือ มีจริง ปกป้องเราได้ หรือไม่
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า "ธรรมของพระพุทธเจ้า มีอำนาจจริง เป็นของจริง ผู้ที่่อยากสัมผัสบุญญาธิการของศาสนา มีเพียงวิธีเดียว คือ เรียนรู้ และนำธรรมของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ เมื่อทำได้ แม้เราไม่เคยเห็น แต่ก็สัมผัสได้ เพราะ เราจะพ้นจากภัยพิบัตินั้นๆ ได้"
หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า หน้าที่ของท่าน นอกจากนำสมุนไพรมาให้ ยังต้องนำธรรมบางหมวด มาให้เราท่านปฏิบัติ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพูดสอน และบังคับให้สวดมนต์ เพื่อให้เราได้สัมผัส บุญญาธิการของศาสนา อุปมา ตอนนี้เราพบน้ำท่วม ของคนกรุงเทพ แต่คนที่มากำลังพบภัยพิบัติ คือ "โรคท่วม" สองสิ่งนี้ไม่ต่างกันเลย
ความคิดมนุษย์แก้ภัยพิบัติไม่ได้อย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่จะทำให้เราท่านพ้นภัยพิบัติได้ คือ บุญญาธิการของศาสนา อันเกิดจากน้อมนำธรรมของพระพุทธเจ้ามาปฎิบัติ
แม่ชีเมี้ยน จึงตรัสว่า ถ้ามนุษย์หันมาเชื่อพระพุทธเจ้า แล้วนำธรรมมาปฏิบัติเพื่อปกป้อง มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เรียกสิ่งนี้ว่า "ธรรมสามัคคี" ซึ่งจะเป็นคู่ต่อสู้กับ "กรรมสามัคคี" ได้อย่างแน่นอน และเมื่อนั้น เราท่านจะได้เห็น ฝน ฟ้า ตกต้องตามฤดูกาล อีกครั้ง
อย่าโทษโน่นโทษนี่เลย ภัยอันนี้เกิดจากการกระทำของพวกเรา เพราะเราขาดศาสนามานานสองพันกว่าปี เราจึงเดินทางผิด ผลผิดจึงเกิด ยิ่งเห็นคนที่จะคิดสู้กับภัยพิบัตินี้ ด้วยความคิดของมนุษย์ ยิ่งเห็นความหายนะ
รักษาตัว ทำตัว รอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ แล้วดูบุญญาธิการของศาสนา กันเถอะ
จะรอบุญญาธิการของ "ศาสนาขอ" หรือ จะใช้ ธรรมของพระพุทธเจ้า ตาม "ศาสนาทำ" เพื่อให้ได้สัมผัสบุญญาธิการ ก็เลือกเอา ผลที่ได้ ท่านจึงบอกว่า "วัดกันที่วันตาย" จะเสียดายอย่างเดียว ดั่งที่แม่ชีเมี้ยนตรัสไว้ คือ "ตายแล้วกลับมาบอกลูกหลานไม่ได้แล้ว ว่า ..... อย่าทำชั่ว ....... "
ความจริงอันนี้ เราจึงขอท้า นักวิทยาศาสตร์ทุกท่าน สำรวจได้ว่า ในยุคที่มีพระพุทธเจ้า และหลังจากนั้นสองร้อยปี มีภัยพิบัติอันใดเกิดบนโลกใบนี้บ้าง นั่นแหละคือ "บุญญาธิการของศาสนา ที่ประทับรอยไว้ในโลกใบนี้"
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น