วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โต๊ะเลี้ยงรุ่น

งานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อนร่วมรุ่น เป็นที่คนเมื่อเข้าวัยชรา อยากไปมากที่สุดงานหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพื่อรำลึกความหลังกับเพื่อนฝูง ที่คบหากันมา ตั้งแต่สมัยเรียน อันเป็นวัยที่มีเรื่องคุยกันไม่รู้จบ เล่ากี่ครั้งก็ยังสร้างความครื้นเครง งานอย่างนี้ เมื่อมีโอกาสย่อมต้องไปให้ได้

ในงานเลี้ยงรุ่นชาวอัสสัมชัญ อันเป็นสถานที่ที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียนจบชั้นมัธยมมานั้น ก็เฉกเช่นเดียวกัน เนื่องด้วยหลวงพ่อนิพนธ์เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนร่วมรุ่นทุกคน ด้วยความมีน้ำใจของท่านต่อเพื่อนๆ นั่นเอง ทำให้เพื่อนร่วมรุ่นทุกคน อยากให้หลวงพ่อนิพนธ์ไปร่วมงาน แต่ก็หาโอกาสเช่นนั้นได้ยาก

เมื่อมีโอกาสมาถึง จึงไม่พลาดที่พวกเพื่อนๆ จะหาโอกาสมางาน เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์รับปากจะมาร่วมงาน ก๊วนที่เคยรวมกันในอดีต กลับมาร่วมโต๊ะอีกครั้ง พร้อมกับเรื่องในอดีตได้ถูกขุดมาเล่าขานกันอีกครั้ง โดยเฉพาะ เรื่องที่เพื่อนๆ หัวกระทิของชั้น ทั้งหกคน ได้ตั้งฉายาให้หลวงพ่อนิพนธ์ อันเนื่องมาจาก การหนีเพื่อนไปบวช ในขณะที่เพื่อนทั้งหกคน ก็สอบแพทย์ได้ทั้งหมด ส่วนหลวงพ่อนิพนธ์ก็เลือกเรียนตำราสมุนไพรจากแม่ชีเมี้ยน จึงได้รับฉายาจากเพื่อนๆ ว่า "หมอผี"

วันเวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก ก็ผ่านมาเกือบห้าสิบปีแล้ว เพื่อนทั้งหกคน ล้วนแล้วแต่เป็นแพทย์ใหญ่ มีหน้าตาในสังคม บางท่านเป็น ผ.อ.โรงพยาบาลใหญ่ของรัฐ บางท่านเป็นผู้เชืี่ยวชาญระดับต้นๆ ของประเทศ ล้วนแล้วถือได้ว่าประสพความสำเร็จในวิชาชีพอย่างสูง

แต่บทสนทนาที่เพื่อนทั้งหก กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ คือ การยอมรับว่า ถ้าไม่นับโรคเล็กๆ น้อยๆ หรือ ประเภทอุบัติเหตุ แล้ว อันหมายถึง โรคที่วงการยอมรับว่าเป็นแล้วตาย พวกเขาไม่เคยรักษาใครแล้วประสพผลสำเร็จแม้แต่รายเดียว

เพื่อนทั้งหก จึงยอมรับใน กระบวนการรักษาของหลวงพ่อนิพนธ์ และหยอกเย้ากันว่า พวกเราสู้หมอผีไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนทั้งหกยังยอมรับว่า อย่าว่าแต่รักษาคนอื่นเลย แม้แต่ตัวของพวกเขาเอง แต่ละคน ล้วนแล้วแต่เป็นโรคทุกคน และพูดกันเล่นว่า ในอนาคต คนคงแห่กันไปใช้วิธีของหมอผีกันหมด

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า สิ่งที่เราทำคงไม่กระทบพวกนายหรอก เพราะคนที่จะมาเชื่อเราคงมีไม่มาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วก็น้อยกว่าน้อย คนส่วนใหญ่ยังนิยมในวิธีของพวกเพื่อนๆ อยู่ คงไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงหรอก

หลายปีผ่านมา เพื่อนสามคน ก็จากไป คนสุดท้ายสุด คือ นายแพทย์มงคล ที่เพิ่งได้รับพระราชทานเพลิงศพ ไปเมื่อไม่นาน ก่อนจะเสียชีวิตได้มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ และกล่าวว่า ตัวเองเป็นโรคเก๊าต์ กินยาลดกรดโฟลิค จนทำให้เกิดผลข้างเคียง ผลการตรวจปรากฎว่า วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง คณะแพทย์ลงความเห็นว่าต้องเข้าคอร์ส หลังจากเข้าคอร์สก็เสียชีวิตลง

วันนี้ บนโต๊ะสนทนา เหลือเพียงสี่คน กลับเป็นหลวงพ่อนิพนธ์คนเดียว ที่ยังคงมีความสุขกับการกิน เพราะเพื่อนทั้งสามล้วนถูกคุมอาหารเสียแล้ว

เรื่องของชีวิต เราถามตัวเองหรือยัง บุคคลใดน่าเชื่อถือมากที่สุด ใช่พระพุทธเจ้าหรือไม่ แล้วตอนนี้ เราเดินตามใคร ทำตามใครอยู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44